“อืม ไว้ตอนเย็นผมจะเข้ามาดูคุณอีกที” พี่เนมบอกไว้แค่นั้นแล้วเดินออกจากห้องไป เมื่อผมอยู่คนเดียว ผมก็ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปกับเหตุการณ์ที่ผมได้พบเจอมา
ผมเจ้านายครับ ชื่อจริง เจ้านาย พัชรวิทิต อายุ 18 ครับ แม่ของผมบอกว่าพ่อผมตั้งชื่อนี้ให้เพราะผมจะได้เป็นเจ้าคน นายคน ส่วนนามสกุลก็แปลว่า ผู้มีความรู้และแข็งแกร่งดั่งเพชร พ่อของผมเสียไปตั้งแต่ผมยังเด็กครับ ผมยังจำความไม่ได้ด้วยซ้ำ ทำให้ผมอาศัยอยู่กับแม่แค่ 2 คน บ้านเรามีสถานะกลางๆ ไม่ได้ยากจนแต่ก็ไม่ได้รวยอะไรขนาดนั้น แต่เราก็ประคับประคองให้มีชีวิตรอดในแต่ละวัน เรามีบ้านหลังเก่าๆ แค่เพียงพอให้อยู่อาศัย หลายคนอาจจะสงสัยว่าผมจะไปทำอะไรที่สุสานวัดนาไพร พ่อของผมถูกฝังอยู่ที่นั่นครับ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ทำให้ผมต้องไปที่นั่น
แม่ของผมถูกฆ่า แม้จะไม่ใช่ต่อหน้าต่อตา แต่ผมก็อยู่ในเหตุการณ์นั้น วันนั้นผมกลับมาจากการสอบชิงทุนเข้ามหาวิทยาลัย ผมเห็นรถยนต์ที่ไม่คุ้นตาจอดอยู่หน้าบ้าน แม่ของผมคุยกับผู้ชายใส่สูทชุดดำ 2 คน ดูคล้ายกับกำลังโต้เถียงอะไรบางอย่าง และผู้ชาย 2 คนนั้นก็ลากแม่ของผมเข้าบ้านไป เมื่อผมเห็นก็ตกใจ รีบวิ่งเข้าไปภายในบ้าน ขณะนั้นผมก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด ทำให้ผมรีบวิ่งเป็นเท่าตัว ชาย 2 คนนั้นขึ้นรถ และขับรถออกไปแล้ว พร้อมๆ กับที่ผมไปถึงบ้านพอดี แม่ของผมหายใจรวยรินอยู่บนพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยเลือด ที่ไหลออกมาจากบริเวณช่องท้องและช่วงอก
“แม่!!!! แม่อย่าเป็นอะไรนะ แม่อย่าทิ้งผมไป อยู่กับผม อย่าทิ้งผมไป!!!” ผมกอดแม่ไว้แนบอกและพร่ำร้องบอกให้แม่อยู่กับผม อย่าทิ้งผมไว้คนเดียว น้ำตาของผมนองหน้าจนมองแทบไม่เห็น ผมไม่เคยมีความกลัวเกิดขึ้นในใจขนาดนี้ ไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวเท่านี้ ผมกลัวว่าแม่จะทิ้งผมไป ผมไม่อยากให้ท่านไป ไม่อยาก...
“นะ นะ นาย ฟังแม่นะลูก ไป อึก ไปหาพ่อ ที่สุสานนั้น เปิดแผ่นหินออก แค่กๆ แม่คงอยู่กับหนูไม่ได้แล้ว แค่กๆ แม่ยังไม่ได้บอก ไม่ได้บอก แค่กๆ อึก แค่กๆ” ผมได้แต่กอดแม่ และจับมือของแม่เอาไว้ ผมไม่อยากให้ท่านฝืนพูดอะไรอีก ผมกลัวว่าท่านจะไม่ได้อยู่กับผม
“ฮืออออ แม่ไม่ต้องพูดแล้วนะ ฮือออ ผมจะพาแม่ไปโรงพยาบาล แม่อดทนก่อนนะ ฮึบ” ผมพูดพร้อมกับพยายามจะอุ้มแม่ขึ้นมา ผมจะพาแม่ไปโรงพยาบาลให้ได้ ผมให้แม่ขี่หลังผมและเริ่มเดินออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปทางประตู
“แค่กๆ ๆ นะ นาย ไม่ทันหรอกลูก อึก แม่รู้ว่าแม่ไม่ไหวแล้ว นะ นายต้องอยู่ อยู่ให้ได้ ตะ ต้องเป็น ผู้มีความรู้ และ และ อึก และแข็งแกร่งดั่งเพชร แค่กๆ แม่รัก แม่รัก ระ” เสียงของแม่ผมขาดหายไปพร้อมๆ กับมือที่ตกลงด้านข้าง ทั้งๆ ที่ผมยังไม่ทันได้เดินออกจากบ้านเลยด้วยซ้ำ
“แม่ แม่ แม่!!! แม่ตอบผมสิ! ฮืออออออออออออ อย่าทิ้งผมไป อย่าทิ้งผมไว้ ไม่!!! อย่าทิ้งผม ฮืออออออออออ” ผมกรีดร้องออกมาสุดเสียง เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากแม่ของผม แม่ของผมท่านได้จากไปแล้ว ผมไม่มีทางได้แม่ของผมกลับคืน พวกคุณลุงคุณป้าที่อยู่ข้างบ้านก็รีบเข้ามาดู เพราะตกใจกับเสียงปืนที่ดังขึ้น แต่มันไม่ทันเสียแล้ว แม่ของผมจากไปแล้ว และท่านจะไม่กลับมาหาผมแล้ว
ผมได้พวกคุณลุงคุณป้าช่วยในการจัดงานศพของแม่ผม งานที่จัดเป็นไปอย่างเรียบง่าย และไม่ได้สวดหลายคืนเท่าไหร่ เราไม่มีญาติที่ไหน จึงมีคนไม่กี่คนที่มาฟังสวดศพ ผมเองไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร ผมนอนอยู่ที่วัดเป็นระยะเวลาตลอด 3 วัน 3 คืน นอนเฝ้าแม่ของผมและนอนร้องไห้ทุกคืน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำลายความสดใสที่ผมเคยมีติดตัวมาตลอดหายไปจนหมดสิ้น เมื่อผ่านพ้นงานศพของแม่ผมไปแล้ว ผมก็กลับบ้านไปจัดการบ้านที่รกเละเทะ และยังมีคราบเลือดของแม่ผมอยู่ ผมเริ่มลงมือทำความสะอาด เช็ดคราบเลือดนั้นออก ยิ่งเช็ดน้ำตาผมยิ่งไหล จนในที่สุดผมทนไม่ไหวและนอนร้องไห้อยู่ตรงคราบเลือดของแม่จนหลับไป เมื่อผมตื่นขึ้นมาทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิม ผมรวบรวมสติและเริ่มเก็บกวาดอีกครั้ง กว่าจะกลั้นใจทำให้มันเสร็จไปได้ ผมร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหลอีกต่อไป มีเพียงความนิ่งเงียบและซึมเศร้าที่ถูกแสดงออกมา ผมนั่งทบทวนคำพูดของแม่ ที่ให้ออกไปหาพ่อที่สุสาน ไว้พรุ่งนี้แล้วกันนะ ตอนนี้ผมเหนื่อยเหลือเกิน...
