“ไหนๆ เราก็มาเพลงสายนี้กันแล้ว ผมขอแนะนำบทเพลงอีกเพลงหนึ่งที่มีเนื้อหากระแทกใจ และไปในแนวทางเดียวกัน ขอเชิญทุกคนรับฟังกันได้เลยครับ" ไอ้ซันพูดขึ้นเมื่อเล่นต่อจากผมไปอีก 2 เพลง คือเพลง Toxic ของ Britney Spears และเพลง Whistle ของ Flo Rida ซึ่งทั้งสองเพลงมีเนื้อหาไปในแนวทางเดียวกันกับผม เสียงจังหวะดนตรีหนักๆ กระแทกใจดังขึ้น ชวนให้โยกหัวตามสุดๆ พร้อมกับเสียงแหบทุ้มพร่าเพื่อเร่งเร้าอารมณ์ของผู้ฟัง ทำให้ผมละความสนใจจากอาหารตรงหน้า เงยหน้าขึ้นสบตากับคนบนเวที
“This is not the way into my heart, into my head
(นี่ไม่ใช่ทางเข้าไปยังหัวใจฉัน ในหัวฉัน)
Into my brain, into none of the above
(ในสมองฉัน ไม่ใช่ทางเข้าไปไหนที่บอกมาทั้งนั้น)
This is just my way of unleashing the feelings deep inside of me
(นี่มันแค่วิธีในการจะปลดปล่อยความรู้สึกที่อยู่ลึกลงไปในใจฉัน)
This spark of black that I seem to love
(ประกายแสงสีดำที่ฉันหลงรัก)
Sun Partหลังจากที่ผมขอยกเดียวในห้องน้ำนั้น ผมก็พาเขาเข้านอน และปลุกเขาเวลา 7 โมงเช้า เพื่อให้เตรียมตัวไปเรียนทำอาหารของเขาตอน 8 โมงครึ่ง การได้รักกับเขาและถูกเขารักกลับมันทำให้ผมอารมณ์ดี รู้สึกโลกนี้สดใสขึ้นเป็นกอง จนเขาเหวี่ยงกลับมาเพราะความหมั่นไส้ แล้วไงอะ ก็คนมันมีความสุขนี่ ผมพาเขามาส่งโรงแรม กำลังจะลงจากรถด้วย แต่เขาก็ร้องห้ามไว้ บอกให้ไปนอนพักผ่อน แต่ผมคิดว่าผมจะอยู่รอเขาแถวนี้ล่ะ ไปห้างใกล้ๆ นี่แล้วกัน คิดพลางตอบรับกลับไป มองส่งเขาจนหายเข้าไปในลิฟต์ แล้วจึงเคลื่อนรถออกช้าๆผมขับรถเรื่อยๆ ไม่ได้รีบอะไรเท่าไหร่ เข้าไปเดินเล่นที่ตลาดข้างๆ ห้างสรรพสินค้า เพราะว่ามันยังไม่เปิด ผมเดินเข้าซอยนั้นออกซอยนี้อย่างสนุกสนาน มันก็เพลินดีเหมือนกัน เจออะไรก็คิดถึงเขาทุกที อยากลองใส่เสื้อคู่ดูบ้างแฮะ ผมเดินไปเรื่อยเปื่อย จนเข้าไปที่ร้านๆ หนึ่งอย่างงงๆ มันขายพวกอุปกรณ์ช่างครับ ผมไล่เดินดูไปเรื่อยๆ ก่อนจะไปสะดุดกับเชือกสีแดงเป็นม้วนๆ ขายตามความยาว ผมกระตุกยิ้มมุมปาก ก่อนจะร้องเรียกพนักงาน ขอซื้อเชือกเส้นนั้น เอาสัก 10 เมตร ถ้ายาวไปเดี
ผมปรือตามองออกไปรอบๆ ห้อง ทบทวนความทรงจำสุดท้ายของตัวเอง ดวงตาปรือปรอยอยากจะปิดลงอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ยังพยายามฝืนความอ่อนเพลียมองออกไปอย่างสังเกต ห้องของผม..... ผมไม่รู้ว่าตัวเองกลับมานอนที่นี่ได้ยังไงและตอนไหน คิดไปคิดมา ตอนนี้กี่โมงแล้วนะ กี่โมง.....