[ริสา คือฉัน…จะโทรมาบอกให้แกกลับบ้านไปก่อน แผนเลดี้ไนต์ของเราคงต้องยกเลิกแล้วละ]
“เอ๋…เกิดอะไรขึ้น”
[คือ…เดี๋ยวสิ ฉันกำลังคุยกับเพื่อน นายรอก่อนไม่ได้หรือไง…]
“ว่ายังไงนะ ยายกุ๊กกิ๊ก แกกำลังคุยกับใคร” คาริสามั่นใจว่าประโยคเมื่อครู่ เพื่อนสาวไม่ได้คุยกับตัวเองแน่นอน
[พอดี...ฉันมีธุระด่วนน่ะ ต้องขอโทษจริง ๆ นะแก…รู้แล้ว ๆ กำลังจะวางนี่ไง เออ! ไว้ฉันจะเลี้ยงโอมากาเสะไถ่โทษนะยะ]
ตรู๊ด ๆ ๆ
คาริสายังไม่ทันตอบ กีรติกานต์ก็วางสายไปแล้ว แต่จากบทสนทนาเมื่อครู่ หญิงสาวที่เพิ่งถูกเพื่อนลอยแพ ก็พอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงไม่ได้หัวเสียนัก
ในเมื่อทุกอย่างออกมารูปนี้ ก็มีแต่ต้องหาทางกลับบ้านเองเท่านั้น
เนื่องจากไม่อยากตอบคำถามของพัดชา คาริสาจึงเลือกที่จะส่งข้อความไปบอก แล้วเดินตรงออกจากร้านไป แต่ว่าคนบางคนกลับยังตามเธอไม่เลิก
“ถ้าเดาไม่ผิด ตอนนี้แผนเก่าเธอล่มแล้ว ทีนี้ให้กฤษณ์ไปส่งได้หรือยัง”
“เรากลับแท็กซี่ได้” คาริสาตอบเสียงเรียบ ไม่มีท่าทีจะหันกลับไปมองคนที่เดินเลียบ ๆ เคียง ๆ อยู่ด้านหลัง
“มืดค่ำดึกดื่น เป็นผู้หญิงกลับแท็กซี่คนเดียวอันตรายออก ให้กฤษณ์ไปส่งดีกว่านะ”
“...อย่าดีกว่า เราเกรงใจ” ความจริงเธอก็เห็นด้วยกับคำพูดของเขา แต่ความหงุดหงิดอันไร้ที่มา ทำให้ตอบปฏิเสธออกไป ถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่แน่ใจว่า ทำไมถึงได้หัวเสียกับการกระทำของเขานัก
“ริสา ยกโทษให้กฤษณ์เถอะนะ” เขาปราดเข้าไปขวางหญิงสาวไว้ เพราะอีกไม่กี่ก้าวเธอก็จะเดินไปถึงหน้าถนนแล้ว
“เราบอกไปแล้วว่าไม่เป็นไรไง” แม้จะพูดอย่างนั้น แต่สีหน้ากลับบอกว่าเธอถือสาสุด ๆ
“ถ้าอย่างงั้น ก็ต้องยอมให้กฤษณ์ไปส่งสิ” พอเห็นหญิงสาวทำท่าลังเล เขาก็รีบยกเหตุผลที่เธอจะปฏิเสธไม่ลงออกมา “กฤษณ์จะได้สบายใจไง ว่าริสาไม่โกรธแล้วจริง ๆ”
“แต่ว่า...” แต่กฤษณ์หรือจะรอให้เธอพูดจบ
“ถ้าเป็นเมื่อก่อน ริสาไม่มีทางเคืองเราขนาดนี้นะ หรือว่า...มีเหตุผลอะไรนอกเหนือจากนี้” เขาจดจ้องเธอด้วยแววตาที่เหมือนมองทะลุได้ทุกสิ่ง
ทันใดนั้นคาริสาก็เก็บสีหน้าไม่พอใจลง แล้วถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าธรรมดาเป็นที่สุด “แล้วรถนายจอดอยู่ตรงไหนล่ะ”
“เชิญทางนี้ครับคุณผู้หญิง” กฤษณ์ส่งยิ้มให้คาริสา แล้วเดินนำไปทางลานจอดรถ
หญิงสาวเดินตามพลางมองแผ่นหลังกว้างอย่างครุ่นคิด
เหตุผลนอกเหนือจากนี้งั้นเหรอ นั่นสินะ
ชั่วขณะนั้นเหมือนคาริสาจะเข้าใจแล้วว่า ทำไมตนเองถึงได้เคืองกฤษณ์นัก ก็ใครใช้ให้พ่อคุณล้อเล่นกับเธอเหมือนที่ทำกับผู้หญิงคนอื่น ๆ ของเขากันเล่า
แต่การที่เธอออกอาการแบบนี้ อาจจะทำให้อดีตเพื่อนชายคนสนิทคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องขึ้นมาได้ ดังนั้นเธอไม่ควรคิดเล็กคิดน้อย และทำตัวให้เหมือนปกติดีกว่า
ต้องโทษที่ช่วงนี้ฝันอะไรบ้า ๆ ทุกวัน
เธอสรุปอยู่ในใจเงียบ ๆ ในขณะก้าวขึ้นรถ...
