คีตะ
เมื่อเช้าเธอเดินชนผมเมื่อเช้า แต่ตอนนี้เธอกลับมาถามผมว่าเคยเจอกันมาก่อนคืออะไรวะ สมองเสื่อมใช่มั้ยถึงได้ถามผมแบบนี้ให้ตายเถอะ นอกจากผมจะอารมณ์เสียกับไอ้จอมพลแล้วผมยังมาอารมณ์เสียกับคนที่ยืนตรงหน้าผมอีก
"ขอโทษค่ะที่เสียมารยาท ทานขนมให้อร่อยนะคะ"เธอรีบบอกผมก่อนจะเลื่อนจานขนมให้ผม
"เดี๋ยว"
"คะ...คุณเรียกฉันหรอคะ"ผมหลับตาลงก่อนจะถอนหายใจ
"ขนมนี่ที่ร้านทำเองหรอครับ"ผมถามเพราะขนมที่อยู่ตรงหน้าผมมันเป็นขนมที่ผมชอบกินไง
"ขนมอันนี้ฉันทำเองค่ะ และที่ร้านไม่ได้มีขาย"เธอบอกผมก่อนจะยิ้มให้
ทำเองอย่างนั้นหรออายุน่าจะรุ่นเดียวกับจอมพลไม่น่าเชื่อว่าจะทำขนมไทยโบราณแบบนี้เป็น ผมหยิบขนมขึ้นมาก่อนจะชิมและรสชาติมันเป็นรสชาติเดียวกันกับที่ผมกินเมื่อวาน
"ทำเอง"ผมถาม
"ใช่ค่ะขนมพระพายฉันทำเอง ส่วนอย่างอื่นคุณยายฉันเป็นคนทำค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวนะคะ"
เธอพูดเสร็จก็เดินลงไปชั้นล่างโดยที่ไม่รอให้ผมถามต่อ ผู้หญิงของไอ้จอมพลสินะถ้าผมเดาไม่ผิด หลังจากที่กินขนมหมดผมก็เดินลงมาด้านล่างเพราะตอนนี้จะบ่ายสองแล้ว
"ขอบคุณสำหรับขนม อร่อยมากครับ"ผมเดินมาบอกเจ้าของร้าน
"มีแค่วันนี้แหละค่ะ เพราะคนทำไม่ค่อยได้มา"พี่เจ้าของร้านบอกพรางชี้ไปที่เธอ
"เธอเป็นลูกจ้างของที่ร้านหรอครับ"
"พอดีวันนี้น้องว่างก็เลยแวะมาหา พี่ก็เลยให้ช่วยงานสะเลย แต่ถ้าคุณจะถามเรื่องขนม ถามน้องได้เลยนะคะเพราะคุณยายของน้องทำขนมไทยอร่อยมาก"พี่เจ้าของร้านพูดแล้วยิ้มให้ผม
"มีเบอร์มั้ยครับพอดีผมชอบทาน"ผมถามไป
"ขอเจ้าตัวเลยดีกว่าค่ะ"
"จะกลับแล้วหรอคะ ขนมอร่อยมั้ยคะ"เธอถามแล้วยิ้มให้ผม
"ถ้าผมจะสั่งต้องทำยังไง"
"ขอโทษนะคะพอดีฉันไม่ได้ทำขาย แต่ถ้าคุณอยากกินเดี๋ยวฉันทำแล้วมาฝากไว้กับพี่เอินได้ค่ะ เดี๋ยวคุณให้เบอร์พี่เอินไว้"เธอบอกผมจนพี่เจ้าของร้านมองหน้าอย่างงงๆ
"ผมขอเบอร์คุณเลยแล้วกัน"ผมบอกไปตามตรง
"จะฝากไว้แล้วถ้าคุณเขาไม่ว่างล่ะเอสเทล"
เอสเทล เธอชื่อเอสเทลอย่างนั้นหรอชื่อแปลกดี และอย่าคิดว่าผมจะชอบเธอนะที่ผมขอเบอร์ก็เพราะเรื่องขนมเท่านั้นแหละ