เช้าวันถัดมาผมก็เดินทางไปที่สุสานตามที่แม่บอก แต่ระยะทางค่อนข้างไกล ผมไม่มีเงินพอที่จะไปและกลับทำให้ผมต้องเผื่อเงินสำหรับขากลับด้วย ผมจึงเลือกนั่งรถครึ่งทาง และเดินเท้าอีกครึ่งทาง ผมไม่ได้ทานข้าวเลยตลอดทั้งวัน เมื่อต้องมาเดินเท้าระยะไกลแบบนี้ทำให้ผมจะเป็นลมเสียให้ได้ เพราะเดินติดต่อกันเป็นเวลาหลายชั่วโมงจนฟ้ามืด และยังไม่หายเหนื่อยล้าจากการจัดงานศพให้กับแม่ของผม เมื่อผมคิดว่าจะไม่ไหวแล้ว ผมก็เห็นรถยนต์ที่ขับผ่านมาในเวลากลางคืนเช่นนี้ ทำให้ผมรีบร้อนออกไปดักรถคันนั้นไว้ทันที ผมอยากจะขอติดรถเขาไปหาพ่อของผม ขณะที่ผมก้าวขาออกไป ฉับพลันสติของก็ดับวูบลงพร้อมๆ กับเสียงเบรกของรถยนต์คันนั้นที่ดังลั่นถนน และผมก็ไม่ได้รับรู้อะไรอีกเลย
เมื่อผมตื่นมา ผมก็พบว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาล และเป็นห้องพักที่หรูหราเกินกว่าที่คนอย่างผมจะมีปัญญาเข้ามาพักได้ ผมมองไปรอบๆ ห้องไม่เห็นใคร จึงหันออกไปนั่งมองท้องฟ้าสีครามสดใสนอกหน้าต่างนั้น นานแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้นั่งดูท้องฟ้าแบบนี้ ผมมองก้อนเมฆหลากหลายรูปแบบที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านไปอย่างช้าๆ ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงคนเปิดประตู จึงผินหน้ากลับไปมองที่หน้าประตู ทำให้เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผมสีดำสนิท คิ้วหนา ดวงตาคมคาย จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากหนาเป็นรูปกระจับ สวมชุดสูท เรียบหรู เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า โดยรวมที่เป็นเขาเรียกได้ว่าดูดี หล่อ และมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ ผมว่าผมเคยเจอคนแบบนี้มาก่อน เพียงแต่ผมจำไม่ได้ว่าเคยเจอที่ไหน จึงเผลอจ้องเขานานเกินไป และเขาก็กำลังมองสบตากับผมอยู่ เขาเดินนำของที่ซื้อเข้ามาไปวางไว้ที่โต๊ะหน้าประตู แล้วนั่งลงบนโซฟารับแขก และเอ่ยทักขึ้น
“เป็นยังไงบ้าง” เสียงของเขานุ่มทุ้มน่าฟัง จากการพูดคุยในวันนี้ จึงทำให้ผมรู้จักเขา ชายที่ชื่อเนม ผู้ที่ช่วยชีวิตผมไว้
ผมนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ไม่นานก็ผล็อยหลับไป เนื่องจากความอ่อนเพลียของร่างกาย และตื่นขึ้นมาอีกครั้งในช่วงเย็นของวัน เมื่อตื่นขึ้นมาผมก็พบอาหารและยาที่โรงพยาบาลเตรียมไว้ให้ จึงเริ่มลงมือทานข้าวเย็นเงียบๆ ก็ไม่มีใครอยู่ในห้องนี่น่า ผมทานไปได้สักครึ่งจาน หน้าประตูก็มีเสียงเคาะดังขึ้น ผมจึงเอ่ยปากอนุญาตให้เข้ามาได้
“เชิญครับ”
แกร็ก แอดดดดด
เป็นพี่เนมนั่นเองครับที่มา ผมเงยหน้าและส่งยิ้มให้ ก่อนจะยกมือขึ้นสวัสดีพี่เนม
“สวัสดีครับ พี่เนม”
“อืม ทานข้าวอยู่ใช่ไหม งั้นนี่คงไม่จำเป็นแล้ว” พี่เนมพูดขึ้นพร้อมกับชูถุงอาหารที่พกพามาด้วย
“อ่อ ผมทานได้ครับ”
“อืม” พี่เนมพูดแล้วนำอาหารไปจัดใส่จานและวางไว้ตรงหน้าของผม รวมกับอาหารของโรงพยาบาล
“เป็นยังไงบ้าง” พี่เนมถามขณะที่เรากำลังทานข้าวอย่างเงียบๆ
“ดีขึ้นแล้วครับ ได้นอนพักไปหน่อยหนึ่ง รู้สึกดีขึ้นมากแล้วครับ”
“อืม” พี่เนมพูดแค่นั้นแล้วก้มหน้าทานอาหารต่อ เมื่อทานเสร็จพี่เนมก็นำจานไปล้างและเก็บเข้าชั้นตามเดิม และนั่งรออยู่ที่โซฟาเฉยๆ ท่าทางของพี่เนมดูเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก เพราะคอและหลังของพี่เนม แนบพิงไปกับพนักพิงของโซฟาอย่างรอคอย ด้วยความสงสัยผมจึงเอ่ยปากถามออกไป
“เหนื่อยมากไหมครับ จริงๆ พี่เนมไม่ต้องแวะมาหาผมก็ได้นะครับ ผมเกรงใจ”
“อืม นิดหน่อย”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เชิญ”
“ไงมึง” คุณหมอคนเมื่อเช้าเดินเข้ามาและทักทายพี่เนมอย่างเป็นกันเอง
“เออ ว่ามา”
