วันต่อมา…..
“ทำไมมาเช้าจังวะ”
ฉันเงยหน้าขึ้นจากจอมือถือแล้วมองไปยังต้นเสียงเห็นร่างหญิงสาวคราวเดียวกับฉันที่คุ้นตาวางกระเป๋าลงบนโต๊ะพลางหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ตรงข้ามฉัน มันคือ เพลินตา เพื่อนสนิทสุดที่รักของฉันเอง ความจริงก็ไม่รู้ว่ามันมาคบฉันได้ยังไงเพราะฐานันดรเราโคตรจะแตกต่างแต่มันแม่งโคตรนิสัยดีแล้วก็จริงใจสุดๆ
“นอนไม่ค่อยหลับ” ฉันตอบไปแบบปัดๆ แล้วก้มหน้าลงเล่นมือถือต่อเพราะฉันกำลังง่วนอยู่กับการเสิร์ชหางานจากกูเกิล
“หน้ายังเงี้ย ไม่ได้งานชัวร์”
“รู้แล้วถามทำไมวะ” ฉันเงยหน้าขึ้นมองเพลินตาขวาง แม่งรู้ดียังกะตาเห็น คิดถึงเรื่องเมื่อวานแล้วก็หงุดหงิดชะมัด แล้วเพลินก็ด่าฉันด้วยประโยคเดิมๆ ที่ฟังมาตั้งแต่ปีหนึ่ง
“กูบอกให้ไปทำกะม้ากูก็เสือกหยิ่ง ว่าแต่ช่วงนี้ไม่มีใครมาจ้างสอนพิเศษเลยเหรอวะ”
ฉันได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่..ไม่ใช่ว่าฉันหยิ่งหรอกนะแต่ฉันเกรงใจมากกว่า ถ้าไปทำงานที่บ้านมันมีหวังม้าเพลินได้เสียตังค์จ้างฉันฟรีแน่เพราะลูกสาวตัวดีของท่านต้องลากฉันไปไหนมาด้วยตลอดคงจะไม่ได้ทำงานจริงๆ หรอก เหมือนจ้างฉันไปอยู่เป็นเพื่อนลูกเขาเฉยๆ
“เห่ย ๆ มึง” เพลินมันเอื้อมมือมาสะกิดแขนฉัน
“อะไร”
“นั่นมัน…” ฉันเงยหน้ามองเพลินแต่สายตามันไม่ได้มองมาที่ฉันเลยสักนิด แถมยังทำหน้าแบบช็อกสุดๆ ฉันเลยหันหลังกลับไปดูว่ามันช็อกกับอะไร...จะมีอะไรที่ทำให้อีนี่ช็อกได้นอกจาก
“เชี่ยยย…” ฉันรีบหันหน้ากลับมาทันที ผู้ชาย...อีนี่มันช็อกเพราะผู้ชายสามคนที่กำลังเดินมาทางนี้ คือสามคนที่ฉันเจอเมื่อวาน พวกเขามาทำไรที่นี่วะ ตึกวิศวะไม่ได้ผ่านทางนี้สักหน่อย
“มึงงง รุ่นพี่เขาเดินมาทางนี้วะ” อีเพลินพูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นสุดๆ พลางเอามือมาตีแขนฉันรัวๆ ฉันไม่กล้าหันไปมองด้วยซ้ำ เขาคงจำฉันไม่ได้หรอก...เป็นไปไม่ได้เขาจะมาฉันทำไม หลงตัวเองไปหน่อยแล้วมั้งอีมิณ แต่ก็ไม่ควรจะเสี่ยง
ฉันรีบหยิบกระเป๋าแล้วลุกออกมาจากตรงนั้นทันทีปล่อยให้อีเพลินมันนั่งช็อกอยู่นั่นก่อน ฉันวิ่งขึ้นบันไดมายังชั้นสองของอาคารและคิดว่าน่าจะปลอดภัยแล้ว แล้วกูจะหนีทำไมเนี่ยไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ ฉันเอามือขึ้นทึ่งผมตัวเองอย่างหัวเสียก่อนจะเดินเข้าไปนั่งในห้องนั่งฟุบหน้าลงกับโต๊ะกะว่าจะหลับสักงีบก่อนเข้าคลาสแต่หัวยังไม่ทันถึงโต๊ะก็ต้องสะดุ้งจนสุดตัวกับเสียงสิบแปดปรอทของเพื่อนสนิท
“อีมิณ...อีมิณ!!!”
