เช้าวันถัดมา ผมก็รีบมาโรงพยาบาลแต่เช้าครับ พร้อมกับซื้ออาหารเช้ามาอีกนิดหน่อย ทั้งของผมและของคนป่วยที่กำลังนอนพักรักษาตัวอยู่ ผมไม่รู้ว่าเขาจะฟื้นรึยัง แต่ซื้ออะไรไปเผื่อหน่อยก็ดี ผมเดินตรงมาเรื่อยๆ จนเจอกับเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ผมทำการแจ้งชื่อและนามสกุลของคนป่วยตามชื่อในบัตรประชาชนของเขาไป และเดินตรงไปยังห้องที่นางพยาบาลแจ้งมา
เมื่อผมเปิดประตูไปแล้วก็พบกับชายหนุ่มเรือนผมสีน้ำตาลอ่อน รูปร่างผอมบาง นั่งเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าด้านนอก ผมเห็นเพียงเสี้ยวหน้าของเขาเท่านั้น ชายคนนั้นสะดุ้งนิดๆ เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู และผินหน้ากลับมาช้าๆ ทำให้ผมได้พบหน้าเขาเต็มๆ อีกครั้ง ดวงตากลมโต ราวกับดวงดาวระยิบระยับ จมูกรั้นนิดๆ ทำให้ดูก็รู้ว่าคงดื้อไม่น้อย ปากบางสีชมพูเล็กๆ นั้นรับเข้ากับรูปหน้า ผิวออกขาวซีดอย่างคนได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ แต่กลับดูนุ่มนวลน่าสัมผัส ชายคนนั้นมองนิ่งมายังผมที่ยืนอยู่หน้าประตู ผมจึงเดินเข้าไปวางของที่ซื้อมาตรงโต๊ะด้านข้างประตู และนั่งลงบนโซฟารับแขกภายในห้อง
“เป็นยังไงบ้าง” ผมเอ่ยถามเสียงนิ่ง และจ้องมองไปยังคนบนเตียงที่กำลังสบตาผมอยู่
“อ่อ ไม่เป็นอะไรแล้วครับ” น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยออกมา หากแต่ก็ยังน่าฟังอยู่ในที
“อืม ชื่ออะไร” แม้ผมจะรู้ชื่อจริงของเขาแล้ว แต่ผมอยากรู้ชื่อเล่นมากกว่า จึงได้เอ่ยปากถามออกไป
“ผมชื่อนายครับ ชื่อจริง เจ้านาย” ชายคนนั้นพูดพร้อมกับก้มหน้าลงต่ำ
“ทำไมถึงตัดหน้ารถแบบนั้น ไม่รู้รึไงว่ามันอันตราย”
“ผมขอโทษครับ ผมเห็นรถของคุณขับผ่านมา ผมแค่อยากให้คุณช่วยเฉยๆ ผมขอโทษจริงๆ ครับ”
“คุณอยากให้ผมช่วยอะไร” ผมถามกลับและขมวดคิ้วอย่างสงสัย ผมก็เข้าใจอยู่หรอก ถนนเส้นนั้นเป็นเส้นออกต่างจังหวัด แม้รถจะเยอะในช่วงหัวค่ำ แต่พอดึกเข้าหน่อยก็แทบจะไร้ผู้คน ชานเมืองก็แบบนี้ เข้านอนแต่หัววัน ไม่เหมือนในเมืองกรุง ที่มีรถวิ่งผ่านอย่างคึกคักทุกช่วงเวลา
“คือ ผม ผมอยากขอติดรถคุณไปที่สุสานวัดนาไพรน่ะครับ ไม่ได้คิดจะทำให้คุณเกิดอุบัติเหตุนะครับ ผมขอโทษจริงๆ”
วัดนาไพร อืม มันก็เป็นทางผ่านไปบ้านผมละนะ แต่มันต้องเข้าซอยเล็กๆ เข้าไปอีกหน่อยหนึ่ง จึงจะถึง
