ช่วงบ่ายของวัน…
I have died everyday waiting for you…
ปลายนิ้วชี้ถูกยกขึ้นแตะรูดก้านแอร์พอดเร่งเสียงเพลง A Thousand Years ของ Christina Perri ให้ดังขึ้นเพื่อตัดเสียงรบกวนรอบข้าง ทั้งเปลือกตายังปิดสนิทและฟุบหน้าไปบนเก้าอี้เลคเชอร์โดยมีท่อนแขนขวารองอยู่
ลมเย็น ๆ ของเครื่องปรับอากาศให้ความรู้สึกผ่อนคลายไม่ต่างจากนอนอยู่บนเตียงกว้างในห้องส่วนตัวเลย แตกต่างตรงที่นี่เป็นคลาสเรียนซึ่งอัดแน่นไปด้วยนักศึกษากว่าสิบชีวิต
แต่แล้วการพักผ่อนแสนสบายก็ถูกขัดจังหวะ ฉันขมวดคิ้วพลางหรี่ตาขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อเกิดแรงสั่นสะเทือนจากพื้นที่ข้าง ๆ ฉันผงกหัวขึ้นและเบี่ยงหน้าไปทางขวาเล็กน้อย ผู้ชายคนนั้นยิ้มให้ฉันอย่างเป็นมิตร เขารีบขอโทษและอธิบายทั้งที่ฉันยังไม่ทันต่อว่า
“...ขอโทษนะ ที่ทำเธอตื่น พอดีเราเห็นว่าตรงนี้มันเงียบดี”
“...!” ประโยคนั่นทำให้ฉันต้องกวาดมองไปรอบห้องด้วยความงุนงง ก็ไม่เห็นมันวุ่นวายตรงไหน ที่นั่งเงียบ ๆ มีอีกเป็นสิบ
“ไอ้จ้าวห้าวตี้ใช่ไหม”
แต่พอได้ยินชื่อช่องสตรีมเกมของตัวเองก็ตาลุกวาวขึ้นมาทันที อารมณ์ถูกสับเปลี่ยนโหมดโดยพลัน แผ่นหลังที่เอนไปกับโต๊ะเลคเชอร์ในตอนแรกก็ดีดขึ้นมาตั้งตรงด้วยความตื่นเต้น นาน ๆ จะมีคนมาทักแบบนี้สักที คือฉันไม่ได้โดดเด่นในสายนี้ถึงขั้นมีคนรู้จักทั่วบ้านทั่วเมือง
เสียงเพลงดังคลอในหูถูกหยุด แอร์พอดกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็นอีกต่อไป ฉันถอดมันเก็บเข้าที่ ขณะเอ่ยถาม
“รู้จักด้วยเหรอ”
“ไม่รู้ได้ไง เราเป็นแฟนคลับตัวยงเลยนะ ไม่พลาดสักสตรีม” น้ำเสียงเขาก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน
“จริงดิ” ฉันยิ้มกว้างขึ้น จากที่นั่งเอียงข้างให้เขา ก็เริ่มหันเข้าหา
“เราชื่อเพชร เป็นน้องพี่ภีมน่ะ”
การแนะนำตัวของ เพชร ทำฉันเซอร์ไพรส์มาก นอกจากจะได้รู้ชื่อแล้ว ยังได้รู้อีกว่าเขาเป็นน้องพี่ภีม ถึงฉันจะรู้จักกับพี่ภีมมานานหลายปี แต่ไม่เคยละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวหรือสืบเสาะไปถึงสำมะโนครัว
“เพิ่งรู้นะว่าพี่ภีมมีน้องด้วย” แถมยังหน้าตาดีระดับหนึ่งเลย
“เราก็เลยรู้จักจันทร์เจ้าไง มีรอบหนึ่งเราเคยเข้าไปแจมในสตรีมเธอด้วย แต่นานแล้วแหละ”
“เหรอ แล้ว...”
