บทที่ 3
คนโชคร้าย
SAIPAN’S PART ;
“หุบปาก! อยากตายหรือไง!”
เสียงตะคอกตอกหน้าพร้อมกับมือใหญ่ที่ปิดทาบทับริมฝีปากทำให้ฉันรีบเก็บกลั้นเสียงกลืนกลับสู่ลำคอ
“อึก...”
“ถ้าเธอร้องไอ้พวกคนนั้นมันก็จะกลับมาฆ่าทั้งเธอและฉัน!”
สิ้นประโยคร่างกายของฉันถูกกระชากรั้งให้อยู่ในอ้อมแขนของเขา และเพียงเสี้ยววินาทีก็ถูกนำพาให้วิ่งไปหลบซ่อนที่ตรอกซอยเล็ก ๆ
คนตัวใหญ่จับให้ฉันนั่งทรุดตัวลงกับพื้น ตามมาด้วยร่างกายใหญ่โตที่ทิ้งผ่อนลงมา เสียงหอบหายใจดังถี่กระชั้น ฉันจึงผินใบหน้าไปมองคนข้างกายถึงได้พบว่า บริเวณหน้าท้องฝั่งซ้ายของเขามีหยาดเลือดสีแดงสดที่ไหลหลั่งออกมา
“คะ...คุณ คุณถูกยิงเหรอ!” ฉันเบิกตากว้างกับสิ่งที่เห็น แถมใบหน้าของเขาก็ซีดเซียวไร้สีเลือดเปลี่ยนไปถนัดตา
“อึก...หุบปากอย่าส่งเสียง! ฉันรับรองว่าฉันจะไม่ทำให้เธอตายแน่นอน” เสียงเข้มเอ่ยบางเบาที่ฉันฟังแทบไม่ได้ศัพท์จนถึงขั้นต้องโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้
รับรู้ดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้ทำให้เราพูดคุยกันมากไม่ได้ แต่บาดแผลและอาการบาดเจ็บของเขาก็สำคัญไม่แพ้กัน
“ฮึก...นี่มันอะไรกัน ฉันจะโทรแจ้งตำรวจ ฉันจะ...” ฉันพยายามตั้งสติและหาหนทางหนีไปจากพื้นที่ตรงนี้ สิ่งแรกที่คิดได้ก็คือการหยิบโทรศัพท์ออกมาหวังจะโทรหาเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ช่วยเหลือ แต่ทว่าเสียงเข้มดุดันกลับตวาดดังออกมา
“อยู่เฉย ๆ ได้ไหมวะ!”
“อึก ฉะ...ฉัน...” ฉันสะดุ้งด้วยความตกใจ มือไม้ที่สั่นเทาก็รีบเก็บเครื่องมือสื่อสารและพยายามทำให้เสียงของตัวเองเบาบางมากที่สุด
สถานการณ์ในตอนนี้เหมือนกับการลงเรือลำเดียวกันกับเขา ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตต่ออีกหรือเปล่า แต่การทำตามคำสั่งย่อมดีกว่าดื้อรั้นทำในสิ่งที่ไม่ควร
“พวกมันวนกลับมาทางนี้!”
ประโยคนั้นทำให้ฉันรีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ซึ่งไม่นานมือใหญ่ของเขาก็ปิดทาบทับประสานที่มือของฉันอีกครั้ง รวมไปถึงวงแขนแกร่งโอบรัดให้ร่างกายฉันนั่งเกยบนตัก
เขาใช้แผ่นหลังกำบังตัวฉัน ซึ่งขณะนั้นเสียงฝีเท้าหนักขงคนหลายชีวิตก็คืบคลานเข้ามาใกล้มากขึ้น จนกระทั่งได้ยินเสียงตะเบ็งที่อัดแน่นไปด้วยแรงโทสะ
“กูได้ยินเสียงแถว ๆ นี้ พวกมึงมาค้นดูตรงนี้! กูว่ามันต้องหลบอยู่แถว ๆ นี้แน่!”
