บทนำ
“...ฉันชอบเธอ”
“อะไรนะ”
“ริสา ฉันรู้ว่าเธอได้ยิน”
“กฤษณ์ แน่ใจนะว่านายไม่ได้เป็นไข้” คาริสาหัวเราะกลบเกลื่อน พร้อมกับยื่นมือออกไป ทำท่าจะแตะหน้าผากของเด็กหนุ่มเพื่อวัดไข้
“ไม่เอาน่า ฉันกำลังจริงจังนะ” กฤษณ์เบี่ยงศีรษะหลบหลังมือของคนตัวเล็ก ใบหน้าคมดูเคร่งเครียด ไม่มีแววล้อเล่นสักนิด ท่าทางแบบนี้ทำให้เด็กสาวที่นึกว่าเพื่อนแกล้งนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
ผ่านไปเกือบสองนาที คาริสาถึงได้เอ่ยปากทำลายความเงียบระหว่างพวกเขาสองคน “แต่เราเพิ่งจบ ม.ปลาย เองนะ อนาคตก็ไม่รู้จะเป็นยังไง ให้มาคิดเรื่องมีแฟนตอนนี้...ฉันว่าเร็วไปสิบปี”
“ได้...สิบปี”
“...” คาริสารู้สึกเหมือนตนเองตามอะไรไม่ค่อยทัน
“ถ้าสิบปีฉันยังไม่เปลี่ยนใจ แล้วเธอยังไม่มีใคร เรามาแต่งงานกัน” พอมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่เหมือนจะมีเครื่องหมายคำถามแปะเอาไว้กลางหน้าผาก กฤษณ์จึงขยายความให้ด้วยเสียงดังฟังชัด
แต่นั่นกลับทำให้ดวงตาที่กลมโตอยู่แล้วเบิกกว้างขึ้นอีก
คาริสาไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นบ้า หรืออ่านนิยายน้ำเน่ามากเกินไปกันแน่ แต่นัยน์ตาสีนิลคมเข้มที่ฉายแววจริงจังกลับทำให้เธอไม่กล้าหัวเราะ
“ได้...ถ้าถึงวันนี้ในอีกสิบปีข้างหน้า แล้วฉันยังไม่มีใคร ก็จะรับนายไว้เป็นเจ้าบ่าว” คาริสายิ้มตอบ แต่ในใจไม่เชื่อสักนิดว่าอีกฝ่ายจะรอตนเองได้นานถึงสิบปี ดีไม่ดีไปเจอน้องใหม่ที่มหาวิทยาลัยก็ลืมเธอแล้ว
“งั้นรอตรงนี้เดี๋ยว ห้ามไปไหนนะ” ว่าแล้วร่างสูงก็แล่นไปยังอาคารเรียนด้วยความเร็วราวสัญญาณอินเทอร์เน็ตระดับ 4G
ผ่านไปสิบนาที เด็กหนุ่มที่หายตัวไปก็วิ่งกลับมา พอมาถึงก็ดึงสาวน้อยที่ยืนรอเขาจนขาแข็งไปยังม้าหินที่อยู่ไม่ไกล หลังจากปล่อยมือ ก็คลี่กระดาษขนาดเอสี่จำนวนสองใบลงบนโต๊ะ แล้วล้วงปากกาออกมาจากกระเป๋าเสื้อวางไว้เคียงกัน
“อะไรของนาย” คาริสามองกระดาษสลับกับใบหน้าที่กำลังยิ้มร้ายของกฤษณ์อย่างงุนงง
“สัญญาแต่งงานไงล่ะ” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“สะ...สัญญาอะไรนะ” ดวงตาของคาริสาเบิกกว้างเป็นหนที่สองของวัน คิดไม่ถึงว่ากฤษณ์จะมาไม้นี้
“สัญญาแต่งงานไงล่ะ พูดปากเปล่าจะไปมีน้ำหนักอะไร เดี๋ยวเธอบอกว่าจำไม่ได้ ฉันก็แย่น่ะสิ”
“เอางี้จริงดิ”
“เออ...เอางี้แหละ”
สาวน้อยตวัดหางตาใส่เด็กหนุ่มอย่างรำคาญทีหนึ่ง ก่อนคว้าปากกาลูกลื่นมาเซ็นชื่อตนเองลงไปในกระดาษอย่างขอไปที จากนั้นก็มองอีกฝ่ายเซ็นชื่อจนเสร็จ
“สัญญาฉบับนี้มีสองใบ ต่างคนต่างเก็บไว้ หลังจากครบกำหนดสัญญา หากอีกหนึ่งปีให้หลังไม่มีใครทวงถาม สัญญาฉบับนี้ถือว่าสิ้นสุด” เด็กหนุ่มร่ายข้อตกลงราวกับนักกฎหมายที่เธอเคยดูในซีรีส์สืบสวนสอบสวน
“จ้า...ตามนั้น ดิฉันจะรอคุณชายกฤษณ์มาทวงสัญญานะเจ้าคะ” คาริสาจีบปากจีบคอ ทำเสียงสูงเลียนแบบตัวละครในซีรีส์ย้อนยุคที่ดูเมื่อคืน
“ถึงเวลาฉันมาจริง ๆ เธออย่าคิดเบี้ยวก็แล้วกัน”
ดิ๊งดะดิ๊ง ดะดิ๊ง...
