LOGINฉันยืนสำรวจตัวเองที่สวมเสื้อนักศึกษาเข้ารูปกับกระโปรงทรงเอสั้นเหนือเข่าผ่านกระจกบานใหญ่ในห้องน้ำใต้ตึกบริหารอยู่นานนับนาที ถึงจะเป็นคนมีความมั่นใจแค่ไหน ก็ยังแอบประหม่า อะไรที่ได้ชื่อว่าครั้งแรกย่อมตื่นเต้นเสมอนั่นแหละ
มันดูแปลกตายังไงก็ไม่รู้เนอะ…แต่เอาเถอะ!
“แกสวยมากแล้วเว้ย” ฉันยกสองนิ้วหัวแม่มือให้ตัวเองพร้อมรอยยิ้มต้อนรับชีวิตในรั่วมหา'ลัยอย่างเป็นทางการ จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนควานหาไอโฟนมาพิมพ์ข้อความส่งให้เพื่อนรักที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบกิโล
JJ : กูคิดถึงมึง (08:35)
JJ : กูเหงา (08:35)
JJ : เหมือนจะเป็นซึมเศร้าเลย กูขาดมึงไม่ด้ายยยย (08:36)
Tammy : อย่าเยอะ (08:38)
JJ : ใช่เส้สสสส ใจคนยากนักหยั่งถึง เพียงข้ามคืนก็เปลี่ยนเป็นอื่น (08:38)
Tammy : โอ้ยยยย อีเตี้ย!!! (08:39)
Tammy : กูบล็อกมึงได้นะ เอาจริง (08:39)
Tammy : ไปหาเล่นกับไอ้ดำ ไอ้ด่างหน้า ม. ก่อนไป๊ (08:40)
ไล่เพื่อนไปเล่นกับหมา…?
ฮึก น้ำตาจะไหล ไม่ได้กำลังใจเพิ่ม แถมยังหงอยหนักกว่าเดิมอีก นั่นเลยเป็นสาเหตุให้ฉันรัวสติกเกอร์พี่หมีเศร้าหลายตัวปิดท้าย ขณะก้าวเดินออกมาจากห้องน้ำ
ตอนนี้เหมือนฉันอยู่ท่ามกลางหมู่มวลหงส์ที่พร้อมใจกันโบยบินเพื่อจะไปอยู่สูง ๆ ราวกับอยากหนีอะไรสักอย่างข้างล่าง ซึ่งคาดว่าจะเป็นการไม่ถูกยอมรับ
เซเนเซนท์ จัดเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนอันดับต้นของจังหวัด เอ๊ะ! หรือว่าของภาคไปแล้วนะ เออ...นั่นแหละ นอกจากการเรียนการสอนที่เป็นเลิศแล้ว มันขึ้นชื่อเรื่องความหรูหราโอ่อ่า และจากที่ฉันได้เข้ามาสัมผัสจริงจังก็เถียงไม่ออก ทุกตารางนิ้วถูกตกแต่งด้วยวัสดุเกรดพรีเมียมสมกับเป็นมอของพวกลูกท่านหลานเธอจริง ๆ
มิน่าล่ะ… รุ่นพี่ที่รู้จักหลาย ๆ คนถึงพูดเรื่องความเหลื่อมล้ำและสังคมเสื่อม ๆ ในมอแห่งนี้อยู่บ่อย ๆ อารมณ์แบบใครมีเงินมีอำนาจมากก็จะได้ขึ้นไปอยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร เหยื่อตัวเล็กตัวน้อยที่คล้อยตามก็รอดไป ส่วนพวกที่แอนตี้ก็อาจจะอยู่ยากหน่อย มันเป็นอะไรที่โคตรแย่ แต่ก็แก้ไขไม่ได้ เหมือนเป็นวัฒนธรรมตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น ส่วนหนึ่งพวกเขาคงได้รับการปลูกฝังมาแบบนั้น หรือบางทีก็ขึ้นอยู่กับนิสัยส่วนบุคคล
ไม่รู้สิ! เราไม่สามารถไปตัดสินใครได้
โชคดีที่ป๊ามักจะสอนฉันตลอดว่าให้รู้จักให้ค่าความเป็นคนอย่างเท่าเทียม อย่าทำตัวเป็นผู้ล่า และก็ไม่ควรยอมเป็นเหยื่อ ต้องดูว่าใครโยนอะไรมา เราก็ตอบกลับเขาไปแบบนั้น
ไม่ได้บอกให้ก้าวร้าว แค่อยู่ให้เป็นและรู้จักเรียกร้องสิทธิ์ของตัวเอง
ฉันชอบประโยคนี้ของป๊าที่สุด...
“ฮัลโหลลล!!!”
“แม่!! แหก!!” หมดกัน! คำพูดดี ๆ ของป๊ากระเจิดกระเจิงไปไหนต่อไหนแล้ว “ไอ้บ้าเอ๊ย! กูตกใจหมด”
พอตั้งสติได้ฉันก็หันไปแว้ดใส่ พายุ ไอ้เด็กศิลป์จอมทะเล้นที่ชอบย่องเข้ามาเงียบ ๆ ให้ตกใจเล่นอยู่เรื่อย
“ฮ่าๆๆ หน้าเหวอสัส” คนขี้แกล้งส่งเสียงหัวเราะสะใจ ในตอนที่เอี้ยวหลบกำปั้นของฉันได้แบบฉิวเฉียด ก่อนจะขยับไปหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม โดยมี ไฟ หนุ่มแว่นสุดเนิร์ด แห่งนิติศาสตร์ กับ สายลม พ่อคนติสท์แตกประจำสถาปัตย์ ตามมาสมทบด้วย
จากนั้นบรรยากาศแสนสงบเงียบกลางแคนทีนใต้ตึกบริหารที่รวมทั้งสาวจริงและสาวสองไว้กว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ก็แปรเปลี่ยนเป็นครึกครื้นขึ้นทันตา เมื่อเหล่าเฟรชชี่สุดฮอตมานั่งเรียงหน้าสลอน
...เรากลายเป็นจุดสนใจไปโดยปริยาย
ไฟกับลมก็จะนิ่ง ๆ หน่อย ตามสไตล์ แต่มันจะมีอยู่ตัวหนึ่ง ตัวที่ขยันเรียกสาวฉิบหาย เล่นหูเล่นตามั่วซั่ว เสียบหมดไม่สนลูกใคร เหมือนเกิดมาเพื่อเป็นนักล่าเซ็กซ์แล้วก็แหลกสลายตายห่าไป
“พอไม่มีไอ้แตม ก็หงอยเป็นหมาเลยนะ” ประโยคแซวแบบขำ ๆ ของหนุ่มนิติ ทำให้ฉันละจากพายุแล้วไปถลึงตาใส่มันแทน
“อยากโดนหมากัดไหมล่ะ”
เพิ่งถูกไล่มาหมาด ๆ ยังจะซ้ำเติมอีก
“ระวังน้ำลายฟูมปากนะมึง แม่งฉีดยารึยังก็ไม่รู้”
ไม่ใช่แค่สายตาที่ตวัดค้อน กำปั้นก็เหวี่ยงออกไปโดยอัตโนมัติ
ปลั๊ก!
“ก็รอไปฉีดพร้อมมึงนั่นแหละ!”
“จิ๊! ไอ้ห่านี่แม่ง...ตัวเล็กนิดเดียว มือตีนหนักฉิบหาย” พายุยู่หน้าลูบต้นแขนตัวเองป้อย ๆ
“อีกสักทีไหม”
ในสายตาสาวๆ พวกมันอาจเป็นเทพบุตรสุดหล่อ แต่สำหรับฉันที่หอบหมอนหอบผ้าห่มไปนอนกลางวันด้วยกันตั้งแต่อนุบาล รู้ไส้ รู้พุง รู้ไปยันสันดอน สันดาน แค่เห็นเงาหางก็ระบุตัวตนได้แล้ว
ขอยืนยัน นั่งยัน นอนยันไว้ชัดๆ ตรงนี้เลยว่าเนี่ยแหละ...ซาตาน ของแท้
“แล้วไอ้แฝดล่ะ” เอ่ยถามทั้งยังหันซ้ายหันขวามองหา เพราะปกติเวลารวมตัวแบบนี้จะขาดหัวโจกไม่ได้เลย
“ก่อนมาเห็นอยู่กับไอ้หมอกที่รถ”
คำตอบของไฟครอบคลุมจนฉันไม่ต้องถามหาอีกคนให้เสียฟอร์ม และมันเกือบจะดีอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่าพายุสอดปากเข้ามา
“ป่านนี้ไปหาหลีหญิงแล้วมั้ง”
รู้เลยว่าหน้าตัวเองตึงกว่าเดิม ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องหงุดหงิดจนเผลอกระแทกเสียงใส่ผู้ชายสามคนตรงหน้าอย่างลืมตัว “เฮอะ! ผู้ชายนี่เหมือนกันหมดจริง ๆ”
“อ้าว อย่าเหมารวมสิครับเพื่อน”
ความจริงคำพูดนี่ควรออกมาจากปากไฟหรือไม่ก็ลมมากกว่านะ
“มึงอะ ตัวดีเลยครับเพื่อน”
...