“นายสั่งมา ถ้าเจอก็ให้ฆ่ามันทันที!”
เสียงหนักแน่นยิ่งทำให้ฉันตัวสั่น แต่ก็พยายามเก็บกลั้นเสียงตัวเองให้ได้มากที่สุด เช่นเดียวกับลมหายใจที่เบาบางไร้กำลัง
ฉันซุกใบหน้าเข้าสู่อกแกร่ง ขดตัวให้เล็กที่สุด หวังใช้ความกำยำของแผ่นหลังกลมกลืนประสาน เผื่อว่ามันจะทำให้การหลบซ่อนครั้งนี้แนบเนียนและช่วยให้มีชีวิตต่อได้บ้าง
“ไม่ต้องกลัว เธอจะไม่เป็นอะไรแน่นอน” เสียงทุ้มเอ่ยแนบชิด ในขณะที่มือใหญ่ก็ค่อย ๆ ลูบที่แผ่นหลังของฉันราวกับเป็นการปลอบประโลม
ประโยคนั้นทำให้ฉันเชยใบหน้าขึ้นมอง มันมีความอาทรและอ่อนโยนอยู่ในนั้น หากแต่กระแสน้ำเสียงที่บางเบากลับเต็มไปด้วยความอ่อนล้าที่พร้อมพรากสติให้ดับวูบลงได้ทุกเมื่อ
ใบหน้าคมคายซีดเซียว เม็ดเหงื่อผุดทั่วทั้งร่างกาย รวมไปถึงลมหายใจอ่อนกำลังอย่างน่าใจหาย
ฉันจับใบหน้าของเขาเพื่อเรียกสติ เอ่ยเรียกซ้ำ ๆ โดยไม่สนใจว่าคนที่ตามฆ่าจะได้ยินหรือเปล่า เพราะอาการของเขาในตอนนี้ย่ำแย่เข้าขั้นวิกฤต เหมือนกับว่าสติของเขาเริ่มลดน้อยลงทุกที แถมหยาดเลือดที่บาดแผลก็ยังคงไหลหลั่งออกมาเป็นจำนวนมาก
“คุณไตร! คุณไตรคุณได้ยินฉันไหม อย่าหลับนะ คุณ!” ฉันรีบผละตัวออกจากการกำบังและดันร่างกายของเขาให้นอนราบไปกับพื้น
มือสองข้างก็พยายามถอดเสื้อของเขาออก และหยิบผ้าเช็ดหน้าที่พกติดตัวมากดทาบทับเบา ๆ บริเวณปากแผลที่เป็นต้นตอของความเจ็บปวด
ไม่รู้ว่าวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นทำแบบนี้หรือเปล่า ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกต้องหรือไม่ แต่มันก็ดีกว่าการปล่อยเวลาที่เพียรผ่านให้สูญเปล่าไปเฉย ๆ
“อึก...”
“คุณ! คุณไตรได้ยินฉันไหมคะ ฮึก...อย่าตายนะ” ฉันส่งเสียงเรียกในระดับที่ดังขึ้น แต่การตอบโต้ยังคงเป็นความเงียบที่ดูเหมือนว่าเขาไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกต่อไปแล้ว
มือหนึ่งข้างใช้ผ้ากดห้ามเลือด ส่วนอีกข้างก็พยายามกระตุกเรียกหวังให้สติของเขากลับคืน ถึงเขาคนนี้จะเป็นคนแปลกหน้าที่ฉันนิยามว่าเขาคือบุคคลอันตราย แต่จากการช่วยเหลือของเขาเมื่อครู่ก็พอทำให้เธอรู้ซึ้งได้บ้างว่าเขาไม่ใช่คนเลวร้ายหรือคนที่สมควรตายในค่ำคืนนี้
แต่ทว่า...
ปัง!
ปัง!