แม้จะเป็นคืนวันศุกร์ แต่ก็เลยช่วงการจราจรคับคั่งไปแล้ว ถึงอย่างนั้นกฤษณ์กลับไม่ได้เร่งร้อน เขาขับรถไปตามเส้นทางอย่างช้า ๆ พร้อมเปิดเพลงสากลคลอเบา ๆ ทำให้บรรยากาศระหว่างคนสองคนไม่เงียบเกินไปนัก
หลังจากบอกจุดหมายปลายทางเสร็จ คาริสาก็เอาแต่ทอดสายตาไปบนถนน ไม่กล้าหันไปมองชายหนุ่มสุดเท่ที่กำลังขับรถอยู่ตรง ๆ ได้แต่เหลือบสายตาพิจารณาคนคุ้นหน้า แต่ไม่คุ้นเคยอยู่เงียบ ๆ
แสงไฟวูบวาบจากภายนอกเคลื่อนไปตามเนื้อตัวของชายหนุ่ม คาริสายิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าเขาไม่ใช่เพื่อนสนิทสมัยเรียนคนเดิมอีกแล้ว แต่เป็นผู้ชายเต็มตัว และเป็นผู้ชายเต็มตัวที่เซ็กซี่เป็นบ้า คิดแล้วก็ชวนให้เลือดในกายร้อนผะผ่าว ดีที่ภายในรถไม่สว่างนัก ทำให้กฤษณ์สังเกตใบหน้าที่แดงระเรื่อของเธอไม่ชัด
ชั่วขณะนั้นเอง หญิงสาวที่กำลังเหม่อมองชายหนุ่มสุดฮอตก็มีอันต้องตกใจ
“ฟัค!” กฤษณ์สบถอย่างหัวเสีย เมื่อรถคันหนึ่งพุ่งออกมาจากซอย แล้วปาดเข้าเลนขวาสุดอย่างกะทันหัน โชคดีที่เขาไม่ได้ใช้ความเร็วมาก จึงควบคุมรถไว้ได้
“กฤษณ์ใจเย็น ๆ ก่อนนะ” คาริสาคิดว่าควรพูดอะไรสักอย่าง เพราะดูจากคิ้วที่ขมวดกันยุ่ง เขาคงโมโหมากทีเดียว และการหัวร้อนระหว่างขับรถไม่ใช่เรื่องดี โดยเฉพาะกับคนที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ ซึ่งยังไม่ชินเส้นทาง
“ริสาเป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บตรงไหนไหม” เขาหันไปถามเธอด้วยความห่วงใย
“เราโอเค ว่าแต่กฤษณ์เถอะ หายหัวร้อนหรือยัง”
“อะ...ขอโทษที กฤษณ์ไม่ได้ตั้งใจจะหยาบคายเลยนะ”
“ไม่ต้องคิดมากหรอก เวลาเรานั่งแท็กซี่ ลุงคนขับก็อัญเชิญสารพัดสัตว์ขึ้นมาบนรถออกจะบ่อย กฤษณ์แค่บ่นคำเดียวเอง จิ๊บ ๆ” คาริสากลั้วหัวเราะ พอได้พูดอะไรออกมาบ้าง ก็ทำให้ความน่าอึดอัดที่รายล้อมพวกเขาอยู่ทุเลาเบาบางลงไปมาก
พอเห็นว่าเธอเลิกกางบาเรียใส่เขาแล้ว กฤษณ์ก็ไม่คิดจะปล่อยให้การสนทนานี้จบลงง่าย ๆ อีก
“ริสานั่งแท็กซี่ประจำเหรอ”
“ปกติเวลาไปทำงานเรานั่งรถไฟฟ้า แล้วต่อแท็กซี่เอาน่ะ”
“กฤษณ์ว่าริสาน่าจะซื้อรถสักคันดีกว่านะ”
“ไม่เอาอะ อย่าลืมสิว่ากรุงเทพรถติดจะตายไป” คาริสาคิดภาพตนเองต้องตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เพื่อที่จะขับรถไปให้ทันเวลางาน ก็ส่ายหัวดิก