“ก็ไม่มีอะไรแล้ว อาการดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง พรุ่งนี้เช้ากลับบ้านได้” คุณหมอตอบพี่เนมก่อนจะหันมายิ้มให้กับผม ผมว่าเพื่อนๆ พี่เนมต้องหล่อหมดทุกคนแน่ๆ เลย เขาถึงบอกว่าคนแบบเดียวกันถึงจะคบกันได้
“อืม กูนัดไอพวกนั้นแล้ว เป็นช่วงสิ้นเดือนนี้ วันที่ 28 มึงเคลียร์คิวไว้เลย” พี่เนมพูดพร้อมกับลุกขึ้น และทำท่าจะเดินออกจากห้องไป
“เออๆ เดี๋ยวกูหาคนมาเข้าเวรแทนก่อนแล้วกัน ผับของไอ้ต้องใช่ไหม ที่เดิมใช่ป่ะ”
“เออ ที่เดิม คุณอยู่ได้ใช่ไหม” พี่เนมบอกกับเพื่อนของเขา ก่อนจะหันมาถามผม
“ครับ จะกลับแล้วใช่ไหมครับ สวัสดีครับ” พี่เนมไม่ได้พูดอะไร แต่พยักหน้ารับเงียบๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป เมื่อห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง จึงทำให้ผมรู้สึกง่วงนิดๆ ผมล้มตัวลงนอนและปล่อยใจให้ล่องลอยคิดถึงเหตุการณ์ที่พึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ อ่า ทำไงดี ผมคิดถึงแม่จัง หยดน้ำตากลิ้งตามแก้มผมลงมาและหยดลงไปบนหมอนที่ผมหนุนนอนอยู่ ผมหลับตาลงช้าๆ และเข้าสู่ห้วงนิทราไป
เช้าวันถัดมา ผมตื่นขึ้นความรู้สึกดีกว่าเมื่อวานมากนัก รู้สึกสดชื่นขึ้นเยอะเลยทีเดียว เวลาสายของวัน พี่เนมก็เข้ามา และบอกให้ผมอาบน้ำแต่งตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมที่พี่เนมเป็นคนนำมา และเราก็ออกจากโรงพยาบาลกัน โดยมีพี่เนมเป็นคนขับรถให้ เมื่อผมได้เห็นรถของพี่เนมชัดๆ รถ Lamborghini อเวนทาดอร์ สีดำสนิท รถของพี่เนมหรูมากครับ จนผมไม่กล้าที่จะเข้าไปนั่ง กลัวจะทำให้รถของพี่เนมเสียหาย เกิดเป็นรอยขึ้นมา ผมแย่แน่ๆ วันนั้นอะไรดลใจให้ผมโบกรถของเขาไปกันนะ!! พี่เนมบอกให้ผมขึ้นรถพร้อมกับจ้องมองนิ่งๆ เหมือนบังคับกลายๆ ผมเลยจำใจต้องขึ้นรถมานั่งข้างเขา ที่นั่งภายในมีเพียง 2 ที่เท่านั้นเอง ถ้าเป็นผม ผมจะไม่ซื้อรถแบบนี้มาใช้เด็ดขาดเลย ไม่มีความคุ้มค่าเลยสักนิด ราคาแพงแต่ไปได้น้อยคนแบบนี้“จะไปสุสานใช่ไหม” พี่เนมถามผม ทำลายความเงียบที่อยู่ในบรรยากาศ“ครับ ใช่ครับ” ผมตอบกลับพี่เนมและนั่งตัวเกร็ง ไม่กล้าให้ร่างกายไปโดนส่วนไหนของรถมากนัก ผมกลัวว่าจะทำให้รถพี่เนมเสียหาย“นั่งตามสบายเถอะ ไม่ต้องเกร็ง มันน่าหงุดหงิด” พี่เนมบอกขึ้น เพื่อให้ผมนั่งสบายๆ แต่พี่โว้ยยยยยย เกร็งยิ่งกว่าเดิมอีกครับ!!! พี่เนมเล่นพูดแบบ
วันที่ 11 สิงหาคม ปี 43 มันเป็นวันเกิดของผม พ่อของผมทำพินัยกรรมให้ทันทีที่ผมเกิด ครอบครัวของผมเป็น เศรษฐี และนี่คือสิ่งที่แม่ไม่เคยบอกผม เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยรู้ การได้รับรู้ข่าวนี้ทำให้ผมถึงกับไปไม่เป็น ผมทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มต้นทำอะไรต่อจากนี้ ผมรู้แล้วว่าทำไมผมถึงไม่เคยได้เจอหน้าพ่อ ผมรู้แล้วว่าทำไมท่านถึงเสียก่อนวัยอันควร และรู้แล้วว่าทำไมแม่ของผมจึงถูกชาย 2 คนนั้นทำร้ายจนเสียชีวิต ผมว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับพินัยกรรมฉบับนี้แน่ ในขณะที่ผมคิดอะไรไม่ตกนั้น พี่เนมก็ขยับเดินเข้ามาใกล้“เสร็จรึยัง” พี่เนมถามและมองผมที่ยังนั่งนิ่งอยู่ที่พื้น อย่างคนที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนพี่เนมต้องนั่งยองๆ และเอามือวางบนไหล่ผมเบาๆ ผมสะดุ้งนิดๆ และหันไปหาพี่เนม“อะ อ่อ เสร็จ เสร็จแล้วครับ” เสียงของผมสั่นคนผมเองยังรู้สึกได้ พี่เนมขมวดคิ้วมองผมเล็กน้อย ก่อนลุกยืนขึ้น“จะกลับเลยไหม”“คะ ครับ กลับครับ” ผมตอบพี่เนม เริ่มเก็บของที่ผมได้เจอ ปิดแผ่นหินนั้นคืนที่เดิม และนำของที่ได้รับกลับมาด้วย เมื่อมาถึงรถผมก็ขึ้นไปนั่งและก้มมองกล่องเหล็กนั้นอย่างใช้ความคิดเงียบๆ“นาย จะให้ไปส่งที่ไหน”“...”“เจ้านาย” พี่