“โทษนะ ที่เข้ามาขัดจังหวะ”
เสียงของใครบางคนแทรกขึ้นกลางคัน ส่งผลให้ฉันกับเพชรลากสายตาไปยังต้นเสียงพร้อมกัน เป็นม่านหมอกที่ก้าวเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างหลังเราสองคน วูบหนึ่งฉันเห็นเขาจ้องเพชรแปลก ๆ ก่อนขยับปากพูดต่อ
“พอดีมีธุระด่วนกับยัยเตี้ยนี่นิดหน่อย”
ม่านหมอกคว้าข้อมือฉันให้ลุกขึ้น ส่วนอีกมือเขาหยิบสายกระเป๋าสะพายที่คล้องอยู่กับพนักพิงขึ้นคล้องบ่าตัวเอง และลากจูงฉันออกจากห้องแบบไม่บอกกล่าว
“เดี๋ยวสิหมอก มีเรื่องอะไร”
ผู้กระทำไม่ได้หยุดฟังกันเลย มีแค่เสียงติดฉุนที่ลอยมากับสายลมเท่านั้น
“ตามมาเหอะน่า”
“นี่คือเรื่องด่วนที่ว่าเหรอ”
ฉันขยับปากถามตามคำสั่งการสุดท้ายที่ยังติดอยู่ในสมองก่อนจะถูกพาขึ้นมานั่งชมวิวทิวเขาอันไกลโพ้นบนดาดฟ้าตึกคณะ
“ใช่…” สุ้มเสียงทุ้มปล่อยชิลจนน่าตกใจ ไอ้อารามลนลานเหมือนมีเรื่องคอขาดบาดตายตอนลากฉันออกมาไม่หลงเหลือสักนิด มันหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น “เพื่อนอยากสูดอากาศ ด่วนพอไหม”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นหัวคิ้วฉันก็ขมวดเข้าหากัน ตวัดตามองเพื่อนสนิทอย่างนึกสงสัย ตอนนี้เขาอยู่ในท่วงท่าสุดแสนสบาย สองมือวาดไปค้ำบนพื้นเก้าอี้ไม้ตัวเดียวกันไว้ข้างหลังเป็นการทรงตัวแล้วลอยหน้าลอยตาชื่นชมธรรมชาติได้แบบ…โคตรน่าหมั่นไส้!
ถึงวันนี้อากาศจะเป็นใจมาก ไม่ร้อนอบอ้าว แถมยังมีลมพัดผ่านตลอดก็เหอะ แต่มันต้องอยากรับอากาศบริสุทธิ์ขนาดนั้นเลยเหรอ?
“แล้วขึ้นมาคนเดียวไม่ได้”
“แล้วเป็นไรถึงขึ้นมากับเพื่อนไม่ได้” เป็นการตอบคำถามด้วยคำถามได้กวนประสาทสุด ๆ มุมปากเขากดยิ้มลึกเหมือนเดวิลในซีรีส์ที่ฉันเคยดูไม่มีผิด “หรืออยากทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่มากกว่า”
“หือ?” ใช่ว่าไม่เข้าใจความหมายของรูปประโยค ฉันรู้ว่าเขากำลังกระแหนะกระแหน และนั่นแหละ...เป็นสิ่งที่คับข้องใจ มันมาเรื่องนี้ได้ยังไง
…มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
แต่ฉันไม่กล้าฟันธงหรอกนะว่ามันคืออะไร ไม่ได้เชี่ยวชาญขนาดนั้น
ขณะที่กำลังหาข้อสันนิษฐานมาหักลบกลบล้างเพื่อจะไม่คิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไปอยู่นั้น ตัวแปรหลักก็ดันเอนกายลงนอนเหยียดยาวแบบไม่บอกกล่าว ฉันตกใจจนแทบช็อกเมื่อจู่ ๆ ตักนุ่มนิ่มของตัวเองก็กลายเป็นหมอนรองหนุนศีรษะให้เขา
“อือ…ลมเย็นจัง”
ดวงตาฉันยังเบิกกว้าง ขณะที่เปลือกตาเขาค่อย ๆ ปิดลง ลำตัวฉันแข็งเกร็งจนไม่กล้าขยับเขยื้อน ในตอนที่อีกคนเขยิบไปเรื่อยคล้ายค้นหาตำแหน่งเหมาะเหม็ง สุดท้ายจบที่เลื่อนแขนกอดอก ขาข้างหนึ่งตั้งฉากพิงกับผนังกำแพงกั้นกันตกด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
อย่าไปพูดถึงเรื่องยาก ๆ อย่างควรทำอะไรต่อจากนี้ แม้แต่การหายใจขั้นเบสิก ฉันยังคิดไม่ออกเลย…
ตึก! ตึก! ตึก…
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ มีเสียงหนึ่งดังกึกก้องอยู่ในหูและมันห่างไกลคำว่าปกติอยู่มาก ไม่รู้เกิดจากความตื่นตระหนกเพราะไม่ทันตั้งตัว หรือการที่ได้กลับมาใกล้ชิดกันกว่าเดิมแถมนี่ยังเป็นครั้งแรกที่ฉันได้มีโอกาสมองประเมินเขาอย่างถี่ถ้วน ใบหน้าหล่อเป็นองค์ประกอบแรกที่ใคร ๆ ก็ต่างพากันหลงใหล คิ้วเข้มพาดเฉียงรับกับดวงตาเฉี่ยวคมได้เป็นอย่างดี ไหนจะไฝเสน่ห์ตรงใต้ตาซ้าย พระเจ้าก็ช่างแต่งแต้มมาได้ถูกจุดจริง ๆ จากที่โดดเด่นอยู่แล้ว ยิ่งโดดเด่นขึ้นไปอีก เคยเห็นไหมคนที่ทำหน้านิ่งแล้วให้ลุคโคตรแบด แต่พอริมฝีปากเผยเพียงยิ้มบางเท่านั้นแหละ ทุกอย่างกลับดูละมุมไปหมด นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ม่านหมอกถูกจัดอยู่ในลิสต์รายชื่อของแรร์อันดับต้น ๆ ประจำโรงเรียนมาโดยตลอด จำได้ว่าช่วงมอต้นมีรุ่นพี่มาต่อคิวกันยื่นใบสมัครสารพัดตำแหน่งจนแถวยาวเหยียด อารมณ์แบบ...เป็นอะไรก็ได้ ขอแค่ได้อยู่ใกล้ ๆ สุดท้ายเหมือนฉันจะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ได้สิทธิ์นั้นแต่ก็เท่านั้น...เพราะสี่ปีที่ผ่านมา ฉันเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าตัวเองยังเป็นคนสำคัญอยู่ไหม ครืด! ครืด…สายเรียกเข้าจากเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงของคนนอนปลุกให้เขาลืมตาขึ้น
ช่วงบ่ายของวัน…I have died everyday waiting for you…ปลายนิ้วชี้ถูกยกขึ้นแตะรูดก้านแอร์พอดเร่งเสียงเพลง A Thousand Years ของ Christina Perri ให้ดังขึ้นเพื่อตัดเสียงรบกวนรอบข้าง ทั้งเปลือกตายังปิดสนิทและฟุบหน้าไปบนเก้าอี้เลคเชอร์โดยมีท่อนแขนขวารองอยู่ ลมเย็น ๆ ของเครื่องปรับอากาศให้ความรู้สึกผ่อนคลายไม่ต่างจากนอนอยู่บนเตียงกว้างในห้องส่วนตัวเลย แตกต่างตรงที่นี่เป็นคลาสเรียนซึ่งอัดแน่นไปด้วยนักศึกษากว่าสิบชีวิตแต่แล้วการพักผ่อนแสนสบายก็ถูกขัดจังหวะ ฉันขมวดคิ้วพลางหรี่ตาขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อเกิดแรงสั่นสะเทือนจากพื้นที่ข้าง ๆ ฉันผงกหัวขึ้นและเบี่ยงหน้าไปทางขวาเล็กน้อย ผู้ชายคนนั้นยิ้มให้ฉันอย่างเป็นมิตร เขารีบขอโทษและอธิบายทั้งที่ฉันยังไม่ทันต่อว่า “...ขอโทษนะ ที่ทำเธอตื่น พอดีเราเห็นว่าตรงนี้มันเงียบดี” “...!” ประโยคนั่นทำให้ฉันต้องกวาดมองไปรอบห้องด้วยความงุนงง ก็ไม่เห็นมันวุ่นวายตรงไหน ที่นั่งเงียบ ๆ มีอีกเป็นสิบ“ไอ้จ้าวห้าวตี้ใช่ไหม”แต่พอได้ยินชื่อช่องสตรีมเกมของตัวเองก็ตาลุกวาวขึ้นมาทันที อารมณ์ถูกสับเปลี่ยนโหมดโดยพลัน แผ่นหลังที่เอนไปกับโต๊ะเลคเชอร์ในตอนแรกก็ดีดขึ