“ถ้าจำไม่ผิด มันมีอาคารฝากรถไม่ใช่เหรอ แค่ขับมาจอดตรงนั้น แล้วขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงานก็ได้นี่”
“เราแค่ไม่ชอบขับรถน่ะ อีกอย่างการได้นั่งเชิด ๆ ให้คนอื่นขับให้แบบนี้ก็สะดวกดีอยู่แล้ว”
“อย่างงั้นเองเหรอ”
“แล้วจะมีเหตุผลอะไรอื่นอีกล่ะ แต่ถ้าคุณโชเฟอร์ไม่เชื่อ ก็ตามใจ” คาริสายักไหล่ไม่นำพา
“เชื่อแล้วครับคุณผู้หญิง” กฤษณ์เหลือบไปมองคาริสาที่ทำเป็นยืดคอตั้งตรงคล้ายไฮโซสาว ก็อดสัพยอกไม่ได้
“หันมาทางนี้ทำไม มองทางสิ ขับแบบนี้เดี๋ยวไม่ให้ทิปเลยนะ” คาริสาหันไปดุเขาที่เริ่มมองมาทางเธอมากกว่ามองถนนแล้ว
“ขับดีมีรางวัลเหรอ เยี่ยม!” กฤษณ์ส่งยิ้มให้เธอ เวลานั้น คาริสาไม่รู้เลยว่า เขาถือเอาคำพูดล้อเล่นของตนเองไปคิดเป็นจริงเป็นจังเสียแล้ว
หลังผ่านความวุ่นวายย่านกลางใจเมือง ในที่สุดชายหนุ่มก็พาหญิงสาวมาถึงบ้านพักย่านชานเมืองอย่างปลอดภัย
“ขอบคุณที่มาส่งนะ เอ๊ะ!?” คาริสาพูดในขณะที่ปลดเข็มขัดนิรภัยไปด้วย แต่ดูเหมือนตัวล็อกจะค้าง “ขอเวลาริสาแป๊บนึงนะกฤษณ์”
“จะใช้เวลานานแค่ไหนก็ได้ครับ ว่าแต่ว่า...เมื่อกี้ผมขับรถดีหรือเปล่าครับ คุณผู้หญิง” กฤษณ์ไม่ได้สนใจท่าทางลนลานของเธอ แต่กลับถามคำถามที่ไม่เข้ากับสถานการณ์ขึ้นมาดื้อ ๆ
คาริสาวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะหัวเตียง ตั้งใจว่าจะปล่อยให้ชาวเน็ตแสดงความรู้สึกกับเรื่องนี้ไปตามธรรมชาติ ส่วนเธอคงต้องจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตจริงเสียก่อน ไม่อย่างนั้นคนที่เพิ่งเปลี่ยนสถานะเป็นไม่โสดมีหวังได้ไปทำงานสายแน่ ๆคาริสาเดินเข้าตึกไปตามปกติ พอถึงทางเดินหน้าลิฟต์ หนิงกับกุ้งที่ชะเง้อคอยอยู่นานแล้วก็แล่นเข้ามาหาเธอด้วยความเร็ว แล้วประกบข้างกายเพื่อนสนิทที่จู่ ๆ ก็ไม่โสดเสียแล้วอย่างเธอคนละข้าง“บอกมาเดี๋ยวนี้ ตา Chris นี่เป็นใครมาจากไหนกันยะ” หนิงถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม“เขาชื่อกฤษณ์” คาริสายิ้มตอบ“จะกฤษณ์ หรือคริสก็ช่าง ว่าแต่ว่าตัวจริงหล่อเหมือนในรูปไหมอะแก” กุ้งยื่นหน้าจอโทรศัพท์ที่เปิดรูปของกฤษณ์ค้างอยู่มาตรงหน้าคาริสาอย่างตื่นเต้น“อืม เหมือนในรูปจะดูดีกว่าตัวจริงนิดนึง” คาริสาตอบทั้งที่ใจจริงคิดตรงกันข้าม แต่ถ้าหากเธอตอบไปตามความจริง เกรงว่ากุ้งอาจจะลืมตัวแล้วกรีดร้องอย่างตื่นเต้นออกมาก็ได้“แล้วถ้าเทียบกับคุณศรุต ใครหล่อกว่ากันอะ” กุ้งยังคงซักไซ้ ม้ามืดที่คว้าตำแหน่งแฟนของเพื่อนเธอไปต้องไม่ธรรมดาแน่ ถึงได้เอาชนะ CEO หนุ่มขวัญใจสาว ๆ อย่างง่ายดายเช่นนี้ แต่เหมือนมีคนไม่เห็
