เมื่อเราสองคนได้ของขวัญและชุดที่จะใส่ไปออกงานแล้ว เราก็เดินทางไปสถานที่จัดงานทันที
เราเดินทางมาถึงสถานที่หนึ่ง ที่เหมือนกับคฤหาสน์ที่ดูหรูหราเหมือนกับในละคร ทางเข้าสองข้างทางมีดอกไม้หลากสียาวไปจนถึงตัวคฤหาสน์ ข้างหน้าก่อนเข้าไปในตัวอาคารมีน้ำพุขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ทุกอย่างมันเหมือนกับเราอยู่ในฉากละครฉากหนึ่ง ที่เป็นฉากของพวกไฮโซมางานเลี้ยงกัน ทุกคนแต่งตัวจัดเต็มไม่มีใครยอมใคร ทั้งหญิงและชายแต่งตัวดูดีกันทุกคน เมื่อเราสองคนเดินเข้าไปในงาน สิ่งที่ฉันเห็นคือ ความสวยงามอลังการงานสร้าง ยิ่งกว่าอยู่ในละครเสียอีก ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่ของแพงๆ จะหยิบจะจับอะไรทีต้องระวังอย่างมาก เพราะกลัวว่าถ้าทำพังจะไม่มีปัญญาจ่าย ในขณะที่ฉันกำลังยืนอึ้งอยู่นั้น เขาก็จับมือฉันและพูดว่า "อย่ายืนอึ้งนาน ถึงเธอจะทำอะไรพังก็ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันชดใช้ให้ เราไปหาคุณปู่กันเถอะ" เขาพูดพร้อมยิ้มเยาะฉัน และเราก็เดินไปหาคุณปู่เพื่อมอบของขวัญให้ "คุณปู่สวัสดีค่ะ สุขสันต์วันเกิดนะคะคุณปู่ ริสาขอให้คุณปู่มีอายุยืนนานอยู่กับหลานๆไปนานๆนะคะ" ฉันกล่าวสวัสสดีพร้อมอวยพรท่าน และท่านก็หัวเราะชอบใจและพูดกลับมาว่า "ขอบใจจ้ะหนูริสา ปู่จะมีอายุยืนจนกว่าจะได้อุ้มเหลนนั่นแหละ ฮ่าฮ่าฮ่า" ท่านพูดแซวฉันกับคุณศรันย์ สีหน้าท่านยิ้มแย้มดูมีความสุขมากทีเดียว ในงานเต็มไปด้วยแขกผู้ใหญ่มากมาย ฉันจึงเลี่ยงหลบออกมาเพราะกลัวจะทำอะไรที่ขายหน้า ในระหว่างที่ฉันกำลังเดินหาที่หลบอยู่นั้นก็ได็ยินเสียงเรียกมาจากที่ไกลๆ "รันคะ!" ฉันหันไปมองตามเสียงนั้น ก็เห็นมีหญิงสาวคนหนึ่งในชุดราตรีสีแดง ประดับไปด้วยดอกกุหลาบดูหรูหรา เธอมีใบหน้าที่สวยงามราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย ผมสีดำสนิท ตาสีฟ้าน้ำทะเล ดั้งที่โด่งเป็นสัน ริมฝีปากแดงฉาน เป็นใบหน้าที่เห็นแล้วชวนหลงใหลเสียจริง หญิงสาวคนนั้นวิ่งเข้ามากอดคุณศรันย์ราวกับคนสนิทคุ้นเคย "โรสเพิ่งกลับมาจากอังกฤษวันนี้ พอรู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดคุณปู่ โรสก็รีบมาทันทีเลยค่ะ โรสว่าจะโทรหารันแต่คิดไปคิดมา โรสมาเซอร์ไพรส์รันดีกว่า มันสนุกดี ฮ่าฮ่าฮ่า" เธอพูดจาหยอกล้อกับคุณศรันย์ทั้งที่ยังกอดเขาแน่นโดยไม่แคร์สายตาใครทั้งสิ้น แม้แต่ฉันที่ยืนหัวโด่อยู่ใกล้ๆเธอก็เหมือนมองไม่เห็น "โรสคุณปล่อยผมก่อนเถอะครับ คนอื่นมองอยู่ มันดูไม่ดีนะครับ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สุภาพนุ่มนวล อะไรกันทีกับฉันไม่เคยพูดแบบนี้เลย ฉันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย "ทำไมต้องแคร์ด้วยคะ โรสไม่สนว่าใครจะมองยังไงหรอกค่ะ โรสสนแค่รันคนเดียวเท่านั้นค่ะ แล้วแม่นี่ใครคะ เห็นยืนจ้องอยู่ตั้งนานแล้ว" เธอพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจแล้วหันมาทางฉัน "ขอโทษที ผมลืมแนะนำ.." คุณศรันย์กำลังจะแนะนำฉันแต่ยังพูดไม่ทันจบ เธอก็พูดสวนขึ้นมาว่า "ฉันชื่อโรสริน เป็นแฟนกับคุณศรันย์ หล่อนเป็นใครไม่ทราบ ถึงได้กล้าเสนอหน้ามางานแบบนี้" เธอพูดพร้อมกับดูถูกเหยียดหยามฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกโมโหมากเลยเผลอพูดกลับไป "สวัสดีค่ะ ฉันชื่อมาริสา เป็นภรรยาคุณศรันย์ค่ะ ที่ฉันเสนอหน้ามาเพราะคุณปู่ท่านเชิญมาในฐานะหลานสะใภ้ค่ะ ฉันคิดว่าคุณคงไม่ทราบว่าเราแต่งงานกัน คุณถึงได้มโนว่าสามีฉันเป็นแฟนของคุณ เชิญคุยกันตามสบายนะคะ รีบๆเคลียร์กันให้จบ ไม่อย่างนั้นคุณจะกลายเป็นมือที่สามของเราสองคนนะคะ คุณ! โรสริน!" ฉันพูดพร้อมกับเดินสะบัดบ๊อบใส่นาง ฉันเดินหนีออกมานั่งที่ศาลาตรงสวนข้างหลัง ในใจตอนนี้ฉันรู้สึกร้อนรุ่มไปหมด ฉันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ผู้หญิงอะไรหน้าตาก็สวยแต่ปากร้ายเหลือทน ทำให้ฉันนึกถึงคุณศรันย์เมื่อก่อนตอนเจอกันแรกๆ ในขณะที่ฉันนั่งโมโหอยู่นั้น ก็มีเสียงตะโกนเรียกชื่อฉันมาจากข้างหลัง "มาริสา!" ฉันหันไปมองตามเสียงนั้นก็พบว่าเขากำลังวิ่งตรงมาทางฉัน ฉันกลัวว่าเขาจะมาด่าฉันเรื่องที่ฉันพูดจาไม่ดีกับผู้หญิงคนนั้น ฉันจึงเตรียมตัวที่จะวิ่งหนี แต่ไม่ทัน เขาคว้าแขนฉันไว้ก่อนแล้วพูดว่า "เธอจะไปไหน ฉันตามหาเธอตั้งนาน ทำไมมาอยู่ตรงนี้ แล้วทำไมเมื่อกี้นี้เธอถึงพูดแบบนั้นกับโรส หรือว่าเธอหึงฉัน" เขาพูดเย้าฉัน ฉันจึงตอบกลับไปว่า "ใครหึงกันคะ? ฉันแค่ไม่ชอบที่คุณโรสเธอพูดจาดูถูกฉัน ฉันเลยโมโหจึงพูดออกไปแบบนั้น ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้คุณสองคนผิดใจกัน" ตอนนี้ฉันรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก เขาเอามือมาลูบหัวฉันและพูดว่า "ขอโทษนะที่ปล่อยให้โรสพูดจาไม่ดีกับเธอ อย่าโกรธฉันเลยนะ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน มันทำให้ความรู้สึกหงุดหงิดที่มีหายไป ในขณะที่เรากำลังพูดคุยกันอยู่นั้น เสียงดนตรีจากในงานก็ดังขึ้น เขายื่นมือมาที่ฉันและพูดว่า "เธอจะให้เกียรติเต้นรำกับฉันได้ไหม" คำพูดที่เชิญชวนให้เต้นรำกับรอยยิ้มที่อ่อนโยนทำให้ฉันเผลอตัวยื่นมือออกไป ค่ำคืนนี้ช่างมีเรื่องราวมากมาย แต่ฉันอยากหยุดเวลาเอาไว้ตรงนี้ เพราะตอนนี้ฉันรู้สึกมีความสุขเหลือเกิน ไม่อยากให้ช่วงเวลานี้หายไปเลยจริงๆ... ...โปรดติดตามตอนต่อไป...หลังจากงานเลี้ยงจบลง ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ วันเวลาผ่านไปได้สองเดือนครึ่งแล้วหลังจากที่เราแต่งงานกัน เหลือเวลาอีก15วันเท่านั้น สัญญาของเราสองคนก็จะจบลงวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ฉันตื่นมาตามปกติ แต่ที่แปลกไปจากเดิมก็คือ ฉันลืมตามมาเจอเขานอนอยู่ข้างๆพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้และพูดทักทายฉันว่า "อรุณสวัสดิ์ ตื่นเสียทีนะยัยขี้เซา ฉันมานอนอยู่ข้างๆตั้งนานยังไม่รู้สึกตัวอีก ถ้าเกิดว่ามีใครทำมิดีมิร้ายกับเธอจะทำยังไง" มันก็จริงอย่างที่เขาว่า เพราะฉันไม่รู้สึกตัวเลยจริงๆ ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาตอนไหน แล้วทำไมเขาถึงได้มานอนอยู่ข้างๆฉันได้หล่ะ? พอคิดได้อย่างนั้นฉันเลยถามออกไป "แล้วคุณเข้ามาห้องฉันได้ยังไงคะ แถมยังมานอนข้างๆฉันอีก นี่คุณคิดจะทำอะไรฉันคะ ไม่ได้นะคุณ! ถึงเราจะเป็นสามีภรรยากันก็จริง แต่มันก็แค่ในนาม คุณไม่มีสิทธิทำอะไรฉันนะคะ" พอฉันพูดจบเขาก็หัวเราะลั่นและพูดว่า "นี่เธอ! เพี้ยนหรือเปล่า? นี่บ้านฉัน ฉันก็ต้องมีกุญแจไขเข้ามาอยู่แล้ว ที่ฉันเข้ามาเพราะฉันเคาะประตูเรียกเธอตั้งนานแล้วไม่มีเสียงตอบรับ ฉันกลัวว่าเธอจะเป็นอะไรเลยรีบเข้ามาดู แต่เห็นเธอยังนอนกรนอยู่แถมละเมอด้วย และฉันขอบอกตรงนี้เล