“อืม พักรักษาตัวให้หายก่อนแล้วกัน แล้วค่อยมาว่ากันใหม่” ผมพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน เพื่อเตรียมอาหารที่ผมนำมา ทั้งของเขาและของผม เพราะเวลานี้ ล่วงเลยเวลาอาหารเช้ามาสักพักแล้ว
“คือ ผม... ผมขอไปอยู่ห้องธรรมดาได้ไหมครับ ห้องแบบนี้ผมไม่มีตังค์จ่าย” นายเอ่ยออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ และแสดงท่าทีเกรงใจออกมา
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะจ่ายให้เอง แม้นายจะเป็นสาเหตุให้ฉันเกือบเกิดอุบัติเหตุก็เถอะ”
“แต่ผมเกรงใจครับ ห้องนี้คงจะแพงมาก ผมไม่อยากรบกวน”
“ผมรวย” ผมว่าและหันไปมองหน้าเขานิ่งๆ เราสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง
“ทานซะ อย่างน้อยมันก็อร่อยกว่าอาหารโรงพยาบาล” ผมว่าและเลื่อนโต๊ะทานอาหารเข้าไปวางไว้ตรงหน้าเขา พร้อมกับปรับระดับให้พอดี ก่อนจะปล่อยให้เขาทานเอง
“ขอบคุณครับ” เจ้านายเริ่มตักโจ๊กหมูร้อนๆ ที่ผมซื้อมาเผื่อเขาขึ้นมาทาน เมื่อได้ทานแล้วก็เผยรอยยิ้มนิดๆ และเงยหน้ามองผม
“อร่อยมากเลยครับ คุณใจดีจัง” รอยยิ้มของเขาทำให้ผมรู้สึกใจกระตุก ผมมั่นใจว่าผมไม่ใช่พวกเกย์แน่ๆ เพราะที่ผ่านมา ผมมีแต่หญิงสาวรายล้อมนับไม่ถ้วน เธอเหล่านั้นขยันมาขายขนมจีบให้ผมอยู่เรื่อย ผมก็แค่ยิ้มรับหรือตอบรับไปบ้างในบางที เพื่อให้การทำธุรกิจมันง่ายยิ่งขึ้น แน่นอนมันก็จะมีพวกผู้ชายหนุ่มน้อยหน้าตาน่ารัก แวะเวียนเข้ามาบางเช่นกัน แต่พวกเขาเหล่านั้นกลับทำให้ผมรู้สึกรำคาญ แต่ไม่เคยมีใครทำให้ใจผมกระตุกได้เลย ไม่เหมือนกับคนตรงหน้านี้ คนที่ชื่อว่าเจ้านาย
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้ผมได้สติและหันไปทางประตู พร้อมกับเอ่ยปากอนุญาตให้คนข้างนอกเข้ามาได้
“เชิญครับ”
“ไอ้เนม ไง มาแต่เช้าเลยนะมึง” ชายรูปร่างสูงใหญ่ แต่งตัวสะอาดสะอ้าน ตามสไตล์คุณหมอเดินเข้าห้องมาและเอ่ยทักผม คนนี้มันชื่อ ไผ่ ครับ เป็นเพื่อนเรียนด้วยกันมาตั้งแต่มัธยมปลาย แม้เราจะเข้ามหาลัยคนละคณะ แต่ก็ยังมหาลัยเดียวกันอยู่ดี มันเป็นลูกเจ้าของโรงพยาบาลครับ ก็เลยต้องเรียนหมอเพื่อรับหน้าที่ต่อจากพ่อของมัน
“เออ ว่าไงมึง โทษทีว่ะ เมื่อวานเหนื่อยๆ เลยกลับก่อน”
