เช้าวันถัดมา ผมก็รีบมาโรงพยาบาลแต่เช้าครับ พร้อมกับซื้ออาหารเช้ามาอีกนิดหน่อย ทั้งของผมและของคนป่วยที่กำลังนอนพักรักษาตัวอยู่ ผมไม่รู้ว่าเขาจะฟื้นรึยัง แต่ซื้ออะไรไปเผื่อหน่อยก็ดี ผมเดินตรงมาเรื่อยๆ จนเจอกับเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ผมทำการแจ้งชื่อและนามสกุลของคนป่วยตามชื่อในบัตรประชาชนของเขาไป และเดินตรงไปยังห้องที่นางพยาบาลแจ้งมา
เมื่อผมเปิดประตูไปแล้วก็พบกับชายหนุ่มเรือนผมสีน้ำตาลอ่อน รูปร่างผอมบาง นั่งเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าด้านนอก ผมเห็นเพียงเสี้ยวหน้าของเขาเท่านั้น ชายคนนั้นสะดุ้งนิดๆ เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู และผินหน้ากลับมาช้าๆ ทำให้ผมได้พบหน้าเขาเต็มๆ อีกครั้ง ดวงตากลมโต ราวกับดวงดาวระยิบระยับ จมูกรั้นนิดๆ ทำให้ดูก็รู้ว่าคงดื้อไม่น้อย ปากบางสีชมพูเล็กๆ นั้นรับเข้ากับรูปหน้า ผิวออกขาวซีดอย่างคนได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ แต่กลับดูนุ่มนวลน่าสัมผัส ชายคนนั้นมองนิ่งมายังผมที่ยืนอยู่หน้าประตู ผมจึงเดินเข้าไปวางของที่ซื้อมาตรงโต๊ะด้านข้างประตู และนั่งลงบนโซฟารับแขกภายในห้อง
“เป็นยังไงบ้าง” ผมเอ่ยถามเสียงนิ่ง และจ้องมองไปยังคนบนเตียงที่กำลังสบตาผมอยู่
“อ่อ ไม่เป็นอะไรแล้วครับ” น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยออกมา หากแต่ก็ยังน่าฟังอยู่ในที
“อืม ชื่ออะไร” แม้ผมจะรู้ชื่อจริงของเขาแล้ว แต่ผมอยากรู้ชื่อเล่นมากกว่า จึงได้เอ่ยปากถามออกไป
“ผมชื่อนายครับ ชื่อจริง เจ้านาย” ชายคนนั้นพูดพร้อมกับก้มหน้าลงต่ำ
“ทำไมถึงตัดหน้ารถแบบนั้น ไม่รู้รึไงว่ามันอันตราย”
“ผมขอโทษครับ ผมเห็นรถของคุณขับผ่านมา ผมแค่อยากให้คุณช่วยเฉยๆ ผมขอโทษจริงๆ ครับ”
“คุณอยากให้ผมช่วยอะไร” ผมถามกลับและขมวดคิ้วอย่างสงสัย ผมก็เข้าใจอยู่หรอก ถนนเส้นนั้นเป็นเส้นออกต่างจังหวัด แม้รถจะเยอะในช่วงหัวค่ำ แต่พอดึกเข้าหน่อยก็แทบจะไร้ผู้คน ชานเมืองก็แบบนี้ เข้านอนแต่หัววัน ไม่เหมือนในเมืองกรุง ที่มีรถวิ่งผ่านอย่างคึกคักทุกช่วงเวลา
“คือ ผม ผมอยากขอติดรถคุณไปที่สุสานวัดนาไพรน่ะครับ ไม่ได้คิดจะทำให้คุณเกิดอุบัติเหตุนะครับ ผมขอโทษจริงๆ”
วัดนาไพร อืม มันก็เป็นทางผ่านไปบ้านผมละนะ แต่มันต้องเข้าซอยเล็กๆ เข้าไปอีกหน่อยหนึ่ง จึงจะถึง
“อืม พักรักษาตัวให้หายก่อนแล้วกัน แล้วค่อยมาว่ากันใหม่” ผมพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน เพื่อเตรียมอาหารที่ผมนำมา ทั้งของเขาและของผม เพราะเวลานี้ ล่วงเลยเวลาอาหารเช้ามาสักพักแล้ว
“คือ ผม... ผมขอไปอยู่ห้องธรรมดาได้ไหมครับ ห้องแบบนี้ผมไม่มีตังค์จ่าย” นายเอ่ยออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ และแสดงท่าทีเกรงใจออกมา
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะจ่ายให้เอง แม้นายจะเป็นสาเหตุให้ฉันเกือบเกิดอุบัติเหตุก็เถอะ”
“แต่ผมเกรงใจครับ ห้องนี้คงจะแพงมาก ผมไม่อยากรบกวน”
“ผมรวย” ผมว่าและหันไปมองหน้าเขานิ่งๆ เราสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง
“ทานซะ อย่างน้อยมันก็อร่อยกว่าอาหารโรงพยาบาล” ผมว่าและเลื่อนโต๊ะทานอาหารเข้าไปวางไว้ตรงหน้าเขา พร้อมกับปรับระดับให้พอดี ก่อนจะปล่อยให้เขาทานเอง
“ขอบคุณครับ” เจ้านายเริ่มตักโจ๊กหมูร้อนๆ ที่ผมซื้อมาเผื่อเขาขึ้นมาทาน เมื่อได้ทานแล้วก็เผยรอยยิ้มนิดๆ และเงยหน้ามองผม
“อร่อยมากเลยครับ คุณใจดีจัง” รอยยิ้มของเขาทำให้ผมรู้สึกใจกระตุก ผมมั่นใจว่าผมไม่ใช่พวกเกย์แน่ๆ เพราะที่ผ่านมา ผมมีแต่หญิงสาวรายล้อมนับไม่ถ้วน เธอเหล่านั้นขยันมาขายขนมจีบให้ผมอยู่เรื่อย ผมก็แค่ยิ้มรับหรือตอบรับไปบ้างในบางที เพื่อให้การทำธุรกิจมันง่ายยิ่งขึ้น แน่นอนมันก็จะมีพวกผู้ชายหนุ่มน้อยหน้าตาน่ารัก แวะเวียนเข้ามาบางเช่นกัน แต่พวกเขาเหล่านั้นกลับทำให้ผมรู้สึกรำคาญ แต่ไม่เคยมีใครทำให้ใจผมกระตุกได้เลย ไม่เหมือนกับคนตรงหน้านี้ คนที่ชื่อว่าเจ้านาย
