LOGIN"แล้วเราจะอยู่กันแบบนี้เหรอ คือมึงตั้งใจจะเอากูไปเรื่อย ๆ แบบที่เป็นเพื่อนกันยังงี้เหรอ" "แล้วจะให้กูทำไง พี่มึงมันไม่ได้เพิ่งพูดหรอกนะ แต่มันพูดมาตลอดว่าไม่ให้ใครในกลุ่มยุ่งกับมึง!"
View Moreลอง • รัก • เพื่อน • ร้าย
(Set Zenesaint ⅠⅠ ม่านหมอก x จันทร์เจ้า)
เรื่องที่ 2 ในเซตมหา'ลัยเซเนเซนท์มาแล้ว
ไอ้จ้าวคือแฝดน้องของเฮียตะวัน ส่วนไอ้หมาหมอกเป็นหนึ่งภัยพิบัติในดิซาสเตอร์ ทั้งคู่ปรากฏตัวอยู่ใน BAD ENG' วิศวะลวงใจ เยอะมาก
(ใครยังไม่ได้อ่าน ฝากไปแวะชมหน่อยน้า)
เรื่องนี้เป็นแนวเพื่อนกันมันส์ดี หยุมหัวกันยับ สาดคำด่าฉ่ำ
บอกก่อนว่าไอ้จ้าวมันไม่ใช่นางเอกสายหวาน ไม่ใส ไม่เรียบร้อย สารพัดสัตว์อาจออกมาเพ่นพ่านทั้งเรื่อง
แถมมันยังขี้เมา ใครรับพระนางแบบ มึง กู กู มึง สมัยพ่อขุนไม่ได้ กดผ่านเลยน้า
และหากไม่เป็นการรบกวน ก็จะชวนเธอมารักกัน เอ๊ย! จะชวนเธอมากดใจ กดเพิ่มเข้าชั้นเพื่อจะได้ไม่พลาดความฟินของเพื่อนคู่นี้นะคะ
สุดท้ายแล้วขอคอมเมนต์เป็นกำลังใจให้เราปั้นอีบุ๊กได้เร็วขึ้นหน่อยนะ
เรื่องนี้จะบรรยายแบบบุคคลที่หนึ่งนะคะ เน้นความรู้สึก ความคิดขาว เทา ดำ ของตัวละคร
ส่วนสำนวนเรายังปรับปรุงอยู่นะคะ ถ้าผิดพลาดตรงไหนต้องขออภัยด้วยนะค้าบ
กราบตักนักอ่านทุกคนที่เอ็นดู เยิฟ...เยิฟ
❤ จากใจฮวายอน ❤
-------------------------------------------------------
Risk Friend : Intro
‘นอร์เวย์เลยเหรอ?!’
‘…’
‘ไปไกลขนาดนั้น มึงจะลืมกูไหม’
‘จะลืมได้ไง เพื่อนเตี้ย ๆ ทั้งคน’
‘แน่นะ’
‘อือ กูจะกลับมาหามึงทุกปี... กูสัญญา’
“อีเตี้ย!!!”
เสียงตะโกนเรียกของ แสตมป์ หรือ แตมมี่ เพื่อนสาวในร่างหนุ่มน้อยหน้าหวาน ทำฉันสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ภาพเด็กนักเรียนชายหญิงบนอัฒจันทร์ข้างสนามก็สลายวับไปกับตา
และมันคงจะดีกว่านี้หากความทรงจำเลือนหายง่าย ๆ แบบนั้นบ้าง
สี่ปีแล้วสินะ...ที่ไม่เห็นแม้แต่เงาของคนลั่นวาจาสัญญา อย่าว่าแต่กลับมาเลย เมสเซจสักฉบับยังไม่มี พอไปแล้วก็ไปลับ เงียบหายเข้ากลีบเมฆ ทำตัวเหมือนดั่ง ม่านหมอก สมชื่อ!