“เออๆ ไม่เป็นไรมึง แค่จะเข้ามาดูคนไข้เฉยๆ เป็นยังไงบ้างครับ มีอาการเจ็บหรือปวดตรงไหนไหม” มันตอบผมกลับและหันไปถามเจ้านายเพื่อสอบถามอาการ
“อ่อ ผมไม่เป็นอะไรแล้วครับ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดตรงไหนด้วยครับ” เจ้านายตอบกลับพร้อมกับยกแขนทั้งสองขึ้นดูเพื่อสำรวจและทดสอบอาการของตัวเอง
“ว่าก็ว่าเถอะ เมื่อวานพอส่งเขาให้แกแล้วก็กลับเลย ฉันยังไม่รู้สาเหตุเลย ว่าทำไมเขาถึงสลบ ทั้งๆ ที่ฉันก็ไม่ได้ชนเขาสักหน่อย” ผมเอ่ยปากถามไอ้ไผ่อย่างนึกขึ้นได้
“ก็ไม่ได้ชนจริงๆ นั่นแหละ แต่ที่สลบเพราะว่าขาดสารอาหาร ร่างกายเลยอ่อนเพลีย ให้นอนพักอีกสักคืน พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้วล่ะ” ผมไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่พยักหน้ารับรู้เท่านั้น
“งั้นฉันไปก่อนนะ ต้องไปตรวจคนไข้คนอื่นต่อ ไว้ว่างๆ หาเวลาไปดริ้งกันเพื่อน ไม่ได้ไปนานแล้วว่ะ”
“เออ ไว้หาวันว่างแล้วนัดไอ้พวกนั้นมาด้วยเลย” ผมตอบกลับและคิดไปถึงเพื่อนๆ อีก 3 คนที่เหลือ ในกลุ่มผมมีกัน 5 คนครับ สนิทกันเหนียวแน่น ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม เพื่อนๆ ในกลุ่มผมคนแรกก็ไอ้ไผ่ อย่างที่แนะนำไปแล้วนั่นละครับ
คนถัดมาคือไอ้ซอ บ้านมันทำพวกดอกไม้ส่งออกครับ ปลูกดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์ แล้วส่งออกไปขายต่างประเทศ ช่างขัดกับรูปร่างหน้าตามันเหลือเกิน ตัวมันใหญ่อย่างกับหมี หน้าตามันก็เหมือนโจร แต่ก็หล่อคมคาย ตามสไตล์หนุ่มมาดเข้ม คิดดูเอาแล้วกันครับ คนหน้าตาเหมือนโจร แต่มานั่งปลูกดอกไม้ มาดูแลทะนุถนอมดอกไม้ ผมยังแปลกใจที่มันไม่ทำธุรกิจครอบครัวเจ๊งไปตั้งแต่มันเข้ามาดูแลได้ยังไง
คนต่อมาก็ไอ้ต้อง มันเป็นเจ้าของผับ มีหลากหลายสาขา ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดทุกอย่างครับ ไอ้ต้องนี่พ่อแม่มันทำเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ แต่ตัวมันดันทะลึ่ง ไม่อยากเดินตามรอย ขอถอยออกมาทำธุรกิจของตัวเอง ก็สมกับตัวมันแหละครับ เป็นหนุ่มเจ้าสำราญ อ่อยสาวๆ ไปทั่ว ได้เขาแล้วก็ทิ้งเป็นว่าเล่น
ส่วนคนสุดท้าย ไอ้ไนท์ ทำงานเป็นพวกโปรแกรมเมอร์ครับ เขียนโปรแกรม ซอฟต์แวร์ ออกแบบระบบ เน้นด้าน IT เป็นหลัก รับช่วงต่อจากพ่อแม่ของมันมาอีกที ไอ้ไนท์นี่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม รูปร่างบอบบางอ้อนแอ้น จึงกลายเป็นน้องเล็กของกลุ่มไปโดยปริยาย