ทำไมมันหายช็อกเร็วนักวะ...อีเพลินมันปลื้มรุ่นพี่ยูตะบ้ากามนั่นจะตาย นี่ถ้ารู้ว่ารุ่นพี่ทำอะไรกับฉันนะ มีหัวฉันโดนฆ่าแน่ๆ ว่าแต่ทำไมถึงสลัดภาพนั้นออกไปจากหัวไม่ได้ซะทีนะ ฉันทำท่าขนลุกแล้วสะบัดหัวเอาความคิดพวกนั้นออก ก่อนจะหันไปหาอีเพื่อนบ้าผู้ชายที่วิ่งเข้ามาเรียกฉันหน้าตาตื่นก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ ฉัน
“แดกนกหวีดไปรึไงวะ แสบแก้วหูฉิบหาย”
“เล่ามาเดี๋ยวนี้ อะไร ยังไง” มันพูดพลางเอามือขึ้นขนาบหน้าฉันก่อนออกแรงหันหน้าฉันมาสบตากับมัน อะไรของมันวะ พอฉันจะหันหน้าหนีมันก็ออกแรงขืนไว้แล้วจ้องฉันอย่างเอาเป็นเอาตาย
“อะไรของมึง” ฉันพูดแล้วออกแรงดึงมือของเพลินออกจากใบหน้า
“ก็รุ่นพี่พวกนั้นไง…”
“ทำไม!” ฉันโพล่งขึ้นอย่างตกใจ มันรู้เรื่องอะไรมาถึงมาถามแบบนี้ พวกเขาบอกอะไรมันงั้นเหรอ
“รุ่นพี่ดินเขาฝากนี่ให้มึง” มันพูดแล้วยื่นบัตรอะไรสักอย่าง...ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นนามบัตรมาให้ฉัน แต่พอฉันจะหยิบมันก็รีบดึงกลับเข้าหาตัวมันทันที
“บอกมาก่อน เร็ว กูเพื่อนมึงนะ”
“กูไม่เอาก็ได้” ฉันบอกมันอย่างไม่สนโลกแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะอีกครั้ง ความจริงก็ไม่ได้อยากรู้หรอกฉันไม่ค่อยได้สนใจเรื่องพวกนี้อยู่ ถ้ามันอยากได้ฉันก็ให้มันอยู่ดี
“เห้ย ไม่ได้ดิวะ งั้นโทรไปเร็ว กูอยากรู้”
เพลินพูดพลางเขย่าแขนฉันคะยั้นคะยอให้โทรไปหาเบอร์ที่อยู่ในนามบัตรนั่น สุดท้ายต่อมเผือกของมันก็ทนไม่ไหวอยู่ดี หึ ฉันผงกหัวขึ้นพลางยกยิ้มขึ้นมุมปากก่อนจะหยิบนามบัตรนั่นมาจากมือเพลิน นีรดาร์...งั้นเหรอ ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีคืออะไร ให้ฉันมาทำไม ฉันหันไปมองหน้าเพลินแบบงงๆ ส่วนมันก็ยักไหล่กลับมาให้ฉัน เหมือนประมาณว่ากูไม่รู้ แต่คือมันเป็นคนรับมาทำไมเสือกไม่ถาม
ฉันหยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์แล้วโทรออกทันทีก่อนยกขึ้นแนบหูโดยมีอีเพื่อนตัวดีเอาหูมาแนบมือถือฉันไว้อีกที
ตื๊ดดดด...