พรึบ!
เสียงนาฬิกาปลุกดึงคาริสาออกจากความฝัน เธอเอื้อมมือไปคว้าสมาร์ตโฟนพลางใช้ปลายนิ้วกดลงบนคำว่า “ปิด” เพื่อหยุดเสียงเพลงที่ดังแสบแก้วหูนั่นทันที ในที่สุดห้องก็กลับคืนสู่ความสงบ
พอความง่วงงุนทุเลาเบาบาง คาริสาก็หวนคิดถึงความฝันที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
หลังจากวันนั้น เธอเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ ส่วนกฤษณ์ต้องย้ายตามบิดาซึ่งดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไปยังประเทศอังกฤษ จึงไม่ได้เข้าศึกษาที่เดียวกันตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก
เพียงเท่านี้กระดาษแผ่นนั้นก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว
คาริสาครุ่นคิดพลางมองไปยังกรอบรูปบานใหญ่ที่เธอตกแต่งไว้อย่างน่ารัก ภายในนั้นอัดแน่นไปด้วยความทรงจำในวันวาน เสื้อนักเรียนสีขาวที่ถูกขีดเขียนคำอวยพรและคำอำลาในวันปัจฉิมนิเทศ รูปถ่ายของนักเรียนชั้น ม.6/4 ดอกไม้ที่เธอได้รับในวันนั้น รวมไปถึงกระดาษเอสี่แผ่นหนึ่งที่ลงลายมือชื่อของเธอกับเด็กหนุ่มในความฝัน
คาริสาหัวเราะพลางส่ายศีรษะน้อย ๆ ในขณะที่มองกระดาษซึ่งถูกเขียนขึ้นเมื่อสิบปีก่อนแผ่นนั้น
สัญญานี้จะเป็นจริงได้อย่างไร ในเมื่อระยะทางห่างไกลไม่ใช่สิ่งเดียวที่เป็นอุปสรรค
แม้ใครต่อใครจะกล่าวว่าโลกทั้งใบถูกย่อลงด้วยพลังของสิ่งที่เรียกว่าโซเชียลมีเดีย
ต่อให้พวกเขาสามารถพบหน้ากันได้ผ่านวิดีโอคอล รับรู้เรื่องราวความเป็นไปของอีกฝ่ายผ่านไทม์ไลน์ของแอปพลิเคชันดังที่ขึ้นต้นด้วยตัวอักษร F ก็ตาม แต่ในโลกของความเป็นจริง ทั้งสองต่างมีสังคมของตัวเอง ดังนั้นนอกจากกดไลก์และคอมเมนต์ใต้รูปถ่ายหรือสเตตัสทั้งหลาย พวกเขาก็แทบไม่ได้พูดคุยเรื่องอื่น ๆ เหมือนสมัยเป็นเพื่อนร่วมชั้น
“ตอนนี้นายก็คงคิดว่ามันตลกเหมือนกันใช่ไหม” คาริสามองหน้าเด็กหนุ่มในรูปถ่ายแล้วพึมพำเบา ๆ
นี่ก็ผ่านไปสิบปีแล้ว คนก็อยู่ไกล ต่อให้ตอนนี้เธอและเขาต่างยังไม่มีคนรู้ใจ แต่สัญญาเด็กเล่นแบบนั้น ใครจะคิดเป็นจริงเป็นจังกันเล่า
คาริสาคิดว่าความเป็นไปได้ที่เขาจะกลับมานั้นน้อยมาก เธอเองก็ไม่ควรไปคิดเป็นจริงเป็นจังกับเรื่องที่ผ่านมานานแล้ว จึงสะบัดศีรษะเบา ๆ เพื่อไล่ความคิดออกไป ทว่าจู่ ๆ ก็มีอีกความคิดแวบเข้ามา
แต่ถ้าพ่อคุณดันบ้าดีเดือดกลับมาทวงสัญญาเข้าจริง ๆ เธอจะทำอย่างไร
เซย์เยส? หรือเซย์โน?