“เฮ้ย!!!” ผมร้องออกมาสุดเสียงด้วยความตกใจและพยายามจะลุกขึ้นนั่ง แต่สิ่งที่ออกมาจากปากมีเพียงเสียงแผ่วๆ จนแทบไม่ได้ยิน ทั้งๆ ที่คิดว่าตะโกนออกมาดังที่สุดแล้ว และที่ยิ่งกว่านั้นคือผมไม่มีเรี่ยวแรงในการขยับตัวแม้แต่น้อย แม้แต่การขยับศีรษะก็ยังทำได้ยากเย็น นี่มันหนักกว่าครั้งนั้นอีกนะ!!!“ซัน... ซัน...” เอ่ยปากร้องเรียกคนรักเสียงเบาหวิว ทั้งๆ ที่ใจอยากจะร้องให้ดังลั่นห้อง ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก รู้สึกเหมือนริมฝีปากแห้งแตกและเจ่อบวม เมื่อลองใช้ลิ้นแตะไปทั่วโพรงปากของตัวเองก็ต้องร้องซี้ด เมื่อมันเจ็บช้ำไปหมด ทั้งกระพุ้งแก้ม ริมฝีปากล่าง หรือแม้แต่ปลายลิ้น“ซัน แค่กๆ ซัน...” ผมร้องเรียกพร้อมกับไอ้แห้งๆ ออกมา ผมอยากจะร้องไห้ซะจริง สภาพแบบนี้จะไปเรียนไหวได้ย
“ไหนๆ เราก็มาเพลงสายนี้กันแล้ว ผมขอแนะนำบทเพลงอีกเพลงหนึ่งที่มีเนื้อหากระแทกใจ และไปในแนวทางเดียวกัน ขอเชิญทุกคนรับฟังกันได้เลยครับ" ไอ้ซันพูดขึ้นเมื่อเล่นต่อจากผมไปอีก 2 เพลง คือเพลง Toxic ของ Britney Spears และเพลง Whistle ของ Flo Rida ซึ่งทั้งสองเพลงมีเนื้อหาไปในแนวทางเดียวกันกับผม เสียงจังหวะดนตรีหนักๆ กระแทกใจดังขึ้น ชวนให้โยกหัวตามสุดๆ พร้อมกับเสียงแหบทุ้มพร่าเพื่อเร่งเร้าอารมณ์ของผู้ฟัง ทำให้ผมละความสนใจจากอาหารตรงหน้า เงยหน้าขึ้นสบตากับคนบนเวที“This is not the way into my heart, into my head(นี่ไม่ใช่ทางเข้าไปยังหัวใจฉัน ในหัวฉัน)Into my brain, into none of the above(ในสมองฉัน ไม่ใช่ทางเข้าไปไหนที่บอกมาทั้งนั้น)This is just my way of unleashing the feelings deep inside of me(นี่มันแค่วิธีในการจะปลดปล่อยความรู้สึกที่อยู่ลึกลงไปในใจฉัน)This spark of black that I seem to love(ประกายแสงสีดำที่ฉันหลงรัก)
ในเย็นวันอาทิตย์ ผมก็ถูกตามตัวให้ไปร่วมงานเลี้ยงครับ ก็เหมือนเดิมๆ พี่คมเอาชุดมาส่งให้ ไอ้ซันก็นั่งคุยกับพี่คมไป ผมเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว ก่อนจะพากันออกจากห้อง และแยกย้ายที่ลานจอดรถเหมือนเดิม ผมนั่งเท้าคางมองออกไปด้านนอกอย่างเบื่อหน่าย พี่คมก็ชวนคุยไปพลาง“คุณหนูเบสไม่แวะกลับบ้านบ้างหรอครับ”“ไม่ครับ”“ป้านิดบ่นคิดถึงน่ะครับ”“ครับ ไว้ผมจะคิดดูอีกที” ผมตอบกลับไปแค่นั้น แล้วหันไปสนใจวิวด้านนอกต่อ พอมาถึงแล้วผมก็แปลกใจเล็กน้อย เพราะมันเป็นโรงแรมที่เดียวกันกับที่ผมมาเรียนกับเชฟฟรองซัว อดคิดไม่ได้ว่าจะเข้าไปทักทายเชฟสักหน่อย ถ้าเชฟยังไม่กลับบ้านละก็นะผมเดินตามพี่คมมาเรื่อยๆ อีกฝ่ายกดลิฟต์ แล้วผายมือให้ผมเข้าไปด้านใน ผมก็เดินเข้าไปในสุด ก่อนจะยืนรอนิ่งๆ พี่คมเดินตามเข้ามาพร้อมกดหมายเลขชั้นที่ต้องการ พอมาถึงแล้วพี่คมก็ก้าวเดินออกไปก่อน มุ่งตรงไปที่ห้องจัดเลี้ยงห้องหนึ่ง ยื่นการ์ดให้คนที่ด้านหน้าประตู แล้วผ่านเข้าไป ผมเดินไปหาป๊ากับม๊า และถูกพวกท่านลากไปแนะนำตัวกับคนนั้นที คนนู้นที ก่อนจะกลับมายื