ปัง!
เสียงปืนกังวานกึกก้องจนฉันเผลอละมือออกจากบาดแผลและยกขึ้นปิดหูทั้งสองข้างด้วยความตกใจ ระดับเสียงมันชัดเจนและใกล้กับพื้นที่ตรงนี้มาก รวมไปถึงฝีเท้าของสิ่งมีชีวิตที่กำลังขยับใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
ฉันโน้มตัวเข้าไปกอดคนตัวใหญ่เอาไว้ พยายามใช้ร่างกายตัวเองกำบัง หวังให้ความมืดมิดของค่ำคืนช่วยหลบซ่อนให้ทั้งฉันและเขาปลอดภัยจากเงื้อมมือคนเหล่านั้น
“อึก คนของฉัน...”
“คุณไตร คุณพูดว่าอะไรนะคะ” เสียงเลือนรางทำให้ฉันผละตัวขึ้นและมองอย่างเอาคำตอบ
มันเบาบางแถมยังฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ทว่ามันกลับทำให้ฉันพอใจชื้นขึ้นมาเมื่อเห็นว่าตอนนี้สติของเขากำลังกลับคืน แม้ว่ามันจะไม่เต็มร้อยก็ตาม
“ฮึก มีคนกำลังมาทางนี้...”
“นายครับ! นาย!”
ไม่ทันที่จะเอ่ยจบประโยค สุ้มเสียงเข้มตวาดขึ้นก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของชายชุดดำนับสิบชีวิตจะปรากฏตัวและยืนล้อมร่างกายฉันเอาไว้ โดยมีอาวุธปืนที่จ่อเล็งมาที่ศีรษะเป็นจุดเดียว
ความหวาดหวั่นส่งผลให้ร่างกายสั่นเทิ้มไปทั้งตัว แต่วงแขนสองข้างกลับยังคงกอดรัดคนสติเลือนรางเอาไว้แน่น เนื่องจากเขาเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ร่วมเผชิญเหตุการณ์ความเลวร้ายด้วยกันในค่ำคืนนี้
“พวกมึงเข้ามาพยุงตัวนายเร็วสิวะ!”
ร่างของฉันถูกผลักด้วยแรงมหาศาลก่อนที่คนพวกนั้นจะตรงปรี่เข้าพยุงรั้งคนบาดเจ็บไปประคอง
ความตกใจและความกลัวถาโถมจนไม่สามารถประมวลคิดค้นคำพูดออกมาได้ท่วงที แต่การกระทำเหล่านั้นทำให้ฉันรีบวิ่งเข้าไปขวาง ก่อนจะรวบรวมเรี่ยวแรงเหนี่ยวรั้งแขนแกร่งของเขาให้กลับคืน
“พวกคุณเป็นใครคะ จะเอาตัวเขาไปไหน เขาเจ็บอยู่นะ!” ฉันถามทั้งที่ดวงตาสั่นไหวเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำ
“เขาเป็นเจ้านายของผม ผมกำลังจะพาเขาไปในที่ปลอดภัย ส่วนคุณช่วยขยับออกไปด้วยครับ ผมไม่อยากรังแกผู้หญิง”
คำตอบนั้นแน่นอนว่าทำให้ฉันถอยหลังหนีโดยอัตโนมัติ ไหนจะน้ำเสียงดุดัน สายตาแข็งกร้าว รวมถึงรังสีอันตราย ทั้งหมดทั้งมวลแผ่ซ่านออกมาจนไม่อาจต่อต้านหรือดื้อรั้นในการกระทำของตัวเองได้
“ไปครับนาย ตอนนี้นายเสียเลือดมาก ผมโทรตามหมอรินให้แล้วครับ!”
