ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ จากคนที่เคยคิดว่าไม่น่าจะมารักกันได้ ก็กลับกลายเป็นว่าได้มารักกัน และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
นี่ก็ผ่านมาสามเดือนแล้วหลังจากวันที่ฉันและคุณศรันย์ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน ในทุกๆวันที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างสามีและภรรยาเรามีความสุขกันมาก คุณศรันย์เคยขอฉันแต่งงานใหม่ แต่ฉันก็ปฏิเสธไป เพราะเราได้แต่งงานกันไปครั้งนึงแล้ว ถึงแม้ว่าการแต่งงานในตอนนั้นมันจะเป็นงานแต่งงานหลอกๆก็ตาม แต่ความรู้สึกที่เรามีให้กันในตอนนี้มันคือของจริง ฉันจึงคิดว่ามันไม่จำเป็นที่เราจะต้องจัดงานแต่งงานขึ้นมาอีก ปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว นี่ก็ใกล้จะถึงวันครบรอบ 30 ปีที่ก่อตั้งบริษัท เดอะวันแล้ว ฉันและคุณศรันย์เรายุ่งกับการเตรียมงานกันอย่างมาก เพราะเราตั้งใจว่าจะทำให้ทุกคนที่มางานได้รับความสุขกลับไป ธีมส์ของงานในครั้งนี้คือ "วันพิเศษ แด่คนที่พิเศษ" รายละเอียดของงานคืออยากให้คนที่มาร่วมงานได้บอกความรู้สึกที่มีให้อีกฝ่ายได้รับรู้ หากอีกฝ่ายตอบรับความรู้สึกนั้น เรามีของรางวัลให้ไปเที่ยวพักรีสอร์ท 2วัน 1คืน (ซึ่งแน่นอนว่ารีสอร์ทนั้นเป็นของบ้านฉันเอง) ในขณะที่เรากำลังเตรียมงานกันอยู่นั้น จู่ๆฉันก็รู้สึกเวียนหัวและหมดสติไป รู้สึกตัวอีกทีก็มีเจ็ทมายืนกอดอกอยู่ข้างๆและทำหน้าตาสงสัย ฉันจึงเอ่ยปากถามเจ็ทไปว่า "ทำไมแกทำหน้าแบบนั้น นี่ฉันเป็นอะไรร้ายแรงหรือเปล่า? ฉันคิดว่าแค่พักผ่อนไม่เพียงพอเสียอีก แต่อาการฉันมันแย่กว่านั้นใช่ไหม?" เจ็ทอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งและถามกลับฉันว่า "แกน่ะ ไม่มีเมนส์มากี่เดือนแล้ว" ซึ่งบอกตามตรงว่าฉันก็งงๆกับคำถามของเจ็ทอยู่เหมือนกัน เพราะปกติเจ็ทจะไม่เคยถามเรื่องแบบนี้กับฉันเลย ฉันจึงตอบกลับไปว่า "ก็ประมาณ 2เดือนแล้วมั้ง ช่วงนี้ฉันยุ่งๆน่ะไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อน คิดว่ามันอาจจะคลาดเคลื่อนไปบ้าง ทำไมหรอ? นี่ฉันเป็นอะไร?" ฉันเริ่มใจคอไม่สู้ดีนัก ยิ่งเห็นเพื่อนทำหน้าตาจริงจังแบบนั้น ฉันยิ่งรู้สึกกลัวเข้าไปใหญ่ จากนั้นเจ็ทก็ยื่นบางอย่างให้ฉันและพูดว่า "แกท้องได้ 2เดือนครึ่งแล้ว นี่แกไม่รู้ตัวเลยหรือไง?" ในวินาทีนั้นฉันรู้สึกตื้อไปหมด มันเป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ รู้แค่เพียงว่ามันรู้สึกตื้นตัน และดีใจจนน้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัว สิ่งที่เจ็ทยื่นมาให้ฉันนั่นก็คือ ฟิล์มอัลตร้าซาวด์ นั่นคือครั้งแรกที่ฉันได้เห็นหน้าลูก ในตอนนั้นฉันรู้ทันทีเลยว่านับจากนี้ไปโลกของฉันจะมีแค่ลูกเท่านั้น ฉันนั่งยิ้มดีใจน้ำตาไหลอาบแก้มอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ได้ยินเจ็ทพูดกับฉันว่า "นี่แกหยุดร้องไห้ก่อนได้ไหม เดี๋ยวใครมาเห็นเขาจะหาว่าฉันทำแกร้องไห้หรอก แล้วสรุปแกจะเอาไงต่อ จะให้ฉันบอกคุณศรันย์ไหมว่าแกท้อง" เมื่อได้ยินเจ็ทพูดแบบนั้นสติฉันก็กลับมา แล้วตอบกลับเจ็ทไปว่า "ยังก่อน! ฉันจะเก็บไว้เซอร์ไพรส์เขาทีหลัง ฉันอยากขอให้แกช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับได้ไหม ถ้าเขาถามแกก็บอกเขาไปว่าฉันแค่พักผ่อนน้อย นะๆๆๆ" ฉันทำเสียงออดอ้อนขอร้องเจ็ทเหมือนเด็กน้อย เจ็ทคงรำคาญจึงตบปากรับคำขอของฉัน จากนั้นไม่นานคุณศรันย์ก็เข้ามาแบบหน้าตาตื่นตระหนก ฉันจึงรีบเก็บฟิล์มอัลตร้าซาวด์ทันที "ตกลงมาริสาเป็นอะไรครับ? ร้ายแรงหรือเปล่า?" เขารนรานรีบถามเจ็ททันทีที่เข้ามาถึงในห้องตรวจ เจ็ทมองหน้าฉันแล้วจึงหันไปตอบคำถามคุณศรันย์ "ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ ยัยนี่คงพักผ่อนน้อยและโหมงานหนักไปหน่อยน่ะครับ เลยทำให้เป็นลม" เมื่อคุณศรันย์ได้ฟังแบบนั้นก็ถอนหายใจเหมือนโล่งอก แล้วหันมาพูดกับฉันว่า "ต่อไปคุณต้องดูแลตัวเองให้มากๆนะ นี่ก็ใกล้วันงานแล้วผมยังอยากให้คุณมายืนข้างผมในตอนทำพิธีเปิดงานนะ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นพร้อมรอยยิ้มที่อ่อนโยน ทำให้ฉันซึ้งตรึงใจ จากนั้นเขาก็หันไปถามเจ็ทว่า "งั้นถ้าไม่เป็นอะไรมาก ผมขอตัวพามาริสากลับก่อนนะครับ ขอบคุณมากนะครับ" เจ็ทพยักหน้าและผายมือเพื่อเป็นสัญญาณเชิญ เมื่อถึงวันงาน ฉันรู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าใครที่จะได้มอบของขวัญสุดพิเศษให้กับคนที่ฉันรัก และฉันมั่นใจว่าเขาจะต้องดีใจกับของขวัญชิ้นนี้เป็นแน่ ภายในงานมีแขกผู้ใหญ่มากมาย และผู้ที่เข้ามาร่วมงานก็เยอะเช่นกัน งานดำเนินไปเรื่อยๆจนมาถึงช่วงท้ายงาน คุณศรันย์ต้องขึ้นไปกล่าวปิดงานซึ่งแน่นอนว่าฉันก็ต้องขึ้นไปด้วย ในขณะที่เขากล่าวปิดงานอยู่นั้น ฉันที่ยืนมองเขาอยู่จากทางด้านหลังก็ได้แต่คิดในใจว่า ฉันโชคดีมากที่ได้ผู้ชายคนนี้มาเป็นสามี และฉันมั่นใจว่าเขาจะต้องเป็นพ่อทีี่ดีของลูกเช่นกัน เมื่อเขากล่าวปิดงานจบทุกคนก็ปรบมือเสียงดังสนั่น และฉันก็เดินเข้าไปมอบของขวัญชิ้นนี้ให้เขาด้วยตัวเอง เขาทำหน้างงๆที่จู่ๆฉันก็มีของขวัญไปให้ ฉันยิ้มและพูดกับเขาว่า "ลองเปิดดูสิคะ! ฉันว่าคุณต้องชอบมากแน่ๆ" เขาได้ยินดังนั้นก็ไม่รอช้ารีบแกะกล่องทันที เมื่อกล่องถูกเปิดสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป สีหน้าเขาดูช็อคไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ร้องไห้ออกมา และเข้ามาโอบกอดฉันพร้อมกับพูดว่า "ขอบคุณนะมาริสา ฉันดีใจมากๆเลย ฉันไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีวันนี้เลยจริงๆ ฉันขอบคุณเธอมากนะ จากนี้ไปฉันจะดูแลเธอและลูกให้ดีที่สุด" เขาพูดกับฉันจบก็รีบคว้าไมค์มาเพื่อที่จะประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ "ทุกคนครับ! วันนี้ผมมีข่าวดีจะบอกครับ! ผมจะได้เป็นพ่อคนแล้วครับ ภรรยาผมท้องแล้วครับ!" เขาพูดและยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความดีใจ ทุกคนในงานปรบมือและส่งเสียงเฮดังสนั่น และเขาก็เดินมากอดฉันอีกครั้งพร้อมกับเอามือมาลูบที่ท้องของฉันอย่างอ่อนโยน