“ริสา...ริสา ได้ยินพี่หรือเปล่า”
สายตาของคาริสาเพ่งไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์ ปลายนิ้วเรียวยังคงกดลงบนแป้นพิมพ์ไม่หยุด ทำให้คนที่ยืนเรียกเธออยู่นานสองนานทางด้านหลัง ตัดสินใจเอื้อมมือไปแตะที่ไหล่ของเจ้าตัวเบา ๆ เพื่อเรียกสติ
คนถูกทำลายสมาธิสะดุ้งเล็กน้อยก่อนหันกายไปทางตัวต้นเหตุ พอเห็นว่าเป็น ‘นุชนาถ’ ผู้จัดการแผนกล่าม คาริสาก็เอานิ้วแตะบนหน้าจอโทรศัพท์เพื่อหยุดเสียงการประชุมที่อัดเอาไว้
แม้ในใจจะขุ่นเคืองที่ถูกขัดจังหวะการทำงาน แต่ดวงหน้าอ่อนหวานกลับไม่ปรากฏร่องรอยของความไม่พอใจ
“ขอโทษนะคะพี่นุช ริสากำลังเขียนรายงานการประชุมของเมื่อเช้าอยู่ พอดีคุณศรุตต้องการด่วนค่ะ” คาริสาอธิบาย พลางส่งยิ้มอย่างน่ารักที่ใครเห็นก็โกรธเธอไม่ลงออกไป
“ไม่เป็นไรจ้ะ” นุชนาถใจอ่อนยวบ
“ว่าแต่พี่นุชมีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่าคะ ถึงได้มาหาริสาที่โต๊ะด้วยตัวเองแบบนี้” คาริสาเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ เพราะโดยปกติแล้วนุชนาถควรเรียกเธอไปพบที่ห้องทำงานส่วนตัวด้านใน
“พี่เพิ่งกลับจากห้องท่านประธาน แล้วมีเรื่องที่จะแจ้งเราพอดี อีกอย่าง ถ้าริสาไม่ลืม ตรงนี้เป็นทางผ่านไปห้องทำงานของพี่นะ”
“อ๋อ! ใช่...ทางผ่านจริง ๆ ด้วย” คาริสาเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“ถ้าคุณศรุตรีบ เราจัดการงานตรงนี้ให้เสร็จก่อนก็ได้”
“ความจริงใกล้เสร็จแล้วละค่ะ เอาเป็นว่าภายในยี่สิบนาที ริสาจะไปหาพี่นุชที่ห้องนะคะ”
“ได้จ้ะ งั้นพี่ไปละ” นุชนาถพยักหน้า แล้วหมุนตัวเดินตรงไปยังห้องทำงานด้านในของแผนกล่าม
คาริสายิ้มส่งหัวหน้าสาว จนกระทั่งอีกฝ่ายเดินไปไกลพอสมควร จึงหันกลับมามองหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก หญิงสาวก็กวาดสายตาอ่านเนื้อหาในเอกสารที่ตนเองทำค้างไว้ เมื่อทวนความจำเรียบร้อย เธอก็เอื้อมไปกดปุ่มเพลย์บนสมาร์ตโฟน แล้วระรัวนิ้วพิมพ์สิ่งที่แปลได้ออกมาอีกครั้ง
สามสิบนาทีต่อมา
คาริสาเดินออกจากห้องผู้จัดการแผนกล่ามด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ แล้วตรงดิ่งออกไปจากแผนก โดยไม่สนใจสายตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นของบรรดาเพื่อนร่วมงานที่มองตามเธอเป็นตาเดียว
หลังจากกดปุ่มเรียกลิฟต์ เธอก็เอาแต่จ้องตัวเลขสีแดงเหนือประตูด้วยความหงุดหงิด รู้สึกว่ามันเปลี่ยนช้าเสียเหลือเกิน จนกระทั่งเสียง “ติ๊ง” ดังขึ้น ร่างระหงในชุดคลุมชาแนลสีขาว ก็ก้าวเท้าฉับ ๆ เข้าไปด้านใน แล้วใช้นิ้วกระแทกปุ่มหมายเลขสามสิบเอ็ด