"ถ้าไม่อยากให้ก็ไม่เป็นไรครับ งั้นผมยืมมือถือของคุณหน่อย"ผมบอกเธอ
"นี่ค่ะ"
หึ...ยัยเด็กโง่ ผมกดเบอร์โทรออกก่อนบันทึกเบอร์ตัวเองลงในเครื่องของเธอแล้วคืนให้ และคิดว่าคนอย่างผมโง่มากสินะแต่เปล่าเลยเพราะคนที่โง่คือเธอไม่ใช่ผม
"ถ้าวันไหนฉันทำขนม ฉันจะโทรบอกคุณนะคะ"เธอบอกแล้วยิ้มให้ผม
"กลับบ้านได้แล้วนะเอสเดี๋ยวคุณยายจะเป็นห่วง เดี๋ยวพี่ให้คนที่ร้านไปส่ง"พี่เจ้าของหันไปบอกเธอที่ยืนยิ้มอยู่
"ไม่เป็นไรค่ะ เอสเดินกลับแค่นี้เอง"
"ถ้าถึงบ้านโทรบอกพี่ด้วยเข้าใจมั้ย ไม่ต้องแวะช่วยใครเข้าใจหรือเปล่ากลับบ้านก็คือกลับบ้าน"ผมมองหน้าพี่เจ้าของร้านที่พูดเสียงดุ
ดูท่าเด็กคนนี้จะซื่อมาก เพราะไม่อย่างนั้นพี่เจ้าของร้านจะไม่พูดย้ำขนาดนี้ แต่มันจะมีคนซื่อขนาดนั้นด้วยหรอวะ
"เดี๋ยวเอสจะเดินตรงอย่างเดียวไม่แวะตรงไหนเลยค่ะ ถึงบ้านเอสจะโทรบอกพี่เอินทันทีค่ะ"
ตอนนี้ผมกำลังขับรถตามยัยเด็กโง่ที่เดินกลับบ้าน คือแม่งเดินตรงอย่างเดียวจริงๆ ไม่แวะซ้ายแวะขวาเลยคนอะไรมันจะซื่อได้ขนาดนี้กัน
"ยัยซื่อบื้อ"
ผมจอดรถเมื่อเห็นยัยเด็กนี่หยุดเดินอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่งก่อนที่เธอจะหยิบมือถือขึ้นมาแล้วโทรหาใครสักคน หลังจากที่ยัยเด็กโง่เดินเข้าบ้านผมเองก็ขับรถออกมาทันที
.
.
"ไปไหนมาครับคุณคีตะ"ทันทีที่ผมเดินเข้าบ้านเสียงของไอ้น้องเวรก็ดังเข้าหูผมทันที
"กูต้องรายงานมึงด้วยหรือไง"ผมถาม
"อ่ะขนม"มันยื่นถุงขนมให้ผม
"ขอบใจ แต่กูกินมาแล้ว"ผมบอกแล้วยกยิ้มให้มัน
"กินมาจากไหน"
"จากผู้หญิงที่มึงเบลอภาพแล้วส่งให้กูไง ชื่ออะไรนะเอสเทลหรือเปล่า"ผมถามไอ้จอมพล
"อย่ายุ่งกับเธอ เพราะเธอซื่อเกินกว่าจะรู้จักพี่"ไอ้จอมพลรีบบอก และสีหน้าของมันเปลี่ยนไปจากเมื่อกี้จนผมรู้สึกได้
"กูเป็นคนไม่ดีหรือไงมึงถึงได้ห้าม"ผมถามมันไป
"เอสเทลเป็นผู้หญิงที่ซื่อมาก ทุกอย่างบนโลกใบนี้คือดีหมดจนผมไม่รู้ว่าเวลาเอสเทลเจอเรื่องไม่ดีเธอจะรับมือมันยังไง ผู้หญิงที่แม่เสียไปตั้งแต่สองขวบพ่อทิ้งตั้งแต่ยังไม่เกิดและอยู่กับยายสองคนมาตลอด คนที่ยิ้มตลอดเวลาแม้โดนด่าโดนแกล้งพี่คิดว่ายังไง"ไอ้จอมพลพูดยาวเหยียด