บ้าน่าริสา นี่เธอชักจะฟุ้งซ่านมากไปแล้ว
คาริสายกมือขึ้นเขกศีรษะตัวเองเบา ๆ เพื่อเรียกสติ แล้วลงความเห็นว่าตัวเองคงดูซีรีส์เกาหลีมากเกินไปจนเก็บเอาไปฝัน...
วันเวลาหลังจากย้ายแผนกผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรก็จะครบหนึ่งเดือนแล้ว คาริสาพบว่างานเลขาส่วนตัวของศรุตไม่ได้ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะเรียบง่าย สิ่งที่ต้องมีคือสติและความจำอันเยี่ยมยอด ซึ่งต้องขอบคุณที่เธอไม่ขาดสิ่งเหล่านี้ อีกทั้งนันทิยาก็เป็นครูสอนงานที่ดี แม้คาริสาจะบกพร่องและทำผิดพลาดไปบ้าง ก็ไม่เคยตีหน้ายักษ์ใส่เลยสักครั้ง ส่วนศรุตก็ทำตัวเป็นเจ้านายไปตามปกติ ไม่ได้แสดงท่าทีหรือดูแลเธอเป็นพิเศษ นับว่าพี่ชายเลี้ยงของเธอค่อนข้างรู้งาน เลยไม่มีสาว ๆ ที่หมายปองเขามาเขม่นเธออย่างที่กลัวแต่ทีแรก ด้วยเหตุนี้การฝึกงานจึงเป็นไปอย่างราบรื่น“ริสา ช่วยเอาเอกสารนี้ไปให้คุณศรุตเซ็นที อ้อ! นี่เป็นเอกสารด่วนนะ รู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง”“สบายมากค่ะพี่นัท” คาริสาเอื้อมมือไปหยิบแฟ้มสีดำมา แล้วลุกขึ้น เดินเข้าไปภายในห้องทำงานของศรุตพอเห็นหน้าพี่ชายเลี้ยงก็ยิ้มหวาน วางเอกสารลงตรงหน้าเขาอย่างนุ่มนวล แล้วส่งสายตารอคอย“เอกสารด่วนละสิ”“แหม...ถ้าพี่ศรุตไปเป็นพ่อหมอ ต้องดังแน่ ๆ”“ความจริงริสาไม่ต้องใช้มุกเอาใจเจ้านายตามแบบฉบับคุณนัทก็ได้ ยังไงพี่ก็ไม่กินหัวเราหรอก”“แหะ ๆ ก็ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ หรือพี่ศรุตอยากใ
กลางเดือน ดีที่เลยไตรมาสแรกของปีมาแล้ว ทำให้คาริสาเคลียร์งานที่คั่งค้างอยู่ทั้งหมดได้อย่างรวดเร็วหลังจากประกาศฉบับนี้ถูกปิดบนบอร์ด และอีเมลจากส่วนกลางส่งตรงถึงทุกคนอย่างเป็นทางการ เพื่อนร่วมงานในแผนกล่ามส่วนใหญ่ต่างเข้ามาแสดงความยินดีกับคาริสาตามปกติ แต่หนิงกับกุ้งเพื่อนสาวที่สนิทกับเธอกลับตื่นเต้นแทนเจ้าตัวเป็นการใหญ่ เพราะศรุตเป็น CEO รูปหล่อ ขวัญใจสาว ๆ ทั้งในและนอกบริษัท อีกอย่างเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อน พวกเธอสองคนดันพบเห็นคาริสานั่งกินข้าวกับศรุตในร้านอาหารบนห้างสรรพสินค้าดังเข้าโดยบังเอิญ จากเหตุการณ์นั้นสองสาวจึงตัดสินไปว่า