“เมีย ตื่นๆ” เสียงของไอ้ซันที่เขย่าตัวผมเบาๆ ทำให้ผมปรือตาขึ้นมองอย่างหงุดหงิดใจ เห็นใบหน้าของมันที่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษจนน่าหมั่นไส้ ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง พลิกตัวหนี นอนขดผ้าห่ม
“เมียยยย ตื่นน คนอื่นเขากลับกันหมดแล้วนะ”
“ช่างแม่งดิ”
“อ้อ” ไอ้ซันตอบรับแล้วเงียบไป ก่อนที่จะรับรู้ความรู้สึกนุ่มหยุ่น ประทับลงที่หัวไหล่ และเริ่มขบกัดไปทั่วแผ่นหลัง กดต่ำลงมาจนสะโพก ก่อนจะกัดก้นกลมเต็มแรงจนผมสะดุ้ง
“เหี้ย!! ทำอะไรของมึงเนี้ย!!!” ว่าพร้อมกับผุดตัวลุกขึ้นทันที แต่เพราะช่องทางหลังที่พึ่งผ่านการใช้งานมาหมาดๆ ทำให้ยู่หน้าอย่างเจ็บปวด
“หมั้นเขี้ยว” ว่าจบก็ขยับมากัดแก้มของผมต่อ
“โอ๊ย!!! ไอ้ห่านี่ กูเจ็บนะมึง!!!!”
“ยังไม่ชินอีกรึไง” ไอ้ซันพูดพร้อมกับยกยิ้มได้ใจ เริ่มดึงยืดแก้มของผมแล้วส่ายไปมา
“ตื่นได้แล้ว นอนกินบ้านกินเมือง จะไปอาบน้ำที่คอนโดหรืออาบที่ค่าย?”
“คอนโด” ไอ้ซันบีบปลายคางของผมเอาไว้ แล้วกดจู
“อะ อืมมมม มึงจะพอได้ยัง?”“ยัง”“ห่า กูจะตายอยู่ละนะ” ผมร้องบอกคนที่ซ้อนทับอยู่ที่ด้านหลัง เมื่อมันยังขยับโยกกายเข้าหาไม่หยุด โดยบอกเอาไว้ว่านี่คือการลงโทษ ของคนที่ชอบหนี ชอบมีอะไรแล้วไม่พูด และอีกหลายๆ ข้อหา ที่ผมทำลงไป ผมกับมันหมกตัวอยู่แต่ในห้องมา 3 วันแล้ว ป๊าแทบจะพังประตูเข้ามาอยู่แล้วปัง! ปัง! ปัง!“ปล่อยลูกฉันออกมาได้แล้ว!!! ใจคอจะจับขังลืมเลยรึไง!!! ออกมาเดี๋ยวนี้!!!” เสียงของป๊าโวยวายอยู่หน้าห้อง ทำให้การขยับกายเข้าหาของไอ้ซันหยุดชะงัก พร้อมกับตะโกนกลับไป“ถ้าป๊าอยากดูหนังสดก็พังประตูเข้ามาเลยครับ!!!” ว่าจบก็ไม่สนใจเสียงร้องตะโกนโวยวายข้างนอกห้อง แต่กลับมาสนใจเรียกเสียงครางของผมแทน ยิ่งครางดังเท่าไหร่มันก็ยิ่งชอบใจ“อะ อื้อ! ซัน! อ๊าาา ปะ ป๊ากู อื้ออออ” ผมร้องครางด้วยความทรมาน พร้อมบิดเร้ากายอย่างห้ามไม่อยู่ ไอ้ซันมันรู้จักเนื้อตัวของผมทุกซอกทุกมุม รู้ว่าตรงไหนคือจุดอ่อนที่ผมมี มันก็เล่นผมไม่ยั้งจนตัวสั่นสะท้าน กระตุกเ
ร่างสูงที่รีบเร่งเดินทางมาด้วยความรวดเร็ว จอดรถเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ แล้วก้าวเท้าลงจากรถ เดินมุ่งตรงไปที่บ้านหลังใหญ่ ซึ่งมีการประดับตกแต่งไม่ต่างจากบ้านหลังก่อนหน้า เพียงแต่ว่าทุกอย่างมันจบสิ้นลงแล้ว ที่บ้านหลังนี้ไร้ผู้คน มันดูเงียบเหงาเหมือนเมื่อยามที่งานเลี้ยงเลิกรา โต๊ะจีนที่ถูกเรียกมาเริ่มต้นเก็บข้าวของเข้าที่ ทำการรื้อค้นอุปกรณ์ออก จัดเก็บข้าวของขึ้นรถทำให้คนที่เร่งรีบเดินทางมาถึงกับหยุดชะงัก