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้ผมได้สติและหันไปทางประตู พร้อมกับเอ่ยปากอนุญาตให้คนข้างนอกเข้ามาได้
“เชิญครับ”
“ไอ้เนม ไง มาแต่เช้าเลยนะมึง” ชายรูปร่างสูงใหญ่ แต่งตัวสะอาดสะอ้าน ตามสไตล์คุณหมอเดินเข้าห้องมาและเอ่ยทักผม คนนี้มันชื่อ ไผ่ ครับ เป็นเพื่อนเรียนด้วยกันมาตั้งแต่มัธยมปลาย แม้เราจะเข้ามหาลัยคนละคณะ แต่ก็ยังมหาลัยเดียวกันอยู่ดี มันเป็นลูกเจ้าของโรงพยาบาลครับ ก็เลยต้องเรียนหมอเพื่อรับหน้าที่ต่อจากพ่อของมัน
“เออ ว่าไงมึง โทษทีว่ะ เมื่อวานเหนื่อยๆ เลยกลับก่อน”
“เออๆ ไม่เป็นไรมึง แค่จะเข้ามาดูคนไข้เฉยๆ เป็นยังไงบ้างครับ มีอาการเจ็บหรือปวดตรงไหนไหม” มันตอบผมกลับและหันไปถามเจ้านายเพื่อสอบถามอาการ
“อ่อ ผมไม่เป็นอะไรแล้วครับ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดตรงไหนด้วยครับ” เจ้านายตอบกลับพร้อมกับยกแขนทั้งสองขึ้นดูเพื่อสำรวจและทดสอบอาการของตัวเอง
“ว่าก็ว่าเถอะ เมื่อวานพอส่งเขาให้แกแล้วก็กลับเลย ฉันยังไม่รู้สาเหตุเลย ว่าทำไมเขาถึงสลบ ทั้งๆ ที่ฉันก็ไม่ได้ชนเขาสักหน่อย” ผมเอ่ยปากถามไอ้ไผ่อย่างนึกขึ้นได้
“ก็ไม่ได้ชนจริงๆ นั่นแหละ แต่ที่สลบเพราะว่าขาดสารอาหาร ร่างกายเลยอ่อนเพลีย ให้นอนพักอีกสักคืน พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้วล่ะ” ผมไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่พยักหน้ารับรู้เท่านั้น
“งั้นฉันไปก่อนนะ ต้องไปตรวจคนไข้คนอื่นต่อ ไว้ว่างๆ หาเวลาไปดริ้งกันเพื่อน ไม่ได้ไปนานแล้วว่ะ”
“เออ ไว้หาวันว่างแล้วนัดไอ้พวกนั้นมาด้วยเลย” ผมตอบกลับและคิดไปถึงเพื่อนๆ อีก 3 คนที่เหลือ ในกลุ่มผมมีกัน 5 คนครับ สนิทกันเหนียวแน่น ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม เพื่อนๆ ในกลุ่มผมคนแรกก็ไอ้ไผ่ อย่างที่แนะนำไปแล้วนั่นละครับ
คนถัดมาคือไอ้ซอ บ้านมันทำพวกดอกไม้ส่งออกครับ ปลูกดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์ แล้วส่งออกไปขายต่างประเทศ ช่างขัดกับรูปร่างหน้าตามันเหลือเกิน ตัวมันใหญ่อย่างกับหมี หน้าตามันก็เหมือนโจร แต่ก็หล่อคมคาย ตามสไตล์หนุ่มมาดเข้ม คิดดูเอาแล้วกันครับ คนหน้าตาเหมือนโจร แต่มานั่งปลูกดอกไม้ มาดูแลทะนุถนอมดอกไม้ ผมยังแปลกใจที่มันไม่ทำธุรกิจครอบครัวเจ๊งไปตั้งแต่มันเข้ามาดูแลได้ยังไง
คนต่อมาก็ไอ้ต้อง มันเป็นเจ้าของผับ มีหลากหลายสาขา ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดทุกอย่างครับ ไอ้ต้องนี่พ่อแม่มันทำเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ แต่ตัวมันดันทะลึ่ง ไม่อยากเดินตามรอย ขอถอยออกมาทำธุรกิจของตัวเอง ก็สมกับตัวมันแหละครับ เป็นหนุ่มเจ้าสำราญ อ่อยสาวๆ ไปทั่ว ได้เขาแล้วก็ทิ้งเป็นว่าเล่น
ส่วนคนสุดท้าย ไอ้ไนท์ ทำงานเป็นพวกโปรแกรมเมอร์ครับ เขียนโปรแกรม ซอฟต์แวร์ ออกแบบระบบ เน้นด้าน IT เป็นหลัก รับช่วงต่อจากพ่อแม่ของมันมาอีกที ไอ้ไนท์นี่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม รูปร่างบอบบางอ้อนแอ้น จึงกลายเป็นน้องเล็กของกลุ่มไปโดยปริยาย
“ไว้เดี๋ยวกูนัดพวกมันเองแล้วกัน มึงไปทำงานเถอะ”
“เออๆ ไปละ” ไอ้ไผ่เดินออกจากห้องไปแล้ว ทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ผมหันไปมองคนที่นั่งอยู่บนเตียง และยังมองค้างมาทางผมอยู่
“มองอะไร ทานข้าวไปสิ” ผมพูดและก้มหน้าทานข้าวของตัวเองต่อ เจ้านายถึงได้เริ่มทานข้าวของตัวเองบ้าง
“คุณชื่ออะไรหรอ”
“เนม”
“อื้อ คุณอายุเท่าไหร่หรอ”