คำชวนจากพี่เนมทำให้ผมนิ่งคิด พี่เนมชวนผมทำงาน ผมเนี้ยนะ เด็กบ้านๆ คนหนึ่ง เรียนก็น้อย ผมยังไม่มีมหาลัยให้เข้าเรียนเลยด้วยซ้ำ แล้วจะให้ผมช่วยงานอะไรพี่เขาได้ละครับ“พี่เนมจะให้ผมทำงานอะไรหรอครับ”“เลขาส่วนตัว”“แต่ว่าผมเรียนมาน้อย จะช่วยงานพี่ได้ยังไงครับ ผมคิดว่าผมคงไม่เหมาะกับงานนี้” ผมพูดพลางคิดไปด้วย ให้ผมเป็นเลขาส่วนตัว แสดงว่าก็ต้องคอยช่วยจัดตารางงาน นัดลูกค้า แจ้งกำหนดการอะไรแบบนี้รึเปล่านะ“ฉันจะส่งเสียนายเรียนมหาลัยก่อน ระหว่างนั้นให้ทำงานเป็นเลขาส่วนตัวฉันไปพลางๆ หน้าที่ก็ไม่มีอะไรมาก เตรียมรายการอาหารเช้า กลางวัน เย็นให้ป้านุ่ม ให้นายเป็นคนคิดเมนูอาหารในแต่ละวัน ตอนเช้าก็เข้ามาปลุกฉันในห้องและจัดเตรียมเสื้อผ้า รวมถึงเอกสารที่จำเป็น แล้วค่อยออกไปเรียน พอนายเรียนจบฉันจะหางานที่เหมาะสมให้กับนายอีกที”“ผมคิดว่า ผมต้องทำการนัดหมาย เตรียมเอกสารสำคัญ นัดพบลูกค้า หรือจัดเตรียมข้อมูลระหว่างที่พี่เนมทำงานที่บริษัทซะอีกครับ” ผมถามพร้อมกับทำหน้างง ก็มันเป็นหน้าที่ของเลขาไม่ใช่หรอ มันก็ต้องไปทำที่บริษัทกับพี่เนมสิถึงจะถูก แต่ทำไมงานที่พี่เนมให้ทำกลับเป็นงานที่บ้านทั้งหมดเลยล่ะ“อันนั้นงา
เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังขึ้นแต่เช้า ทำให้ผมคิดขึ้นได้ว่าผมต้องไปปลุกพี่เนม เพื่อให้พี่เนมได้ออกไปทำงาน ผมตื่นมาตอนตี 5.30 น. เพื่ออาบน้ำ แต่งตัว แล้วลงไปบอกเมนูอาหารให้กับป้านุ่มได้รับทราบ อาหารเช้าในวันนี้ที่ผมคิดก็คือ เบคอน ไข่ดาว ขนมปัง กาแฟ และ แอปเปิล เมื่อป้านุ่มได้ฟังก็เตรียมตัวออกไปจ่ายตลาด ผมไม่รู้ว่าปกติที่บ้านนี้ทานอาหารเช้ากันยังไง ไว้เดี๋ยวผมจะไปถามป้านุ่มอีกที เผื่อพี่เนมมีอะไรที่ชอบเป็นพิเศษจะได้เพิ่มเข้าไปในเมนู เมื่อจัดการเรื่องอาหารเรียบร้อยแล้ว ผมก็เข้าห้องไปปลุกพี่เนม เคาะประตูสอง สาม ครั้ง เพื่อบ่งบอกให้รู้ว่าผมกำลังจะเข้าไป ห้องของพี่เนมมืดสนิทเลยครับ มองแทบไม่เห็นอะไรเลย เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่ผมทำก็คือเดินไปที่หน้าต่างเพื่อเปิดผ้าม่านออก แสงสว่างส่องผ่านเข้ามาภายในห้องนอน“อืมมม” พี่เนมส่งเสียงงัวเงียเล็กน้อยเมื่อมีแสงรบกวนการนอน ทำให้ผมหันไปมองเพื่อลงมือปลุกพี่เนม แต่ภาพที่เห็นทำให้ผมหยุดชะงัก พี่เนมในสภาพเปลือยอก แขนวางพาดไว้ด้านบนศีรษะ มืออีกข้างวางบนหน้าท้อง ทำให้ผมเห็นกล้ามแขนที่น่าขบกัดเบาๆ ของพี่เนม ไหนจะหน้าท้องเป็นลอนลูกคลื่น แซมด้วยไรขนอ่อนๆ ไล่ลึกลงไปด้าน
วันนี้เป็นวันเสาร์ครับ พี่เนมบอกว่าไม่ต้องปลุกและไม่ต้องคิดเมนูอาหาร ทำให้ผมนอนยาวได้อย่างสบายใจ แต่ก็ไม่มากหรอกครับ ผมตื่นมาในเวลา 7 โมงเช้าของวัน อาบน้ำแต่งตัว แล้วลงไปช่วยป้านุ่มทำกับข้าวแทน จนถึงเวลาอาหารเช้าก็ยังไม่เห็นพี่เนมออกมาจากห้อง ผมเลยเดินไปปลุกพี่เนมภายในห้องเพื่อให้มาทานอาหารเช้า แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปกลับไม่พบใครอยู่ในนั้น แถมเตียงนอนก็ถูกจัดเก็บอย่างเรียบร้อย จึงออกเดินตามหาภายในบ้าน ผมเดินเข้าห้องนั้น ออกห้องนี้ จนเริ่มจะปวดขาหน่อยๆ แต่ก็ยังไม่เจอพี่เนมสักที ในขณะที่กำลังจะหันหลังกลับ ก็ได้ยินเสียงเพลงแว่วๆ มา จึงเดินตามเสียงเพลงนั้นไป จนสุดท้ายผมก็มาพบพี่เนมอยู่ที่ห้องออกกำลังกาย พี่เนมกำลังวิ่งอยู่บนลู่วิ่ง หันหน้าไปทางสระน้ำ ใส่เสื้อกล้ามสีดำ กางเกงบอล รองเท้าผ้าใบ และผ้าผืนบางพาดอยู่ที่ต้นคอ ห้องนี้เปิดเพลงดังมากและมันมาก คิดว่าคงเพื่อปลุกใจในการออกกำลังกาย ผมส่งเสียงเรียกพี่เนมอยู่ สอง สาม ครั้ง แต่คนตรงหน้าดูท่าว่าไม่ได้ยินสักนิด ผมจึงเดินไปที่เครื่องเล่นเพลง และกดหยุดมัน จนทำให้พี่เนมหันมามอง พี่เนมยอมหยุดวิ่งยืนรออยู่กับที่พร้อมๆ กับผมที่เดินเข้าไปใกล้“พี่เ