เคยคิดว่าเวลาจะช่วยให้ลืม หากแต่ความจริงกลับสวนทาง กลายเป็นยิ่งเติบโต ยิ่งถามหาเหตุผล เมื่อไม่เข้าใจก็ยิ่งคิดย้ำ คิดวน คิดทบทวนมากขึ้นเรื่อย ๆ
สรุป! ไม่มีวันไหนไม่คิดถึง
“เออ ๆ ไปแล้ว”
ฉันรีบตามไปสมทบกับเพื่อนสนิทที่ยืนเท้าเอว ทิ้งสะโพก จิกตารออยู่ตรงประตูทางออก ไม่ใกล้ไม่ไกลยังมีคุณลุง รปภ. กำลังลากรั้วเหล็กเป็นการกดดันฉันด้วยอีกคน
เดิมทีเราแพลนกันไว้ว่าวันนี้จะไปหาหนังสนุก ๆ ดูผ่อนคลายสมองสักหน่อย เพราะช่วงหลายเดือนก่อนมัวแต่วุ่นวายอยู่กับการเตรียมตัวเป็นนักศึกษาจนไม่มีเวลาเที่ยวเล่น ไหงมาโผล่ที่โรงเรียนเก่าได้ก็ไม่รู้ ทีนี้ก็ลากยาวเลย…
ตั้งแต่บ่ายคล้อยจนฟ้ามืดสนิทและเกือบโดนไล่อย่างที่เห็น
“ขอบคุณนะคะลุง” แสตมป์ส่งยิ้มหวานไม่ต่างจากเสียง
ส่วนฉันเหรอ…
“ไว้จ้าวจะแวะมาป่วนใหม่น้า” ห้าวกว่านิสัย ใหญ่กว่าตัวก็เสียงนี่แหละ
จ้าว หรือ จันทร์เจ้า คือชื่อเล่นของฉัน ส่วน อีเตี้ย เป็นสมญานามเฉพาะสำหรับคนสนิทเท่านั้น
“จ้า โชคดีนะเด็ก ๆ” คุณลุงยิ้มแป้น แสดงออกชัดเจนว่าดีใจมากแค่ไหนที่ไม่ต้องเหนื่อยไล่ตามพวกเราตอนปีนกำแพงโดดเรียนอีกแล้ว
หลังไหว้ลาคุณลุงเรียบร้อย เราก็พากันเดินเตร็ดเตร่มาหยุดรอข้ามถนนหน้าโรงเรียน
“ยืนเตี้ยอยู่นั่นแหละ กูหิวจนไส้จะขาด”
“อ้าว…อีนี่! เอาตรงไหนมาเตี้ยก่อน ร้อยห้าสิบแปดคือมาตรฐานหญิงไทยค่า ขนาดกำลังน่ารัก พกพาสะดวก”
“โนว์! กูนี่ค่ะ มาตรฐาน…” แล้วคนสูงกว่าเกือบยี่สิบห้าเซ็นต์ก็สถาปนาตัวเองเป็นมีสทิฟฟานี่ท่านหนึ่ง หยิบมงในจินตนาการมาสวม พร้อมเชิดหน้า ไขว้ขา บิดท่าโพสแบบจริตจะก้านจัดเต็ม ขณะที่ฉันกลอกตามองบนจนเวียนหัวเจียนจะอ้วกอยู่รอมร่อ
ขอดมยาแป๊บ…
หงส์ไทยขวดเขียวถูกยกจ่อรูจมูก สูดเข้าปอดชุ่มฉ่ำได้ไม่เท่าไหร่
“ไอ้หนู! ไอ้หนู!!”