"ที่มึงพูดมาคือมึงจะบอกกูว่ามึงชอบเธอ และไม่ให้กูเข้าใกล้เธอ"ผมถามน้องไปตามตรง
"ใครอยู่ใกล้เอสเทลก็ชอบเธอหมดแหละ ผมแค่เป็นห่วงเพื่อนผมถึงได้คอยดูแลเอสเทลมากกว่าเพื่อนคนอื่น"
มันคิดว่าผมโง่มากหรือไงกับคำตอบที่มันตอบผม เป็นห่วงเพื่อนไอ้เวรแต่สายตาและน้ำเสียงในการพูดนี่มันไม่ใช่เลย
"จะชอบไม่ชอบก็เรื่องของมึง ส่วนเรื่องของกูก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของกูนะน้องรัก"ผมบอกก่อนจะเดินขึ้นห้อง
"คนที่ทำให้คุณคีตะใจเต้นแรงสินะถึงได้พูดแบบนี้"
ไอ้จอมพลพูดไล่หลังผมคนที่ทำให้ผมใจเต้นแรงหรอ เธอไม่มีอะไรที่เหมือนแม่ผมเลยสักนิดแค่ซื่อบื้อก็ไม่เหมือนแล้ว
เอสเทล
"เคยเจอคุณเขาที่ไหนกันนะ เอสเทลทำไมแกถึงได้ขี้ลืมขนาดนี้"
ตอนนี้ฉันกำลังเดินวนรอบบ้านและนึกถึงใบหน้ากับน้ำเสียงของผู้ชายคนที่อยู่ร้านกาแฟแต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
"เป็นอะไรเอสเทลถึงได้เดินวนไปวนมาแบบนี้ลูก"ยายฉันเอ่ยถาม
"เอสจำคนๆ นึงไม่ได้ค่ะ นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก"ฉันบอกยายไป
"ก็ไม่ต้องคิดสิลูก ยายว่าเอาเวลาไปเตรียมตัวที่จะเปิดเทอมอาทิตย์หน้าดีกว่ามั้ย"ยายบอก
จริงสิอาทิตย์หน้าฉันก็เปิดเทอมแล้ว อยากจะบอกว่าตื่นเต้นมากที่จะได้เข้ามหาลัยและเจอเพื่อนใหม่ ที่จริงฉันเตรียมของทุกอย่างไว้หมดแล้ว ฉันเลือกเรียนบริหารเหมือนกับเพื่อนฉันอีกสองคนและจอมพลเองก็เรียนเหมือนกัน
ครืด ครืด
ฉันมองมือถือตัวเองที่ดังอยู่บนโต๊ะ ทำไมฉันถึงไม่คุ้นชื่อที่โชว์อยู่เลยล่ะฉันรู้จักกับคนที่โทรมาตอนไหนกัน
"คีตะ"ฉันพูดเสียงเบาก่อนจะกดรับสาย
"สวัสดีค่ะเอสเทลพูดค่ะ"
(ฉันรู้แล้ว)
"ฉันไม่รู้จักคุณนะคะแต่ทำไมมือถือของฉันถึงได้มีชื่อคุณ แล้วคุณโทรหาฉันมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ"
(ไม่มีแค่อยากโทร และเรารู้จักกันแล้วนะคุณจำไม่ได้หรือไง)
สะ..เสียงนี้อีกนี่มันเสียงของพี่ชายจอมพลและลูกค้าที่ร้านกาแฟที่ฉันเจอนี่
"พี่ชายจอมพลและลูกค้าที่ร้านกาแฟใช่มั้ยคะ"ฉันรีบถามเพราะเสียงมันเหมือนที่ฉันเคยได้ยิน
(อืม...)