ผมพาเจ้านายมาส่งถึงห้อง แล้วพาไปที่อ่างน้ำ จับเขานั่งอยู่ภายในอ่าง เปิดน้ำใส่อย่างแรง เมื่อน้ำได้ระดับผมก็จับเจ้านายกดไว้ เจ้านายดิ้นอยู่สักพักหนึ่ง มือเล็กพยายามลูบไล้ร่างกายผมไปทั่ว พร้อมเอาหน้ามาถูไถซุกอก ผมได้แต่กัดฟันกรอด เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก จนเจ้านายนั่งนิ่งอย่างสงบ ดวงตาปิดพริ้มไปพร้อมหลับเต็มที เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ามีอาการดีขึ้นแล้ว ผมก็อุ้มเขาขึ้นมา จัดการถอดเสื้อผ้าที่เปียกชื้นทั้งหมดออก ซึ่งมันเกือบจะทำให้สติของผมแตกกระเจิง ยิ่งเห็นยอดอกสีชมพูอ่อน หน้าท้องที่มีกล้านิดๆ พอตัว ตัวสีขาวนวลออกสีแดงจางๆ เพราะฤทธิ์ไวน์ ผมพยายามหักห้ามใจ ไม่ให้ทำอะไรๆ มากไปกว่าที่ควรจะเป็น ผมจัดการอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาใหม่ ระหว่างทำก็ก้มจูบคนตัวเล็กอยู่เรื่อยอย่างคนอดใจไม่อยู่ เมื่อผมจัดการเจ้านายจนเสร็จเรียบร้อย จัดให้เขานอนดีๆ บนที่นอน ห่มผ้าให้ถึงอก แล้วผมก็ผละไปจัดการตัวเองบ้าง“อืมมมมม อ่าาาาาาาา” ผมใช้แม่นางทั้ง 5 ของผม รูดรั้งแกนกายที่กำลังพองขยายตัวเต็มที่ อย่างรัวเร็ว พลางคิดถึงสัมผัสทางริมฝีปากที่ได้รับมา มันทั้งนุ่มและหอมหวาน ยิ่งอยากทำให้ลิ้มลองอีก คิดถึงสัมผัสที่ฝ่ามือของผม
“อ๊ะ!!!” พี่เนมจับแขนผมแล้วดึงเอาไว้ขณะที่ผมหมุนตัวหันหลังเพื่อจะออกจากห้องไป ทำให้ตัวของผมเซไปทับพี่เนม แต่อะไรก็ไม่เท่ามือของผมที่จับกายแกร่งช่วงล่างของพี่เขาอยู่ ทำให้ผมตกใจดวงตาเบิกกว้างเงยหน้ามองพี่เนมอย่างตกใจ แล้วสิ่งที่ตามมาติดๆ เมื่อผมล้มลงคือริมฝีปากนุ่มยุ่นของพี่เนมที่แนบชิดกับริมฝีปากของผม ผมตกใจได้แต่ค้างท่านั้นจนในที่สุดพี่เนมก็ผละริมฝีปากออกห่าง“ระวังไว้ให้ดี ฉันจะรุกจีบนายแล้วนะ” พี่เนมกระซิบเสียงพร่าที่ข้างหูของผม จนผมอดรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องไม่ได้ พี่เนมค่อยๆ ถอยออกไปและปล่อยแขนของผม ขณะเดียวกันก็ส่งยิ้มแพรวพราวมาให้“อะ อะ อ่อ” ผมถึงกับใบ้กินและไปต่อไม่ถูก ได้แต่ค้างท่าเดิมไว้อย่างนั้น“ถ้านายยังไม่เอามือออกไป ฉันจะจับนายกินแล้วนะ” เมื่อพี่เนมพูดขึ้น ทำให้ผมนึกขึ้นได้ รีบปล่อยสิ่งที่จับอยู่ในมือราวกับโดนของร้อน“ขะ ขะ ขอโทษครับ” ผมบอกพี่เนมแล้วรีบวิ่งกลับห้องตัวเองทันที“ฮึฮึ” ขณะที่ผมวิ่งออกมาก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะของพี่เนมดังไล่หลัง หน้าของผมเห่อร้อนขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ได้แต่มานั่งสงบสติอารมณ์ของตัวเองบนเตียงนอน โอ้ยยยยยยย ทำไมผมถึงรู้สึกดีกับสัมผัสของเขา ทำไม
ตอนนี้ผมกับพี่เนม เรามานั่งในร้านอาหารแห่งหนึ่งครับ โดยผมกับพี่เนมนั่งฝั่งเดียวกัน และฝั่งตรงข้าม มีหญิงสาวชรากับลูกชายของเธอนั่งอยู่ ซึ่งก็คือ คุณหญิงนภา เดชพิมุกต์ และคุณกันต์ เดชพิมุกต์ อดีตกรรมการผู้จัดการ และ กรรมการผู้จัดการคนปัจจุบันของบริษัท โอแกรนวิลล์ ส่วนสาเหตุนั้นเป็นเพราะว่า พี่เนมพาผมมาทานอาหารที่ร้านภายในห้างสรรพสินค้านี้ ตอนแรกที่เดินเข้ามาเหมือนพี่เนมจะเห็นแล้วล่ะครับ แต่เป็นผมที่ดึงดันให้เข้าร้าน เพราะไม่รู้ว่าจะเดินวนหาร้านอื่นไปอีกทำไม เมื่อเดินเข้ามาก็ถูกคุณหญิงนภาเรียกเอาไว้ แล้วชักชวนให้นั่งร่วมโต๊ะด้วยกัน โดยหยิบยกเรื่องที่ผมกับพี่เนมแอบชิ่งหนีออกจากงานเลี้ยงครั้งก่อนมากดดัน ทำให้ต้องร่วมโต๊ะกันอย่างช่วยไม่ได้“ขอโทษครับพี่เนม” ผมกระซิบบอกคนข้างกาย เพราะเข้าใจดีกว่าพี่เนมคงไม่อยากร่วมโต๊ะกับคู่แข่งสักเท่าไหร่“ไม่เป็นไร” พี่เนมกระซิบตอบกลับมาเบาๆ และหันกลับไปเมื่อฝั่งตรงข้ามหันมาพูดคุยกับพี่เนมเรื่องธุรกิจที่กำลังทำ และโปรเจ็คใหม่ที่มีแผนว่าจะขยายกิจการออกไป“แล้วนี่ คุณเจ้านายมาทำงานกับคุณวรวิทย์นานรึยังคะ?&