น้ำเสียงตื่นตระหนกของคุณลุง รปภ. เรียกให้เราเคลื่อนสายตาไปยังเส้นทางเดิมที่เพิ่งจากมาอีกครั้ง
“เข้าไม่ได้แล้ว ประตูปิดแล้ว”
ดีนะ…ไม่ขานรับ คุณลุงไม่ได้คุยกับพวกเรา แต่กำลังร้องห้ามใครบางคนอยู่ตรงช่องประตูเล็ก ซึ่งห่างจากจุดที่พวกเรายืนประมาณสิบก้าว
ฉันย่นคิ้วมองแผ่นหลังกว้างของชายร่างสูงในชุดลำลองเสื้อยืดสีกรมกับกางเกงยีนส์ผ้าดิบแบรนด์ดัง และผมทรงแมสวูล์ฟสีเทาเงินที่โคตรโดดเด่น ขนาดไม่เห็นหน้าฉันยังคิดว่าเขาต้องดูดีแน่ ๆ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่ทำสีนี้แล้วจะรอดนะ แบบ…มันต้องกัด ต้องฟอกหลายรอบมาก ถ้าไม่เอาใจใส่เส้นผมจริงจัง คือพังยับ
แต่เท่าที่ดูผมเขาไม่เสียเยอะ ทั้งยังมีความมันเงาระดับหนึ่งถือว่าใช้ได้เลย
“สีผมนางแซ่บเนอะ” เสียงชื่นชมจากคนข้าง ๆ บ่งบอกให้รู้ว่าความคิดเราตรงกัน
“อือ”
“ถ้ากูทำบ้างจะรอดไหมวะ”
ฉันเหล่มองคนขอความเห็นแวบหนึ่ง “เอาเรื่องจริงหรือตอแหล”
“เออ! กูไม่ทำละ” พอได้ยินแบบนั้น เพื่อนรักก็ปาค้อนใส่ฉันทันควัน เป็นอันเข้าใจตรงกัน เมื่อไหร่ที่มีการยื่นทางเลือกแปลว่าความจริงมันต้องโหดร้ายมาก ๆ
และบทสนทนาก็จบลงด้วยการที่ฉันถูกลากจูงไปยังอีกฝั่งของถนน ระหว่างนั้นฉันยังเผลอเหลียวมองเขาหลายต่อหลายครั้ง
…กระทั่งกายกำยำเบี่ยงตัวหันข้างและแสตมป์ก็พาฉันมาถึงจุดหมายพอดี
“เดี๋ยว!” ฝีเท้าฉันชะงักกึก ได้เห็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของใบหน้าคมคาย แรงดันในกายก็เพิ่มขึ้นจนแทบหลุดควบคุม
เหมือนมาก…เหมือนยังกับคนเดียวกัน
การตัดสินใจเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ ฉันบิดข้อมือออกจากการจับกุมของเพื่อนและตั้งใจจะวิ่งตามเขาไป แต่ขยับได้ไม่ถึงสองก้าว…
ปรี๊นนนน!!!!
“อร๊ายยย อีจ้าว!”
“อยากตายรึไง!!!”
“...!” จังหวะคืนสติคือจังหวะที่ถูกกระชากขึ้นมายืนบนฟุตบาท ฉันเบิกตามองมอเตอร์ไซค์คันใหญ่แล่นฉิวผ่านหน้าด้วยความตกใจ บางทีการโดนเฉี่ยวชนอาจไม่น่ากลัวเท่าแววตาเกรี้ยวกราดของคนขับก็ได้
ฉันกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่แล้วพยายามหายใจให้เป็นระเบียบเพื่อบรรเทาความตื่นตระหนก วินาทีต่อมาก็โดนแสตมป์ก็รั้งให้หันไปสบตา
“อีบ้า! มึงอยากเหลือแต่ชื่อรึไง เป็นบ้าอะไร อยู่ ๆ ก็วิ่งออกไปแบบนั้น”
จะว่าไม่สำนึกก็ได้…
ฉันละเลยความเป็นห่วงของเพื่อน และยังจดจ่ออยู่กับมองหาผู้ชายที่ละม้ายคล้ายเพื่อนเก่าคนนั้น
“…เขาหายไปไหนแล้ว”
“โอ๊ย…กูจะบ้า” คนฟังถึงกับกุมขมับ “สติค่ะหญิง มึงจะแรดแค่ไหน มึงก็ต้องแรดอย่างมีสตินะ มึงจะวิ่งไปหาผู้ชายแบบไม่คิดชีวิตแบบนี้ไม่ได้”
“มึงรอกูอยู่นี่แป๊บหนึ่งนะ”
“เอ้า! เดี๋ยว อีเตี้ย…”
เหมือนประโยคที่เพื่อนพูดไม่เข้าหูเลยสักนิด ฉันพาตัวเองข้ามถนนกลับมาที่เดิมอย่างปลอดภัยจนได้ ถึงความหวังจะริบหรี่ แต่ยังเชื่อในเซนส์ของตัวเอง
ฉันสับขาสั้น ๆ ไปตามทางแบบไร้จุดหมาย ต้องเจอสิ! คนเราจะหายตัวไปในอากาศได้ยังไงกัน มันเป็นไปไม่ได้...