“25” ผมตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ เพราะเริ่มจะรู้สึกรำคาญขึ้นมานิดๆ พร้อมจ้องหน้าของเขาไปด้วย
“ผมขอเรียกว่าพี่เนมได้ไหมครับ” เจ้านายยังคงถามคำถามผมต่อ
“แล้วแต่คุณ” ผมตอบไปแค่นั้น และไม่ได้สนใจเขาอีก ก้มหน้าทานข้าวของตัวเองไป เมื่อเจ้านายเห็นผมตัดบทสนทนา เขาจึงไม่ได้พูดอะไรอีกแล้วก้มหน้าทานข้าวไปเงียบๆ ผ่านไปสักพักเราทั้งคู่ก็ทานข้าวเช้าเสร็จครับ ผมก็ทำหน้าที่เก็บถ้วยเก็บจานไปล้างและเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
“ผมจะกลับแล้ว คุณอยู่ได้ใช่ไหม” ผมเอ่ยถามคนที่นอนพักอยู่บนเตียงผู้ป่วย เขาหันมามองทางผม และเอ่ยปากตอบกลับมา
“ผมอยู่ได้ครับ พี่เนมกลับไปเถอะครับ ขอบคุณครับที่แวะมา”
“อืม ไว้ตอนเย็นผมจะเข้ามาดูคุณอีกที” ผมพูดจบและหมุนตัวเดินออกจากห้องไป ผมว่าเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรมากมายเท่าไหร่ ไม่ถึงกับขนาดที่ต้องนั่งเฝ้า 24 ชั่วโมงสักหน่อย สู้ผมเอาเวลานั่งเฝ้า ไปนั่งทำงานที่บริษัทยังจะดีเสียกว่า อีกอย่างผมกับเขาเองก็ไม่ได้สนิทกันขนาดที่ต้องมาเฝ้าใกล้ชิดขนาดนั้น คิดได้อย่างนั้นแล้วจึงต่อสายไปหาลุงชาญ และแจ้งกับคุณลุงว่าผมเปลี่ยนใจจะเข้าบริษัท แต่น่าจะเข้าช่วงสายหน่อย แล้วจึงเดินทางออกจากโรงพยาบาลเพื่อตรงเข้าบริษัททันที
“อืม ไว้ตอนเย็นผมจะเข้ามาดูคุณอีกที” พี่เนมบอกไว้แค่นั้นแล้วเดินออกจากห้องไป เมื่อผมอยู่คนเดียว ผมก็ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปกับเหตุการณ์ที่ผมได้พบเจอมาผมเจ้านายครับ ชื่อจริง เจ้านาย พัชรวิทิต อายุ 18 ครับ แม่ของผมบอกว่าพ่อผมตั้งชื่อนี้ให้เพราะผมจะได้เป็นเจ้าคน นายคน ส่วนนามสกุลก็แปลว่า ผู้มีความรู้และแข็งแกร่งดั่งเพชร พ่อของผมเสียไปตั้งแต่ผมยังเด็กครับ ผมยังจำความไม่ได้ด้วยซ้ำ ทำให้ผมอาศัยอยู่กับแม่แค่ 2 คน บ้านเรามีสถานะกลางๆ ไม่ได้ยากจนแต่ก็ไม่ได้รวยอะไรขนาดนั้น แต่เราก็ประคับประคองให้มีชีวิตรอดในแต่ละวัน เรามีบ้านหลังเก่าๆ แค่เพียงพอให้อยู่อาศัย หลายคนอาจจะสงสัยว่าผมจะไปทำอะไรที่สุสานวัดนาไพร พ่อของผมถูกฝังอยู่ที่นั่นครับ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ทำให้ผมต้องไปที่นั่นแม่ของผมถูกฆ่า แม้จะไม่ใช่ต่อหน้าต่อตา แต่ผมก็อยู่ในเหตุการณ์นั้น วันนั้นผมกลับมาจากการสอบชิงทุนเข้ามหาวิทยาลัย ผมเห็นรถยนต์ที่ไม่คุ้นตาจอดอยู่หน้าบ้าน แม่ของผมคุยกับผู้ชายใส่สูทชุดดำ 2 คน ดูคล้ายกับกำลังโต้เถียงอะไรบางอย่าง และผู้ชาย 2 คนนั้นก็ลากแม่ของผมเข้าบ้านไป เมื่อผมเห็นก็ตกใจ รีบวิ่งเข้าไปภายในบ้าน ขณะนั
เช้าวันถัดมา ผมตื่นขึ้นความรู้สึกดีกว่าเมื่อวานมากนัก รู้สึกสดชื่นขึ้นเยอะเลยทีเดียว เวลาสายของวัน พี่เนมก็เข้ามา และบอกให้ผมอาบน้ำแต่งตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมที่พี่เนมเป็นคนนำมา และเราก็ออกจากโรงพยาบาลกัน โดยมีพี่เนมเป็นคนขับรถให้ เมื่อผมได้เห็นรถของพี่เนมชัดๆ รถ Lamborghini อเวนทาดอร์ สีดำสนิท รถของพี่เนมหรูมากครับ จนผมไม่กล้าที่จะเข้าไปนั่ง กลัวจะทำให้รถของพี่เนมเสียหาย เกิดเป็นรอยขึ้นมา ผมแย่แน่ๆ วันนั้นอะไรดลใจให้ผมโบกรถของเขาไปกันนะ!! พี่เนมบอกให้ผมขึ้นรถพร้อมกับจ้องมองนิ่งๆ เหมือนบังคับกลายๆ ผมเลยจำใจต้องขึ้นรถมานั่งข้างเขา ที่นั่งภายในมีเพียง 2 ที่เท่านั้นเอง ถ้าเป็นผม ผมจะไม่ซื้อรถแบบนี้มาใช้เด็ดขาดเลย ไม่มีความคุ้มค่าเลยสักนิด ราคาแพงแต่ไปได้น้อยคนแบบนี้“จะไปสุสานใช่ไหม” พี่เนมถามผม ทำลายความเงียบที่อยู่ในบรรยากาศ“ครับ ใช่ครับ” ผมตอบกลับพี่เนมและนั่งตัวเกร็ง ไม่กล้าให้ร่างกายไปโดนส่วนไหนของรถมากนัก ผมกลัวว่าจะทำให้รถพี่เนมเสียหาย“นั่งตามสบายเถอะ ไม่ต้องเกร็ง มันน่าหงุดหงิด” พี่เนมบอกขึ้น เพื่อให้ผมนั่งสบายๆ แต่พี่โว้ยยยยยย เกร็งยิ่งกว่าเดิมอีกครับ!!! พี่เนมเล่นพูดแบบ