ลิฟต์เลื่อนขึ้นไปอย่างช้า ๆ และทันทีที่ถึงชั้นผู้บริหารระดับสูง คาริสาก็พุ่งตรงไปยังห้องที่ติดป้ายว่า president แล้วผลักประตูให้เปิดออกอย่างไม่เกรงใจ ท่ามกลางสายตางุนงงของเลขาที่นั่งอยู่หน้าห้องผู้บริหาร
“คุณริสา เดี๋ยวก่อนค่ะ” พอได้สติ มาตา เลขาประธานกรรมการบริษัท ก็รีบลุกขึ้นแล้วตามหญิงสาวเข้าไปในห้อง พลางเอ่ยกับเจ้านายด้วยสีหน้าจนใจ “ต้องขออภัยท่านประธานด้วยนะคะ ที่มาตาห้ามคุณริสาไม่ทัน”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจัดการทางนี้เอง เธอมีอะไรก็ไปทำเถอะ” ศรันย์ ประธานกรรมการผู้บริหาร บริษัทอสังหาฯ รายใหญ่ อย่าง เอสอาร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เอ่ยกับเลขาส่วนตัวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ค่ะ ท่านประธาน” เมื่อเห็นว่าอารมณ์ของเจ้านายยังเป็นปกติดี มาตาก็สงบใจได้ จากนั้นก็ถอยออกไปจากห้องตามคำสั่งโดยไม่ลังเล
พอประตูห้องปิดสนิท คาริสาที่ยืนจ้องหน้าท่านประธานด้วยแววตาไม่พอใจ ก็เปิดปากพูดในสิ่งที่ตนเองอัดอั้นทันที “คุณพ่อ ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงเลื่อนตำแหน่งให้ริสาไปเป็นเลขาของพี่ศรุต หากยังไม่ลืม ตอนแรกเราตกลงกันว่าจะให้ริสาทำงานตามความสามารถ เป็นพนักงานแผนกล่ามธรรมดาไงคะ”
“ที่จำได้ พ่อพูดว่าจะให้เราทำงานในตำแหน่งที่เหมาะสมกับความสามารถ”
“แล้วตำแหน่งเลขา CEO มันมาได้ยังไงคะ” คาริสาถามอย่างหัวเสีย เดิมทีเธอไม่คิดจะเข้าทำงานที่บริษัทของบิดา เพราะไม่อยากได้ชื่อว่าเด็กเป็นเส้น แต่คัทลียาผู้เป็นมารดาเห็นว่าการทำงานในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่นั้นมั่นคง จึงเกลี้ยกล่อมให้เธอเข้าทำงานที่นี่ ส่วนศรันย์เองก็ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะให้เธอเข้าทำงานโดยไม่บอกฐานะที่แท้จริง และจะจัดให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมกับความสามารถเท่านั้น แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีคำสั่งเลื่อนตำแหน่งให้เธอแบบสายฟ้าแลบ
“เรื่องนี้ลูกคงต้องไปถามผู้จัดการฝ่ายบุคคลเองแล้วละ” ศรันย์ตอบลูกสาวคนสวยด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ สีหน้าแววตาบ่งบอกว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์
“คุณพ่อหมายความว่า…” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันจนเป็นปม
“หมายความว่า…เราได้เลื่อนตำแหน่งมาเป็นเลขาของพี่ด้วยความสามารถของตัวเองยังไงล่ะ” เสียงทุ้มนุ่มดังลอยมาจากด้านหลัง
คาริสาหันไปทางต้นเสียงโดยอัตโนมัติ ก็เห็นร่างสูงสง่าก้าวเข้ามาในห้อง ศรุตเป็นลูกติดคุณอุสามารดาเลี้ยงของเธอ และยังดำรงตำแหน่ง CEO ของบริษัทแห่งนี้อีกด้วย