“ไว้เดี๋ยวกูนัดพวกมันเองแล้วกัน มึงไปทำงานเถอะ”
“เออๆ ไปละ” ไอ้ไผ่เดินออกจากห้องไปแล้ว ทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ผมหันไปมองคนที่นั่งอยู่บนเตียง และยังมองค้างมาทางผมอยู่
“มองอะไร ทานข้าวไปสิ” ผมพูดและก้มหน้าทานข้าวของตัวเองต่อ เจ้านายถึงได้เริ่มทานข้าวของตัวเองบ้าง
“คุณชื่ออะไรหรอ”
“เนม”
“อื้อ คุณอายุเท่าไหร่หรอ”
“25” ผมตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ เพราะเริ่มจะรู้สึกรำคาญขึ้นมานิดๆ พร้อมจ้องหน้าของเขาไปด้วย
“ผมขอเรียกว่าพี่เนมได้ไหมครับ” เจ้านายยังคงถามคำถามผมต่อ
“แล้วแต่คุณ” ผมตอบไปแค่นั้น และไม่ได้สนใจเขาอีก ก้มหน้าทานข้าวของตัวเองไป เมื่อเจ้านายเห็นผมตัดบทสนทนา เขาจึงไม่ได้พูดอะไรอีกแล้วก้มหน้าทานข้าวไปเงียบๆ ผ่านไปสักพักเราทั้งคู่ก็ทานข้าวเช้าเสร็จครับ ผมก็ทำหน้าที่เก็บถ้วยเก็บจานไปล้างและเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
“ผมจะกลับแล้ว คุณอยู่ได้ใช่ไหม” ผมเอ่ยถามคนที่นอนพักอยู่บนเตียงผู้ป่วย เขาหันมามองทางผม และเอ่ยปากตอบกลับมา
“ผมอยู่ได้ครับ พี่เนมกลับไปเถอะครับ ขอบคุณครับที่แวะมา”
“อืม ไว้ตอนเย็นผมจะเข้ามาดูคุณอีกที” ผมพูดจบและหมุนตัวเดินออกจากห้องไป ผมว่าเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรมากมายเท่าไหร่ ไม่ถึงกับขนาดที่ต้องนั่งเฝ้า 24 ชั่วโมงสักหน่อย สู้ผมเอาเวลานั่งเฝ้า ไปนั่งทำงานที่บริษัทยังจะดีเสียกว่า อีกอย่างผมกับเขาเองก็ไม่ได้สนิทกันขนาดที่ต้องมาเฝ้าใกล้ชิดขนาดนั้น คิดได้อย่างนั้นแล้วจึงต่อสายไปหาลุงชาญ และแจ้งกับคุณลุงว่าผมเปลี่ยนใจจะเข้าบริษัท แต่น่าจะเข้าช่วงสายหน่อย แล้วจึงเดินทางออกจากโรงพยาบาลเพื่อตรงเข้าบริษัททันที
ตอนนี้ผมกำลังยืนตัวหนาวสั่นอยู่ที่ท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ โดยมีชายรูปร่างสูงใหญ่ร่างกายกำยำ เจ้าของใบหน้าคมคายในมาดที่นิ่งขรึมของประธานบริษัทยืนอยู่คู่กัน ฝ่ามือถูกกุมกระชับไว้เพื่อเพิ่มความอบอุ่น ขณะรอรถที่เช่าไว้มาส่งให้ที่บริเวณด้านหน้าครับ ใช่ครับ เรากำลังอยู่ที่ลอนดอน เพราะผมเองที่เอ่ยปากว่าอยากไปเที่ยว พี่เนมก็จัดการให้ในทันที ตอนแรกผมคิดว่าเราคงจะเที่ยวกันใกล้ๆ ไม่ไกลบ้านสักเท่าไหร่ หากแต่คนข้างกายนี้กลับจองตั๋วเครื่องบิน ที่พักให้พร้อมสรรพโดยหลังจากที่ผม อ่อ หลังจากที่พี่เนมชวนผมล้างรถนั่น เราก็นอนพักเอาแรง นอนคุยอะไรกันไปเรื่อยเปื่อย ในช่วงเย็นของวันพี่มาคัสก็โทรมาแจ้งว่าชิ้นส่วนที่ส่งไปที่ต่างประเทศนั้นมีปัญหา แล้วเป็นทั้งล๊อต มูลค่าไม่ใช่น้อยๆ จนพี่เนมต้องรีบบินมาไกลถึงลอนดอนนี้เอง โดยหลังจากที่ทราบข่าวเราก็พากันเก็บข้าวของ รีบบึ่งรถออกมาจากบ้านทันที ตรงดิ่งเข้าบ้านแล้วจัดกระเป๋าอย่างรวดเร็ว พี่เนมนะครับ ไม่ใช่ผม ผมเองก็ช่วยพี่เนมเก็บกระเป๋า นั่งพับผ้าใส่ให้ อย่างเหงาหงอย ก็อุตส่าห์ได้ลาหยุด 1 อาทิตย์ พึ่งใช้ไปแค่ 2 วันเอง ส่วนพี่เนมแม้จะลาพักร้อนแล้ว แต
ในเช้าวันนี้ผมตื่นมาพร้อมกับความสดชื่นและสดใสอย่างที่สุดในรอบหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา หันมองข้างกายก็ไม่พบพี่เนมแต่อย่างใด คิดว่าคงจะไปออกกำลังกายที่ข้างล่างหรือไม่คงไปหาอะไรมาทานเป็นอาหารเช้า ผมจัดการลุกขึ้นจากฟูกนอน ความเจ็บแสบที่ช่องทางรักทำให้ผมมีความสุขแทนที่จะทรมานจากการขยับตัวจนอดยกยิ้มออกมาไม่ได้ ผมเดินเข้าไปอาบน้ำชำระล้างร่างกาย หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก็นำผ้าทั้งหมดที่ใช้แล้วเดินไปทางหลังบ้าน ซักผ้าสักหน่อยครับ เดี๋ยวจะไม่มีใส่เอา เมื่อเดินลงมาแล้วก็ไม่พบพี่เนมแต่อย่างใด แถมรถสปอร์ตคู่ใจก็หายไปด้วย คิดได้อย่างเดียวคือออกไปหาอะไรมาทานแน่ๆผมละความสนใจในการตามหาพี่เนม เดินไปรองน้ำใส่กะละมัง เมื่อน้ำพอประมาณแล้วก็เอาผงซักฟอกที่อยู่ในกระปุกใกล้ๆ กันนั้นมาใส่ในน้ำ ตีกระจายฟองอยู่ชั่วครู่จนแน่ใจว่าละลายดีแล้ว ถึงได้เอาผ้าลงใส่ แล้วรองน้ำใส่กะละมังใบอื่นแทนเพื่อใช้สำหรับล้างน้ำเปล่า ผมขยี้ผ้าไปด้วย เพื่อให้มั่นใจว่ามันจะสะอาดจริงๆ เริ่มซักผ้าได้ไม่นาน เสียงรถยนต์ก็ดังให้ได้ยินจากด้านหลัง จนผมต้องหันไปมอง พี่เนมก้าวขาลงจากรถพร้อมกับอาหารมากมายทั้งของคาวของหวาน ทั้งปรุงเสร็จแล