“เจ๊จ้าว…”เสียงเล็ก ๆ ดังตามมาจากด้านหลัง ทำให้ฉันกับไฟที่เพิ่งเดินพ้นประตูห้างสรรพสินค้าต้องหยุดชะงักและหันกลับไป พบว่าร่างที่กำลังวิ่งเข้ามาหาเราไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น น้องริรัน เป็นลูกสาวคนสวยของอาแม็กซ์กับอาลลิน เพื่อนสนิทป๊า“สวัสดีค่ะ เฮียไฟ” น้องยกมือไหว้ทักทายไฟด้วยน้ำเสียงสดใส“ค่ะ”ฉันเหล่มองเจ้าของคำพูดเสนาะหูนิดหนึ่ง อดขนลุกกับน้ำเสียงละมุนละไมแบบนี้ไม่ได้ ถึงไฟจะดูเป็นผู้ชายสุภาพแต่ตอนอยู่ในกลุ่มเพื่อนก็ขวานผ่าซากเหมือนกัน และฉันก็เคยเจอแต่โหมดนั้น...ริรันระบายยิ้มหวาน ก่อนจะดึงสายตากลับมาที่ฉันอีกครั้ง “รันคิดไว้แล้วว่าต้องเจอเจ๊ที่นี่”“เห็นลงสตอรี่ว่ากดไม่ทัน ไม่ใช่ไง?” ฉันถาม“ซื้อต่อในกลุ่มมาค่ะ แพงมากเลย” ใบหน้าหวานราวกับเจ้าหญิงน้อยเหงาหงอยลง แต่แววตาก็ยังแฝงความตื่นเต้นอยู่“ธรรมดาแหละ ของหายาก”ยอมรับว่าเสียดายนิดหน่อยที่ลืมนึกถึงน้อง ไม่งั้นก็คงชวนมาแต่แรก จะได้ไม่ต้องรบกวนไฟดวงตากลมโตเคล
ปึก! อ๊ะ!ฉันผงะถอยในตอนที่เลี้ยวออกจากประตูห้องแล้วปะทะเข้ากับแผงอกของใครบางคนจนเกือบเสียหลัก โชคดีที่เขาตวัดแขนรวบเอวฉันไว้ได้ทันก่อนจะล้มไม่เป็นท่า และอะไรก็ตามที่โถมเข้าใกล้กันเกินพอดีด้วยความเร็วเกินไปมันมักส่งผลกระทบต่อประสาทสัมผัสเสมอ ทำให้ฉันต้องกะพริบตาถี่ ๆ เพื่อปรับโฟกัสพลันใบหน้าหล่อเหลาก็ชัดเจนมากขึ้น…“...หมอก” สติถูกดึงกลับมาพร้อมกับใจที่เต้นรัว ไม่แน่ชัดว่าเกิดจากความตกใจหรืออะไร ฉันแสร้งกระแอมไอในลำคอเล็กน้อยพลางผลักดันคนตัวโตออกห่าง สีหน้าถูกปรับเป็นหงุดหงิดโดยอัตโนมัติ “แล้วมายืนทำบ้าอะไรตรงนี้!”“มารอมึงไง”“รอทำไม”“ไปหาของหวานกินกัน”“ไม่ว่าง” ก็รู้อยู่แล้วนะว่าฉันมีนัดกับไฟ ยังจะมาชวนอีก ไม่เข้าใจเลยจริง ๆม่านหมอกยกข้อมือซ้ายขึ้นมาเช็กเวลา แล้วแย้งกลับอย่างคะยั้นคะยอ “นี่ยังไม่สี่โมงเลยนะ ไปแค่แป๊บเดียวเอง ไม่ถึงสองชั่วโมงหรอก”ทำไมเขาถึงชอบใช้สายตาแบบนั้น… แบบลูกหมาตัวน้อย ๆ กำลังขอขนมกิน ทั้งที่ตัว