“ริสาไม่เข้าใจค่ะพี่ศรุต”
“คุณนัทต้องการย้ายไปอยู่ต่างประเทศกับสามี เลยมาขอลาออกสักพักแล้ว พี่จึงแทงเรื่องไปทางแผนกบุคคลให้หาคนมาทำหน้าที่แทน” ศรุตเกริ่นถึงต้นสายปลายเหตุอย่างใจเย็น
“หวยเลยมาออกที่ริสา?” ว่าพลางยกมือขึ้นชี้หน้าตัวเอง
“จะเรียกว่าบังเอิญก็ได้” ศรุตยิ้มกริ่ม เดินเข้าไปหยุดยืนไม่ไกลจากคาริสา
“พี่ศรุต!” คาริสาไม่รู้สึกขำขันกับคำพูดหยอกเอินของพี่ชายต่างมารดาเท่าใดนัก
“ตอนแรกก็พากันใจหายทั้งกอง ไม่รู้ว่าจะต้องเลื่อนการเปิดกล้องออกไปจนกว่าจะหาคิวดาราคนอื่นได้หรือเปล่า แต่บังเอิญพี่เคนเขา...พอจะเลือกหา ‘ผู้หญิงในสังกัด’ มาแทนได้” ช่างแต่งหน้าของภีรดาว่า“ว้าย! หล่อนอย่าได้พูดแบบนี้ให้คุณเคนได้ยินเลยนะยะ” ช่างแต่งหน้าอาวุโสที่ทนฟังอยู่สักพักแล้วร้องปรามขึ้นมา“ทำไมล่ะ ก็คนนี้เด็กพี่เคนไม่ใช่เหรอ” ช่างแต่งหน้าของภีรดาเลิกคิ้วถาม“เรียกอย่างนั้นไม่ได้ คนนี้ไม่เหมือนที่ผ่าน ๆ มา”“อ้าว! แล้วมันต่างกันยังไงล่ะ” ช่างแต่งหน้าของอธิปชิงถาม“คนนี้ตัวจริง”“หมายความว่ายังไงอะ” คราวนี้ช่างแต่งหน้าขาเมาท์ทั้งสองพูดออกมาพร้อมกัน“ความจริงฉันก็ไม่อยากพูดมาก แต่จะปล่อยให้พวกแกปากเสียใส่คุณกุ๊กกิ๊กเขาไม่ได้ เพราะคนนี้น่ะผ่านการดูตัวแบบเป็นทางการกับคุณเคนเขา ไม่ใช่แค่กิ๊กกั๊กชั่วครั้งชั่วคราว”“อูย...พี่พูดแบบนี้หนูนี่อยากจะเห็นหน้าคนที่ทำให้พี่เคนยอมถอดเขี้ยวเล็บได้จังเลย”“นี่แกไม่รู้จักกุ๊กกิ๊ก กีรติกานต์ นางร้ายดาวรุ่งพุ่งแรงของช่องสี่สิบเหรอ” ช่างแต่งหน้าอาวุโสขมวดคิ้วมอง“หา...คนนั้นน่ะเหรอ ไม่เห็นเท่าไหร่เลย พี่เคนเขาหลงอะไรของเขากัน” ช่างแต่งหน้าของอธิปทำหน้า
อธิปมองดูจอโทรศัพท์ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ หลายวันที่ผ่านมา นอกจากข้อความตอบกลับแสนธรรมดา กับคำว่าขอโทษนะคะกุ๊กกิ๊กติดงาน ก็ไม่มีสัญญาณที่ดีจากหญิงสาวที่เขาเฝ้าคิดถึงเลยสักนิด หากเป็นผู้หญิงคนอื่น ลองเขาได้ส่งข้อความไปชวนให้ออกไปเที่ยวด้วยกัน สาว ๆ เหล่านั้นก็จะรีบตอบตกลงทันทีที่ผ่านมาเขาเคยตกลงคบหากับหญิงสาวแบบไม่เปิดเผยสถานะอยู่สองสามคน ระหว่างที่ศึกษาดูใจกัน เขากับเธอคนนั้นจะไม่มีความสัมพันธ์กับคนอื่น เรียกได้ว่าทำทุกอย่างเหมือนคนรัก แต่ไม่สามารถเปิดเผยออกสื่อได้ แน่นอนว่าทุกอย่างเกิดขึ้นจากความสมัครใจ แต่ผู้หญิงเหล่านั้นมักอดทนได้เพียงไม่นาน หลังจากความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันไม่เท่าไร ก็ร่ำร้องว่านี่คือรักแท้ อยากให้เขาประกาศเปิดตัวเจ้าหล่อนในฐานะคนรักของซูเปอร์สตาร์ชื่อดังอย่างเป็นทางการทว่านอกจากจะไม่สมหวังแล้ว กระทั่งสถานะคนในความลับก็ยังไม่มีเหลืออธิปตัดความสัมพันธ์กับคนที่พูดไม่รู้เรื่องอย่างไม่เคยอ่อนข้อเนื่องจากไม่เคยทำเรื่องฉาวอย่างข่มขืน หรือล่อลวงแฟนคลับ การออกเดตกับหญิงสาวมากหน้าหลายตาจึงไม่ทำให้ชื่อของพระเอกหนุ่มอย่าง ธรรม์ อธิป ด่างพร้อย อย่างมากก็ถูกนักข่าวเขียนแซวโดยใช