...Nine Part“อืมมมมม ฮ้าวววววว” ผมตื่นมาในเวลาปกติของวัน วันนี้วันอังคาร ผมมีเรียนแค่ช่วงบ่ายครับ ทำให้ผมนอนบิดขี้เกียจอยู่บนเตียง แต่สัมผัสอุ่นๆ ข้างตัวทำให้สะดุ้งตกใจ ที่มายิ่งกว่าคือ การที่ผมตื่นมาแล้วกำลังซุกหน้าลงกับอกเปลือยเปล่าของพี่เนม อีกแล้วหรอครับ!!! ผมเด้งตัวออกจากอ้อมกอด เงยหน้ามองพี่เนม ซึ่งพบว่าพี่เนมตื่นก่อนอยู่แล้วครับ พี่เนมยิ้มมุมปากแล้วยกตัวขึ้นนิดหนึ่งจุ๊บปากผมเร็วๆ“มอร์นิ่งคิส หลับสบายไหม กับอกพี่น่ะ” พี่เนมจุ๊บปากผม แล้วเอ่ยถามข้างใบหูจนผมอดรู้สึกหน้าแดงไม่ได้“พะ พะ พี่เนมเข้ามาได้ยังไงครับ” ผมถามพี่เนมปากสั่น หันไปมองประตูที่เมื่อคืนสู้อุตส่าห์หาวิธีมาป้องกัน โดยการเอาเก้าอี้มาคั่นไว้ ทำให้เปิดเข้ามาไม่ได้แน่ๆ และสภาพของมันก็ยังเหมือนเดิม ไม่ได้ล้มลง หรือถูกเคลื่อนย้ายแต่อย่างใด“หืม ทะลุประตูเข้ามา ฮะๆ” พี่เนมลุกขึ้นจากเตียง เดินไปขยับเก้าอี้ออก แล้วเปิดประตูกลับเข้าห้องตัวเองไป ผมสิ อ้าปากค้าง บ้าหรอ!!!! ถ้าทะลุได้จริง ทำไมไม
...NamePart“จะกลับเลยไหม” ผมเอ่ยถามคนตัวเล็กเมื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเจ้านายและกลุ่มเพื่อนๆ สายตาผมลอบสังเกตเพื่อนของเจ้านายแต่ละคน อืมม ส่วนใหญ่ก็ท่าทางปกติ แต่ที่ไม่ปกติเห็นจะมีอยู่หนึ่งคน ผมจึงตวัดสายตาไปมอง“พี่เนมมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” เจ้านายเอ่ยถามพร้อมทำหน้าสงสัย เอียงคอหน่อยๆ อย่างน่ารักน่าเอ็นดู“สักพักแล้วล่ะ กำลังจะกลับกันใช่ไหม”“ครับ” เจ้านายตอบรับผม ก่อนจะหันไปหาเพื่อนของตัวเอง ที่กระตุกแขนยิกๆ ซุบซิบกันเบาๆ ถ้าให้ผมเดาก็คงไม่พ้นเรื่องของผมหรอก ก็เมื่อกี้พวกนี้เล่นคุยกันเสียงดัง แถมนินทาระยะเผาขนขนาดนั้น ผ่านไปสักพักหนึ่งเจ้านายหันมาสบตาผมแล้วพยักหน้าให้“ปะ กลับกันเถอะครับ” เมื่อผมได้รับคำยืนยันก็หมุนตัวเดินตรงไปที่รถ จัดการปลดล็อกรถ แล้วเข้าไปนั่ง เจ้านายเปิดประตูฝั่งด้านข้างคนขับ ขึ้นมานั่งและคาดเข็มขัดนิรภัยอย่างเรียบร้อย ผมจึงค่อยๆ เคลื่อนตัวออกช้าๆ และเร่งความเร็วมากขึ้นเมื่อถึงถนนโล่งแจ้ง ก็นะ อเวนทาดอร์ของผมมันดุเห
ตอนนี้ผมกับพี่เนม เรามานั่งในร้านอาหารแห่งหนึ่งครับ โดยผมกับพี่เนมนั่งฝั่งเดียวกัน และฝั่งตรงข้าม มีหญิงสาวชรากับลูกชายของเธอนั่งอยู่ ซึ่งก็คือ คุณหญิงนภา เดชพิมุกต์ และคุณกันต์ เดชพิมุกต์ อดีตกรรมการผู้จัดการ และ กรรมการผู้จัดการคนปัจจุบันของบริษัท โอแกรนวิลล์ ส่วนสาเหตุนั้นเป็นเพราะว่า พี่เนมพาผมมาทานอาหารที่ร้านภายในห้างสรรพสินค้านี้ ตอนแรกที่เดินเข้ามาเหมือนพี่เนมจะเห็นแล้วล่ะครับ แต่เป็นผมที่ดึงดันให้เข้าร้าน เพราะไม่รู้ว่าจะเดินวนหาร้านอื่นไปอีกทำไม เมื่อเดินเข้ามาก็ถูกคุณหญิงนภาเรียกเอาไว้ แล้วชักชวนให้นั่งร่วมโต๊ะด้วยกัน โดยหยิบยกเรื่องที่ผมกับพี่เนมแอบชิ่งหนีออกจากงานเลี้ยงครั้งก่อนมากดดัน ทำให้ต้องร่วมโต๊ะกันอย่างช่วยไม่ได้“ขอโทษครับพี่เนม” ผมกระซิบบอกคนข้างกาย เพราะเข้าใจดีกว่าพี่เนมคงไม่อยากร่วมโต๊ะกับคู่แข่งสักเท่าไหร่“ไม่เป็นไร” พี่เนมกระซิบตอบกลับมาเบาๆ และหันกลับไปเมื่อฝั่งตรงข้ามหันมาพูดคุยกับพี่เนมเรื่องธุรกิจที่กำลังทำ และโปรเจ็คใหม่ที่มีแผนว่าจะขยายกิจการออกไป“แล้วนี่ คุณเจ้านายมาทำงานกับคุณวรวิทย์นานรึยังคะ?&