กฤษณ์เห็นคาริสาเอาแต่มองมาด้วยแววตาสับสนตลอดเวลา เขาก็ยิ่งเพิ่มความระมัดระวัง ทั้งยังก่นด่าตนเองในใจว่า ไม่น่ารุกแรงนัก แต่ตอนนั้นความอัดอั้นที่มีมาตลอด รวมไปถึงทุกอย่างที่หลอมรวมเป็นคาริสาทำให้เขาขาดสติ ดีที่เธอร้องห้ามเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเขาอาจทำอะไรเกินเลยกว่านั้นมาก เพราะความจริงเธอหอมหวานไปทั้งเนื้อทั้งตัว และเขาก็ไม่ต่างอะไรกับเสือที่ไม่ได้กินเนื้อที่อร่อยที่สุดมาสิบปีคิดมาถึงตรงนี้กฤษณ์ก็ส่ายศีรษะเบา ๆ เพื่อเรียกสติตัวเองกลับมาเขาพยายามปั้นหน้าให้เป็นปกติที่สุด แล้วโน้มกายเข้าหาหญิงสาวที่เอาแต่จับจ้องมา ชั่ววินาทีที่ใบหน้าหล่อร้ายเคลื่อนเข้าไปใกล้ คาริสาไม่ได้ถอยหนี แต่กลับหลับตาลง คล้ายกับเตรียมใจยอมรับถ้าเขาจะทำอะไรมากกว่านั้นให้ตายเถอะ! สำนึกดีเลวในหัวชายหนุ่มตีกันยุ่ง สุดท้ายก็คว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้ผู้หญิงที่ทำให้เขาแทบคลั่งตาย โดยไม่ได้กดเธอลงกับเบาะแล้วทำอะไรต่อมิอะไรให้สมกับที่ตนเองรอคอยมาเนิ่นนานกฤษณ์ไม่อยากทำให้คาริสารู้สึกไม่ปลอดภัย หรือเห็นเขาเป็นไอ้หื่นบ้ากาม ตอนนี้เธออาจจะแค่ตั้งรับไม่ทัน ถ้าเขาทำอะไรที่เกินพอดี แล้วเธอเกิดนึกเสียใจในภายหลัง เขาต้องแย่แน่ ๆ
หากแต่ชายหนุ่มกลัวหญิงสาวจะขาดอากาศหายใจไปเสียก่อน ถึงได้ผละออกอย่างเสียดายในที่สุดคาริสาสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อครู่นี้เธอรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดใจแล้วจริง ๆ ดีที่พ่อตัวร้ายยอมหยุดจูบ ตอนนี้หญิงสาวได้แต่ยินยอมให้เขาแนบหน้าผากชิดติดกับเธอ โดยไม่กล้าออกฤทธิ์ออกเดชอีก เพราะกลัวจะโดนคนบางคนหาเรื่องปรับเข้าอีกยก“กฤษณ์มัวไปทำอะไรอยู่ที่อังกฤษเป็นสิบปีเนี่ย บ้าฉิบ!” เขาสบถเบา ๆ เพราะรู้สึกเสียดายที่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้ “ถ้ากฤษณ์ไม่ไป ริสาคง...”