"คุณโทรหาฉันมีอะไรหรือเปล่าคะ ถ้าจะโทรมาถามเรื่องขนมฉันอาจจะทำอีกทีเดือนหน้าเลยค่ะ เพราะอาทิตย์หน้าฉันเปิดเทอมแล้ว จะทำได้ก็ช่วงวันหยุดและฉันว่างจริงๆ ขอโทษด้วยนะคะ"
(ถ้าอย่างนั้นก็ไว้เจอกัน)
"คะ...คุณคะเจอกันที่ไหน"
อะไรของเขาเนี่ยไว้เจอกันแล้วให้เจอที่ไหนล่ะ คิดอยากจะโทรก็โทรคิดอยากจะวางก็วางฉันมองชื่อของเขา.....พี่ชายของจอมพลใช่แล้วฉันจำเสียงของเขาได้แล้ว
"คุยกับใครอยู่เอสเทล"
"พี่ชายของจอมพลค่ะ คนที่เอสบอกยายก่อนหน้านี้เขาเป็นพี่ชายของจอมพลค่ะ"ฉันบอกยายไป
"ดีใจกว่าเจอหน้าจอมพลอีกนะเรา"ยายบอกก่อนจะยิ้มให้ฉัน
"ก็เอสพึjงจำได้นี่คะ"
ติ้ง!
Kita : พรุ่งนี้ไปร้านกาแฟอีกหรือเปล่า
ฉันมองข้อความที่ถูกส่งมาจากคนที่วางสายไปเมื่อกี้ พรุ่งนี้ไปร้านกาแฟมั้ยฉันจะไปไม่ไปแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขาด้วยล่ะ ฉันรีบโทรหาคุณเขาทันที
(ว่าไง)
"พรุ่งนี้ทำไมฉันต้องไปร้านพี่เอินด้วยคะ"
(แล้วจะไปไม่ไป)
"คุณก็บอกมาสิคะว่าทำไมฉันต้องไปด้วย"
(ฉันอยากเจอเธอ ว่าไงจะไปหรือไม่ไป)
"ถ้าอยากเจอฉันไปก็ได้ค่ะ"
เอสเทล"ถึงเวลาที่เราจะแต่งงานกันได้หรือยังเอสเทล"นี่เป็นคำพูดที่ฉันได้ยินเกือบทุกวันตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าฉันยังไม่ตอบรับการขอแต่งงานของพี่คีตะ และฉันก็ยังยืนยันคำเดิมว่าการแต่งงานไม่ได้เป็นตัวตัดสินว่าชีวิตคู่ของเราจะไปกันรอด ฉันเองเรียนจบปริญญาโทและเข้าทำงานที่บริษัทของพี่คีตะเต็มตัวแล้ว"ไม่แต่งค่ะ"ฉันบอกพี่คีตะไป"เหลือหรือรออะไรไม่ทราบ จะเรียนต่ออีกมั้ยล่ะ"พี่คีตะพูดประชดฉัน"ก็คิดอยู่เหมือนกันนะคะ"ฉันบอกพรางยกยิ้มใส่"อยากทำอะไรก็เชิญ"เรื่องความรักของเราสองคนมันดีขึ้นตามลำดับค่ะ อาจจะเพราะเราสองคนโตขึ้นด้วย ฉันนั่งมองพี่คีตะที่งอนแบบนี้อยู่ทุกวันจนฉันชินแล้วล่ะ"วันเสาร์นี้ไปเที่ยวหัวหินกันมั้ยคะ"ฉันเดินมานั่งลงตรงข้ามคนหน้าบึ้ง"ไม่ไป ขี้เกียจ""ถ้าขยันก็ตามไปเจอเอสที่หัวหินนะคะ"ฉันบอกไป"เอสเทลจะให้พี่รอถึงเมื่อไหร่วะ ไม่มั่นใจพี่ตรงไหนบอกมาดิ"พี่คีตะพูดเสียงเบา"เอสมั่นใจในตัวพี่คีตะเสมอค่ะ แต่เอสเคยบอกเหตุผลไปแล้วนะคะ""มั่นใจ"พี่คีตะถามย้ำฉัน"ทุกวันนี้เราก็ใช้ชีวิตเหมือนคนที่แต่งงานกันอยู่แล้วไม่ใช่หรอคะ"ฉันถามพี่คีตะ"แต่พี่อยากทำอะไรให้มันถูกต้อง""มันไม่ถูก