โฮะรับเร็วแฮะ รออยู่แหงๆ
“คือ…”
[อ้อ ฉันกำลังรออยู่พอดี ฉันอยากจะขอบคุณที่เธอเอาของมาคืนให้แล้วก็อยากจะขอโทษเรื่องที่ยูตะทำกับเธอด้วยน่ะ’]
เอาแล้วไง...มีชื่อรุ่นพี่ยูตะด้วย มีเหรอที่อีคนข้างๆ ฉันมันจะอยู่เฉย ฉันเหลือบไปมองหน้ามันนิดหนึ่งแล้วรีบหลบตาทันที สายตาน่ากลัวสุดๆ เขียวปัดยังกะจงอางหวงไข่ กูจะรอดไหมเนี่ย ฉันเลยรีบเอ่ยขัดขึ้นก่อนที่เธอจะพูดอะไรเยอะกว่านี้
“อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้ใช่ไหมคะที่คุณอยากคุยกับหนู...”
[เดี๋ยวซิ ฉันอยากหาคนช่วยทำบัญชีน่ะ สนใจไหม…]
“สนใจค่ะ”
พอฉันได้ยินเรื่องงานๆ เงินๆ ก็รีบตอบรับทันทีโดยไม่ลังเลเลยสักนิด เหมือนสวรรค์มาโปรด เยสสส!! ดีนะที่ตัดสินใจโทร งานนี้ตรงกับสาขาฉันพอดีไม่ยากเลยถ้าฉันคิดจะทำ ดีซะอีกฝึกสมองไปด้วย
[งั้นเย็นนี้เข้ามาหาฉันที่ผับนะ มาถูกไหม ถ้าไม่ถูกมากับ…]
“ถูกค่ะ ขอบคุณนะคะ”
ติ๊ด....
ฉันรีบเอ่ยขัดขึ้นอีกครั้งเพราะกลัวว่าเธอจะให้ฉันไปกับรุ่นพี่พวกนั้นและถ้าเพลินรู้นะมีหวังฉันชวดไปอีกงานแน่ๆ
“เอ้า...อะไรวะ กูยังจับใจความไม่ได้เลย วางแหละ”
“เขาอยากได้คนไปช่วยงานอะ ไม่มีไรหรอก” ฉันบอกมันพลางเอามือโยกหัวเพลินไปมาอย่างอารมณ์ดี ฉันจะได้งานแล้ว รอดตายแล้วฉัน
“ไม่มีได้ไง บอกหน่อยนะ...นะ” เพลินมันปัดมือฉันออกพลางเอาหัวมาซบไหล่ฉันพลางทำเสียงออดอ้อน เหอะ...มันชอบทำแบบเนี่ยจนคนอื่นเขาคิดว่าเราเป็นคู่เลสเบียนกันหมดคณะแล้ว ฉันเลยค่อยๆ ผลักหัวมันออก
“อย่ามา มึงถอยไปไกลๆ เลย กูขนลุก”
“ขนลุกเหรอ ถ้าไม่บอกกูหอมแน่...อื้ออ”
แล้วเพลินมันก็ทำปากจู๋ยื่นหน้ามาจะหอมแก้มฉัน ฮึ้ยยย อีนี่ท่าจะบ้า ฉันรีบเอามือขึ้นดันหน้ามันไว้ เราเล่นกันอย่างงี้ตลอดเป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่มีมันสักคนชีวิตฉันคงจะเหงาแย่เลย
.........
........