การเลื่อนตำแหน่งหนนี้ของเพื่อนคนสวยต้องมีวาระซ่อนเร้นอย่างแน่นอนทว่าถึงจะคิดแบบนั้น หนิงกับกุ้งก็ไม่คิดเปิดโปงคาริสากับศรุตแต่ประการใด ทั้งยังลุ้นตัวโก่งให้พวกเขาลงเอยกันอีกต่างหาก“ริสา หล่อนทำบุญด้วยอะไร” จู่ ๆ หนิงก็โพล่งออกมา ในระหว่างที่ช่วยคาริสาเก็บข้าวของบนโต๊ะลงกล่อง“ดีจังเลยเนอะ ต่อไปแกจะได้เห็นหน้าเทพบุตรของพวกเราทุกวัน” กุ้งเงยหน้าขึ้น แล้วหันไปมองคาริสาด้วยแววตาซ่อนนัยบางอย่าง แต่พอเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเป๋อเหลอ ก็อดให้คำแนะนำเพิ่มเติมไม่ได้ “ริสา แ
“การหาเลขาสักคนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จะรับสมัครสุ่มสี่สุ่มห้าก็ไม่ได้ นอกจากต้องใช้ภาษาจีนและภาษาอังกฤษได้ในระดับดี คนคนนั้นต้องซื่อสัตย์ สามารถเก็บความลับของบริษัทได้ ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ คุณพรรณเขาถึงเลือกเรามาให้พี่ยังไงล่ะ”“คุณพรรณเสนอชื่อริสาเองจริง ๆ เหรอคะ” คาริสาถามย้ำอีกหน แต่น้ำเสียงอ่อนลงมาก เพราะที่ผ่านมาศรุตไม่เคยโกหกเธอเลยสักครั้ง“ริสาก็น่าจะรู้จักพี่ดี พี่คงไม่เสี่ยงให้งานเสียหาย เพียงเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัว แน่นอนว่าถ้าเราไม่ผ่านทดลองงาน พี่ก็คงต้องให้ฝ่ายบุคคลเฟ้นหาคนที่เหมาะสมกว่ามาทำหน้าที่นี้แทน” แม้มุมปากจะปรากฏรอยยิ้มน้อย ๆ แต่แววตาของศรุตกลับจริงจังเป็นที่สุด ทำให้คาริสารู้สึกว่าทั้งหมดคือความจริง“แต่ริสาไม่ได้จบด้านเลขานุการโดยเฉพาะนะคะ” ริมฝีปากสีชมพูยังคงส่งคำท้วงติงออกมาอีกหน“ถ้าคนที่ได้เกียรตินิยมอันดับสองอย่างเราจบสายตรงมาตั้งแต่แรก พี่กับคุณพ่อคงไม่ปล่อยเราไปทำงานในแผนกล่ามให้เสียเวลาหรอก ริสา...พี่เชื่อว่าเรารับมือได้” ศรุตให้ความเชื่อมั่นกับเธอด้วยน้ำเสียงมั่นคงหนักแน่น“ก็ได้ค่ะ ริสาจะลองดู” หลังจากนิ่งคิดถึงเหตุผลทั้งหมดอยู่ครู่หนึ่ง คาริสาก็เลือก
“ริสา...