เอสเทลฉันนิ่งไปพักใหญ่เมื่อได้ยินสิ่งที่พี่คีตะพูด น้ำเสียงและสายตาของพี่คีตะคือไม่ได้ล้อเล่นเลย"แต่งค่ะ แต่คงไม่ใช่ตอนนี้"ฉันบอกพี่คีตะไป"ทำไมอ่ะเอส ก็เรารักกัน""เราสองคนพึ่งกลับมาคบกัน ใช่ค่ะพี่คีตะโตขึ้นเอสโตขึ้น และการโตขึ้นมันทำให้เอสต้องคิดอะไรให้รอบคอบกว่านี้"ฉันบอกแล้วยิ้มให้แฟนตัวเอง"ไม่มั่นใจในตัวพี่หรอ""ถ้าเอสไม่มั่นใจเอสคงไม่นอนอยู่แบบนี้ค่ะ แต่การใช้ชีวิตคู่มันเป็นเรื่องใหญ่มากนะคะ เพราะฉะนั้นเอสจะไม่รีบเร่งกับเรื่องนี้เด็ดขาด"ฉันพูดเสียงดุ"แล้วพี่ทำอะไรได้มั้ยล่ะ"พี่คีตะถามฉัน"ตอนนี้ทั้งกายทั้งใจเอสให้พี่คีตะไปหมดแล้ว และการแต่งงานมันก็ไม่ได้เป็นตัวตัดสินว่าเราสองคนจะอยู่ด้วยกันตลอดไปนี่ค่ะ"ฉันอธิบายแต่ดูเหมือนว่าพี่คีตะจะไม่ยอมเข้าใจเลย"ไม่มีวันที่พี่จะยอมเสียเอสไปอีกแน่"พี่คีตะพูดเสียงดุ"แค่เราเข้าใจกัน ยอมรับข้อดีข้อเสียของอีกฝ่ายได้เอสว่าการแต่งงานมันไม่จำเป็นเลยค่ะ เอสไม่ได้ให้ความสำคัญกับการแต่งงานมากมายขนาดนั้นหรอกนะคะ เอสแค่อยากอยู่อยากใช้ชีวิตกับพี่คีตะ เอสว่าแค่นั้นมันก็เพียงพอแล้ว"ฉันบอกพี่คีตะไป ความฝันของผู้หญิงส่วนมากคือการได้ใส่ชุดแต่งงานสวยๆ แต
เอสเทลพี่คีตะโตขึ้นและเปลี่ยนไปเยอะก็จริง แต่มีอยู่เรื่องเดียวที่พี่คีตะไม่เคยเปลี่ยนเลยคือรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ และจะให้ฉันทำยังไงกับแฟนตัวเองดีล่ะในเมื่อบอกไปแล้วว่าฉันไม่ได้รีบกลับบ้าน"แล้วทำไมเอสต้องไปคอนโดกับพี่คีตะคะ"ฉันถามตามตรง"ก็พี่อยากอยู่กับแฟน""ตอนแรกเอสว่าง แต่ตอนนี้เอสไม่ว่างแล้วค่ะ"ฉันบอกพลางเอามือถือให้ดูเพราะว่ายายของฉันโทรมาฉันรีบรับสายยายพลางมองพี่คีตะที่หน้าเศร้าจนฉันอดยิ้มให้ไม่ได้ ฉันวางสายยายก่อนจะเก็บกระเป๋าเพราะตอนนี้เลิกงานแล้ว"เอสต้องรีบกลับบ้านค่ะ"ฉันบอกไป"เดี๋ยวพี่ไปส่งครับ"พี่คีตะพูดเสียงอ่อยพลางเดินตามหลังฉันออกจากห้อง"ไปกันเอส"องศารีบเข้ามาเกาะแขนฉันไว้"ไม่ได้เว้ย