งานในค่ำคืนนี้จบลงไปอย่างมีความสุขอย่างที่ฉันตั้งใจเอาไว้ นับตั้งแต่วันนั้น คุณศรันย์ก็ดูแลฉันดียิ่งกว่าเดิม จะไปไหนหรือทำอะไรก็ต้องมีคนคอยติดตามไปด้วยเสมอ ถึงแม้ฉันจะบอกกับเขาว่ามันดูโอเวอร์ไป แต่เขาก็ไม่ฟัง เราสองคนใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขโดยมีลูกเป็นโลกทั้งใบ เราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรเราจึงต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด ใส่ใจดูแลซึ่งกันและกันให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ประคับประครองความรักของเราไปจนกว่าจะตายจากกัน ชีวิตคนเรานั้นมันสั้น เพราะฉะนั้นหมั่นดูแลใส่ใจคนที่เรารักให้มากที่สุด เพราะวันนึงเราอาจจะไม่มีโอกาสได้ทำแบบนี้อีกแล้ว... ...จบบริบูรณ์...ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ จากคนที่เคยคิดว่าไม่น่าจะมารักกันได้ ก็กลับกลายเป็นว่าได้มารักกัน และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขนี่ก็ผ่านมาสามเดือนแล้วหลังจากวันที่ฉันและคุณศรันย์ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน ในทุกๆวันที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างสามีและภรรยาเรามีความสุขกันมาก คุณศรันย์เคยขอฉันแต่งงานใหม่ แต่ฉันก็ปฏิเสธไป เพราะเราได้แต่งงานกันไปครั้งนึงแล้ว ถึงแม้ว่าการแต่งงานในตอนนั้นมันจะเป็นงานแต่งงานหลอกๆก็ตาม แต่ความรู้สึกที่เรามีให้กันในตอนนี้มันคือของจริง ฉันจึงคิดว่ามันไม่จำเป็นที่เราจะต้องจัดงานแต่งงานขึ้นมาอีก ปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้ก็ดีอยู่แล้วนี่ก็ใกล้จะถึงวันครบรอบ 30 ปีที่ก่อตั้งบริษัท เดอะวันแล้ว ฉันและคุณศรันย์เรายุ่งกับการเตรียมงานกันอย่างมาก เพราะเราตั้งใจว่าจะทำให้ทุกคนที่มางานได้รับความสุขกลับไป ธีมส์ของงานในครั้งนี้คือ "วันพิเศษ แด่คนที่พิเศษ" รายละเอียดของงานคืออยากให้คนที่มาร่วมงานได้บอกความรู้สึกที่มีให้อีกฝ่ายได้รับรู้ หากอีกฝ่ายตอบรับความรู้สึกนั้น เรามีของรางวัลให้ไปเที่ยวพักรีสอร์ท 2วัน 1คืน (ซึ่งแน่นอนว่ารีสอร์ทนั้นเป็นของบ้านฉันเอง) ในขณะที่เรากำลังเตรียมง
ช่วงเวลาในตอนนี้มันช่างพิเศษเสียเหลือเกิน ฉันได้อยู่ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของชายที่ฉันไม่คิดว่าจะได้มารักกัน ใบหน้าของฉันแนบกับหน้าอกของเขาและได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ราวกับว่าหัวใจดวงนั้นจะระเบิดออกมาใส่หน้าฉันเสียให้ได้ เรายืนกอดกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขาก็พูดกับฉันว่า "ฉันว่าเรามาจบสัญญานี่กันดีกว่านะ" เมื่อฉันได้ยินแบบนั้นก็หน้าซีดและใจสั่น น้ำตาก็ไหลมาคลอๆที่เบ้าตา ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอตอบกลับเขาไปว่า "ที่คุณทำมาทั้งหมดนี้เพียงเพื่ออยากจะจบสัญญานี่หรือคะ ได้ค่ะ! งั้นเรามาจบสัญญากันเถอะ!" ฉันพูดจบก็หันหลังเพื่อที่จะเดินหนีออกไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด เพราะไม่อยากให้เขาเห็นน้ำตาของฉันในขณะที่ฉันกำลังหันหลังเพื่อก้าวเดินหนีไปนั้น เขาก็คว้าแขนของฉันแล้วดึงกลับไปกอดอีกครั้งแล้วพูดว่า "นี่! ฟังฉันพูดให้จบก่อนสิ! เธอจะรีบไปไหน ทำตัวเป็นนางเอกละครไปได้ ที่ฉันหมายถึงก็คือให้เรายุติสัญญาจอมปลอมนี่ แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่ต่างหาก ยัยบื้อเอ๊ย!" เมื่อได้ยินแบบนั้นฉันก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก โอ้ย!ทำไมฉันถึงได้ทำอะไรน่าอายแบบนั้นกันนะ! ยัยมาริสายัยโง่เอ๊ย! "ขอโทษนะคะ ที่ฉันด่ว
ในชีวิตฉันเคยหวังว่าสักวันหนึ่งจะมีคนมาทำเซอร์ไพรส์วันเกิดให้ แล้วในวันนั้นฉันคงจะมีความสุขมากๆ แต่ไม่คิดว่าวันนั้นที่ฉันหวังเอาไว้จะมาถึง เพราะเขาคนนี้ทำให้ความหวังของฉันเป็นจริง ความสุขที่คิดไว้ก็เกิดขึ้นจริง และมากกว่าที่คาดคิดไว้เสียอีกในตอนแรกฉันก็ไม่เข้าใจว่าเขาทำทั้งหมดนี้เพื่ออะไร จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี แต่ฉันก็มีความสุขมากกับสิ่งที่เขาทำให้ ไม่ว่าเขาจะทำไปเพื่ออะไรก็ตาม ขอแค่ให้เขาอยู่ข้างฉันแบบนี้ก็พอ คำอธิฐานในวันเกิดปีนี้ที่ฉันอยากจะขอก็คือ ฉันอยากให้เราได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปตลอดกาล และไม่อยากให้สัญญาจอมปลอมนั้นต้องจบลง เพราะตอนนี้ใจของฉันไม่ใช่ของฉันอีกต่อไปแล้วฉันยืนหลับตาและอธิฐานอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงพูดขึ้นมาว่า "นี่เธอ! จะขออะไรหนักหนา เธอขอนานไปแล้วนะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คงให้เธอไม่ไหวหรอก ฮ่าฮ่าฮ่า" เสียงนั้นทำเอาฉันต้องรีบลืมตาขึ้นมาทันที เพราะกลัวว่าหากฉันหลับตานานกว่านี้เขาอาจจะพูดแซวฉันอีกก็เป็นได้ "ก็คุณเป็นคนบอกให้ฉันอธิฐานเองนี่คะ ฉันก็เลยขอเยอะหน่อย เผื่อว่าจะสมหวังกับเขาบ้าง" ฉันพูดตอบกลับเขา และเขาก็ถามฉันกลับมาว่า "แล้วเธอขออะไร
หลังจากงานเลี้ยงจบลง ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ วันเวลาผ่านไปได้สองเดือนครึ่งแล้วหลังจากที่เราแต่งงานกัน เหลือเวลาอีก15วันเท่านั้น สัญญาของเราสองคนก็จะจบลงวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ฉันตื่นมาตามปกติ แต่ที่แปลกไปจากเดิมก็คือ ฉันลืมตามมาเจอเขานอนอยู่ข้างๆพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้และพูดทักทายฉันว่า "อรุณสวัสดิ์ ตื่นเสียทีนะยัยขี้เซา ฉันมานอนอยู่ข้างๆตั้งนานยังไม่รู้สึกตัวอีก ถ้าเกิดว่ามีใครทำมิดีมิร้ายกับเธอจะทำยังไง" มันก็จริงอย่างที่เขาว่า เพราะฉันไม่รู้สึกตัวเลยจริงๆ ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาตอนไหน แล้วทำไมเขาถึงได้มานอนอยู่ข้างๆฉันได้หล่ะ? พอคิดได้อย่างนั้นฉันเลยถามออกไป "แล้วคุณเข้ามาห้องฉันได้ยังไงคะ แถมยังมานอนข้างๆฉันอีก นี่คุณคิดจะทำอะไรฉันคะ ไม่ได้นะคุณ! ถึงเราจะเป็นสามีภรรยากันก็จริง แต่มันก็แค่ในนาม คุณไม่มีสิทธิทำอะไรฉันนะคะ" พอฉันพูดจบเขาก็หัวเราะลั่นและพูดว่า "นี่เธอ! เพี้ยนหรือเปล่า? นี่บ้านฉัน ฉันก็ต้องมีกุญแจไขเข้ามาอยู่แล้ว ที่ฉันเข้ามาเพราะฉันเคาะประตูเรียกเธอตั้งนานแล้วไม่มีเสียงตอบรับ ฉันกลัวว่าเธอจะเป็นอะไรเลยรีบเข้ามาดู แต่เห็นเธอยังนอนกรนอยู่แถมละเมอด้วย และฉันขอบอกตรงนี้เล