“เชี่ยยย!” ผมร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นไอ้พี่ชายตัวดีนั่งยิ้มแฉ่งอยู่ที่เบาะหลังผ่านกระจกเงานั้น แม่งขึ้นมาตอนไหนวะ“อะไรของมึงเนี่ยเฮีย ใครเชิญ” ผมหันไปด่าพี่ชายหน้ามึนอย่างหัวเสีย“ฉันเชิญเอง มีอะไรหรอ” มือเล็กยกขึ้นข้างหัวพร้อมกับออกรับแทนไอ้เฮียวาอย่างออกนอกหน้านอกตา ไม่ไว้หน้าพวกเลยสักนิด แล้วใครจะกล้ามีคิดไหม นี่ใคร...ผัวไง แล้วนั้นใคร เมียไง จะกล้าต่อกลอนด้วยเหรอผมทำได้แค่ดึงตัวเองมานั่งตรงๆ หลังพวงมาลัยพร้อมกับเหยียบคันเร่งแบบจมตีนพุ่งตัวออกจากบ้านทันที โคตรหงุดหงิด ไอ้เฮียหมอก็อีกคน มาด่าแล้วก็ไป ไม่รู้เป็นส้นตีนอะไร หวงมิเชล ยิ่งกว่าพวกผมซะอีก พ่อกับแม่ยังไม่หวงเท่ามันเลย มันคงอยากมีน้องผู้หญิงแหละมั้ง ก็ดีเหมือนกันผมจะได้ไม่ต้องห่วงมิเชลมาก ยังไงก็ยังมีคนช่วยดูแลใช่เวลาไม่นานรถก็เคลื่อนตัวเข้ามาในสนามแข่งรถของไอ้เฮียวา นี่เป็นสถานที่ที่เหมาแก่การหัดขับรถมากที่สุด กว้างขวางและไม่มีสิ่งขวางกันเยอะนัก“มา เฮียจะบอกเกียร์ก่อน” ผมหันไปบอกคนตัวเล็กข้างๆ ทันทีที่รถจอดสนิท และเธอก็หันมาหาผมพยักหน้าหงึกๆ แบบตั้งใจสุดๆ“ตัว P เกียร์จอดหรือหยุด มันจะล็อกล้อเคลื่อนไปไหนไม่ได
“ป่ะเฮีย เสร็จแล้ว”ผมเงยหน้าจากจอมือถือขึ้นมองต้นเสียงที่มาหยุดยืนก้มลงสำรวจตัวเองเล็กน้อยก่อนจะฉีกยิ้มบางให้ผม ดูเหมือนเมียผมจะอยากขับรถเป็นเอามากๆ ดูจากอาการแล้วน่าจะเตรียมตัวมาอย่างดี ผมกดล็อกหน้าจอมือถือแล้วยัดมันเข้ากระเป๋ากางยีนตัวโปรดก่อนจะหยัดกายขึ้นยืนเต็มความสูง เอื้อมแขนไปรั้งไหล่มิณาเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูเสียงเข้ม“ถ้าขับเป็นแล้ว ห้ามขับหนีผัวเด็ดขาด เพราะผัวจะพลิกแผ่นดินหาจนเจอแน่ๆ เข้าจั๋ย”“จะกลัวอะไรล่ะคะ ตราบใดที่เฮียยังทำตัวน่ารักแบบนี้….” มิณาเอียงคอหันมามองหน้าผมแล้วพูดขึ้นแบบยิ้มๆ แต่ยังไม่ทันจบประโยคปากบางก็เม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง แก้มนวลขึ้นสีนิดๆ ก่อนจะขวักมือน้อยๆ เป็นเชิงเรียกให้ผมเอาหูไปใกล้ปากเธอ ผมก็ทำตามอย่างว่าง่าย“ฉันไม่มีทางไปไหนรอดหรอก”จุ๊บ///สิ้นเสียงเล็กผมก็อาศัยจังหวะที่เธอกำลังเขินๆ หันไปจุ๊บริมฝีปากบางแบบไม่ทันตั้งตัวแล้วผละออก จนตาเล็กเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจพร้อมกับใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่ออย่างชัดเจน น่าฟัดจังวะ เปลี่ยนใจทันไหมเนี่ย เปลือกตาบางกะพริบถี่คล้ายกับกำลังเรียกสติตัวเองอยู่ อะไรกัน ผมทำแบบนี้ออกจะบ่อย ยัยตัวเล็กนี่ยัง