แฮ่ก ๆ ๆ
จำไม่ได้แล้วว่าออกกำลังกายหนัก ๆ ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ แจ้งเตือนการเต้นของหัวใจที่เกินขีดจำกัดบนหน้าปัดสมาร์ทวอทช์ทำให้ต้องหยุดพัก สองมือค้ำยันบนเข่าด้วยอาการเหนื่อยหอบจนลิ้นห้อย
บ้าเอ๊ย! ฉันทรุดตัวลงนั่งหย่องย่อหมดสภาพ ไม่รู้เลยว่าวิ่งมานานแค่ไหน แต่รู้ว่าไกลมากพอสมควร และมันสมควรพอได้แล้วรึเปล่า...
เฮ้อ...ฉันถอนหายใจยาวทิ้งท้าย คงถึงเวลาที่ต้องเลิกหวังลม ๆ แล้ง ๆ แล้วจริง ๆ
แต่ในตอนที่กำลังจะยืดตัวลุกขึ้นกลับมีมือของใครบางคนยื่นเข้ามา...
“ตามหากูอยู่รึเปล่า”
“เจ๊จ้าว…”เสียงเล็ก ๆ ดังตามมาจากด้านหลัง ทำให้ฉันกับไฟที่เพิ่งเดินพ้นประตูห้างสรรพสินค้าต้องหยุดชะงักและหันกลับไป พบว่าร่างที่กำลังวิ่งเข้ามาหาเราไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น น้องริรัน เป็นลูกสาวคนสวยของอาแม็กซ์กับอาลลิน เพื่อนสนิทป๊า“สวัสดีค่ะ เฮียไฟ” น้องยกมือไหว้ทักทายไฟด้วยน้ำเสียงสดใส“ค่ะ”ฉันเหล่มองเจ้าของคำพูดเสนาะหูนิดหนึ่ง อดขนลุกกับน้ำเสียงละมุนละไมแบบนี้ไม่ได้ ถึงไฟจะดูเป็นผู้ชายสุภาพแต่ตอนอยู่ในกลุ่มเพื่อนก็ขวานผ่าซากเหมือนกัน และฉันก็เคยเจอแต่โหมดนั้น...ริรันระบายยิ้มหวาน ก่อนจะดึงสายตากลับมาที่ฉันอีกครั้ง “รันคิดไว้แล้วว่าต้องเจอเจ๊ที่นี่”“เห็นลงสตอรี่ว่ากดไม่ทัน ไม่ใช่ไง?” ฉันถาม“ซื้อต่อในกลุ่มมาค่ะ แพงมากเลย” ใบหน้าหวานราวกับเจ้าหญิงน้อยเหงาหงอยลง แต่แววตาก็ยังแฝงความตื่นเต้นอยู่“ธรรมดาแหละ ของหายาก”ยอมรับว่าเสียดายนิดหน่อยที่ลืมนึกถึงน้อง ไม่งั้นก็คงชวนมาแต่แรก จะได้ไม่ต้องรบกวนไฟดวงตากลมโตเคล
ปึก! อ๊ะ!ฉันผงะถอยในตอนที่เลี้ยวออกจากประตูห้องแล้วปะทะเข้ากับแผงอกของใครบางคนจนเกือบเสียหลัก โชคดีที่เขาตวัดแขนรวบเอวฉันไว้ได้ทันก่อนจะล้มไม่เป็นท่า และอะไรก็ตามที่โถมเข้าใกล้กันเกินพอดีด้วยความเร็วเกินไปมันมักส่งผลกระทบต่อประสาทสัมผัสเสมอ ทำให้ฉันต้องกะพริบตาถี่ ๆ เพื่อปรับโฟกัสพลันใบหน้าหล่อเหลาก็ชัดเจนมากขึ้น…“...หมอก” สติถูกดึงกลับมาพร้อมกับใจที่เต้นรัว ไม่แน่ชัดว่าเกิดจากความตกใจหรืออะไร ฉันแสร้งกระแอมไอในลำคอเล็กน้อยพลางผลักดันคนตัวโตออกห่าง สีหน้าถูกปรับเป็นหงุดหงิดโดยอัตโนมัติ “แล้วมายืนทำบ้าอะไรตรงนี้!”“มารอมึงไง”“รอทำไม”“ไปหาของหวานกินกัน”“ไม่ว่าง” ก็รู้อยู่แล้วนะว่าฉันมีนัดกับไฟ ยังจะมาชวนอีก ไม่เข้าใจเลยจริง ๆม่านหมอกยกข้อมือซ้ายขึ้นมาเช็กเวลา แล้วแย้งกลับอย่างคะยั้นคะยอ “นี่ยังไม่สี่โมงเลยนะ ไปแค่แป๊บเดียวเอง ไม่ถึงสองชั่วโมงหรอก”ทำไมเขาถึงชอบใช้สายตาแบบนั้น… แบบลูกหมาตัวน้อย ๆ กำลังขอขนมกิน ทั้งที่ตัว