ในชีวิตฉันเคยหวังว่าสักวันหนึ่งจะมีคนมาทำเซอร์ไพรส์วันเกิดให้ แล้วในวันนั้นฉันคงจะมีความสุขมากๆ แต่ไม่คิดว่าวันนั้นที่ฉันหวังเอาไว้จะมาถึง เพราะเขาคนนี้ทำให้ความหวังของฉันเป็นจริง ความสุขที่คิดไว้ก็เกิดขึ้นจริง และมากกว่าที่คาดคิดไว้เสียอีกในตอนแรกฉันก็ไม่เข้าใจว่าเขาทำทั้งหมดนี้เพื่ออะไร จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี แต่ฉันก็มีความสุขมากกับสิ่งที่เขาทำให้ ไม่ว่าเขาจะทำไปเพื่ออะไรก็ตาม ขอแค่ให้เขาอยู่ข้างฉันแบบนี้ก็พอ คำอธิฐานในวันเกิดปีนี้ที่ฉันอยากจะขอก็คือ ฉันอยากให้เราได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปตลอดกาล และไม่อยากให้สัญญาจอมปลอมนั้นต้องจบลง เพราะตอนนี้ใจของฉันไม่ใช่ของฉันอีกต่อไปแล้วฉันยืนหลับตาและอธิฐานอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงพูดขึ้นมาว่า "นี่เธอ! จะขออะไรหนักหนา เธอขอนานไปแล้วนะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คงให้เธอไม่ไหวหรอก ฮ่าฮ่าฮ่า" เสียงนั้นทำเอาฉันต้องรีบลืมตาขึ้นมาทันที เพราะกลัวว่าหากฉันหลับตานานกว่านี้เขาอาจจะพูดแซวฉันอีกก็เป็นได้ "ก็คุณเป็นคนบอกให้ฉันอธิฐานเองนี่คะ ฉันก็เลยขอเยอะหน่อย เผื่อว่าจะสมหวังกับเขาบ้าง" ฉันพูดตอบกลับเขา และเขาก็ถามฉันกลับมาว่า "แล้วเธอขออะไร
ช่วงเวลาในตอนนี้มันช่างพิเศษเสียเหลือเกิน ฉันได้อยู่ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของชายที่ฉันไม่คิดว่าจะได้มารักกัน ใบหน้าของฉันแนบกับหน้าอกของเขาและได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ราวกับว่าหัวใจดวงนั้นจะระเบิดออกมาใส่หน้าฉันเสียให้ได้ เรายืนกอดกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขาก็พูดกับฉันว่า "ฉันว่าเรามาจบสัญญานี่กันดีกว่านะ" เมื่อฉันได้ยินแบบนั้นก็หน้าซีดและใจสั่น น้ำตาก็ไหลมาคลอๆที่เบ้าตา ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอตอบกลับเขาไปว่า "ที่คุณทำมาทั้งหมดนี้เพียงเพื่ออยากจะจบสัญญานี่หรือคะ ได้ค่ะ! งั้นเรามาจบสัญญากันเถอะ!" ฉันพูดจบก็หันหลังเพื่อที่จะเดินหนีออกไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด เพราะไม่อยากให้เขาเห็นน้ำตาของฉันในขณะที่ฉันกำลังหันหลังเพื่อก้าวเดินหนีไปนั้น เขาก็คว้าแขนของฉันแล้วดึงกลับไปกอดอีกครั้งแล้วพูดว่า "นี่! ฟังฉันพูดให้จบก่อนสิ! เธอจะรีบไปไหน ทำตัวเป็นนางเอกละครไปได้ ที่ฉันหมายถึงก็คือให้เรายุติสัญญาจอมปลอมนี่ แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่ต่างหาก ยัยบื้อเอ๊ย!" เมื่อได้ยินแบบนั้นฉันก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก โอ้ย!ทำไมฉันถึงได้ทำอะไรน่าอายแบบนั้นกันนะ! ยัยมาริสายัยโง่เอ๊ย! "ขอโทษนะคะ ที่ฉันด่ว
ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ จากคนที่เคยคิดว่าไม่น่าจะมารักกันได้ ก็กลับกลายเป็นว่าได้มารักกัน และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขนี่ก็ผ่านมาสามเดือนแล้วหลังจากวันที่ฉันและคุณศรันย์ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน ในทุกๆวันที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างสามีและภรรยาเรามีความสุขกันมาก คุณศรันย์เคยขอฉันแต่งงานใหม่ แต่ฉันก็ปฏิเสธไป เพราะเราได้แต่งงานกันไปครั้งนึงแล้ว ถึงแม้ว่าการแต่งงานในตอนนั้นมันจะเป็นงานแต่งงานหลอกๆก็ตาม แต่ความรู้สึกที่เรามีให้กันในตอนนี้มันคือของจริง ฉันจึงคิดว่ามันไม่จำเป็นที่เราจะต้องจัดงานแต่งงานขึ้นมาอีก ปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้ก็ดีอยู่แล้วนี่ก็ใกล้จะถึงวันครบรอบ 30 ปีที่ก่อตั้งบริษัท เดอะวันแล้ว ฉันและคุณศรันย์เรายุ่งกับการเตรียมงานกันอย่างมาก เพราะเราตั้งใจว่าจะทำให้ทุกคนที่มางานได้รับความสุขกลับไป ธีมส์ของงานในครั้งนี้คือ "วันพิเศษ แด่คนที่พิเศษ" รายละเอียดของงานคืออยากให้คนที่มาร่วมงานได้บอกความรู้สึกที่มีให้อีกฝ่ายได้รับรู้ หากอีกฝ่ายตอบรับความรู้สึกนั้น เรามีของรางวัลให้ไปเที่ยวพักรีสอร์ท 2วัน 1คืน (ซึ่งแน่นอนว่ารีสอร์ทนั้นเป็นของบ้านฉันเอง) ในขณะที่เรากำลังเตรียมง