@มหาวิทยาลัย Aผมเดินลงมาจากตึกวิศวะพลางยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาเรือนโปรดและพบว่ามันเหลืออีกตั้งชั่วโมงครึ่งกว่ามิณาจะเลิกคลาส เพราะผมเทสเสร็จก่อนเวลา ตอนแรกก็กะจะไปนั่งรอเมียที่ใต้ตึกบัญชีแต่เผอิญเหลือบตาไปเห็นพวกรุ่นน้องทั้งหลายแหล่มันนั่งเหงาหงอยอยู่ที่โต๊ะประจำ จุดรวมตัวของผมมันเลยแวะเข้าไปสร้างสีสันให้พวกมันหน่อยผมแล้วจัดการทักทายไอ้ไม้รุ่นน้องคนสนิทที่นั่งอยู่บนพนักพิงม้าหินอ่อนด้วยฝ่ามืออรหันต์ฟาดลงหัวมันดังสนั่นหวั่นไหวจนหัวเกือบทิ่มลงโต๊ะ ที่นั่งเขาก็มีเสือกนั่งผิดที่ผัวะ!!“โอ๊ย ใครวะแม่ง” ไอ้ไม้เอามือลูบหัวตัวเองแล้วหันมาโวยวายด้วยสีหน้าเอาเรื่องก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มแหยๆ แทนเมื่อเห็นว่าเป็นผม“กูเองอ่ะ มึงจะต่อยกูงะ” ผมถามกลับไปพลางยักคิ้วให้มันอย่างกวนตีน ก่อนไอ้พวกรุ่นน้องที่เหลือจะลุกให้ผมนั่งแทนอย่างรู้งาน“โห้เฮีย ใครจะกล้า แต่มือหนักใช้ได้เลยนะ มึนฉิบ”“ทำไมเงียบเหงาจังวะ” ผมมองซ้ายมองขวาก่อนจะเอ่ยขึ้นลอยๆ ตามความคิดตัวเอง ปกติหน้าตึกวิศวะสาวๆ เดินสวนกันเป็นขบวนพาเลซแต่วันนี้แทบจะไม่มี เกิดไรขึ้นวะ“นั่นดิเฮีย ผมนั่งรอเหยื่อตั้งนานแล้วเนี่ย” ไอ้ไม้ตอบกลับแบบเซ็งๆ ก่อนที่
พอถึงเวลางานเลี้ยงเริ่มทุกคนก็พากันไปรุมสาวน้อยสมาชิกใหม่ของบ้านกันใหญ่ ฉันอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้เลย รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของมิเชลตอนนี้บ่งบอกได้เลยว่าเธอมีความสุขแค่ไหน“โหล เทส...โหล เทต่างๆ นานา” ฉันหันไปทางต้นเสียงเห็นพวกเฮียยูตะนั่งอยู่ตรงเวทีที่ถูกจัดไว้ริมสระว่ายน้ำ โดยมีกีตาร์โปร่งอยู่บนตักและปากจ่ออยู่กับไมค์ที่เขาพยายามเทสเสียงอยู่หลายรอบ“บัดนี้ นี้ นี้” เสียงที่ดังออกมาตามลำโพงจากเฮียวาโยที่เดินขึ้นเวทีไปยืนอยู่ข้างๆ เฮียยูตะ พร้อมเสียงแอดโค่ที่ทำขึ้นมาเองนั่น เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากทุกคนในที่นี่ได้เป็นอย่างดี“เวลาอันเป็นสมควรได้มาถึงแล้ว แล้ว แล้ววว”“มึงจะเล่นแอคโค่ทำเหี้ยอะไร เอาธรรมดาพอ” เฮียยูตะหันไปด่าพี่ชายจอมขี้เล่นของตัวเองลั่นกังวานไปทั่วเพราะไมค์ที่จ่อปากอยู่ ก่อนที่เฮียวาโยจะพูดต่อแบบธรรมดาตามที่น้องชายสั่ง“เอาแหละ วันนี้บ้านเหมบดินทร์มีสมาชิกมาเพิ่มหนึ่งคน เป็นสาวน้อย น่ารักจิ้มลิ้ม ที่มีนามว่า มิเชล มิรินดา เหมบดินทร์”แปะๆ ๆ ๆ ฮู้ๆ ๆ ๆสิ้นเสียงเฮียวาโยทุกคนก็พากันปรบมือเพื่อเป็นการต้อนรับเด็กหญิงมิเชลเข้าสู่ครอบครัว เด็กหญิงตัวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนข
หลายวันต่อมา…..ฉันเปิดประตูลงมาจากรถแบบงงๆ คือเฮียยูตะพาฉันมาบ้านใต้แสงจันทร์ก็เรื่องปกตินั่นแหละ...แต่ทำไม พ่อกับแม่ของเขาถึงตามมาด้วย พวกเขาจะมาทำอะไรกันที่นี่ ถ้าจะมาบริจาคเงินต้องเอาฉันมาด้วยเหรอ เฮียยูตะเดินมาจูงมือฉันเดินตามท่านทั้งสองไปจนถึงห้องคุณแม่อธิการ“สวัสดีค่ะ” คุณแม่อธิการเอ่ยทักพ่อกับแม่ของเฮียยูตะ ก่อนท่านทั้งสองจะตอบกลับไปอย่างนอบน้อมและพากันไปนั่งโซฟากลางห้อง“สวัสดีครับ/สวัสดีค่ะ”ฉันกับเฮียยูตะก็ได้แต่ยกมือไหว้คุณแม่อธิการก่อนจะพากันไปนั่งโซฟาตรงข้ามท่านทั้งสอง คิ้วบางเริ่มขมวดเป็นปมเมื่อคุณแม่อธิการหยิบเอกสารใบรับอุปการะให้ท่านทั้งสองอ่าน อุปการะใครกัน ฉันเกินวัยที่จะต้องรับไปเลี้ยงแล้วนี่นา ไม่ใช่ฉันแน่ๆแกร่ก….แอ็ดดดดจู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดเข้ามาอย่างถือวิสาสะ ฉันรีบหันไปทางต้นเสียงทันที และก็ได้คำตอบให้คำถามที่ค้างคาอยู่ในหัวเมื่อครู่ เมื่อเด็กหญิงมิเชลเดินเข้ามาในห้องยกมือไหว้ทุกคนตามมารยาทก่อนจะเดินมานั่งลงบนตักเฮียยูตะอย่างสนิทสนม เหอะ...คือสองคนนี้ไปสนิทกันตอนไหน แต่มิเชลไม่เคยยอมไปอยู่กับใครเลยนะ มีพวกคนใหญ่คนโตจะมารับอุปการะตั้งหลายครั้งแต่มิเชลก็ไม่ยอมไป
@คอนโดพอเปิดประตูเข้ามาในคอนโด เฮียยูตะก็รีบเข้าห้องตัวเองแล้วปิดประตูลงอย่างแรงเสียงดังสนั่น จนฉันถึงกับสะดุ้ง ระหว่างทางที่ขับรถกลับมาก็ไม่พูดอะไรเลยสักคำ ฉันรู้ว่าเขากำลังโมโหมาก พี่นนท์นี่ก็จริงๆ เลย ยั่วโมโหเฮียยูตะอยู่ได้ฉันถอนหายใจพรืดใหญ่ก่อนจะเดินไปจับลูกบิดประตูห้องเฮียยูตะออกแรงหมุนมันเปิดเข้าไปและปิดมันลงอย่างเบามือ เดินตรงเข้าไปหาเจ้าของห้องที่นั่งอยู่บนที่นอนหันหน้าไปทางหน้าต่าง“เฮีย โกรธฉันเหรอ” ฉันนั่งลงบนเตียงข้างๆ เขาก่อนจะเอื้อมมือไปกุมมือหนาที่สอดประสานกันแน่น ทำใจดีสู้เสือทั้งๆ ที่ใจก็กังวลไม่น้อย แต่เขาก็ยังคงเงียบได้แต่เสียงขบกรามเท่านั้นที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าแดงก่ำบ่งบอกได้ชัดเจนว่าอารมณ์เขาร้อนแค่ไหนฉันเลื่อนมือเล็กขึ้นนาบแก้มสากทั้งสองข้างแล้วออกแรงหันใบหน้าคมมาสบตาฉัน ก่อนจะกดจูบลงไปที่ปากหนาสักพักแล้วผละออก แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่ยอมเพราะมือหนารั้งท้ายทอยฉันแล้วบดจูบลงมาอย่างเร่าร้อน ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาแบบรีบๆ ฉันเองก็ตกใจไม่น้อยแต่ก็ปล่อยให้เขาจูบอยู่แบบนั้นอื้ออออ~ ~แขนแกร่งโอบรอบเอวคอดก่อนจะออกแรงยกตัวฉันขึ้นนั่งคร่อมบนตักเขา โดยที่ปากเรา