“อ๊ะ!!!” พี่เนมจับแขนผมแล้วดึงเอาไว้ขณะที่ผมหมุนตัวหันหลังเพื่อจะออกจากห้องไป ทำให้ตัวของผมเซไปทับพี่เนม แต่อะไรก็ไม่เท่ามือของผมที่จับกายแกร่งช่วงล่างของพี่เขาอยู่ ทำให้ผมตกใจดวงตาเบิกกว้างเงยหน้ามองพี่เนมอย่างตกใจ แล้วสิ่งที่ตามมาติดๆ เมื่อผมล้มลงคือริมฝีปากนุ่มยุ่นของพี่เนมที่แนบชิดกับริมฝีปากของผม ผมตกใจได้แต่ค้างท่านั้นจนในที่สุดพี่เนมก็ผละริมฝีปากออกห่าง“ระวังไว้ให้ดี ฉันจะรุกจีบนายแล้วนะ” พี่เนมกระซิบเสียงพร่าที่ข้างหูของผม จนผมอดรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องไม่ได้ พี่เนมค่อยๆ ถอยออกไปและปล่อยแขนของผม ขณะเดียวกันก็ส่งยิ้มแพรวพราวมาให้“อะ อะ อ่อ” ผมถึงกับใบ้กินและไปต่อไม่ถูก ได้แต่ค้างท่าเดิมไว้อย่างนั้น“ถ้านายยังไม่เอามือออกไป ฉันจะจับนายกินแล้วนะ” เมื่อพี่เนมพูดขึ้น ทำให้ผมนึกขึ้นได้ รีบปล่อยสิ่งที่จับอยู่ในมือราวกับโดนของร้อน“ขะ ขะ ขอโทษครับ” ผมบอกพี่เนมแล้วรีบวิ่งกลับห้องตัวเองทันที“ฮึฮึ” ขณะที่ผมวิ่งออกมาก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะของพี่เนมดังไล่หลัง หน้าของผมเห่อร้อนขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ได้แต่มานั่งสงบสติอารมณ์ของตัวเองบนเตียงนอน โอ้ยยยยยยย ทำไมผมถึงรู้สึกดีกับสัมผัสของเขา ทำไม
ผมพาเจ้านายมาส่งถึงห้อง แล้วพาไปที่อ่างน้ำ จับเขานั่งอยู่ภายในอ่าง เปิดน้ำใส่อย่างแรง เมื่อน้ำได้ระดับผมก็จับเจ้านายกดไว้ เจ้านายดิ้นอยู่สักพักหนึ่ง มือเล็กพยายามลูบไล้ร่างกายผมไปทั่ว พร้อมเอาหน้ามาถูไถซุกอก ผมได้แต่กัดฟันกรอด เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก จนเจ้านายนั่งนิ่งอย่างสงบ ดวงตาปิดพริ้มไปพร้อมหลับเต็มที เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ามีอาการดีขึ้นแล้ว ผมก็อุ้มเขาขึ้นมา จัดการถอดเสื้อผ้าที่เปียกชื้นทั้งหมดออก ซึ่งมันเกือบจะทำให้สติของผมแตกกระเจิง ยิ่งเห็นยอดอกสีชมพูอ่อน หน้าท้องที่มีกล้านิดๆ พอตัว ตัวสีขาวนวลออกสีแดงจางๆ เพราะฤทธิ์ไวน์ ผมพยายามหักห้ามใจ ไม่ให้ทำอะไรๆ มากไปกว่าที่ควรจะเป็น ผมจัดการอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาใหม่ ระหว่างทำก็ก้มจูบคนตัวเล็กอยู่เรื่อยอย่างคนอดใจไม่อยู่ เมื่อผมจัดการเจ้านายจนเสร็จเรียบร้อย จัดให้เขานอนดีๆ บนที่นอน ห่มผ้าให้ถึงอก แล้วผมก็ผละไปจัดการตัวเองบ้าง“อืมมมมม อ่าาาาาาาา” ผมใช้แม่นางทั้ง 5 ของผม รูดรั้งแกนกายที่กำลังพองขยายตัวเต็มที่ อย่างรัวเร็ว พลางคิดถึงสัมผัสทางริมฝีปากที่ได้รับมา มันทั้งนุ่มและหอมหวาน ยิ่งอยากทำให้ลิ้มลองอีก คิดถึงสัมผัสที่ฝ่ามือของผม
วันนี้เป็นวันเสาร์ครับ พี่เนมบอกว่าไม่ต้องปลุกและไม่ต้องคิดเมนูอาหาร ทำให้ผมนอนยาวได้อย่างสบายใจ แต่ก็ไม่มากหรอกครับ ผมตื่นมาในเวลา 7 โมงเช้าของวัน อาบน้ำแต่งตัว แล้วลงไปช่วยป้านุ่มทำกับข้าวแทน จนถึงเวลาอาหารเช้าก็ยังไม่เห็นพี่เนมออกมาจากห้อง ผมเลยเดินไปปลุกพี่เนมภายในห้องเพื่อให้มาทานอาหารเช้า แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปกลับไม่พบใครอยู่ในนั้น แถมเตียงนอนก็ถูกจัดเก็บอย่างเรียบร้อย จึงออกเดินตามหาภายในบ้าน ผมเดินเข้าห้องนั้น ออกห้องนี้ จนเริ่มจะปวดขาหน่อยๆ แต่ก็ยังไม่เจอพี่เนมสักที ในขณะที่กำลังจะหันหลังกลับ ก็ได้ยินเสียงเพลงแว่วๆ มา จึงเดินตามเสียงเพลงนั้นไป จนสุดท้ายผมก็มาพบพี่เนมอยู่ที่ห้องออกกำลังกาย พี่เนมกำลังวิ่งอยู่บนลู่วิ่ง หันหน้าไปทางสระน้ำ ใส่เสื้อกล้ามสีดำ กางเกงบอล รองเท้าผ้าใบ และผ้าผืนบางพาดอยู่ที่ต้นคอ ห้องนี้เปิดเพลงดังมากและมันมาก คิดว่าคงเพื่อปลุกใจในการออกกำลังกาย ผมส่งเสียงเรียกพี่เนมอยู่ สอง สาม ครั้ง แต่คนตรงหน้าดูท่าว่าไม่ได้ยินสักนิด ผมจึงเดินไปที่เครื่องเล่นเพลง และกดหยุดมัน จนทำให้พี่เนมหันมามอง พี่เนมยอมหยุดวิ่งยืนรออยู่กับที่พร้อมๆ กับผมที่เดินเข้าไปใกล้“พี่เ
เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังขึ้นแต่เช้า ทำให้ผมคิดขึ้นได้ว่าผมต้องไปปลุกพี่เนม เพื่อให้พี่เนมได้ออกไปทำงาน ผมตื่นมาตอนตี 5.30 น. เพื่ออาบน้ำ แต่งตัว แล้วลงไปบอกเมนูอาหารให้กับป้านุ่มได้รับทราบ อาหารเช้าในวันนี้ที่ผมคิดก็คือ เบคอน ไข่ดาว ขนมปัง กาแฟ และ แอปเปิล เมื่อป้านุ่มได้ฟังก็เตรียมตัวออกไปจ่ายตลาด ผมไม่รู้ว่าปกติที่บ้านนี้ทานอาหารเช้ากันยังไง ไว้เดี๋ยวผมจะไปถามป้านุ่มอีกที เผื่อพี่เนมมีอะไรที่ชอบเป็นพิเศษจะได้เพิ่มเข้าไปในเมนู เมื่อจัดการเรื่องอาหารเรียบร้อยแล้ว ผมก็เข้าห้องไปปลุกพี่เนม เคาะประตูสอง สาม ครั้ง เพื่อบ่งบอกให้รู้ว่าผมกำลังจะเข้าไป ห้องของพี่เนมมืดสนิทเลยครับ มองแทบไม่เห็นอะไรเลย เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่ผมทำก็คือเดินไปที่หน้าต่างเพื่อเปิดผ้าม่านออก แสงสว่างส่องผ่านเข้ามาภายในห้องนอน“อืมมม” พี่เนมส่งเสียงงัวเงียเล็กน้อยเมื่อมีแสงรบกวนการนอน ทำให้ผมหันไปมองเพื่อลงมือปลุกพี่เนม แต่ภาพที่เห็นทำให้ผมหยุดชะงัก พี่เนมในสภาพเปลือยอก แขนวางพาดไว้ด้านบนศีรษะ มืออีกข้างวางบนหน้าท้อง ทำให้ผมเห็นกล้ามแขนที่น่าขบกัดเบาๆ ของพี่เนม ไหนจะหน้าท้องเป็นลอนลูกคลื่น แซมด้วยไรขนอ่อนๆ ไล่ลึกลงไปด้าน
คำชวนจากพี่เนมทำให้ผมนิ่งคิด พี่เนมชวนผมทำงาน ผมเนี้ยนะ เด็กบ้านๆ คนหนึ่ง เรียนก็น้อย ผมยังไม่มีมหาลัยให้เข้าเรียนเลยด้วยซ้ำ แล้วจะให้ผมช่วยงานอะไรพี่เขาได้ละครับ“พี่เนมจะให้ผมทำงานอะไรหรอครับ”“เลขาส่วนตัว”“แต่ว่าผมเรียนมาน้อย จะช่วยงานพี่ได้ยังไงครับ ผมคิดว่าผมคงไม่เหมาะกับงานนี้” ผมพูดพลางคิดไปด้วย ให้ผมเป็นเลขาส่วนตัว แสดงว่าก็ต้องคอยช่วยจัดตารางงาน นัดลูกค้า แจ้งกำหนดการอะไรแบบนี้รึเปล่านะ“ฉันจะส่งเสียนายเรียนมหาลัยก่อน ระหว่างนั้นให้ทำงานเป็นเลขาส่วนตัวฉันไปพลางๆ หน้าที่ก็ไม่มีอะไรมาก เตรียมรายการอาหารเช้า กลางวัน เย็นให้ป้านุ่ม ให้นายเป็นคนคิดเมนูอาหารในแต่ละวัน ตอนเช้าก็เข้ามาปลุกฉันในห้องและจัดเตรียมเสื้อผ้า รวมถึงเอกสารที่จำเป็น แล้วค่อยออกไปเรียน พอนายเรียนจบฉันจะหางานที่เหมาะสมให้กับนายอีกที”“ผมคิดว่า ผมต้องทำการนัดหมาย เตรียมเอกสารสำคัญ นัดพบลูกค้า หรือจัดเตรียมข้อมูลระหว่างที่พี่เนมทำงานที่บริษัทซะอีกครับ” ผมถามพร้อมกับทำหน้างง ก็มันเป็นหน้าที่ของเลขาไม่ใช่หรอ มันก็ต้องไปทำที่บริษัทกับพี่เนมสิถึงจะถูก แต่ทำไมงานที่พี่เนมให้ทำกลับเป็นงานที่บ้านทั้งหมดเลยล่ะ“อันนั้นงา
วันที่ 11 สิงหาคม ปี 43 มันเป็นวันเกิดของผม พ่อของผมทำพินัยกรรมให้ทันทีที่ผมเกิด ครอบครัวของผมเป็น เศรษฐี และนี่คือสิ่งที่แม่ไม่เคยบอกผม เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยรู้ การได้รับรู้ข่าวนี้ทำให้ผมถึงกับไปไม่เป็น ผมทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มต้นทำอะไรต่อจากนี้ ผมรู้แล้วว่าทำไมผมถึงไม่เคยได้เจอหน้าพ่อ ผมรู้แล้วว่าทำไมท่านถึงเสียก่อนวัยอันควร และรู้แล้วว่าทำไมแม่ของผมจึงถูกชาย 2 คนนั้นทำร้ายจนเสียชีวิต ผมว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับพินัยกรรมฉบับนี้แน่ ในขณะที่ผมคิดอะไรไม่ตกนั้น พี่เนมก็ขยับเดินเข้ามาใกล้“เสร็จรึยัง” พี่เนมถามและมองผมที่ยังนั่งนิ่งอยู่ที่พื้น อย่างคนที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนพี่เนมต้องนั่งยองๆ และเอามือวางบนไหล่ผมเบาๆ ผมสะดุ้งนิดๆ และหันไปหาพี่เนม“อะ อ่อ เสร็จ เสร็จแล้วครับ” เสียงของผมสั่นคนผมเองยังรู้สึกได้ พี่เนมขมวดคิ้วมองผมเล็กน้อย ก่อนลุกยืนขึ้น“จะกลับเลยไหม”“คะ ครับ กลับครับ” ผมตอบพี่เนม เริ่มเก็บของที่ผมได้เจอ ปิดแผ่นหินนั้นคืนที่เดิม และนำของที่ได้รับกลับมาด้วย เมื่อมาถึงรถผมก็ขึ้นไปนั่งและก้มมองกล่องเหล็กนั้นอย่างใช้ความคิดเงียบๆ“นาย จะให้ไปส่งที่ไหน”“...”“เจ้านาย” พี่