วันที่ 11 สิงหาคม ปี 43 มันเป็นวันเกิดของผม พ่อของผมทำพินัยกรรมให้ทันทีที่ผมเกิด ครอบครัวของผมเป็น เศรษฐี และนี่คือสิ่งที่แม่ไม่เคยบอกผม เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยรู้ การได้รับรู้ข่าวนี้ทำให้ผมถึงกับไปไม่เป็น ผมทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มต้นทำอะไรต่อจากนี้ ผมรู้แล้วว่าทำไมผมถึงไม่เคยได้เจอหน้าพ่อ ผมรู้แล้วว่าทำไมท่านถึงเสียก่อนวัยอันควร และรู้แล้วว่าทำไมแม่ของผมจึงถูกชาย 2 คนนั้นทำร้ายจนเสียชีวิต ผมว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับพินัยกรรมฉบับนี้แน่ ในขณะที่ผมคิดอะไรไม่ตกนั้น พี่เนมก็ขยับเดินเข้ามาใกล้“เสร็จรึยัง” พี่เนมถามและมองผมที่ยังนั่งนิ่งอยู่ที่พื้น อย่างคนที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนพี่เนมต้องนั่งยองๆ และเอามือวางบนไหล่ผมเบาๆ ผมสะดุ้งนิดๆ และหันไปหาพี่เนม“อะ อ่อ เสร็จ เสร็จแล้วครับ” เสียงของผมสั่นคนผมเองยังรู้สึกได้ พี่เนมขมวดคิ้วมองผมเล็กน้อย ก่อนลุกยืนขึ้น“จะกลับเลยไหม”“คะ ครับ กลับครับ” ผมตอบพี่เนม เริ่มเก็บของที่ผมได้เจอ ปิดแผ่นหินนั้นคืนที่เดิม และนำของที่ได้รับกลับมาด้วย เมื่อมาถึงรถผมก็ขึ้นไปนั่งและก้มมองกล่องเหล็กนั้นอย่างใช้ความคิดเงียบๆ“นาย จะให้ไปส่งที่ไหน”“...”“เจ้านาย” พี่
คำชวนจากพี่เนมทำให้ผมนิ่งคิด พี่เนมชวนผมทำงาน ผมเนี้ยนะ เด็กบ้านๆ คนหนึ่ง เรียนก็น้อย ผมยังไม่มีมหาลัยให้เข้าเรียนเลยด้วยซ้ำ แล้วจะให้ผมช่วยงานอะไรพี่เขาได้ละครับ“พี่เนมจะให้ผมทำงานอะไรหรอครับ”“เลขาส่วนตัว”“แต่ว่าผมเรียนมาน้อย จะช่วยงานพี่ได้ยังไงครับ ผมคิดว่าผมคงไม่เหมาะกับงานนี้” ผมพูดพลางคิดไปด้วย ให้ผมเป็นเลขาส่วนตัว แสดงว่าก็ต้องคอยช่วยจัดตารางงาน นัดลูกค้า แจ้งกำหนดการอะไรแบบนี้รึเปล่านะ“ฉันจะส่งเสียนายเรียนมหาลัยก่อน ระหว่างนั้นให้ทำงานเป็นเลขาส่วนตัวฉันไปพลางๆ หน้าที่ก็ไม่มีอะไรมาก เตรียมรายการอาหารเช้า กลางวัน เย็นให้ป้านุ่ม ให้นายเป็นคนคิดเมนูอาหารในแต่ละวัน ตอนเช้าก็เข้ามาปลุกฉันในห้องและจัดเตรียมเสื้อผ้า รวมถึงเอกสารที่จำเป็น แล้วค่อยออกไปเรียน พอนายเรียนจบฉันจะหางานที่เหมาะสมให้กับนายอีกที”“ผมคิดว่า ผมต้องทำการนัดหมาย เตรียมเอกสารสำคัญ นัดพบลูกค้า หรือจัดเตรียมข้อมูลระหว่างที่พี่เนมทำงานที่บริษัทซะอีกครับ” ผมถามพร้อมกับทำหน้างง ก็มันเป็นหน้าที่ของเลขาไม่ใช่หรอ มันก็ต้องไปทำที่บริษัทกับพี่เนมสิถึงจะถูก แต่ทำไมงานที่พี่เนมให้ทำกลับเป็นงานที่บ้านทั้งหมดเลยล่ะ“อันนั้นงา
เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังขึ้นแต่เช้า ทำให้ผมคิดขึ้นได้ว่าผมต้องไปปลุกพี่เนม เพื่อให้พี่เนมได้ออกไปทำงาน ผมตื่นมาตอนตี 5.30 น. เพื่ออาบน้ำ แต่งตัว แล้วลงไปบอกเมนูอาหารให้กับป้านุ่มได้รับทราบ อาหารเช้าในวันนี้ที่ผมคิดก็คือ เบคอน ไข่ดาว ขนมปัง กาแฟ และ แอปเปิล เมื่อป้านุ่มได้ฟังก็เตรียมตัวออกไปจ่ายตลาด ผมไม่รู้ว่าปกติที่บ้านนี้ทานอาหารเช้ากันยังไง ไว้เดี๋ยวผมจะไปถามป้านุ่มอีกที เผื่อพี่เนมมีอะไรที่ชอบเป็นพิเศษจะได้เพิ่มเข้าไปในเมนู เมื่อจัดการเรื่องอาหารเรียบร้อยแล้ว ผมก็เข้าห้องไปปลุกพี่เนม เคาะประตูสอง สาม ครั้ง เพื่อบ่งบอกให้รู้ว่าผมกำลังจะเข้าไป ห้องของพี่เนมมืดสนิทเลยครับ มองแทบไม่เห็นอะไรเลย เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่ผมทำก็คือเดินไปที่หน้าต่างเพื่อเปิดผ้าม่านออก แสงสว่างส่องผ่านเข้ามาภายในห้องนอน“อืมมม” พี่เนมส่งเสียงงัวเงียเล็กน้อยเมื่อมีแสงรบกวนการนอน ทำให้ผมหันไปมองเพื่อลงมือปลุกพี่เนม แต่ภาพที่เห็นทำให้ผมหยุดชะงัก พี่เนมในสภาพเปลือยอก แขนวางพาดไว้ด้านบนศีรษะ มืออีกข้างวางบนหน้าท้อง ทำให้ผมเห็นกล้ามแขนที่น่าขบกัดเบาๆ ของพี่เนม ไหนจะหน้าท้องเป็นลอนลูกคลื่น แซมด้วยไรขนอ่อนๆ ไล่ลึกลงไปด้าน