"คนเราไม่อาจรู้ชะตาชีวิตล่วงหน้าได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไร เราทำได้แค่ยอมรับมันเท่านั้น" ตัวฉันเองก็เช่นกัน ในเมื่อตัดสินใจแล้วฉันก็จะทำให้เต็มที่!(เสียงโฆษณาในทีวี) “บริษัทของเราเป็นที่1 ทางด้านเทคโนโลยี เราจะไม่หยุดพัฒนาศักยภาพ เพื่อที่ผู้ใช้งานจะต้องได้ใช้งานเทคโนโลยีที่ดีที่สุด” (โฆษณาบริษัท เดอะวัน คอปอเรชั่น จำกัด) บริษัทแนวหน้าของไทยที่มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยสุดๆ และนั่นคือบริษัทที่ 30 ที่ฉันไปสมัครงานวันนี้ ฉันค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทนี้มาค่อนข้างดีและมีสิ่งหนึ่งที่ฉันสนใจ นั่นคือ ข่าวลือที่ว่า ประธานบริษัทนี้นั้น เป็นคนเย็นชา ปากร้าย เจ้าระเบียบ และเป็นคนเลือดเย็นสุดๆ ว่ากันว่า เขาไล่พนักงานออกเพียงเพราะพนักงานคนนั้นไม่ติดบัตรพนักงาน แต่นั่นมันก็แค่ข่าวลือ ฉันเป็นพวกที่ไม่เชื่อจนกว่าจะได้เห็นและเจอกับตัวเอง ฉันขึ้นรถโดยสารประจำทางเพื่อที่จะไปสมัครงานที่บริษัทนั้นแต่ระหว่างทางเกิดมีอุบัติเหตุขึ้น ทำให้การจราจรติดขัดรถไม่สามารถเดินหน้าได้ ฉันจึงตัดสินใจวิ่งลงจากรถเพื่อที่จะวิ่งไปบริษัทเดอะวัน ในขณะที่ฉันกำลังวิ่งข้ามถนนอยู่นั้น จู่ๆก็มีรถเก๋งสีดำดูหรูหราและราคาแพงพุ่งตรงมาทางฉ
มีคำกล่าวที่ว่า..."โชคชะตามักจะเล่นตลกกับเราเสมอ"ฉันคิดว่าคำกล่าวนี้คือเรื่องจริง สิ่งที่ทุกท่านจะได้อ่านต่อไปนี้คือเรื่องของความซวยล้วนๆ ของผู้หญิงที่ชื่อมาริสา คนนี้ สถานการณ์ในตอนนี้คือ มีไอ้บ้าที่หน้าตาดีมากๆขับรถมาเกือบจะชนฉันแล้วยังจะมาไล่ให้ฉันไปตายอีก! คุณพระคุณเจ้าเกิดมาฉันเพิ่งจะเคยพบเคยเจอผู้ชายที่ปากร้ายขัดกับหน้าตาสุดๆ วินาทีนั้นทำเอาฉันอึ้งไปเลย พอได้สติฉันก็รีบลุกขึ้นมาด่าผู้ชายคนนั้นทัน "นี่คุณ! คุณขับรถเกือบจะชนคนแล้วนะคะ แทนที่จะพูดขอโทษแต่คุณกลับมาไล่ให้ฉันไปตาย ถามจริงเหอะคุณ ที่บ้านไม่สอนเรื่องมารยาทบ้างหรือคะ ทำผิดก็ควรจะขอโทษสิคะ" ชายคนนั้นหันมาพร้อมกับใบหน้าที่เย็นชาพร้อมกับถ้อยคำที่เย็นชาไม่แพ้กัน "ถ้าอยากได้เงิน ไม่เห็นต้องโวยวายแบบนี้เลย เธออยากได้เท่าไร ฉันจะให้เธอเอง ได้เงินแล้วก็รีบไสหัวไปซะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าเธออีก" พอพูดจบชายคนนั้นก็หยิบเงินจากในกระเป๋าสตางค์ออกมาเป็นแบงค์พันจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วขว้างมาใส่หน้าฉัน ในตอนนั้นเอง สติของฉันที่มีก็หลุดหายไปอีกครั้งพร้อมกับคำด่ามากมายนับไม่ถ้วนที่พ่นออกไปราวกับพ่นไฟ แต่ชายคนนั้นก็ไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย ยังค
“ทุกคนย่อมมีสิ่งที่ตนเองนั้นกลัวอยู่ในใจ แต่ถ้าวันใดเรากล้าเผชิญหน้ากับความกลัวนั้น เราก็จะสามารถข้ามผ่านมันไปได้”ทันทีที่ประตูห้องประชุมเปิดขึ้น สิ่งที่ฉันเห็นอยู่ตอนนี้ทำให้ร่างกายของฉันนั้นชาไปทุกส่วน เม็ดเหงื่อเป็นล้านๆเม็ดผุดขึ้นทั่วร่างกาย สายตาที่เย็นชาและดุดันจ้องมองมาที่ฉันพร้อมกับใบหน้าที่แสยะยิ้มชวนสยอง ทำให้ฉันขนหัวลุกราวกับเจอผี วินาทีนั้นทุกสิ่งทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหวไปในพริบตา หากนี่คือหนังเรื่องหนึ่ง ฉันคิดว่าหนังเรื่องนี้คือหนังสยองขวัญที่แท้จริง เสียงในใจของฉันมันได้แต่ร้องตะโกนว่า “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย!!! ทำไมไอ้บ้านั่นมาอยู่ที่นี่ได้แล้วแถมยังเป็นประธานบริษัทนี้อีก” ท่ามกลางความเงียบสงัดของห้องนั้นจู่ๆก็มีสียงที่ฟังแล้วชวนขนลุกพูดขึ้นมาว่า “นี่เธอน่ะ! ตามฉันมาถึงที่นี่เลยหรือ สงสัยเงินที่ฉันให้ไปคงไม่พอสินะ ถึงได้อวดดีปาใส่หน้าฉัน แล้วที่ตามฉันมาถึงที่นี่คงเพราะอยากจะได้เงินเพิ่มล่ะสิ คราวนี้อยากได้เท่าไหร่ล่ะบอกฉันมาฉันจะเขียนเช็คให้ พอได้แล้วก็รีบไสหัวไปให้ไกลๆหน้าฉันซะ อย่าให้ฉันต้องพูดอีกเป็นครั้งที่ 3” คำพูดนั้นทำเอาฉันอึ้งไปชั่วขณะ ในตอนนี้ในสมองอั
"ทุกเรื่องราวย่อมมีจุดเริ่มต้น และเมื่อเรื่องราวนั้นได้เริ่มขึ้น ก็ย่อมมีจุดจบเสมอ เพื่อที่จะเริ่มเรื่องราวบทใหม่ หรือจบเรื่องไว้เพียงเท่านั้น"ผมชื่อ ศรันย์ วิวัฒนพันธ์ อายุ 35 ปี เป็นประธารบริษัท เดอะวัน คอปอเรชั่น จำกัด รุ่นที่ 3 บริษัทนี้ถูกก่อตั้งโดยประธานรุ่นที่1 นั่นคือปู่ของผมเอง ปู่ตั้งใจว่าจะยกบริษัทนี้ให้กับพ่อของผม แต่ว่าดันเกิดปัญหาขึ้นเสียก่อน มันเป็นปัญหาที่เริ่มมาจากผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งจริงๆแล้วผมต้องเรียกเธอว่า “แม่” แต่ทว่า เธอนั้นไม่เคยเห็นผมเป็นลูกของเธอเลยแม้แต่น้อย เธอเห็นผมเป็นเพียงเครื่องมือที่จะใช้ต่อรองกับพ่อและปู่เท่านั้น เพราะผมคือลูกชายและหลานชายเพียงคนเดียวของตระกูล วิวัฒนพันธ์ คุณปู่ของผมจึงทำข้อตกลงกับเธอด้วยการที่ขายผมให้กับตระกูลนี้ และเธอก็ต้องหายไปจากชีวิตของผมและพ่อตลอดไป เธอรับข้อเสนอนั้นพร้อมเงินก้อนใหญ่แล้วจากผมไป ก่อน ที่เธอจะหันหลังเดินจากไปเธอพูดกับผมว่า “ฉันไม่เสียใจที่ทิ้งแกให้อยู่กับคนพวกนี้เลยสักนิด เพราะแกเป็นตัวทำเงินให้กับฉัน จากนี้ไปแกก็ใช้ชีวิตให้ดีๆล่ะ” พูดจบเธอก็หันหลังเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองผมเลย ไม่สนว่าผมจะร้องไห้ฟูมฟายขนาดไห
ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ จากคนที่เคยคิดว่าไม่น่าจะมารักกันได้ ก็กลับกลายเป็นว่าได้มารักกัน และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขนี่ก็ผ่านมาสามเดือนแล้วหลังจากวันที่ฉันและคุณศรันย์ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน ในทุกๆวันที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างสามีและภรรยาเรามีความสุขกันมาก คุณศรันย์เคยขอฉันแต่งงานใหม่ แต่ฉันก็ปฏิเสธไป เพราะเราได้แต่งงานกันไปครั้งนึงแล้ว ถึงแม้ว่าการแต่งงานในตอนนั้นมันจะเป็นงานแต่งงานหลอกๆก็ตาม แต่ความรู้สึกที่เรามีให้กันในตอนนี้มันคือของจริง ฉันจึงคิดว่ามันไม่จำเป็นที่เราจะต้องจัดงานแต่งงานขึ้นมาอีก ปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้ก็ดีอยู่แล้วนี่ก็ใกล้จะถึงวันครบรอบ 30 ปีที่ก่อตั้งบริษัท เดอะวันแล้ว ฉันและคุณศรันย์เรายุ่งกับการเตรียมงานกันอย่างมาก เพราะเราตั้งใจว่าจะทำให้ทุกคนที่มางานได้รับความสุขกลับไป ธีมส์ของงานในครั้งนี้คือ "วันพิเศษ แด่คนที่พิเศษ" รายละเอียดของงานคืออยากให้คนที่มาร่วมงานได้บอกความรู้สึกที่มีให้อีกฝ่ายได้รับรู้ หากอีกฝ่ายตอบรับความรู้สึกนั้น เรามีของรางวัลให้ไปเที่ยวพักรีสอร์ท 2วัน 1คืน (ซึ่งแน่นอนว่ารีสอร์ทนั้นเป็นของบ้านฉันเอง) ในขณะที่เรากำลังเตรียมง