ฉันยืนสำรวจตัวเองที่สวมเสื้อนักศึกษาเข้ารูปกับกระโปรงทรงเอสั้นเหนือเข่าผ่านกระจกบานใหญ่ในห้องน้ำใต้ตึกบริหารอยู่นานนับนาที ถึงจะเป็นคนมีความมั่นใจแค่ไหน ก็ยังแอบประหม่า อะไรที่ได้ชื่อว่าครั้งแรกย่อมตื่นเต้นเสมอนั่นแหละมันดูแปลกตายังไงก็ไม่รู้เนอะ…แต่เอาเถอะ!“แกสวยมากแล้วเว้ย” ฉันยกสองนิ้วหัวแม่มือให้ตัวเองพร้อมรอยยิ้มต้อนรับชีวิตในรั่วมหา'ลัยอย่างเป็นทางการ จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนควานหาไอโฟนมาพิมพ์ข้อความส่งให้เพื่อนรักที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบกิโลJJ : กูคิดถึงมึง (08:35) JJ : กูเหงา (08:35) JJ : เหมือนจะเป็นซึมเศร้าเลย กูขาดมึงไม่ด้ายยยย (08:36) Tammy : อย่าเยอะ (08:38) JJ : ใช่เส้สสสส ใจคนยากนักหยั่งถึง เพียงข้ามคืนก็เปลี่ยนเป็นอื่น (08:38) Tammy : โอ้ยยยย อีเตี้ย!!! (08:39) Tammy : กูบล็อกมึงได้นะ เอาจริง (08:39) Tammy : ไปหาเล่นกับไอ้ดำ ไอ้ด่างหน้า ม. ก่อนไป๊ (08:40) ไล่เพื่อนไปเล่นกับหมา…?ฮึก น้ำตาจะไหล ไม่ได้กำลังใจเพิ่ม แถมยังหงอยหนักกว่าเดิมอีก นั่นเลยเป็นสาเหตุให้ฉันรัวสติกเกอร์พี่หมีเศร้าหลายตัวปิดท้าย ขณะก้าวเดินออกมาจากห้องน้ำ ตอนนี้เหมือนฉันอยู่ท่ามกลา
“ทำหน้าให้มันเหมือนเต็มใจมาหน่อยดิ” “…!” ฉันหันไปฉีกยิ้มกว้างเหมือนสดใสมากมายให้เจ้าของคำขอที่เดินล้วงกระเป๋าแจ็กเกตหนังสีดำอยู่ข้างกันแวบหนึ่ง ก่อนปรับเป็นบึ้งตึงดั้งเดิม นั่นเรียกเสียงหัวเราะหึหึในลำคออีกฝ่ายได้เป็นอย่างดีจะบอกว่าเต็มใจก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เรียกว่าหลงกลอุบายของนายเพื่อนเก่าจอมเจ้าเล่ห์นี่จะดีกว่า เพราะเขามักใช้สายตาและคำพูดที่ทำให้ฉันแพ้ทางอยู่เรื่อย ‘เตี้ย…’‘ไม่ไป’‘จันทร์เจ้า…’‘ก็บอกว่าไม่ไง’‘เค งั้นกูก็จะรอมึงอยู่นี่แหละ เดี๋ยวคืนนี้นอนกับไอ้ตะวันก็ได้’‘แล้วทำไมไม่ไปชวนคนอื่น’‘ก็อยากไปกับมึง ไม่ได้อยากไปกับคนอื่น…’เฮ้อ…คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจให้กับความไม่หนักแน่นของตัวเอง ทั้งที่ตั้งปณิธานแนวแน่แล้วแท้ ๆ อุตส่าห์ปฏิเสธซะดิบดี สุดท้ายก็ท่าพลาดให้หน้าหล่อ ๆ เอ๊ย... ไม่ใช่! หน้าละห้อยเหมือนหมาเหงาบวกแววตาออดอ้อนขอความเห็นใจนั่นเสียได้ต้องเป็นเพราะอากาศร้อนราวกับซ้อมตกนรกของประเทศไทยแน่ ๆ ที่ทำให้น้ำแข็งห่อหุ้มหัวใจฉันละลายเร็วเพียงข้ามคืนเยี่ยงนี้ ม่านหมอกพาฉันมาถึงห้างสรรพสินค้าชื่อดังเมื่อตอนสิบเอ็ดโมงเศษ และลากเข้าโซนเครื่องนอนเป็นอันดับแรก จนป่านนี้ปา