วันนี้เป็นวันเสาร์ครับ พี่เนมบอกว่าไม่ต้องปลุกและไม่ต้องคิดเมนูอาหาร ทำให้ผมนอนยาวได้อย่างสบายใจ แต่ก็ไม่มากหรอกครับ ผมตื่นมาในเวลา 7 โมงเช้าของวัน อาบน้ำแต่งตัว แล้วลงไปช่วยป้านุ่มทำกับข้าวแทน จนถึงเวลาอาหารเช้าก็ยังไม่เห็นพี่เนมออกมาจากห้อง ผมเลยเดินไปปลุกพี่เนมภายในห้องเพื่อให้มาทานอาหารเช้า แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปกลับไม่พบใครอยู่ในนั้น แถมเตียงนอนก็ถูกจัดเก็บอย่างเรียบร้อย จึงออกเดินตามหาภายในบ้าน ผมเดินเข้าห้องนั้น ออกห้องนี้ จนเริ่มจะปวดขาหน่อยๆ แต่ก็ยังไม่เจอพี่เนมสักที ในขณะที่กำลังจะหันหลังกลับ ก็ได้ยินเสียงเพลงแว่วๆ มา จึงเดินตามเสียงเพลงนั้นไป จนสุดท้ายผมก็มาพบพี่เนมอยู่ที่ห้องออกกำลังกาย พี่เนมกำลังวิ่งอยู่บนลู่วิ่ง หันหน้าไปทางสระน้ำ ใส่เสื้อกล้ามสีดำ กางเกงบอล รองเท้าผ้าใบ และผ้าผืนบางพาดอยู่ที่ต้นคอ ห้องนี้เปิดเพลงดังมากและมันมาก คิดว่าคงเพื่อปลุกใจในการออกกำลังกาย ผมส่งเสียงเรียกพี่เนมอยู่ สอง สาม ครั้ง แต่คนตรงหน้าดูท่าว่าไม่ได้ยินสักนิด ผมจึงเดินไปที่เครื่องเล่นเพลง และกดหยุดมัน จนทำให้พี่เนมหันมามอง พี่เนมยอมหยุดวิ่งยืนรออยู่กับที่พร้อมๆ กับผมที่เดินเข้าไปใกล้“พี่เ
ผมพาเจ้านายมาส่งถึงห้อง แล้วพาไปที่อ่างน้ำ จับเขานั่งอยู่ภายในอ่าง เปิดน้ำใส่อย่างแรง เมื่อน้ำได้ระดับผมก็จับเจ้านายกดไว้ เจ้านายดิ้นอยู่สักพักหนึ่ง มือเล็กพยายามลูบไล้ร่างกายผมไปทั่ว พร้อมเอาหน้ามาถูไถซุกอก ผมได้แต่กัดฟันกรอด เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก จนเจ้านายนั่งนิ่งอย่างสงบ ดวงตาปิดพริ้มไปพร้อมหลับเต็มที เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ามีอาการดีขึ้นแล้ว ผมก็อุ้มเขาขึ้นมา จัดการถอดเสื้อผ้าที่เปียกชื้นทั้งหมดออก ซึ่งมันเกือบจะทำให้สติของผมแตกกระเจิง ยิ่งเห็นยอดอกสีชมพูอ่อน หน้าท้องที่มีกล้านิดๆ พอตัว ตัวสีขาวนวลออกสีแดงจางๆ เพราะฤทธิ์ไวน์ ผมพยายามหักห้ามใจ ไม่ให้ทำอะไรๆ มากไปกว่าที่ควรจะเป็น ผมจัดการอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาใหม่ ระหว่างทำก็ก้มจูบคนตัวเล็กอยู่เรื่อยอย่างคนอดใจไม่อยู่ เมื่อผมจัดการเจ้านายจนเสร็จเรียบร้อย จัดให้เขานอนดีๆ บนที่นอน ห่มผ้าให้ถึงอก แล้วผมก็ผละไปจัดการตัวเองบ้าง“อืมมมมม อ่าาาาาาาา” ผมใช้แม่นางทั้ง 5 ของผม รูดรั้งแกนกายที่กำลังพองขยายตัวเต็มที่ อย่างรัวเร็ว พลางคิดถึงสัมผัสทางริมฝีปากที่ได้รับมา มันทั้งนุ่มและหอมหวาน ยิ่งอยากทำให้ลิ้มลองอีก คิดถึงสัมผัสที่ฝ่ามือของผม
“อ๊ะ!!!” พี่เนมจับแขนผมแล้วดึงเอาไว้ขณะที่ผมหมุนตัวหันหลังเพื่อจะออกจากห้องไป ทำให้ตัวของผมเซไปทับพี่เนม แต่อะไรก็ไม่เท่ามือของผมที่จับกายแกร่งช่วงล่างของพี่เขาอยู่ ทำให้ผมตกใจดวงตาเบิกกว้างเงยหน้ามองพี่เนมอย่างตกใจ แล้วสิ่งที่ตามมาติดๆ เมื่อผมล้มลงคือริมฝีปากนุ่มยุ่นของพี่เนมที่แนบชิดกับริมฝีปากของผม ผมตกใจได้แต่ค้างท่านั้นจนในที่สุดพี่เนมก็ผละริมฝีปากออกห่าง“ระวังไว้ให้ดี ฉันจะรุกจีบนายแล้วนะ” พี่เนมกระซิบเสียงพร่าที่ข้างหูของผม จนผมอดรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องไม่ได้ พี่เนมค่อยๆ ถอยออกไปและปล่อยแขนของผม ขณะเดียวกันก็ส่งยิ้มแพรวพราวมาให้“อะ อะ อ่อ” ผมถึงกับใบ้กินและไปต่อไม่ถูก ได้แต่ค้างท่าเดิมไว้อย่างนั้น“ถ้านายยังไม่เอามือออกไป ฉันจะจับนายกินแล้วนะ” เมื่อพี่เนมพูดขึ้น ทำให้ผมนึกขึ้นได้ รีบปล่อยสิ่งที่จับอยู่ในมือราวกับโดนของร้อน“ขะ ขะ ขอโทษครับ” ผมบอกพี่เนมแล้วรีบวิ่งกลับห้องตัวเองทันที“ฮึฮึ” ขณะที่ผมวิ่งออกมาก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะของพี่เนมดังไล่หลัง หน้าของผมเห่อร้อนขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ได้แต่มานั่งสงบสติอารมณ์ของตัวเองบนเตียงนอน โอ้ยยยยยยย ทำไมผมถึงรู้สึกดีกับสัมผัสของเขา ทำไม