หลังจากมารดาที่หย่าขาดจากบิดาพบรักใหม่กับชาวต่างชาติ แล้วตัดสินใจย้ายไปอยู่ต่างประเทศ บ้านเดี่ยวหลังใหญ่จึงเหลือเพียงคาริสากับแม่บ้านที่บิดาของเธอส่งมาอาศัยอยู่ด้วยกันแค่สองคน พอวันนี้มีคนอื่นมานอนค้างเจ้าตัวจึงค่อนข้างอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะไม่ต้องนอนเหงาเพียงลำพังกีรติกานต์เดินไปยังกรอบรูปที่ผนังด้านหนึ่งในห้องนอนสีหวานของคาริสา ดวงตากลมโตกวาดมองภาพถ่าย เสื้อที่เขียนคำอวยพรไว้จนเต็ม ดอกไม้ซึ่งแห้งไปแล้ว และกระดาษเอสี่ที่จั่วหัวว่า ‘สัญญาแต่งงาน’แม้กระดาษแผ่นนั้นจะเป็นได้แค่สัญญาเด็กเล่น แต่กีรติกานต์รู้ดีว่ามันมีอิทธิพลต่อคาริสาอย่างมาก แม้เพื่อนรักจะปฏิเสธมาโดยตลอดว่าไม่ได้รอลูกชายท่านเอกอัครราชทูตอย่าง กฤษณ์ กลับมาสานต่อความสัมพันธ์ในวันวาน แต่ผู้ชายที่พอจะทำให้เธอยอมออกเดตด้วยได้ ก็มักจะมีอะไรคล้ายกับกฤษณ์อยู่อย่างสองอย่างเสมอแต่ถึงจะคิดแบบนั้น กีรติกานต์ก็ไม่เคยย้ำหัวตะปูให้เพื่อนรักรู้สึกแย่ที่ตนเองรอผู้ชายที่ไม่รู้จะกลับมาหรือเปล่าอยู่แบบนี้ เธอได้แต่หวังว่า ศรุต ลูกติดมารดาเลี้ยงของคาริสาจะเลิกปอดแหกแล้วใส่เกียร์เดินหน้าจีบน้องสาวร่วมโลกแบบจริงจังเสียที ไม่รู้ว่าเขาติดอะไร
“ขอบคุณนะคะที่ยังจำได้ แต่พี่เคนไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ เพราะพอคุณพ่อรู้ว่าริสาจะมาดูคอนโดฯ ท่านเลยให้คุณมาตามาดูแลริสาค่ะ”“จะไปยากอะไร ก็ให้เขากลับบ้านไปคนเดียวสิครับ”“ริสาทำแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ เพราะถ้าคุณพ่อรู้เข้าคุณมาตาจะต้องโดนตำหนิ”คนที่อยู่ข้าง ๆ เห็นโอกาสดีจึงรีบผสมโรง “จริงค่ะ พ่อยายริสาดุมาก ดีไม่ดีถ้าท่านสงสัยว่าพี่เคนมาจีบลูกสาวคนเดียวของท่าน อาจจะเกิดปัญหาอะไรก็ได้นะคะ”“อ่า...งั้น ก็ได้ครับ” จีรนนท์ไม่คิดจะมีปัญหากับสปอนเซอร์รายใหญ่ ถ้าเกิดถูกถอดโฆษณาขึ้นมาคงจะแย่ ยังไงกีรติกานต์ก็ไปกับคาริสา ไม่ได้ไปกับผู้ชายคนอื่นเสียหน่อย“ริสาขอตัวก่อนนะคะพี่เคน”“ไว้เจอกันนะคะ” กีรติกานต์บอกลาผู้กำกับหนุ่มอย่างรวดเร็ว ก่อนคว้าข้อมือเพื่อนสาวแล้วพาเธอตรงดิ่งไปทางลานจอดรถของคอนโด“เดี๋ยว นี่แกจะพาฉันไปไหนเนี่ย” คาริสาที่ถูกลากออกมาทางลานจอดรถเอ่ยถาม“ก็ไปขึ้นรถไง” กีรติกานต์ตอบพลางชะเง้อชะแง้หารถของมาตาเลขาของบิดาเพื่อน“แล้วแกรู้เหรอว่ารถพี่มาตาจอดอยู่ตรงไหน”“เอ่อ...ไม่รู้หรอก” กีรติกานต์หยุดฝีเท้า แล้วหันกลับมามองเพื่อนสาวพร้อมรอยยิ้มเจื่อน ๆ“แหม แล้วก็เดินเหมือนรู้เลย” คาริสาหัวเ