“เธอ...อึก...ชื่อเธอ เธอชื่ออะไร”
ก่อนที่เขาจะถูกพยุงตัวไปที่รถ เสียงสั่นพร่าเลือนรางก็ดังขึ้นเบา ๆ แต่มันดังพอที่จะทำให้ฉันและคนบริเวณนั้นได้ยินอย่างชัดเจน
“ป่าน...สายป่าน ฉันชื่อสายป่าน” เป็นคำตอบที่เอ่ยเอื้อนออกไปแทบจะทันทีโดยไม่มีจังหวะเว้นว่าง พร้อมกันนั้นสายตาก็ทอดมองตามการประคองจวบจนถึงตัวรถยนต์คันหรูสีดำเงาที่จอดเทียบอยู่ใกล้ ๆ
“เชิญคุณไปกับผมด้วยนะครับ”
ร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่งเดินมาขวางหน้า เขาผายมือไปยังรถยนต์อีกคันที่จอดอยู่ด้านหลัง โดยมีสายตาคมเข้มดุดันกดมองราวกับว่าคำพูดของเขาเมื่อครู่นี้ไม่ใช่การร้องขอ หากแต่มันคือการบังคับให้ฉันจำต้องทำตาม
“ปะ...ไปไหน” ฉันถอยหลังหนีพร้อมกับการส่ายหน้าปฏิเสธ
ถึงแม้ว่าคุณไตรจะช่วยเหลือให้ฉันรอดพ้นจากการถูกยิง แต่การที่ต้องนั่งรถไปพร้อมกับลูกน้องของเขาที่เป็นคนแปลกหน้ามันก็ทำให้หวาดหวั่นได้เหมือนกัน
“ขึ้นรถเถอะครับ อย่าให้ผมต้องใช้กำลังเลย”
“อึก!”
คำพูดราบเรียบแต่เต็มไปด้วยความเหี้ยมเกรียมที่เหมือนกับคำสาปให้ฉันยอมทำตาม
ขาสองข้างก้าวขึ้นไปบนรถอย่างว่าง่าย ปากที่ใช้เอื้อนเอ่ยก็นิ่งงันไปโดยปริยาย อาจเป็นเพราะความดุดันของเขา หรือไม่ก็ลำปืนสีดำขลับที่ปรากฏเหนือเอวให้เห็น ซึ่งฉันมั่นใจว่ามันสามารถพรากชีวิตด้วยระยะเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น
ตอนพิเศษใส่ไข่[ มารุต & เส้นด้าย ]งานเลี้ยงสังสรรค์ฉลองปีใหม่ถูกจัดขึ้นที่ร้านอาหารสุดหรูริมแม่น้ำ โดยผู้สนับสนุนหลักก็คือไตรพัฒน์ผู้บริหารสูงสุดเนื่องจากต้องการให้เหล่าพนักงานภายใต้การปกครองได้พักผ่อนจากการทำงานหนักมาตลอดทั้งปีที่ผ่านมามารุตและเส้นด้ายก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรนี้เหมือนกัน มารุตเองก็ทำงานให้ไตรพัฒน์ไม่ต่างจากเลขาคนหนึ่ง นอกจากเขาจะเก่งกาจเรื่องการต่อสู้แล้ว เรื่องเอกสารและงานบริหารเขาก็ไม่เป็นสองรองใครเลย ส่วนเส้นด้ายเองแม้ว่าจะเพิ่งเข้าทำงานที่นี่ได้ไม่ถึงครึ่งปี แต่ความสามารถของเธอก็สร้างผลงานและรายได้เข้าบริษัทมหาศาล เธอเก่งในเรื่องภาษา แถมยังมีแนวคิดใหม่ ๆ มานำเสนออยู่ตลอด