ช่วงเวลาในตอนนี้มันช่างพิเศษเสียเหลือเกิน ฉันได้อยู่ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของชายที่ฉันไม่คิดว่าจะได้มารักกัน ใบหน้าของฉันแนบกับหน้าอกของเขาและได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ราวกับว่าหัวใจดวงนั้นจะระเบิดออกมาใส่หน้าฉันเสียให้ได้ เรายืนกอดกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขาก็พูดกับฉันว่า "ฉันว่าเรามาจบสัญญานี่กันดีกว่านะ" เมื่อฉันได้ยินแบบนั้นก็หน้าซีดและใจสั่น น้ำตาก็ไหลมาคลอๆที่เบ้าตา ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอตอบกลับเขาไปว่า "ที่คุณทำมาทั้งหมดนี้เพียงเพื่ออยากจะจบสัญญานี่หรือคะ ได้ค่ะ! งั้นเรามาจบสัญญากันเถอะ!" ฉันพูดจบก็หันหลังเพื่อที่จะเดินหนีออกไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด เพราะไม่อยากให้เขาเห็นน้ำตาของฉันในขณะที่ฉันกำลังหันหลังเพื่อก้าวเดินหนีไปนั้น เขาก็คว้าแขนของฉันแล้วดึงกลับไปกอดอีกครั้งแล้วพูดว่า "นี่! ฟังฉันพูดให้จบก่อนสิ! เธอจะรีบไปไหน ทำตัวเป็นนางเอกละครไปได้ ที่ฉันหมายถึงก็คือให้เรายุติสัญญาจอมปลอมนี่ แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่ต่างหาก ยัยบื้อเอ๊ย!" เมื่อได้ยินแบบนั้นฉันก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก โอ้ย!ทำไมฉันถึงได้ทำอะไรน่าอายแบบนั้นกันนะ! ยัยมาริสายัยโง่เอ๊ย! "ขอโทษนะคะ ที่ฉันด่ว
ในชีวิตฉันเคยหวังว่าสักวันหนึ่งจะมีคนมาทำเซอร์ไพรส์วันเกิดให้ แล้วในวันนั้นฉันคงจะมีความสุขมากๆ แต่ไม่คิดว่าวันนั้นที่ฉันหวังเอาไว้จะมาถึง เพราะเขาคนนี้ทำให้ความหวังของฉันเป็นจริง ความสุขที่คิดไว้ก็เกิดขึ้นจริง และมากกว่าที่คาดคิดไว้เสียอีกในตอนแรกฉันก็ไม่เข้าใจว่าเขาทำทั้งหมดนี้เพื่ออะไร จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี แต่ฉันก็มีความสุขมากกับสิ่งที่เขาทำให้ ไม่ว่าเขาจะทำไปเพื่ออะไรก็ตาม ขอแค่ให้เขาอยู่ข้างฉันแบบนี้ก็พอ คำอธิฐานในวันเกิดปีนี้ที่ฉันอยากจะขอก็คือ ฉันอยากให้เราได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปตลอดกาล และไม่อยากให้สัญญาจอมปลอมนั้นต้องจบลง เพราะตอนนี้ใจของฉันไม่ใช่ของฉันอีกต่อไปแล้วฉันยืนหลับตาและอธิฐานอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงพูดขึ้นมาว่า "นี่เธอ! จะขออะไรหนักหนา เธอขอนานไปแล้วนะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คงให้เธอไม่ไหวหรอก ฮ่าฮ่าฮ่า" เสียงนั้นทำเอาฉันต้องรีบลืมตาขึ้นมาทันที เพราะกลัวว่าหากฉันหลับตานานกว่านี้เขาอาจจะพูดแซวฉันอีกก็เป็นได้ "ก็คุณเป็นคนบอกให้ฉันอธิฐานเองนี่คะ ฉันก็เลยขอเยอะหน่อย เผื่อว่าจะสมหวังกับเขาบ้าง" ฉันพูดตอบกลับเขา และเขาก็ถามฉันกลับมาว่า "แล้วเธอขออะไร
หลังจากงานเลี้ยงจบลง ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ วันเวลาผ่านไปได้สองเดือนครึ่งแล้วหลังจากที่เราแต่งงานกัน เหลือเวลาอีก15วันเท่านั้น สัญญาของเราสองคนก็จะจบลงวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ฉันตื่นมาตามปกติ แต่ที่แปลกไปจากเดิมก็คือ ฉันลืมตามมาเจอเขานอนอยู่ข้างๆพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้และพูดทักทายฉันว่า "อรุณสวัสดิ์ ตื่นเสียทีนะยัยขี้เซา ฉันมานอนอยู่ข้างๆตั้งนานยังไม่รู้สึกตัวอีก ถ้าเกิดว่ามีใครทำมิดีมิร้ายกับเธอจะทำยังไง" มันก็จริงอย่างที่เขาว่า เพราะฉันไม่รู้สึกตัวเลยจริงๆ ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาตอนไหน แล้วทำไมเขาถึงได้มานอนอยู่ข้างๆฉันได้หล่ะ? พอคิดได้อย่างนั้นฉันเลยถามออกไป "แล้วคุณเข้ามาห้องฉันได้ยังไงคะ แถมยังมานอนข้างๆฉันอีก นี่คุณคิดจะทำอะไรฉันคะ ไม่ได้นะคุณ! ถึงเราจะเป็นสามีภรรยากันก็จริง แต่มันก็แค่ในนาม คุณไม่มีสิทธิทำอะไรฉันนะคะ" พอฉันพูดจบเขาก็หัวเราะลั่นและพูดว่า "นี่เธอ! เพี้ยนหรือเปล่า? นี่บ้านฉัน ฉันก็ต้องมีกุญแจไขเข้ามาอยู่แล้ว ที่ฉันเข้ามาเพราะฉันเคาะประตูเรียกเธอตั้งนานแล้วไม่มีเสียงตอบรับ ฉันกลัวว่าเธอจะเป็นอะไรเลยรีบเข้ามาดู แต่เห็นเธอยังนอนกรนอยู่แถมละเมอด้วย และฉันขอบอกตรงนี้เล