“ริสาคงเสียใจที่เป็นต้นเหตุให้กฤษณ์ทิ้งอนาคตตัวเอง” คาริสารู้ว่าเขาจะพูดอะไร แต่ถ้าไม่สูญเสีย เขาและเธอคงไม่รู้ว่าต่างคนต่างมีความสำคัญต่ออีกฝ่ายมากมายแค่ไหน บางทีการที่ทั้งคู่ยังโสด อาจไม่ใช่เพราะตั้งมาตรฐานคนที่จะคบหาด้วยสูงเกินไป แต่อาจเป็นเพราะชายหญิงเหล่านั้นไม่ใช่เขาหรือเธอต่างหาก“ยังไงกฤษณ์ก็น่าจะกลับมาเร็วกว่านี้”“ถึงจะใช้เวลานานไปหน่อย แต่ก็กลับมาแล้วไม่ใช่หรือไง” คาริสายกมือขึ้นลูบสันกรามเขาเบา ๆ คล้ายจะบอกว่าไม่เป็นไร“ขอโทษที่มาช้า ไว้กฤษณ์จะชดเชยให้นะครับ”“คุณกฤษณ์จะชดเชยให้คุณริสายังไงน้า ชักจะตื่นเต้นแล้วสิ” คาริสาแค่อ
“อะ...เอาจริงดิ” เธอถามเหมือนเมื่อสิบปีก่อนไม่มีผิด“ยังคงทำตัวเป็นเจ้าหนูจำไม[1]เหมือนเดิมเลยนะ ถ้าให้ตอบ กฤษณ์ไม่เคยล้อเล่นกับริสาเลยสักครั้ง ส่วนคำถามที่ว่าทำไมต้องเล่นใหญ่นัก ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง กฤษณ์ก็อยากให้ว่าที่เจ้าสาวคนสวยประทับใจ แล้วยอมเซย์เยสยังไงล่ะ”“ว่าที่เจ้าสาว? เซย์เยส?” ดวงตากลมโตกะพริบปริบ ๆ คล้ายว่ายังตามไม่ทัน แต่ความจริงเธอใกล้จะละลายเพราะถูกดาเมจจากคำสารภาพของเขาจู่โจมหัวใจ“แต่งงานกับกฤษณ์นะ”“หา...!?”“อย่าบอกนะว่าเร็วเกินไปอีก” น้ำเสียงของเขาเข้มขึ้นเล็กน้อย“มันค่อนข้างกะทันหันจริง ๆ นี่นา จะให้ตอบทันทีโดยไม่ต้องคิดสักนิดเลยเหรอ” คาริสาบ่นอุบอิบ“กฤษณ์ออกกำลังกายเป็นประจำ สุขภาพแข็งแรงแน่นอน”“อืม เรื่องนั้นเราเชื่อ แต่ว่า...”“ถ้าริสายังกังวล เราไปตรวจโรคกันก่อนจัดงานแต่งก็ได้” เขาพูดด้วยท่าทางจริงจัง“เฮ่ย! เราไม่ได้คิดว่ากฤษณ์เป็นกามโรคสักหน่อย” คาริสาอยากทุบเขาสักที นี่พ่อคุณคิดไปไหนถึงไหนแล้วก็ไม่รู้“ถ้างั้นก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรไม่ใช่เหรอ หรือว่าที่จริงริสารังเกียจกฤษณ์ แต่ไม่กล้าบอกตรง ๆ กันแน่” เขาไม่เคยต้องอดทนอะไรเท่านี้มาก่อน“ใจเย็น ๆ ก่อนได้ไหม”
“ริสาไม่อยากรู้แล้วเหรอว่า ทำไมกฤษณ์ต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้” เขาหยิบยกเอาคำพูดก่อนหน้านี้ของเธอมาถามกลับ“อยากรู้สิ แต่ปล่อยก่อนแล้วค่อยเล่าก็ได้มั้ง” รางบางดิ้นขลุกขลัก ทำให้ส่วนที่ยังแนบชิดกันอยู่ยิ่งบดเบียดเสียดสีกัน เล่นเอากฤษณ์ต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอพอเห็นดวงตาของเขาวาววามขึ้นมา