ไอเดียการตลาดและการบริหารย่อมเกิดจากการตัดสินใจของเธอทั้งนั้นการทำงานอย่างดีเยี่ยมส่งผลให้บริษัทไทรอัมพ์ที่ไตรพัฒน์ถือครองนั้นมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์ ในวงการธุรกิจต่างก็จับตามองและให้ความสนใจ อีกทั้งผู้ร่วมลงทุนใหม่ ๆ ก็ต่อแถวรอคอยด้วยกันทั้งนั้นงานเลี้ยงที่จัดขึ้นในวันนี้ไม่สามารถตอบแทนสิ่งที่ทุกคนลงมือลงแรงช่วยกันได้เลย หากแต่มันเป็นความตั้งใจเล็กน้อยของไตรพัฒน
ตอนพิเศษส่งท้ายที่แรกช่วงเข้าฤดูหนาวไตรพัฒน์ก็พาสายป่านและเด็กชายเตชน์มาเที่ยวที่ฮ่องกงเพื่อพักผ่อน หลังจากที่ช่วงก่อนหน้านั้นเขาเอาแต่โหมทำงานเนื่องจากต้องการหาวันหยุดยาวให้ครอบครัวถึงแม้จะเป็นเจ้าของธุรกิจ ซ้ำยังมีเงินมหาศาลที่ใช้ทั้งปีทั้งชาติก็ไม่มีวันหมด หากแต่คนที่เคยลำบากมาก่อนอย่างเขาย่อมเกลียดขยาดความรู้สึกนั้น นั่งจึงทำให้ไตรพัฒน์เลือกที่จะทำงานอยู่ตลอด เหตุผลก็เพื่อความสุขสบายของครอบครัวอันเป็นที่รักไตรพัฒน์เลือกมาที่ฮ่องกงอีกครั้งเพราะเป็นที่ที่ตัวเองคุ้นชิน เขามีภาพความทรงจำมากมายกับที่แห่งนี้ อีกทั้งตัวภรรยาอย่างสายป่านเองก็เห็นพ้องต้องกันว่าเธออยากมาที่นี่อีกครั้งเพราะตั้งใจจะมาไหว้เทพเจ้าแชกงเช่นเมื่อตั้งท้องเจ้าเตชน์ตอนนี้เด็กชายเตชน์เองก็อายุครบสองปีแล้ว อยู่ในช่วงกำลังซนกำลังมึน พูดจาฉอเลาะร่าเริง บ้างก็เผลอทำตัวเกินวัยจนคนเป็นพ่อและแม่แอบกุมขมับ“เอ...มันน่าจะอยู่แถวนี้สิ” ไตรพัฒน์เอ่ยในลำคอพลางกวาดสายตามองหาร้านอาหารที่ตั้งใจจะพาลูกเมียมากินโดยเฉพาะหลังจากออกจากโรงแรมที่พัก สถานที่แรกที่เขาอยากพาเมียและลูกมาก็คือร้านอาหารร้านเด็ดของฮ่องกง จากการเซิร์ซดูแผนที
ตอนพิเศษ 7น้องเตชน์จะเอาของเล่นหนึ่งปีผ่านไปเด็กชายเตชน์อายุได้หนึ่งขวบห้าเดือนก็เริ่มวิ่งไล่จับกับคนในบ้านแล้ว โดยผู้ถูกไล่ก็คงไม่พ้นเหล่าลูกชายหน้าโหดของไตรพัฒน์ที่มีหน้าที่เสริมก็คือการเป็นเพื่อนเล่นของนายน้อยไปโดยปริยายเสียงหัวเราะดังลั่นไปทั่วทั้งตัวบ้าน เช่นเดียวกับเสียงฝีเท้าหนักที่วิ่งสลับขวักไขว่เพื่อหาพื้นที่หนีจากการจับกุมจากเจ้าตัวน้อย“นายน้อยทางนั้นค่ะ วิ่งเร็ว