เมื่อเราสองคนได้ของขวัญและชุดที่จะใส่ไปออกงานแล้ว เราก็เดินทางไปสถานที่จัดงานทันที เราเดินทางมาถึงสถานที่หนึ่ง ที่เหมือนกับคฤหาสน์ที่ดูหรูหราเหมือนกับในละคร ทางเข้าสองข้างทางมีดอกไม้หลากสียาวไปจนถึงตัวคฤหาสน์ ข้างหน้าก่อนเข้าไปในตัวอาคารมีน้ำพุขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ทุกอย่างมันเหมือนกับเราอยู่ในฉากละครฉากหนึ่ง ที่เป็นฉากของพวกไฮโซมางานเลี้ยงกัน ทุกคนแต่งตัวจัดเต็มไม่มีใครยอมใคร ทั้งหญิงและชายแต่งตัวดูดีกันทุกคน เมื่อเราสองคนเดินเข้าไปในงาน สิ่งที่ฉันเห็นคือ ความสวยงามอลังการงานสร้าง ยิ่งกว่าอยู่ในละครเสียอีก ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่ของแพงๆ จะหยิบจะจับอะไรทีต้องระวังอย่างมาก เพราะกลัวว่าถ้าทำพังจะไม่มีปัญญาจ่าย ในขณะที่ฉันกำลังยืนอึ้งอยู่นั้น เขาก็จับมือฉันและพูดว่า "อย่ายืนอึ้งนาน ถึงเธอจะทำอะไรพังก็ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันชดใช้ให้ เราไปหาคุณปู่กันเถอะ" เขาพูดพร้อมยิ้มเยาะฉัน และเราก็เดินไปหาคุณปู่เพื่อมอบของขวัญให้ "คุณปู่สวัสดีค่ะ สุขสันต์วันเกิดนะคะคุณปู่ ริสาขอให้คุณปู่มีอายุยืนนานอยู่กับหลานๆไปนานๆนะคะ" ฉันกล่าวสวัสสดีพร้อมอวยพรท่าน และท่านก็หัวเราะชอบใจและ
ตอนเป็นเด็ก ฉันเคยฝันอยากเป็นเจ้าหญิงที่ได้แต่งงานกับเจ้าชายรูปงามและครองรักกันอย่างมีความสุขตราบนานเท่านาน แต่พอฉันเติบโตขึ้น จึงทำให้ได้รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ความฝัน ในชีวิตจริงการที่เราได้พบเจอคนดีๆสักคน คนที่เขารักเราจริงไม่ทิ้งเราไปไหนไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรก็ตาม เขาก็จะอยู่เคียงข้างเราเสมอ ถ้าฉันได้เจอกับคนๆนั้นฉันจะรักษาเขาไว้ให้ดีที่สุดในขณะที่ฉันกำลังฝันถึงเจ้าชายรูปงามที่กำลังจะได้จุมพิตกันอยู่นั้น จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นทำให้ฉันสะดุ้งตื่นจากฝัน "กริ๊งงงงงงงงง" มันเป็นเสียงโทรศัพท์นั่นเอง แล้วฉันก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันอยู่ใกล้ๆฉัน ฉันจึงลืมตาขึ้นดู แล้วฉันก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในอ้อมแขนของใครสักคน ฉันจึงนึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ ฉันจึงได้รู้ว่าอ้อมแขนนี้เป็นของใครและนั่นก็ทำให้ฉันรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้า ฉันจึงค่อยๆขยับตัวลุกออกมาจากตรงนั้น แต่ก็มีเสียงพูดขึ้นมาว่า "ตื่นแล้วหรือ หลับสบายไหมยัยขี้เซา" ครั้งนี้เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนพร้อมด้วยรอยยิ้มที่เห็นแล้วละลาย ทำให้ฉันเคลิ้มไปอยู่ครู่หนึ่ง "ขอโทษนะคะ ที่ฉันมานอนตรงนี้ คุณคงจะอึดอันน่าดู ฉันจะรีบกลับห้องตัวเองเด