ไฟพาฉันเข้ามากินข้าวเช้าในแคนทีนใต้ตึกบริหารที่โต๊ะประจำ ไม่รู้ผ่านไปกี่นาทีที่ฉันยังเอาแต่นั่งเท้าค้างเขี่ยหมูในจานข้าวราดผัดผักแสนอร่อยราวกับเด็กน้อยเบื่ออาหารอยู่แบบนั้น“ทำไมถึงชอบดูอะไรที่มันไม่เจริญตา”ฉันเหลือบตามองเจ้าของคำถามซึ่งนั่งเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ อยู่ฝั่งตรงข้ามแวบหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าไฟต้องการคำตอบจริงจังทางทฤษฎีหรือแค่หาเรื่องพูดไปเรื่อยเพื่อทำลายความเงียบเหงาบนโต๊ะอาหาร“ก็มันเห็นเองไหมล่ะ”เมื่อก่อนฉันก็บังเอิญเห็นพายุจูบกับสาวรุ่นพี่ในโรงเรียนมัธยมอยู่บ่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าขัดตา บางครั้งยังแอบจิ้น แอบฟินคล้ายกับกำลังดูหนังโรแมนติกอะไรทำนองนั้นทว่าครั้งนี้ฉันดันหัวลุกเป็นไฟ...และเหมือนจะลุกโชนกว่าเดิมเมื่อเห็นตัวต้นเรื่องเดินกอดคอพายุผ่านประตูบานเลื่อนเข้ามา ไม่นานทั้งคู่ก็มาหยุดยืนหัวตัวโต๊ะ“สวัสดีเช้าแสนสดใสค้าบเพื่อน ๆ”“สดใสพ่อง...” ฉันมองพายุด้วยสายตารำคาญ“อ้าว ไปแดกรังแตนที่ไหนมาฮะเอ๊ะ หรือว่าโดนเทก็เลยหงุ
วันนี้ฉันมาถึงมหา’ลัยก่อนเวลาเรียนเกือบชั่วโมง เพราะเมื่อคืนโดนสั่งงดเล่นเกม แถมมี๊ยังควบคุมให้เข้านอนแต่หัวค่ำก็เลยตื่นเช้ากว่าปกติ พร้อมกับความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าจากการพักผ่อนอย่างมีประสิทธิภาพในรอบหลายเดือนความจริงก็รู้หมดแหละว่าอะไรดี…ไม่ดี แต่มันอดไม่ได้ไง พอเริ่มแล้วก็ยากจะหยุด อารมณ์แบบยิ่งเล่น ยิ่งเดือด ยิ่งชนะ ยิ่งห้าว ยิ่งไม่สะดุด ก็ยิ่งไหลไปเรื่อย จากเที่ยงคืนก็ขยับเป็นตีหนึ่งตีสอง หนักสุดก็สว่างคาตา…งงเหมือนกัน ไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่จุดนี้ได้ไงครืด! ครืด! ครืด!แรงสั่นเป็นจังหวะในกระเป๋าสะพายไหล่ทำให้ฉันต้องยกข้อมือซ้ายขึ้นมาดู หน้าปัดแอปเปิ้ลวอชโชว์สายเรียกเข้าจาก แตมมี่ เพื่อนเลิฟ ฝีเท้าฉันชะลอลงเล็กน้อย ขณะล้วงหยิบไอโฟนออกมารับสาย“คิดถึงเค้าเหรอคะ…” [เปล่า กูจะบอกว่าวันนี้ไม่ว่างแล้ว] “อะ อ้าว…” ประโยคไร้สิ้นเยื่อใยแบบนั้นทำริมฝีปากที่คลี่ยิ้มบานแช่งในตอนแรก คว่ำเป็นกะละมังข้าวหมาเลยทีเดียวเชียว [กูมีงานค้างที่ต้องรีบเคลียร์อะ] “แต่มันเป็นรอบพรีวิวเลยนะ” ฉันเริ่มงอแง ช่วงไหล่ลู่ลงอย่างคนหมดอาลัยตายอยาก ความสดใสสลายหายวับไปกับมวลอากาศ นึกถึงตอนนั่งหลังขดหลังแข็งแ