เมื่อเราสองคนได้ของขวัญและชุดที่จะใส่ไปออกงานแล้ว เราก็เดินทางไปสถานที่จัดงานทันที เราเดินทางมาถึงสถานที่หนึ่ง ที่เหมือนกับคฤหาสน์ที่ดูหรูหราเหมือนกับในละคร ทางเข้าสองข้างทางมีดอกไม้หลากสียาวไปจนถึงตัวคฤหาสน์ ข้างหน้าก่อนเข้าไปในตัวอาคารมีน้ำพุขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ทุกอย่างมันเหมือนกับเราอยู่ในฉากละครฉากหนึ่ง ที่เป็นฉากของพวกไฮโซมางานเลี้ยงกัน ทุกคนแต่งตัวจัดเต็มไม่มีใครยอมใคร ทั้งหญิงและชายแต่งตัวดูดีกันทุกคน เมื่อเราสองคนเดินเข้าไปในงาน สิ่งที่ฉันเห็นคือ ความสวยงามอลังการงานสร้าง ยิ่งกว่าอยู่ในละครเสียอีก ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่ของแพงๆ จะหยิบจะจับอะไรทีต้องระวังอย่างมาก เพราะกลัวว่าถ้าทำพังจะไม่มีปัญญาจ่าย ในขณะที่ฉันกำลังยืนอึ้งอยู่นั้น เขาก็จับมือฉันและพูดว่า "อย่ายืนอึ้งนาน ถึงเธอจะทำอะไรพังก็ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันชดใช้ให้ เราไปหาคุณปู่กันเถอะ" เขาพูดพร้อมยิ้มเยาะฉัน และเราก็เดินไปหาคุณปู่เพื่อมอบของขวัญให้ "คุณปู่สวัสดีค่ะ สุขสันต์วันเกิดนะคะคุณปู่ ริสาขอให้คุณปู่มีอายุยืนนานอยู่กับหลานๆไปนานๆนะคะ" ฉันกล่าวสวัสสดีพร้อมอวยพรท่าน และท่านก็หัวเราะชอบใจและ
ตอนเป็นเด็ก ฉันเคยฝันอยากเป็นเจ้าหญิงที่ได้แต่งงานกับเจ้าชายรูปงามและครองรักกันอย่างมีความสุขตราบนานเท่านาน แต่พอฉันเติบโตขึ้น จึงทำให้ได้รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ความฝัน ในชีวิตจริงการที่เราได้พบเจอคนดีๆสักคน คนที่เขารักเราจริงไม่ทิ้งเราไปไหนไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไรก็ตาม เขาก็จะอยู่เคียงข้างเราเสมอ ถ้าฉันได้เจอกับคนๆนั้นฉันจะรักษาเขาไว้ให้ดีที่สุดในขณะที่ฉันกำลังฝันถึงเจ้าชายรูปงามที่กำลังจะได้จุมพิตกันอยู่นั้น จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นทำให้ฉันสะดุ้งตื่นจากฝัน "กริ๊งงงงงงงงง" มันเป็นเสียงโทรศัพท์นั่นเอง แล้วฉันก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันอยู่ใกล้ๆฉัน ฉันจึงลืมตาขึ้นดู แล้วฉันก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในอ้อมแขนของใครสักคน ฉันจึงนึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ ฉันจึงได้รู้ว่าอ้อมแขนนี้เป็นของใครและนั่นก็ทำให้ฉันรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้า ฉันจึงค่อยๆขยับตัวลุกออกมาจากตรงนั้น แต่ก็มีเสียงพูดขึ้นมาว่า "ตื่นแล้วหรือ หลับสบายไหมยัยขี้เซา" ครั้งนี้เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนพร้อมด้วยรอยยิ้มที่เห็นแล้วละลาย ทำให้ฉันเคลิ้มไปอยู่ครู่หนึ่ง "ขอโทษนะคะ ที่ฉันมานอนตรงนี้ คุณคงจะอึดอันน่าดู ฉันจะรีบกลับห้องตัวเองเด