ริสา ได้ยินพี่หรือเปล่า”สายตาของคาริสาเพ่งไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์ ปลายนิ้วเรียวยังคงกดลงบนแป้นพิมพ์ไม่หยุด ทำให้คนที่ยืนเรียกเธออยู่นานสองนานทางด้านหลัง ตัดสินใจเอื้อมมือไปแตะที่ไหล่ของเจ้าตัวเบา ๆ เพื่อเรียกสติคนถูกทำลายสมาธิสะดุ้งเล็กน้อยก่อนหันกายไปทางตัวต้นเหตุ พอเห็นว่าเป็น ‘นุชนาถ’ ผู้จัดการแผนกล่าม คาริสาก็เอานิ้วแตะบนหน้าจอโทรศัพท์เพื่อหยุดเสียงการประชุมที่อัดเอาไว้แม้ในใจจะขุ่นเคืองที่ถูกขัดจังหวะการทำงาน แต่ดวงหน้าอ่อนหวานกลับไม่ปรากฏร่องรอยของความไม่พอใจ“ขอโทษนะคะพี่นุช ริสากำลังเขียนรายงานการประชุมของเมื่อเช้าอยู่ พอดีคุณศรุตต้องการด่วนค่ะ” คาริสาอธิบาย พลางส่งยิ้มอย่างน่ารักที่ใครเห็นก็โกรธเธอไม่ลงออกไป“ไม่เป็นไรจ้ะ” นุชนาถใจอ่อนยวบ“ว่าแต่พี่นุชมีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่าคะ ถึงได้มาหาริสาที่โต๊ะด้วยตัวเองแบบนี้” คาริสาเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ เพราะโดยปกติแล้วนุชนาถควรเรียกเธอไปพบที่ห้องทำงานส่วนตัวด้านใน“พี่เพิ่งกลับจากห้องท่านประธาน แล้วมีเรื่องที่จะแจ้งเราพอดี อีกอย่าง ถ้าริสาไม่ลืม ตรงนี้เป็นทางผ่านไปห้องทำงานของพี่นะ”“อ๋อ! ใช่...ทางผ่านจริง ๆ ด้วย” คาริสาเอ่
บทนำ“...ฉันชอบเธอ”“อะไรนะ”“ริสา ฉันรู้ว่าเธอได้ยิน”“กฤษณ์ แน่ใจนะว่านายไม่ได้เป็นไข้” คาริสาหัวเราะกลบเกลื่อน พร้อมกับยื่นมือออกไป ทำท่าจะแตะหน้าผากของเด็กหนุ่มเพื่อวัดไข้“ไม่เอาน่า ฉันกำลังจริงจังนะ” กฤษณ์เบี่ยงศีรษะหลบหลังมือของคนตัวเล็ก ใบหน้าคมดูเคร่งเครียด ไม่มีแววล้อเล่นสักนิด ท่าทางแบบนี้ทำให้เด็กสาวที่นึกว่าเพื่อนแกล้งนิ่งอึ้งไปชั่วขณะผ่านไปเกือบสองนาที คาริสาถึงได้เอ่ยปากทำลายความเงียบระหว่างพวกเขาสองคน “แต่เราเพิ่งจบ ม.ปลาย เองนะ อนาคตก็ไม่รู้จะเป็นยังไง ให้มาคิดเรื่องมีแฟนตอนนี้...ฉันว่าเร็วไปสิบปี”“ได้...สิบปี”“...” คาริสารู้สึกเหมือนตนเองตามอะไรไม่ค่อยทัน“ถ้าสิบปีฉันยังไม่เปลี่ยนใจ แล้วเธอยังไม่มีใคร เรามาแต่งงานกัน” พอมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่เหมือนจะมีเครื่องหมายคำถามแปะเอาไว้กลางหน้าผาก กฤษณ์จึงขยายความให้ด้วยเสียงดังฟังชัดแต่นั่นกลับทำให้ดวงตาที่กลมโตอยู่แล้วเบิกกว้างขึ้นอีกคาริสาไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นบ้า หรืออ่านนิยายน้ำเน่ามากเกินไปกันแน่ แต่นัยน์ตาสีนิลคมเข้มที่ฉายแววจริงจังกลับทำให้เธอไม่กล้าหัวเราะ“ได้...ถ้าถึงวันนี้ในอีกสิบปีข้างหน้า แล้วฉันยังไม่มีใคร