คาริสาก็หยุดดิ้นทันที แต่ดูเหมือนจะไม่ทันการณ์ เพราะนอกจากจะไม่ปล่อยแล้ว กฤษณ์ยังกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นอีกต่างหากตาย ๆ ๆ กฤษณ์จะคิดว่าฉันกำลังยั่วเขาอยู่หรือเปล่าเนี่ยชายหนุ่มยิ้มกริ่ม หญิงสาวยังคงอ่านง่ายเหมือนสมัยก่อนไม่มีผิด คิดอะไรก็แสดงออกทางสีหน้าหมด แต่นั่นก็ทำเขาให้โล่งใจ เพราะหลังจากหยั่งเชิงไปหลายหน นอกจากความไม่มั่นใจและงุนงงสงสัย นัยน์ตาสุกสกาวคู่นั้นบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า เขายังคงเป็นคนที่ทำให้เธอใจเต้นแรงอยู่เช่นเดิมกฤษณ์นึกย้อนไปในวันที่ตนเองตัดสินใจปลุกความกล้าทั้งหมดที่มี แล้วขอคาริสาเป็นแฟน เขามั่นใจว่าเพื่อนสาวคนสนิทจะต้องมีใจตรงกัน แต่ทุกอย่างกลับผิดคาด เธอปฏิเสธเขาแล้วบอกว่า ยังเร็วไปสิบปี ทั้งที่ตอนนั้นก็นับได้ว่าพวกเขาบรรลุนิติภาวะแล้วทุกอย่างที่วาดหวังไว้ต้องพังไม่เป็นท่าในเมื่อคาร
“...ริสาชอบไหม” คำถามของเขาทำลายความเงียบที่รายล้อมคนทั้งสองเอาไว้“หืม?” คาริสาเงยหน้าขึ้นจากจาน เลิกคิ้วมองเขาเหมือนไม่เข้าใจความหมาย“กฤษณ์ถามว่า ริสาชอบที่นี่ไหม” เขาถามย้ำ พลางยกแก้วไวน์ขึ้นจิบเบา ๆ“แหม! ผู้หญิงที่ไหนก็ชอบแบบนี้ทั้งนั้นแหละ” เธอยิ้ม แต่ไปไม่ถึงดวงตา“งั้นเหรอ แต่ริสาดูไม่เอ็นจอยเท่าไหร่เลย หรือว่ามีเรื่องอะไรในใจรึเปล่า”“คือ...เราแค่รู้สึกว่าทั้งหมดนี่มันแปลกพิกล”“ไหนลองว่ามาซิ มีตรงไหนที่มันแปลก จนทำให้ริสากินของโปรดไม่ลง”ในเมื่อเขาให้โอกาสเธอได้พูดแล้ว ก็บอกไปเลยแล้วกัน เขาจะได้พูดธุระมาให้จบ ๆ “อะแฮ่ม! กฤษณ์หายไปสิบปี แล้วอยู่ดี ๆ ก็โผล่มา บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุย แล้วก็พาริสามาในที่ที่ควรจะ...ควรจะ...”“ควรจะพาแฟนมา ไม่ใช่เพื่อนเก่าสมัยมัธยมใช่ไหม” ไม่ต้องรอให้เธอพูดจนจบ เขาก็เป็นฝ่ายเอ่ยทุกอย่างออกมาราวกับอ่านใจเธอได้“ใช่ ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่น ริสาต้องคิดว่า เขากำลังทำคะแนนอยู่แน่ ๆ แต่เราเคยเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน ริสาเลยไม่กล้าคิดอะไรแบบนั้น” แต่แท้ที่จริงแล้วความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวเธอตลอดเวลาถ้าเขารู้ จะหาว่าเธอหลงตัวเองหรือเปล่านะ“แน่ใจเหรอ ว่าไม่ไ