ไปจับโจรให้ได้” เสียงของแม่บ้านวัยกลางคนออกปากเชียร์พลางหัวเราะยกใหญ่ที่ได้เห็นภาพนายน้อยตัวจิ๋วของบ้านที่กำลังวิ่งไล่จับชายชุดดำหน้าโหด“จับ ๆ หยุดนะ พ้มจะจับ” เด็กชายเตชน์สับเท้าและพูดเสียงขึงขัง ตั้งหน้าวิ่งหมายไปจับโจรผู้ร้ายที่สวมบทบาท แม้คำพูดจะเจือจางไม่ชัดอยู่บ้างแต่พอจับใจความได้ว่าเจ้านายตัวน้อยนั้นกำลังพูดคำว่าอะไร“เอ้า นายน้อยจะจับพวกเอ็งแล้วนะโว้ย วิ่งหนีเร็ว” เป็นเสียงแม่บ้านอาวุโสที่เอ่ยขึ้นพร้อมทั้งแรงขำขันมันเป็นกิจกรรมเพียงอย่างเดียวที่เห็นมาตลอดหลายเดือน หากแต่มันกลับไม่ได้ทำให้เบื่อหน่ายเลยสักนิด หนำซ้ำยังเรียกเสียงหัวเราะและสร้างความสุขให้บ้านหลังใหญ่ได้มากขึ้นเป็นกอง“น้องเตชน์ทางนี้ครั
ตอนพิเศษ 6คุณพ่อมือโปรเวลาเพียรผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นรอบตัวและเปลี่ยนแปลง รวมถึงหนึ่งชีวิตอย่างลูกตัวน้อยของไตรพัฒน์และสายป่านก็ได้ถือกำเนิดขึ้น กลายเป็นสีสันและความรักที่เติมเต็มบ้านหลังใหญ่ให้มีความสุขมากยิ่งขึ้นก่อนที่สายป่านจะคลอดเหล่าลูกน้องและแม่บ้านต่างก็ลงพนันแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันยกใหญ่ถึงเพศเจ้าตัวน้อยที่ยังไม่ลืมตาดูโลก แบ่งสัดส่วนแล้วเพศชายสี่สิบเปอร์เซ็นต์และเพศหญิงหกสิบเปอร์เซ็นต์ การคาดการณ์เกิดขึ้นกับความต้องการทางจิตใจล้วน ๆ ไม่ได้อ้างอิงตามหลักวิทยาศาสตร์ฝ่ายที่ลงพนันลูกชายให้เหตุผลว่าหากมีนายน้อยตัวจ้อยเป็นทายาทคนแรกก็คงมีผู้สืบตระกูล และแน่นอนว่าบ้านที่เต็มไปด้วยเหล่าชายฉกรรจ์ย่อมมีวิธีเล่นมากมายกับเด็กชายมากกว่าผู้หญิงในส่วนฝ่ายที่ลงเพศหญิงก็ให้เหตุผลตามมาว่าหากทายาทคนแรกเป็นผู้หญิงก็คงทำให้บ้านหลังใหญ่อ่อนหวานและสดใสขึ้น ได้ยินเสียงพูดคะพูดขา ได้รับยิ้มหวาน ๆ ที่น่าจะมาจากทางคนเป็นแม่เกินร้อย หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ก็คงได้เห็นภาพมาเฟียหนุ่มผู้โหดเหี้ยมอ่อนระทวยให้กับลูกสาวเป็นครั้งแรกแน่นอนว่าหลังจากที่ไตรพัฒน์และสายป่านรับรู้ว่าคนใ