ไฟพาฉันเข้ามากินข้าวเช้าในแคนทีนใต้ตึกบริหารที่โต๊ะประจำ ไม่รู้ผ่านไปกี่นาทีที่ฉันยังเอาแต่นั่งเท้าค้างเขี่ยหมูในจานข้าวราดผัดผักแสนอร่อยราวกับเด็กน้อยเบื่ออาหารอยู่แบบนั้น“ทำไมถึงชอบดูอะไรที่มันไม่เจริญตา”ฉันเหลือบตามองเจ้าของคำถามซึ่งนั่งเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ อยู่ฝั่งตรงข้ามแวบหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าไฟต้องการคำตอบจริงจังทางทฤษฎีหรือแค่หาเรื่องพูดไปเรื่อยเพื่อทำลายความเงียบเหงาบนโต๊ะอาหาร“ก็มันเห็นเองไหมล่ะ”เมื่อก่อนฉันก็บังเอิญเห็นพายุจูบกับสาวรุ่นพี่ในโรงเรียนมัธยมอยู่บ่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าขัดตา บางครั้งยังแอบจิ้น แอบฟินคล้ายกับกำลังดูหนังโรแมนติกอะไรทำนองนั้นทว่าครั้งนี้ฉันดันหัวลุกเป็นไฟ...และเหมือนจะลุกโชนกว่าเดิมเมื่อเห็นตัวต้นเรื่องเดินกอดคอพายุผ่านประตูบานเลื่อนเข้ามา ไม่นานทั้งคู่ก็มาหยุดยืนหัวตัวโต๊ะ“สวัสดีเช้าแสนสดใสค้าบเพื่อน ๆ”“สดใสพ่อง...” ฉันมองพายุด้วยสายตารำคาญ“อ้าว ไปแดกรังแตนที่ไหนมาฮะเอ๊ะ หรือว่าโดนเทก็เลยหงุ
วันนี้ฉันมาถึงมหา’ลัยก่อนเวลาเรียนเกือบชั่วโมง เพราะเมื่อคืนโดนสั่งงดเล่นเกม แถมมี๊ยังควบคุมให้เข้านอนแต่หัวค่ำก็เลยตื่นเช้ากว่าปกติ พร้อมกับความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าจากการพักผ่อนอย่างมีประสิทธิภาพในรอบหลายเดือนความจริงก็รู้หมดแหละว่าอะไรดี…ไม่ดี แต่มันอดไม่ได้ไง พอเริ่มแล้วก็ยากจะหยุด อารมณ์แบบยิ่งเล่น ยิ่งเดือด ยิ่งชนะ ยิ่งห้าว ยิ่งไม่สะดุด ก็ยิ่งไหลไปเรื่อย จากเที่ยงคืนก็ขยับเป็นตีหนึ่งตีสอง หนักสุดก็สว่างคาตา…งงเหมือนกัน ไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่จุดนี้ได้ไงครืด! ครืด! ครืด!แรงสั่นเป็นจังหวะในกระเป๋าสะพายไหล่ทำให้ฉันต้องยกข้อมือซ้ายขึ้นมาดู หน้าปัดแอปเปิ้ลวอชโชว์สายเรียกเข้าจาก แตมมี่ เพื่อนเลิฟ ฝีเท้าฉันชะลอลงเล็กน้อย ขณะล้วงหยิบไอโฟนออกมารับสาย“คิดถึงเค้าเหรอคะ…” [เปล่า กูจะบอกว่าวันนี้ไม่ว่างแล้ว] “อะ อ้าว…” ประโยคไร้สิ้นเยื่อใยแบบนั้นทำริมฝีปากที่คลี่ยิ้มบานแช่งในตอนแรก คว่ำเป็นกะละมังข้าวหมาเลยทีเดียวเชียว [กูมีงานค้างที่ต้องรีบเคลียร์อะ] “แต่มันเป็นรอบพรีวิวเลยนะ” ฉันเริ่มงอแง ช่วงไหล่ลู่ลงอย่างคนหมดอาลัยตายอยาก ความสดใสสลายหายวับไปกับมวลอากาศ นึกถึงตอนนั่งหลังขดหลังแข็งแ