...Nine Part“อืมมมมม ฮ้าวววววว” ผมตื่นมาในเวลาปกติของวัน วันนี้วันอังคาร ผมมีเรียนแค่ช่วงบ่ายครับ ทำให้ผมนอนบิดขี้เกียจอยู่บนเตียง แต่สัมผัสอุ่นๆ ข้างตัวทำให้สะดุ้งตกใจ ที่มายิ่งกว่าคือ การที่ผมตื่นมาแล้วกำลังซุกหน้าลงกับอกเปลือยเปล่าของพี่เนม อีกแล้วหรอครับ!!! ผมเด้งตัวออกจากอ้อมกอด เงยหน้ามองพี่เนม ซึ่งพบว่าพี่เนมตื่นก่อนอยู่แล้วครับ พี่เนมยิ้มมุมปากแล้วยกตัวขึ้นนิดหนึ่งจุ๊บปากผมเร็วๆ“มอร์นิ่งคิส หลับสบายไหม กับอกพี่น่ะ” พี่เนมจุ๊บปากผม แล้วเอ่ยถามข้างใบหูจนผมอดรู้สึกหน้าแดงไม่ได้“พะ พะ พี่เนมเข้ามาได้ยังไงครับ” ผมถามพี่เนมปากสั่น หันไปมองประตูที่เมื่อคืนสู้อุตส่าห์หาวิธีมาป้องกัน โดยการเอาเก้าอี้มาคั่นไว้ ทำให้เปิดเข้ามาไม่ได้แน่ๆ และสภาพของมันก็ยังเหมือนเดิม ไม่ได้ล้มลง หรือถูกเคลื่อนย้ายแต่อย่างใด“หืม ทะลุประตูเข้ามา ฮะๆ” พี่เนมลุกขึ้นจากเตียง เดินไปขยับเก้าอี้ออก แล้วเปิดประตูกลับเข้าห้องตัวเองไป ผมสิ อ้าปากค้าง บ้าหรอ!!!! ถ้าทะลุได้จริง ทำไมไม
...NamePart“จะกลับเลยไหม” ผมเอ่ยถามคนตัวเล็กเมื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเจ้านายและกลุ่มเพื่อนๆ สายตาผมลอบสังเกตเพื่อนของเจ้านายแต่ละคน อืมม ส่วนใหญ่ก็ท่าทางปกติ แต่ที่ไม่ปกติเห็นจะมีอยู่หนึ่งคน ผมจึงตวัดสายตาไปมอง“พี่เนมมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” เจ้านายเอ่ยถามพร้อมทำหน้าสงสัย เอียงคอหน่อยๆ อย่างน่ารักน่าเอ็นดู“สักพักแล้วล่ะ กำลังจะกลับกันใช่ไหม”“ครับ” เจ้านายตอบรับผม ก่อนจะหันไปหาเพื่อนของตัวเอง ที่กระตุกแขนยิกๆ ซุบซิบกันเบาๆ ถ้าให้ผมเดาก็คงไม่พ้นเรื่องของผมหรอก ก็เมื่อกี้พวกนี้เล่นคุยกันเสียงดัง แถมนินทาระยะเผาขนขนาดนั้น ผ่านไปสักพักหนึ่งเจ้านายหันมาสบตาผมแล้วพยักหน้าให้“ปะ กลับกันเถอะครับ” เมื่อผมได้รับคำยืนยันก็หมุนตัวเดินตรงไปที่รถ จัดการปลดล็อกรถ แล้วเข้าไปนั่ง เจ้านายเปิดประตูฝั่งด้านข้างคนขับ ขึ้นมานั่งและคาดเข็มขัดนิรภัยอย่างเรียบร้อย ผมจึงค่อยๆ เคลื่อนตัวออกช้าๆ และเร่งความเร็วมากขึ้นเมื่อถึงถนนโล่งแจ้ง ก็นะ อเวนทาดอร์ของผมมันดุเห
ตอนนี้ผมกับพี่เนม เรามานั่งในร้านอาหารแห่งหนึ่งครับ โดยผมกับพี่เนมนั่งฝั่งเดียวกัน และฝั่งตรงข้าม มีหญิงสาวชรากับลูกชายของเธอนั่งอยู่ ซึ่งก็คือ คุณหญิงนภา เดชพิมุกต์ และคุณกันต์ เดชพิมุกต์ อดีตกรรมการผู้จัดการ และ กรรมการผู้จัดการคนปัจจุบันของบริษัท โอแกรนวิลล์ ส่วนสาเหตุนั้นเป็นเพราะว่า พี่เนมพาผมมาทานอาหารที่ร้านภายในห้างสรรพสินค้านี้ ตอนแรกที่เดินเข้ามาเหมือนพี่เนมจะเห็นแล้วล่ะครับ แต่เป็นผมที่ดึงดันให้เข้าร้าน เพราะไม่รู้ว่าจะเดินวนหาร้านอื่นไปอีกทำไม เมื่อเดินเข้ามาก็ถูกคุณหญิงนภาเรียกเอาไว้ แล้วชักชวนให้นั่งร่วมโต๊ะด้วยกัน โดยหยิบยกเรื่องที่ผมกับพี่เนมแอบชิ่งหนีออกจากงานเลี้ยงครั้งก่อนมากดดัน ทำให้ต้องร่วมโต๊ะกันอย่างช่วยไม่ได้“ขอโทษครับพี่เนม” ผมกระซิบบอกคนข้างกาย เพราะเข้าใจดีกว่าพี่เนมคงไม่อยากร่วมโต๊ะกับคู่แข่งสักเท่าไหร่“ไม่เป็นไร” พี่เนมกระซิบตอบกลับมาเบาๆ และหันกลับไปเมื่อฝั่งตรงข้ามหันมาพูดคุยกับพี่เนมเรื่องธุรกิจที่กำลังทำ และโปรเจ็คใหม่ที่มีแผนว่าจะขยายกิจการออกไป“แล้วนี่ คุณเจ้านายมาทำงานกับคุณวรวิทย์นานรึยังคะ?&