ชายหนุ่มได้ฟังก็หลับตาลงทันที ลุ้นว่าวันนี้ความสัมพันธ์ของเขากับเธอจะทะยานไปได้ถึงขั้นไหนหลังจากได้รับจูบเป็นรางวัล กีรติกานต์มองใบหน้าคร้ามคมกับรอยยิ้มที่มุมปากของเขาแล้วถอนหายใจ ก่อนประทับริมฝีปากลงตรงแก้มของเขาซ้ายทีขวาที“ขอบคุณนะคะ”“พี่ก็ขอบคุณน้องกุ๊กกิ๊กเหมือนกันครับ” แม้จะเสียดาย แต่สายตาของจีรนนท์ก็ยังเต็มไปด้วยความลึกซึ้ง เขาไม่เคยจริงจังกับใครเท่านี้มาก่อน เพื่อเธอเขาถึงกับเลิกรากับหญิงสาวทุกคนในสังกัด และพยายามทำตัวเป็นสุภาพบุรุษให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ “หวังว่าคราวหน้าจะไม่ใช่แค่หอมแก้มนะ”ใบหน้าหวานเผยรอยยิ้มบางเบา ไม่มีคำตอบรับหรือปฏิเสธออกจากริมฝีปากอิ่มจีรนนท์เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเพื่อนรักบิดา เขากับเธอพบกันครั้งแรกหลังจากตกลงดูตัว แน่นอนว่าชายหนุ่มดีกรีผู้กำกับฝีมือเยี่ยมมีเสน่ห์ร้อนแรงมากจริง ๆ ส่วนเธอเองก็สวยเซ็กซี่จนเขาตะลึง และเพื่อไม่ให้บิดามารดาจับพวกเขาไปดูตัวกับใครอีก จีรนนท์ที่ถูกใจกีรติกานต์ตั้งแต่แรกเห็น จึงเสนอให้พวกเขาลองบอกกับทางครอบครัวว่าจะลองศึกษานิสัยใจคอกันดูก่อน ตอนนั้นกีรติกานต์เห็นด้วยกับเขายิ่งเวลาผ่านไปผู้กำกับหนุ่มชักจะรุกหนักขึ้นเ
[ช่วงบ่ายนางจะแถลงข่าวแล้ว พี่เคนผู้กำกับต้องหาคนมาแทน เห็นบอกจะประกาศเปิดตัวดาราที่มารับบทแทนวันฟิตติ้งเลยน่ะ ตอนนี้ทีมงานคงวุ่นวายไปหมด ในเมื่อเรื่องมันสุดวิสัยจริง ๆ ธรรม์อย่าหัวเสียเลยนะ]“วันไหนครับ” อธิปพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่นะ ทีมงานเองก็คงเซ็งไม่แพ้กัน[อีกห้าวัน ส่วนสถานที่ก็โรงถ่ายเดิมนั่นแหละ]“โอเคครับ” พอรู้ว่าวันพักผ่อนของตนเองถูกเบียดเบียนเพียงวันเดียว เขาเลยไม่ค่อยหงุดหงิดเท่าไร[พี่รู้อยู่แล้วว่าธรรม์เป็นคนมีเหตุผล เจอกันหกโมงเช้านะ เดี๋ยวพี่ไปรับ บายจ้ะ]“บายครับพี่เมนี่”พูดจบอธิปก็โยนโทรศัพท์ไปที่โต๊ะหัวเตียง ขณะนั้นเองเขาถึงเห็นว่ามีกระดาษโน้ตที่เกือบถูกกองซองถุงยางอนามัยกลบวางอยู่ด้วยมือหนารีบคว้ากระดาษแผ่นน้อยมาอ่านอย่างรวดเร็วฉันมีธุระต้องขอตัวกลับก่อน เห็นคุณหลับอยู่เลยไม่อยากปลุก มีอะไรก็ติดต่อมาแล้วกันนะคะ KookKik01อธิปคว้าโทรศัพท์กลับมาอีกครั้ง แล้วจัดการแสกนหาไอดีไลน์ของเธอ ฉับพลันรอยยิ้มบางเบาสลักลงบนใบหน้าคม ความมั่นใจในเสน่ห์เหลือร้ายของตนเองถูกกู้กลับมาอีกครั้ง ดาราหนุ่มไม่เชื่อว่าเธอไม่อยากสานต่อเรื่องเมื่อคืน เพียงแต่เ