คฤหาสน์เดชาพิพักษ์หลังจากที่ขลุกสร้างความวุ่นวายให้เพื่อนรักทั้งวัน ฉันก็กลับเข้าบ้านตอนหกโมงกว่าพร้อมน้ำพริกแสนอร่อยที่มี๊ชอบ“แล้วมี๊ละคะ…”เมื่อเห็นว่ากลางชุดโซฟาสุดหรูในโถงใหญ่มีเพียงผู้เป็นพ่อนั่งทำหน้าเครียดอยู่กับไอแพดในมือ จึงเอ่ยถาม จากนั้นก็พาตัวเองไปนั่งลงข้าง ๆ ฝั่งซ้ายพลางดึงท่อนแขนแข็งแรงของป๊ามาออดอ้อนออเซาะตามความเคยชิน“น่าจะขึ้นไปอาบน้ำนะ” ป๊าวาดมือข้างเดียวกันขึ้นลูบหัวฉันอย่างอ่อนโยน“ไอ้เฮียไปไหน”หมายถึง เฮียตะวัน พี่ชายฝาแฝดของฉันนี่ก็อีกคน…ไม่รู้เป็นยังไง แค่เข้ามาแล้วไม่เห็นพาหนะคู่ใจของมันจอดอยู่ในโรงรถ ก็ต้องถามหาแล้ว ทั้งที่เจอหน้าก็แทบจะฆ่ากันตายตลอด“ไปสนามเซิร์ฟ” ป๊าขยับปากตอบ ตายังคงจดจ่ออยู่กับกราฟและภาพรวมดัชนีราคาหุ้น “ลูกล่ะ เลิกเล่นแล้วเหรอ ป๊าเห็นเซิร์ฟสเก็ตถูกทิ้งไว้ในห้องเก็บของหลายปีแล้วนะ”“อือ เบื่อแล้ว” ถึงคนพาเล่นจะกลับมาแล้วก็ไม่มีประโยชน์…ฉันไม่หายโกรธง่าย ๆ แน่“...?” คราวนี้ป๊าหันมาเลิกคิ้วมองกัน คล้ายกับอยากได้เหตุผลหรืออะไรสักอย่างที่ทำให้ฉันตัดใจทิ้งสิ่งที่ชอบไปง่าย ๆ“สตรีมเกมสนุกกว่าเยอะเลย ไปดีกว่า” นี่เป็นวิธีการเลี่ยงตอบคำถาม
“อย่าขยำเสื้อกู!!”“...!” เสื้อเชิ้ตราคาแพงยับยู่ยี่ในมือถูกปล่อยทิ้งในทันทีที่ได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดของผู้เป็นเจ้าของ“ใจลอยไปถึงดาวเสาร์แล้วมั้ง มันเป็นยังไง” แสตมป์เดินออกจากห้องน้ำมาหย่อนก้นลงตรงขอบเตียง ขณะที่ฉันล้มตัวนอนแผ่หลาบนฟูกนุ่มนิ่ม เหม่อมองหลอดไฟกลมประดับกลางเพดานสีขาวสะอาดด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก จะพูดยังไงดี…อารมณ์ ณ ตอนนั้นคือแบบยุ่งเหยิงมาก ใจหนึ่งก็อยากทุบให้หลังแอ่น แต่อีกใจก็อยากดึงมากอดแน่น ๆ ทั้งโกรธ ทั้งโมโห ทั้งดีใจ เหนื่อยก็เหนื่อย ปวดขาก็ปวด แถมหน้ายังมีแต่คราบเหงื่อ ไม่สิ! ผสมด้วยคราบน้ำตาอีก อยากจะบ้าตาย!เป็นการเจอกันครั้งแรกในรอบสี่ปีที่ไม่โอเคเลย ทั้งที่พยายามฮึบแล้วแท้ ๆ แต่ก็นั่นแหละ…ฉันเผลอปล่อยไก่ตัวใหญ่เบ้อเริ่มในบรรดาเพื่อนสนิท ม่านหมอก เป็นคนเดียวที่เวลาอยู่ด้วยแล้วฉันรู้สึกว่าตัวเองโคตรอ่อนแอ และที่น่ากลัวกว่านั้นคือไม่ว่าฉันจะโตขึ้นมากแค่ไหน เวลาจะผ่านไปกี่ปี หรืออยู่ห่างกันเป็นพัน ๆ ไมล์ ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม ซึ่งฉันรับรู้ได้ในวินาทีแรกที่เห็นหน้าเขามันแย่มากเลยว่าไหม... “เฮ้อ...” สุดท้ายทำได้แค่พ่นลมหายใจเฮือกยาวผ่านปลายจมูกอย่าง