จากคำพูดที่เขาพูดมาเมื่อกี้นี้ทำให้ฉันรู้สึกสับสนไปหมด ทำไมเขาถึงพูดแบบนั้นออกมากันนะ ในใจฉันได้แต่สงสัย แต่ฉันก็ต้องเก็บความสงสัยนั้นไว้ก่อนเพราะตอนนี้เรามีคนเมาสองคนที่ต้องดูแลฉันให้เจ็ทช่วยพยุงเขาขึ้นไปบนห้อง เจ็ทก็แบกไปบ่นไป "โอ๊ย! คนอะไรตัวหนักเป็นบ้า กินอะไรเข้าไปเนี่ยพ่อคุณ นี่ฉันเป็นหมอนะไม่ใช่กรรมกรแบกหาม ทำไมฉันต้องมาแบกคนเมาถึงสองคนเลยเนี่ย" ฉันจึงหันไปบอกกับเจ็ทว่า "หรือแกจะให้ฉันแบกเขาขึ้นมาคนเดียวห๊ะ! แกดูตัวฉันและดูตัวเขา ขืนฉันแบกคนเดียวก็ได้โดนเขาทับแบนกันพอดี" ฉันพูดสวนกลับเจ็ทจึงเงียบไป ฉันกับเจ็ทพาเขามานอนที่เตียงจากนั้นก็ลงไปดูยัยจินต่อ สภาพยัยจินดูไม่เป็นท่าเจ็ทเลยพายัยจินกลับก่อนเพราะกลัวว่ายัยจินจะลุกขึ้นมาโวยวายอีกเมื่อเจ็ทกับจินกลับกันไปแล้วฉันจึงขึ้นไปดูคุณศรันย์ เมื่อฉันเดินขึ้นมาถึงห้อง ภาพที่ฉันเห็นคือเขานอนขดตัวเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง ฉันจึงเผลอยิ้มออกมาด้วยความน่ารักของเขา ฉันไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาเห็นภาพแบบนี้มาก่อน เพราะอย่างที่รู้กัน เขาเป็นคนสุขุมเยือกเย็น ท่าทางน่ากลัวน่าเกรงขาม ใครจะคิดว่าคนแบบนี้พอเมาแล้วจะน่ารักขนาดนี้ ฉันเดินไปหย
เมื่อเราได้ร่ำลาพี่มีนาเสร็จแล้วเราสองคนก็เดินทางกลับกรุงเทพฯทันที เมื่อมาถึงเราก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อนเมื่อฉันเปิดประตูห้องได้ก็รีบทิ้งตัวลงบนที่นอนทันที ราวกับคนที่เหนื่อยล้าไร้เรี่ยวแรงและไม่อยากขยับตัวทำอะไรทั้งนั้น ฉันนอนกลิ้งไปกลิ้งมาได้สักพักก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น กริ๊งงงงงงงง!!!! สายเรียกเข้านั้นเป็นของเพื่อนรักหมายเลข1ฉันจึงรีบกดรับสายทันที "ฮัลโหล ฉันรู้ว่าแกกลับมาจากเชียงใหม่แล้ว ฉันกับเจ็ทกำลังไปหาแก ตอนที่แกไม่อยู่เจ็ทมันบ่นคิดถึงแกมากจนฉันรำคาญเลยต้องพามันมาหาแก อีก10นาทีเจอกันฉันใกล้จะถึงบ้านแกแล้ว" แล้วนางก็กดวางสายไปโดยที่ฉันยังไม่ทันได้พูดอะไรเหมือนเคย 10นาทีผ่านไปจินกับเจ็ทก็มาถึง เมื่อทั้งสองเห็นฉันจึงรีบวิ่งเข้ามากอดทันที ในขณะที่เราสามคนกำลังกอดกันอยู่นั้น จู่ๆก็มีเสียงตะโกนมาจากข้างบนชั้นสองว่า "ทำอะไรกันหน่ะ! เอะอะโวยวายเสียงดังน่ารำคาญ แล้วนี่อะไร มายืนกอดกันอย่างกับไม่เจอกันเป็น10ปี แล้วนายหน่ะกล้าดียังไงมากอดภรรยาของคนอื่นเค้าห๊ะ!" เสียงนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณเจ้าของบ้าน เมื่อเขาพูดจบก็รีบวิ่งลงมาแล้วผลักเจ็ทกระเด็นออกไปทันที แล้
หลังจากที่ผมได้เจอกับมีนาอีกครั้งผมตั้งใจว่าวันนี้จะลาเธอครั้งสุดท้ายแล้วกลับกรุงเทพฯ แต่ว่าคุณยายของมาริสาท่านขอให้เราอยู่ต่อและผมคิดว่าผมควรจะให้เธออยู่ต่อเพื่อเป็นการขอบคุณเธอที่พาผมมาที่นี่ ตอนแรกเธอจะให้ผมกลับไปก่อนแล้วเธอจะตามไปทีหลังแต่เพราะว่ามีบางอย่างกวนใจผมอยู่ผมจึงไม่อยากให้เธออยู่ที่คนเดียว บางอย่างที่ว่าก็คือพี่ชายข้างบ้านที่ชอบมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆเธอจนผมรู้สึกรำคาญวันนี้เป็นวันที่อากาศแจ่มใส เธอจึงชวนผมไปเที่ยวถ่ายรูปด้วยกัน ผมก็ไม่ได้อยากไปสักเท่าไหร่แต่ก็ไม่อยากให้เธอต้องไปเพียงลำพังจึงยอมไปเป็นเพื่อนเธอ เมื่อมาถึงที่หมายเธอก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีอกดีใจ เหมือนเด็กน้อยที่พ่อพามาเที่ยวไม่มีผิด ผมเห็นท่าทีของเธอแล้วก็เผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว ไม่รู้ทำไมผมจึงหุบยิ้มไม่ได้ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เธอหันมา นี่เป็นรอยยิ้มแรกในรอบหลายปีของผมมันจึงทำให้รู้สึกแปลกๆอยู่เหมือนกัน ผมเฝ้ามองเธออยู่ไม่ไกล เธอวิ่งเล่นไปมาจนเริ่มหมดแรง เธอจึงชวนผมหาที่นั่งพักทานอาหารกลางวันกัน เราเดินไปเจอที่ๆหนึ่งใกล้ธารน้ำจึงตัดสินใจนั่งพักกันที่นั่น เธอถามผมว่าจะทานอะไร ผมจึงบอกไปว่าขอกาแฟแก้วเดียวก็พอแต่