ตอนพิเศษ 5เจอลูก“อะ...อื้อ! ฮื่อ...คุณไตร เดี๋ยว...อื้อ!” คำพูดขาดห้วงก่อนที่มันจะหายลับกลืนกลับลงสู่ลำคอ เมื่อริมฝีปากร้ายฉกฉวยลงมาอย่างเอาแต่ใจหลังจากที่เดินเข้ามาในห้องแล้วจัดการล็อกประตูลงกลอนเสร็จสรรพไตรพัฒน์และสายป่านใช้เวลาในการเดินเล่นข้างนอกและทานอาหารร้านดังไม่กี่ชั่วโมงก็พากันกลับมาที่โรงแรม ครั้นเมื่อขาก้าวเข้ามาในห้องและประตูปิดสนิท คนที่รอคอยเวลานี้ก็รีบดันร่างกายเล็กของคนรักให้ชิดติดกับกำแพงเพื่อทวงคำสัญญาในทันทีอาจจะเรียกคำสัญญาไม่ได้เพราะสายป่านไม่ได้ตกลงกับเขา...“อ๊ะ...คุณไตรใจเย็นก่อน อะ...” เมื่อริมฝีปากเป็นอิสระก็ทำให้สายป่านพยายามเอ่ยห้ามคนเอาแต่ใจที่ตอนนี้แทบแปลงร่างเปลี่ยนเป็นคนละคนต้นคอขาวถูกลากไล้ด้วยลิ้นจากนั้นก็รู้สึกถึงแรงดูดดึงเบา ๆ ที่เธอมั่นใจว่าผิวกายของเธอจะต้องเกิดรอยแดงเด่นชัดแน่นอนรอยเก่ายังไม่ทันหายเลย...ไตรพัฒน์คลอเคลียกับต้นคอขาวก่อนจะเคลื่อนต่ำลงมายังเนินอก เขาเปิดเสื้อไหมพรมแขนยาวของสายป่านขึ้น เผยให้เห็นอกอวบขาวเนียนใต้บราเซียจนอดที่จะก้มเข้ามาขบงับและครอบครองด้วยปากไม่ได้“อื้อ...อะ...คุณไตรอย่าดูดแรง” สายป่านพยายามยกมือปิดปากตัวเองเ
ตอนพิเศษ 4ขอพรต่อเทพเจ้าณ เมืองฮ่องกงหลังจากผ่านพ้นงานวิวาห์ไปได้สองเดือน ไตรพัฒน์ก็พาสายป่านมาฮันนีมูนโดยเลือกสถานที่ใกล้ ๆ ใช้เวลาในการเดินทางไม่กี่ชั่วโมงอย่างเมืองฮ่องกง เนื่องจากตอนนี้เธอกำลังตั้งท้อง เขาอยากพาเธอมาเปิดหูเปิดตา อีกทั้งก็ยังกังวลถึงความปลอดภัย ท้ายที่สุดจึงเลือกที่แห่งนี้เป็นที่แรกสำหรับการฮันนีมูนของคู่รักเมื่อเดินทางมาถึงโรงแรมที่จองล่วงหน้า ไตรพัฒน์ก็จัดการเก็บข้าวของและรวมถึงจัดการสั่งอาหารที่ฟร้อนท์มาทานเพราะข้างนอกฝนกำลังตกหนัก จึงไม่สามารถออกไปเดินเล่นหรือแวะร้านอาหารได้ ในส่วนคุณแม่มือใหม่เองก็นอนพักเอาแรงในระหว่างที่สามีกำลังดูแลความเรียบร้อยแม้จะเป็นทริปที่เดินทางเพียงไม่กี่ชั่วโมง และตัวเธอแทบจะไม่ได้ย่ำเดินเพราะไตรพัฒน์เรียกใช้บริการรถเข็นจากสนามบินตลอดทั้งทาง หากแต่ความเหนื่อยล้าก็ทำให้ร่างกายเธออ่อนกำลังได้เหมือนกัน“ป่าน...อาหารมาแล้ว จะกินเลยหรือเปล่าหืม” เสียงทุ้มนุ่มหูเอ่ยแนบชิดอย่างอ่อนโยนพานทำให้คนที่เพิ่งหลับใหลรู้สึกตัว ก่อนจะได้รับจูบหวาน ๆ ที่ประทับอยู่บนเรือนผม ทำเอาเธอแทบไม่อยากจะลืมตาหรือขยับเขยื้อนเลยสักนิด“คนดี...ตื่นแล้วแต่ทำไมไ