“ลงกันเถอะครับ นายคงจะหิวแย่แล้ว” พี่เนมจัดการปลดล็อกรถแล้วก้าวเดินลงไป ทำให้ผมหันมองรอบๆ ตัวด้วยความสนใจ สถานที่แห่งนี้เหมือนกับน้ำตกเลยละครับ มีร้านค้าต่างๆ มากมาย เพราะว่ายังเช้าอยู่คนเลยบางตา ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ผมรีบเปิดประตูก้าวเท้าตามลงไป พี่เนมจัดการกดล็อกรถไว้ แล้วกุมมือผมให้เดินไปด้วยกัน“ตอนนี้เราอยู่ที่ไหนหรอครับ”“น้ำตกวังตะไคร้ครับ”“นครนายก?” พี่เนมพยักหน้าเป็นการตอบรับ ส่วนผมกะพริบตาปริบๆ มันไม่ได้ไกลจากบ้านพี่เนมเลยสักนิด!!!! ลุงชาญอุตส่าห์จับผมมา จับมาไกลแค่เนี้ยะ??? ผมถอนหายใจ ส่ายหัวนิดๆ ไอ้เรารึนึกว่าจะถูกจับมาไกลสุดสายตาของพี่เนม คิดว่าจะกักขังไว้ไม่ให้ได้เจอกันโดยง่าย แต่กลับอยู่ใกล้แค่เอื้อมนี่เอง ผมอดหัวเราะหน่อยๆ ออกมาไม่ได้ สายตาหันไปมองร้านข้างทางที่มีอยู่เต็มไปหมด ก่อนจะหันไปเห็นเสื้อลายดอกสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงสามส่วน เหมือนอยู่ในฮาวาย หันมองคนข้างกายที่ยังอยู่ในชุดคอเต่าแขนยาวสีดำกับกางเกงทหารมีกระเป๋าเยอะๆ ที่เนื้อผ้าดูแล้วไม่ระบายอากาศเท่าไหร่ผมเดินเข้าไปในร้านนั้น หยิบจับเส
ผมเอื้อมมือลูบหน้าของพี่เนมที่ตอนนี้เหมือนตกอยู่ในภวังค์ นิ้วโป้งของผมลูบรอยคล้ำใต้ตา ไล่ลงมาจนถึงแก้มตอบหน่อยๆ และมาจบอยู่ที่ปลายคางที่เริ่มมีไรหนวดขึ้นมาให้เห็น ใบหน้าของพี่เนมโทรมลงไปมาก คงเพราะปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าอยู่ในตอนนี้ และผมเองก็คงเป็นส่วนหนึ่งของปัญหานั้นเช่นกัน ผมดึงรั้งตัวพี่เนมให้เข้ามาซบพิงกับไหล่ของผม จนคนตัวโตต้องโค้งตัวลงตาม พี่เนมวางหัวไว้ที่บ่าของผม รอบข้างตกอยู่ในความเงียบงัน แขนทั้งสองข้างของผมตระกองกอดคนตรงหน้านี้ ฝ่ามือลูบเส้นผมหนาดกดำนุ่มมือ อีกข้างลูบหลังแผ่วเบาปลอบใจ เรายืนกอดกันนิ่งๆ จนผมรับรู้ถึงความฉ่ำชื้นที่บนบ่า ก่อนจะพูดออกมา“ร้องมาเถอะครับ ผมบอกแล้วไง ผมจะยืนอยู่ข้างพี่ ผมจะเป็นพละกำลังให้พี่ และผมจะเป็นแรงใจให้พี่เอง” ไหล่กว้างที่เคยตั้งตรง สูงสง่า สั่นไหวน้อยๆ พร้อมกับความชุ่มชื้นที่เพิ่มมากขึ้น จนบ่าของผมเกิดเป็นรอยน้ำตา ผมกอดคนตรงหน้าให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ พูดปลอบใจไปเบาๆ อยากจะช่วยให้พี่เนมผ่านพ้นความทุกข์ทรมานนี้ไปได้“พี่... ไม่เคยคิดเลย อึก ว่าคนที่พี่ตามหามาตลอด คนที่เป็นคนวางแผนทั้งหมด จะเป็นแม่ของพี