หายใจหอบเหนื่อย ดวงใจหนักอึ้ง ความคิดเดียวที่ผุดขึ้นมาคือ ไม่ทัน.... ทุกอย่างสายไปเสียแล้ว.... คิดพลางทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างคนหมดแรง ดวงตาเหม่อมองไปที่ประตูบ้าน พร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำตา ก่อนที่มันจะไหลออกมาช้าๆ เมื่อเห็นคนรักประคอง ภรรยา ออกมาจากบ้านหลังโต และหยุดชะงักลงเมื่อเห็นร่างสูงนั่งอยู่ที่หน้าประตูบ้าน จึงหันไปร้องบอกภรรยาหมาดๆ เบาๆ ลูบหัวอีกนิดหน่อย แล้วจึงเดินสาวเท้าเข้ามาหา ในขณะที่เจ้าสาวแยกตัวไปอีกทางพร้อมกับชายชุดดำคนหนึ่งตึก ตึก ตึกเสียงย่ำเท้าในจังหวะ
[ไอ้เบสมันกลับมาไทยแล้ว!!! แล้วกำลังจะ แต่งงาน วันพรุ่งนี้!!! มึงไปมุดหัวอยู่ที่ไหนห๊ะ!!!] เสียงของไอ้วุฒิดังมาตามสาย ผมร้องออกไปอย่างไม่เชื่อหูของตัวเอง“อะไร.... นะ” เสียงของผมเบาหวิว หูดับ ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก แม้ว่าคนที่ปลายสายจะโวยวายออกมายกใหญ่ แต่ผมจับใจความอะไรไม่ได้เลย นอกจากคำว่า แต่งงานแต่งงานอะไร? แต่งกับใคร? ตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมผมถึงไม่เห็นรู้? ผมได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างคนคิดอะไรไม่ออก นิ่งค้างอยู่อย่างนั้น ลำดับเหตุการณ์ไม่ถูกว่าควรจะทำอะไรก่อนหลัง ก่อนจะกดตัดสายเพื่อนทิ้งอย่างรวดเร็ว แล้วกดโทรออกไปหาคนๆ หนึ่ง“เตรียมเครื่องบินให้ฉัน ด่วน!!!!” หลังจากนั้นก็กดวางสาย มือกำโทรศัพท์เอาไว้แน่นจนมันแทบจะแหลกคามือ“เบส.... โธ่เว้ย!!!!” ตะโกนออกมาอย่างหัวเสีย รีบเก็บข้าวของๆ ตัวเอง แล้วก้าวเท้าออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว เดินลงไปรอที่ด้านล่างด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่านใจ“อีกแล้ว หนีกูไปอีกแล้ว!!!” เดินวนไปวนมาเหมือนหนูติดจั่น ก่อนที่รถเช่าจะมาจอ
“โอ้ย ฮึก ฮืออออ” ผมนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเตียง เจ็บตามเนื้อตัวก็ว่าพอแรงแล้ว ทำไมต้องมาเป็นตอนนี้ด้วย คิดไปคิดมาที่มันเป็นแบบนี้ก็สมเหตุสมผลอยู่“ฮือออ อึก!” อาการพะอืดพะอมเริ่มตีตื้นขึ้นมา ชวนให้พาร่างที่เจ็บปวดรวดร้าวคลานเข้าห้องน้ำทั้งๆ ที่เดินแทบไม่ไหว“อุ้บ อ๊อก อ้วกกกกกก” ผมกอดโถ่เอาไว้พร้อมกับอาเจียนน้ำย่อยสีขาวใสลงโถ่อย่างคนหมดแรง จนเมื่อความรู้สึกพะอืดพะอมจางหายไป แทนที่ด้วยความเจ็บปวดที่ภายใน จนต้องงอตัว มือถูกกดไว้ที่หน้าท้องของตัวเองแน่น เหมือนอยากให้มันช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด ดวงตาเริ่มปรือปรอยจะปิดพับลง ตัวโอนเอนไปมาอย่างห้ามไม่อยู่“เบส!!!” เสียงของคนรักเข้ามารับได้ทันก่อนที่ลำตัวจะล้มลงกับพื้นห้องน้ำ“เมีย!! เป็นอะไร! เจ็บตรงไหน บอกกูสิ!! เบส!!” ไอ้ซันร้องเรียกผมให้พยายามมีสติ ฝ่ามือขยับแตะไปทั่วตัวอย่างเป็นห่วง ผมพยายามฝืนความต้องการของร่างกาย ร้องบอกเสียงเบา“ยา... หัวเตียง...” เพียงเท่านั้นเป็นอันรู้เรื่อง มันอุ้มผมขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว พาไปนอ
“ขอบใจ” ผมเอ่ยปากบอกเบาๆ หลังจากมาถึงที่หมาย และผมกับไอ้ซันก็ลงมายืนอยู่นอกรถแล้วทั้งคู่ พูดบอกพลางรับเอากุญแจรถมาถือไว้ในมือตึก ตึก ตึกตึก ตึก ตึกเสียงย่ำเท้าก้าวเดินดังขึ้นในจังหวะที่เสมอกัน จนต้องหันหลังกลับไปมอง ดึงสายตากลับมาแล้วขยับเท้าอีกครั้งตึก ตึก ตึกตึก ตึก ตึก“จะตามกูเพื่อ?” หันกลับไปถามคนหน้ามึนที่ทำเป็นตีเนียน เดินตามหลังมาแบบติดๆ“ไปส่ง” ผมกลอกตามองบนใส่ ก่อนจะพูดออกมา“จะหลอกเข้าห้องกูก็บอก”“เออ”“เชี่ยนี่ ยอมรับหน้าด้านๆ เลยนะมึง โกหกก็ได้หรอก” ผมได้แต่อ้าปากค้างกับความตรงของไอ้ซัน ไม่มีการเล่นตัวให้ได้เห็น แต่ไอ้ซันทำเพียงยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะผลักหลังผมอีกครั้ง“ไปสิ หนาวจะแย่” ผมได้แต่กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะเดินนำออกไปแบบมึนๆ ซึ่งมีไอ้ซันเดินตามหลังมาติดๆ ชนิดที่เรียกได้ว่าแทบจะสิงตัวเข้าไปแล้วผมเดินนำมาเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดลงท
“บอสครับ เสร็จรึยังครับ”“แป๊บหนึ่ง”“บอสสสส จะสายแล้วนะครับ”“ผมบอกว่าแป๊บหนึ่งไง”“แป๊บหนึ่งก็ไม่ได้ครับ ลุกเดี๋ยวนี้เลยครับ”“ก็ได้ๆ ๆ” ผมพูดพร้อมกับตวัดปลายปากกาเซ็นเอกสารฉบับสุดท้าย วันนี้ผมพยายามเคลียร์งานตรงหน้าให้เสร็จ เพราะมีแผนว่าจะไม่เข้าออฟฟิศอีกในวันนี้“ไปเร็วๆ ชักช้าจริงนะลูคัส” ผมพูดพร้อมกับหยิบเอาเสื้อโค้ตสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ มาถือไว้ในมือ เดินไปอีกนิดคว้าเอาผ้าพันคอสีแดงขึ้นมาด้วย พร้อมกับแต่งตัวพลางก้าวเท้าเดินออกไปจากห้อง ลูกน้องคนสนิทที่มีอายุมากกว่า 2 - 3 ปี ทำหน้าเบื่อหน่าย ส่ายหน้าระอาใจ“ทำเหมือนผมเป็นคนผิดทุกทีสิน่า” พูดบ่นก่อนจะรีบวิ่งตามเจ้านายไป พร้อมกับแย่งกระเป๋าเอกสารมาถือไว้แทน“เร็วๆ เลยครับ ถ้าไปสายแล้วดูไม่ดี ผมจะพูดว่าเป็นความผิดบอส”“โอ้ย นี่ก็รีบจนจะเป็นเพนกวิ้นบินได้อยู่แล้วนะ” ผมพูดบ่น ขัดใจเล็กๆ เมื่อตัวเองตัวเล็กกว่าลูกน้อง ทั้งๆ ที่เดินนำหน้าออก