ครืด! ครืด!พอหงายหน้าจอขึ้นดูก็ต้องหลุดถอนหายใจเฮือกยาว ถามถึงปัญหา…ปัญหาก็มาเลย[เกิดเรื่องที่บ้านใหญ่แล้วค่ะ] น้ำเสียงของ ป้าแมว ผู้ดูแลความเรียบร้อยในบ้านซึ่งผมเคยอาศัย ยังคงตื่นตระหนกทุกครั้งที่ต้องพูดประโยคนี้ ผิดกับผมที่แม้แต่สีหน้าก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแรก ๆ อาจมีบางที่ตื่นเต้นจนจับจังหวะหัวใจไม่ได้ แต่พอมันบ่อยเข้า บ่อยเข้า สมองผมก็ทำการบันทึกไปเรียบร้อยแล้วว่ามันคือเหตุการณ์ปกติ“ครับ…” ผมตอบรับเรียบเฉย ก่อนจะกดวางสายแล้วผุดลุกจากโซฟา “เดี๋ยวกูมา”บอกเพื่อนไปแบบนั้นแล้วก็รีบพาตัวเองออกมาขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์คันโปรดที่จอดอยู่ด้านหน้าและขับออกไปด้วยความเร็วสุดปลอกต่อให้คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติแค่ไหน ใจผมก็กระวนกระวายอยู่ดี…ความจริงผมก็เริ่มอยู่กับปัญหาพวกนี้ได้แล้วแหละ เวลามันทำให้ผมค่อย ๆ ดีขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าลืมได้ สี่ปีก่อนตอนที่แม่จับได้ว่าเตี่ยแอบซุกเมียอีกคนไว้นานนับสิบปี นั่นเป็นการทะเลาะกันรุนแรงที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา สุดท้ายมันก็จบลงด้วยการแยกย้าย แม่พาผมไปอยู
หลายอาทิตย์ต่อมา…“พวกมึงจะเอาด้วยไหม” เฮียตะวันถาม“ก็ได้หมดนะ” ลมก็ตอบง่าย ๆ ตามสไตล์“กูว่าเจ๋งดี” ไฟก็ว่าแค่นั้น ก่อนมาสะดุดที่ไอ้ตัวปัญหาอย่างพายุเนี่ยแหละ“แต่จะไม่เจ๊งก่อนใช่ไหม”“ปากเสียฉิบหาย”ส่วนฉันยังคงนั่งกอดอกจ้องหน้าสมาชิกคนเดียวที่ไม่ออกความคิดเห็น เพราะยังไม่มีข้อสรุปจริง ๆ จัง ๆ ก็เลยวนเวียนอยู่แต่กับเรื่องที่พายุบอกจนจับใจความสำคัญของนัดรวมตัวกันวันนี้ได้ไม่ดีนัก รู้แค่ตอนนี้เรากำลังนั่งสุมหัวกันอยู่ในทาวน์โฮมปูนเปื่อยสี่ชั้นสไตล์โมเดิร์นลอฟท์ขนาดกว่าห้าร้อยตารางเมตร ซึ่งกำลังจะถูกประยุกต์ให้เป็นศูนย์รวมความบันเทิงระดับพรีเมียมใจกลางเมือง ภายใต้ชื่อ เอสเอเอ็มคลับ ที่มาจาก Sun And Moonตะวัน กับ จันทร์เจ้าแต่สาเหตุมันไม่ได้มาจากจันทร์เจ้าเลยสักนิด ไหงต้องมารับผิดชอบร่วมด้วยก็ไม่รู้เรื่องมันเกิดมาจากไอ้พวกบรรลัยทีมเนี่ยแหละ ไปกินเหล้ากันได้ทุกวี่ทุกวัน พอเมาก็ห้าวตีนไล่ตีรันฟันแทงเขาไปทั่ว ทำอดีตหัวหน้ามาเฟียใหญ่อย่าง
Comments