ผมตื่นขึ้นมากลางดึก และพบว่าตัวเองยังคงนอนซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของคนรัก เมื่อมองออกไปที่นอกหน้าต่าง ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีรัตติกาลยามค่ำคืน ทำให้ดวงตาเบิ่งโพลงและขยับตัวไปหยิบคว้าเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา โดยที่หลงลืมไปว่าพึ่งจะผ่านกิจกรรมรักอันหนักหน่วงมาเสียสนิทใจ ดังนั้น ทันทีที่ตั้งใจเอื้อมแขนออกไปก็ต้องร้องออกมาอย่างเจ็บปวด“อ๊ะ!”“ชู่ววววววว” ไอ้ซันที่นอนกอดอยู่ข้างกันผวาร้องออกมาเบาๆ พร้อมกับฝ่ามือที่ลูบไปทั่วแขนและลำตัวราวกับจะกล่อมนอน ทั้งๆ ที่ดวงตายังคงปิดสนิทอยู่ ผมจึงเลิกสนใจที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา แต่เลือกที่จะเขย่าตัวคนรักด้วยความร้อนรนแทน“ซัน ซัน ซัน ไอ้ซัน!”“หืมมม ตื่นแล้วหรอ” เสียงแหบพร่าของคนที่พึ่งตื่นนอน สติยังกลับมาไม่ครบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ปรือตามองช้าๆ ยกมือขึ้นลูบใบหน้าผมแผ่วเบา“เจ็บตรงไหนไหม?”“ช่างเรื่องนั้นเถอะน่า!! นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ทำไมยังไม่ออกไปทำงานอีก! เดี๋ยวพี่ต้องก็ว่าเอาหรอก!” ไอ้ซันปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง ตวัดแข
“ซะ ซัน ไว้..... ไว้วันอื่น.... ได้ไหม?” ผมถามออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ นี่ขนาดดอกแรกของมันยังทำผมเหนื่อยหอบได้ขนาดนี้ แล้วไอ้ 2 ดอกที่เหลือมันจะเป็นยังไงกันละครับ!!!ไอ้ซันใบหน้ามืดครึ้มลงในทันที สบมองด้วยแววตานิ่งๆ ใบหน้าเฉยชา กอดอกมองผมนิ่ง ไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่บรรยากาศรอบกายกลับกดดันหนัก“อะ อ่อ”“ไม่” น้ำเสียงนั้นเย็นชา จนเสียวสันหลังวาบ ไอ้ซันเดินเข้ามาใกล้อีกครั้ง พันเชือกไว้ที่ฝ่ามือ ทั้งสองข้าง ก่อนจะดึงรั้งจนแน่น เอียงคอพูดยิ้มๆ“มาสนุกกันต่อเถอะเมีย”“มะ มะ ไม่เอาแล้ววววววว” ผมพูดพร้อมกับเริ่มวิ่งหนี ค่อยๆ ถอยห่างอย่างช้าๆ แต่พึ่งทำไงครับ แม่งเจ็บไง วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็จะล้มหน้าคว่ำเอา จนคนที่ด้านหลังตะโกนออกมาเสียงดังลั่น“ระวัง!!!!”ตุ้บ!!“อึก!”“เฮ้ออออ ซุ่มซ่ามจังนะเมีย” ไอ้ซันพูดพร้อมกับโอบกอดผมเอาไว้ ตัวมันรองอยู่ที่ด้านล่าง ยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองเบาๆ“ทะ โทษ