ครืด! ครืด!พอหงายหน้าจอขึ้นดูก็ต้องหลุดถอนหายใจเฮือกยาว ถามถึงปัญหา…ปัญหาก็มาเลย[เกิดเรื่องที่บ้านใหญ่แล้วค่ะ] น้ำเสียงของ ป้าแมว ผู้ดูแลความเรียบร้อยในบ้านซึ่งผมเคยอาศัย ยังคงตื่นตระหนกทุกครั้งที่ต้องพูดประโยคนี้ ผิดกับผมที่แม้แต่สีหน้าก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแรก ๆ อาจมีบางที่ตื่นเต้นจนจับจังหวะหัวใจไม่ได้ แต่พอมันบ่อยเข้า บ่อยเข้า สมองผมก็ทำการบันทึกไปเรียบร้อยแล้วว่ามันคือเหตุการณ์ปกติ“ครับ…” ผมตอบรับเรียบเฉย ก่อนจะกดวางสายแล้วผุดลุกจากโซฟา “เดี๋ยวกูมา”บอกเพื่อนไปแบบนั้นแล้วก็รีบพาตัวเองออกมาขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์คันโปรดที่จอดอยู่ด้านหน้าและขับออกไปด้วยความเร็วสุดปลอกต่อให้คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติแค่ไหน ใจผมก็กระวนกระวายอยู่ดี…ความจริงผมก็เริ่มอยู่กับปัญหาพวกนี้ได้แล้วแหละ เวลามันทำให้ผมค่อย ๆ ดีขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าลืมได้ สี่ปีก่อนตอนที่แม่จับได้ว่าเตี่ยแอบซุกเมียอีกคนไว้นานนับสิบปี นั่นเป็นการทะเลาะกันรุนแรงที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา สุดท้ายมันก็จบลงด้วยการแยกย้าย แม่พาผมไปอยู
หลายอาทิตย์ต่อมา…“พวกมึงจะเอาด้วยไหม” เฮียตะวันถาม“ก็ได้หมดนะ” ลมก็ตอบง่าย ๆ ตามสไตล์“กูว่าเจ๋งดี” ไฟก็ว่าแค่นั้น ก่อนมาสะดุดที่ไอ้ตัวปัญหาอย่างพายุเนี่ยแหละ“แต่จะไม่เจ๊งก่อนใช่ไหม”“ปากเสียฉิบหาย”ส่วนฉันยังคงนั่งกอดอกจ้องหน้าสมาชิกคนเดียวที่ไม่ออกความคิดเห็น เพราะยังไม่มีข้อสรุปจริง ๆ จัง ๆ ก็เลยวนเวียนอยู่แต่กับเรื่องที่พายุบอกจนจับใจความสำคัญของนัดรวมตัวกันวันนี้ได้ไม่ดีนัก รู้แค่ตอนนี้เรากำลังนั่งสุมหัวกันอยู่ในทาวน์โฮมปูนเปื่อยสี่ชั้นสไตล์โมเดิร์นลอฟท์ขนาดกว่าห้าร้อยตารางเมตร ซึ่งกำลังจะถูกประยุกต์ให้เป็นศูนย์รวมความบันเทิงระดับพรีเมียมใจกลางเมือง ภายใต้ชื่อ เอสเอเอ็มคลับ ที่มาจาก Sun And Moonตะวัน กับ จันทร์เจ้าแต่สาเหตุมันไม่ได้มาจากจันทร์เจ้าเลยสักนิด ไหงต้องมารับผิดชอบร่วมด้วยก็ไม่รู้เรื่องมันเกิดมาจากไอ้พวกบรรลัยทีมเนี่ยแหละ ไปกินเหล้ากันได้ทุกวี่ทุกวัน พอเมาก็ห้าวตีนไล่ตีรันฟันแทงเขาไปทั่ว ทำอดีตหัวหน้ามาเฟียใหญ่อย่าง