ผมตื่นขึ้นมาในเช้าวันอาทิตย์ อาการบาดเจ็บเริ่มดีขึ้นมาก ผมก็นั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้อง ไม่ได้ออกไปที่ไหน ถึงจะอยากออกไปก็คงออกไม่ได้อยู่ดี เพราะมีพวกพี่ๆ เข้าเฝ้าอยู่เต็มไปหมด แต่ว่าที่นี่ก็มีคนเข้าออกอยู่ตลอด ก็คือป้าที่คอยเอาข้าวปลาอาหารมาส่งให้กับคุณหมอที่คอยแวะเวียนมาตรวจอาการตอนนี้ก็ 5 วันเข้าไปแล้วที่ผมโดนจับตัวมา ผมเองทั้งวันก็ไม่ได้ทำอะไร นั่งดูคลิปวนไปอยู่แบบนั้น ทุกครั้งที่ได้ดูก็จะแสดงอาการทั้งสุข ทั้งเศร้า ทั้งเสียใจ และดีใจ ปะปนกันไปหมด หลากหลายอารมณ์ จนคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นบ้าไปเสียแล้ว แต่สิ่งหนึ่งเลยที่อยู่ในความคิดของผมมาตลอดก็คือ ผมคิดถึงพี่เนม ผมอยากกลับบ้าน อยากไปเจอหน้าเขา อยากอยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆ นั้น ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยกให้ผมเป็นที่หนึ่งอยู่เสมอ ผมคิดถึงพี่เนมอย่างที่สุด ไม่รู้ว่าคนตัวโตจะตามหาผมขนาดไหน ไม่รู้ว่าจะคลุ้มคลั่งไปไหมที่หาผมไม่เจอ พี่จะรู้บ้างไหมว่าผม คิดถึง....ผมนั่งคิดอะไรไปเรื่อยจนมาถึงช่วงเย็นของวัน พี่มอสก็บอกให้ผมลงไปหาที่ด้านล่าง นายของพี่มอสอยากจะคุยด้วย ทำให้ผมตาลุกวาว ผมจะได้เจอคนที่จับผมมาแล้วใช่ไหม จะใช่คนที่ผมคิดไหมนะ ผมคิดพ
หลังจากที่ผมสั่งงานมาคัสเสร็จ ผมก็ขับรถตรงกลับบ้านทันที ผมถึงบ้านในราวๆ 5 ทุ่มของวัน ผมเดินเข้าบ้านด้วยสภาพอ่อนระโหยโรยแรง ไม่มีแม้แต่แรงจะเดิน ผมพาร่างตัวเองเดินมาเรื่อยจนถึงห้องนอน ก่อนจะทิ้งตัวลงอย่างอ่อนล้า กลิ่นหอมจางๆ ยังอยู่ทั่วทุกอณูภายในห้องนอน กลิ่นหอมของคนตัวเล็กที่ทำให้ผมโหยหา อยากกอด อยากสัมผัส ไม่อยากให้ระหว่างเราเป็นอย่างนี้ผมคว้าหมอนที่เจ้านายใช้หนุนนอนมาตระกองกอดไว้ เปรียบเสมือนตัวแทนของเจ้านายในช่วงเวลานี้ ฝั่งหน้าลงบนหมอนนุ่ม สูดลมหายใจเข้าลึก ติดตรึงอยู่ในภวังค์ของห้วงคำนึง น้ำสีใสไหลออกจากหางตา ตกกระทบกับหมอนใบใหญ่ ก่อนจะซึมหายไปในที่สุด หยดที่หนึ่ง.... หยดที่สอง.... หยดที่สาม.... ก่อนจะไหลออกมาไม่ขาดสาย ซึมลงไปในหมอนใบโตผมใช้มือแตะที่ใบหน้าของตัวเองอย่างแปลกใจ ก่อนจะพบว่าน้ำสีใสติดมือมา นี่ผม.... ร้องไห้?“ฮึก อึก” ผมกลั้นสะอื้น ปกปิดเสียงร้องไห้ของตัวเอง ซุกหน้าลงบนหมอน สูดกลิ่นกรุ่นของคนร่างบางที่ติดอยู่อย่างเจ็บปวด ผมยอมรับอย่างไม่อายเลยว่าผมเสียใจ เสียใจอย่างที่สุดแล้ว ความเจ็บปวดที่ไม่มีเสียงนี้ บาดลึกลงที่กลางใจ เพราะผมเ