“อ๊ะ!!!” พี่เนมจับแขนผมแล้วดึงเอาไว้ขณะที่ผมหมุนตัวหันหลังเพื่อจะออกจากห้องไป ทำให้ตัวของผมเซไปทับพี่เนม แต่อะไรก็ไม่เท่ามือของผมที่จับกายแกร่งช่วงล่างของพี่เขาอยู่ ทำให้ผมตกใจดวงตาเบิกกว้างเงยหน้ามองพี่เนมอย่างตกใจ แล้วสิ่งที่ตามมาติดๆ เมื่อผมล้มลงคือริมฝีปากนุ่มยุ่นของพี่เนมที่แนบชิดกับริมฝีปากของผม ผมตกใจได้แต่ค้างท่านั้นจนในที่สุดพี่เนมก็ผละริมฝีปากออกห่าง“ระวังไว้ให้ดี ฉันจะรุกจีบนายแล้วนะ” พี่เนมกระซิบเสียงพร่าที่ข้างหูของผม จนผมอดรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องไม่ได้ พี่เนมค่อยๆ ถอยออกไปและปล่อยแขนของผม ขณะเดียวกันก็ส่งยิ้มแพรวพราวมาให้“อะ อะ อ่อ” ผมถึงกับใบ้กินและไปต่อไม่ถูก ได้แต่ค้างท่าเดิมไว้อย่างนั้น“ถ้านายยังไม่เอามือออกไป ฉันจะจับนายกินแล้วนะ” เมื่อพี่เนมพูดขึ้น ทำให้ผมนึกขึ้นได้ รีบปล่อยสิ่งที่จับอยู่ในมือราวกับโดนของร้อน“ขะ ขะ ขอโทษครับ” ผมบอกพี่เนมแล้วรีบวิ่งกลับห้องตัวเองทันที“ฮึฮึ” ขณะที่ผมวิ่งออกมาก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะของพี่เนมดังไล่หลัง หน้าของผมเห่อร้อนขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ได้แต่มานั่งสงบสติอารมณ์ของตัวเองบนเตียงนอน โอ้ยยยยยยย ทำไมผมถึงรู้สึกดีกับสัมผัสของเขา ทำไม
ผมพาเจ้านายมาส่งถึงห้อง แล้วพาไปที่อ่างน้ำ จับเขานั่งอยู่ภายในอ่าง เปิดน้ำใส่อย่างแรง เมื่อน้ำได้ระดับผมก็จับเจ้านายกดไว้ เจ้านายดิ้นอยู่สักพักหนึ่ง มือเล็กพยายามลูบไล้ร่างกายผมไปทั่ว พร้อมเอาหน้ามาถูไถซุกอก ผมได้แต่กัดฟันกรอด เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก จนเจ้านายนั่งนิ่งอย่างสงบ ดวงตาปิดพริ้มไปพร้อมหลับเต็มที เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ามีอาการดีขึ้นแล้ว ผมก็อุ้มเขาขึ้นมา จัดการถอดเสื้อผ้าที่เปียกชื้นทั้งหมดออก ซึ่งมันเกือบจะทำให้สติของผมแตกกระเจิง ยิ่งเห็นยอดอกสีชมพูอ่อน หน้าท้องที่มีกล้านิดๆ พอตัว ตัวสีขาวนวลออกสีแดงจางๆ เพราะฤทธิ์ไวน์ ผมพยายามหักห้ามใจ ไม่ให้ทำอะไรๆ มากไปกว่าที่ควรจะเป็น ผมจัดการอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาใหม่ ระหว่างทำก็ก้มจูบคนตัวเล็กอยู่เรื่อยอย่างคนอดใจไม่อยู่ เมื่อผมจัดการเจ้านายจนเสร็จเรียบร้อย จัดให้เขานอนดีๆ บนที่นอน ห่มผ้าให้ถึงอก แล้วผมก็ผละไปจัดการตัวเองบ้าง“อืมมมมม อ่าาาาาาาา” ผมใช้แม่นางทั้ง 5 ของผม รูดรั้งแกนกายที่กำลังพองขยายตัวเต็มที่ อย่างรัวเร็ว พลางคิดถึงสัมผัสทางริมฝีปากที่ได้รับมา มันทั้งนุ่มและหอมหวาน ยิ่งอยากทำให้ลิ้มลองอีก คิดถึงสัมผัสที่ฝ่ามือของผม
วันนี้เป็นวันเสาร์ครับ พี่เนมบอกว่าไม่ต้องปลุกและไม่ต้องคิดเมนูอาหาร ทำให้ผมนอนยาวได้อย่างสบายใจ แต่ก็ไม่มากหรอกครับ ผมตื่นมาในเวลา 7 โมงเช้าของวัน อาบน้ำแต่งตัว แล้วลงไปช่วยป้านุ่มทำกับข้าวแทน จนถึงเวลาอาหารเช้าก็ยังไม่เห็นพี่เนมออกมาจากห้อง ผมเลยเดินไปปลุกพี่เนมภายในห้องเพื่อให้มาทานอาหารเช้า แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปกลับไม่พบใครอยู่ในนั้น แถมเตียงนอนก็ถูกจัดเก็บอย่างเรียบร้อย จึงออกเดินตามหาภายในบ้าน ผมเดินเข้าห้องนั้น ออกห้องนี้ จนเริ่มจะปวดขาหน่อยๆ แต่ก็ยังไม่เจอพี่เนมสักที ในขณะที่กำลังจะหันหลังกลับ ก็ได้ยินเสียงเพลงแว่วๆ มา จึงเดินตามเสียงเพลงนั้นไป จนสุดท้ายผมก็มาพบพี่เนมอยู่ที่ห้องออกกำลังกาย พี่เนมกำลังวิ่งอยู่บนลู่วิ่ง หันหน้าไปทางสระน้ำ ใส่เสื้อกล้ามสีดำ กางเกงบอล รองเท้าผ้าใบ และผ้าผืนบางพาดอยู่ที่ต้นคอ ห้องนี้เปิดเพลงดังมากและมันมาก คิดว่าคงเพื่อปลุกใจในการออกกำลังกาย ผมส่งเสียงเรียกพี่เนมอยู่ สอง สาม ครั้ง แต่คนตรงหน้าดูท่าว่าไม่ได้ยินสักนิด ผมจึงเดินไปที่เครื่องเล่นเพลง และกดหยุดมัน จนทำให้พี่เนมหันมามอง พี่เนมยอมหยุดวิ่งยืนรออยู่กับที่พร้อมๆ กับผมที่เดินเข้าไปใกล้“พี่เ
เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังขึ้นแต่เช้า ทำให้ผมคิดขึ้นได้ว่าผมต้องไปปลุกพี่เนม เพื่อให้พี่เนมได้ออกไปทำงาน ผมตื่นมาตอนตี 5.30 น. เพื่ออาบน้ำ แต่งตัว แล้วลงไปบอกเมนูอาหารให้กับป้านุ่มได้รับทราบ อาหารเช้าในวันนี้ที่ผมคิดก็คือ เบคอน ไข่ดาว ขนมปัง กาแฟ และ แอปเปิล เมื่อป้านุ่มได้ฟังก็เตรียมตัวออกไปจ่ายตลาด ผมไม่รู้ว่าปกติที่บ้านนี้ทานอาหารเช้ากันยังไง ไว้เดี๋ยวผมจะไปถามป้านุ่มอีกที เผื่อพี่เนมมีอะไรที่ชอบเป็นพิเศษจะได้เพิ่มเข้าไปในเมนู เมื่อจัดการเรื่องอาหารเรียบร้อยแล้ว ผมก็เข้าห้องไปปลุกพี่เนม เคาะประตูสอง สาม ครั้ง เพื่อบ่งบอกให้รู้ว่าผมกำลังจะเข้าไป ห้องของพี่เนมมืดสนิทเลยครับ มองแทบไม่เห็นอะไรเลย เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่ผมทำก็คือเดินไปที่หน้าต่างเพื่อเปิดผ้าม่านออก แสงสว่างส่องผ่านเข้ามาภายในห้องนอน“อืมมม” พี่เนมส่งเสียงงัวเงียเล็กน้อยเมื่อมีแสงรบกวนการนอน ทำให้ผมหันไปมองเพื่อลงมือปลุกพี่เนม แต่ภาพที่เห็นทำให้ผมหยุดชะงัก พี่เนมในสภาพเปลือยอก แขนวางพาดไว้ด้านบนศีรษะ มืออีกข้างวางบนหน้าท้อง ทำให้ผมเห็นกล้ามแขนที่น่าขบกัดเบาๆ ของพี่เนม ไหนจะหน้าท้องเป็นลอนลูกคลื่น แซมด้วยไรขนอ่อนๆ ไล่ลึกลงไปด้าน
คำชวนจากพี่เนมทำให้ผมนิ่งคิด พี่เนมชวนผมทำงาน ผมเนี้ยนะ เด็กบ้านๆ คนหนึ่ง เรียนก็น้อย ผมยังไม่มีมหาลัยให้เข้าเรียนเลยด้วยซ้ำ แล้วจะให้ผมช่วยงานอะไรพี่เขาได้ละครับ“พี่เนมจะให้ผมทำงานอะไรหรอครับ”“เลขาส่วนตัว”“แต่ว่าผมเรียนมาน้อย จะช่วยงานพี่ได้ยังไงครับ ผมคิดว่าผมคงไม่เหมาะกับงานนี้” ผมพูดพลางคิดไปด้วย ให้ผมเป็นเลขาส่วนตัว แสดงว่าก็ต้องคอยช่วยจัดตารางงาน นัดลูกค้า แจ้งกำหนดการอะไรแบบนี้รึเปล่านะ“ฉันจะส่งเสียนายเรียนมหาลัยก่อน ระหว่างนั้นให้ทำงานเป็นเลขาส่วนตัวฉันไปพลางๆ หน้าที่ก็ไม่มีอะไรมาก เตรียมรายการอาหารเช้า กลางวัน เย็นให้ป้านุ่ม ให้นายเป็นคนคิดเมนูอาหารในแต่ละวัน ตอนเช้าก็เข้ามาปลุกฉันในห้องและจัดเตรียมเสื้อผ้า รวมถึงเอกสารที่จำเป็น แล้วค่อยออกไปเรียน พอนายเรียนจบฉันจะหางานที่เหมาะสมให้กับนายอีกที”“ผมคิดว่า ผมต้องทำการนัดหมาย เตรียมเอกสารสำคัญ นัดพบลูกค้า หรือจัดเตรียมข้อมูลระหว่างที่พี่เนมทำงานที่บริษัทซะอีกครับ” ผมถามพร้อมกับทำหน้างง ก็มันเป็นหน้าที่ของเลขาไม่ใช่หรอ มันก็ต้องไปทำที่บริษัทกับพี่เนมสิถึงจะถูก แต่ทำไมงานที่พี่เนมให้ทำกลับเป็นงานที่บ้านทั้งหมดเลยล่ะ“อันนั้นงา
วันที่ 11 สิงหาคม ปี 43 มันเป็นวันเกิดของผม พ่อของผมทำพินัยกรรมให้ทันทีที่ผมเกิด ครอบครัวของผมเป็น เศรษฐี และนี่คือสิ่งที่แม่ไม่เคยบอกผม เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยรู้ การได้รับรู้ข่าวนี้ทำให้ผมถึงกับไปไม่เป็น ผมทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มต้นทำอะไรต่อจากนี้ ผมรู้แล้วว่าทำไมผมถึงไม่เคยได้เจอหน้าพ่อ ผมรู้แล้วว่าทำไมท่านถึงเสียก่อนวัยอันควร และรู้แล้วว่าทำไมแม่ของผมจึงถูกชาย 2 คนนั้นทำร้ายจนเสียชีวิต ผมว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับพินัยกรรมฉบับนี้แน่ ในขณะที่ผมคิดอะไรไม่ตกนั้น พี่เนมก็ขยับเดินเข้ามาใกล้“เสร็จรึยัง” พี่เนมถามและมองผมที่ยังนั่งนิ่งอยู่ที่พื้น อย่างคนที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนพี่เนมต้องนั่งยองๆ และเอามือวางบนไหล่ผมเบาๆ ผมสะดุ้งนิดๆ และหันไปหาพี่เนม“อะ อ่อ เสร็จ เสร็จแล้วครับ” เสียงของผมสั่นคนผมเองยังรู้สึกได้ พี่เนมขมวดคิ้วมองผมเล็กน้อย ก่อนลุกยืนขึ้น“จะกลับเลยไหม”“คะ ครับ กลับครับ” ผมตอบพี่เนม เริ่มเก็บของที่ผมได้เจอ ปิดแผ่นหินนั้นคืนที่เดิม และนำของที่ได้รับกลับมาด้วย เมื่อมาถึงรถผมก็ขึ้นไปนั่งและก้มมองกล่องเหล็กนั้นอย่างใช้ความคิดเงียบๆ“นาย จะให้ไปส่งที่ไหน”“...”“เจ้านาย” พี่