วันนี้พี่จะไปส่งแฟนพี่ ส่วนน้องอย่างองศาก็กลับเองนะครับ"พี่คีตะรีบจับฉันแยกออกจากองศาหลังจากนั้นพี่คีตะก็ขับรถมาส่งฉันที่บ้าน รู้มั้ยคะว่าคุณชายเขาขับรถเหมือนเต่าคลานเลยอ่ะ แถมยังทำหน้าเศร้าตั้งแต่ออกจากบริษัทด้วย"พรุ่งนี้ก็เจอกันนี่คะ"ฉันบอกไป"ก็คงงั้นแหละ"ฉันส่ายหน้าให้กับแฟนตัวเอง และที่ฉันรีบกลับบ้านเพราะว่าฉันต้องมาช่วยยายจัดกระเป๋า ยายจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดห้าวัน ฉันไม่ได้ซื่อจนไม
เอสเทลตอนนี้ฉันไม่สนว่าใครจะพูดก่อน เพราะความรู้สึกของฉันมันไม่เคยเปลี่ยนไปเลย สามปีที่ผ่านมาฉันทำตามที่พี่คีตะขอร้องไว้ทุกอย่างถึงแม้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมันจะเหมือนเดิมหรือไม่ก็ตาม "พี่คีตะจะนิ่งอยู่ทำไมคะ ที่เอสขอ พี่คีตะให้เอสได้หรือเปล่า"ฉันถามเสียงดุเพราะพี่คีตะเอาแต่ยืนจ้องหน้าฉันไม่พูดไม่จาฉันยืนยิ้มให้กับคนที่อยู่ตรงหน้า พี่คีตะคงไม่คิดว่าฉันจะกล้าพูดอะไรแบบนี้สินะ สามปีมานี้ฉันเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากเพื่อนรักของตัวเองและคนรอบข้าง มันไม่ใช่เฉพาะเรื่องความรักหรอกนะแต่มันยังมีเรื่องการใช้ชีวิตเมื่อเจอคนหมู่มากและการรู้จักปฏิเสธคน"เอสคงคิดไปเองคนเดียวสินะคะ"ฉันถามเสียงสั่นเมื่อพี่คีตะเอาแต่นิ่งพรึ่บ"อย่าบอกเลิกพี่อีกนะเอส ไม่เอาแล้วนะเว้ย ฮึก"พี่คีตะเดินเข้ามากอดฉันก่อนที่จะร้องไห้ออกมา ความกลัวของฉันมันก็ยังมีอยู่แต่ถ้ามันจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ก็ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคต แต่ตอนนี้ฉันขอแค่เราสองคนกลับมาเป็นเหมือนเดิมเท่านั้นเอง เพราะการนับหนึ่งใหม่กับใครอีกคนฉันขี้เกียจแล้ว"ขอบคุณนะเอส ขอบคุณที่ยังรอพี่"พี่คีตะพูดเสียงเบา"ถ้าวันนั้นเอสวางสายไปก่อนเราสองคนจะยังกลับมา
สามปีผ่านไปเอสเทล"เอสเดี๋ยววันนี้ตอนห้าโมงเย็นเราฝากไปรับเจ้าขาที่สนามบินด้วยนะ เรามีคุยงานกับลูกค้า"ตอนนี้ฉันเรียนอยู่ปีสี่แล้วนะ และฉันเองก็กำลังฝึกงานอยู่ที่บริษัทของคุณพ่อคุณแม่พี่คีตะ ตอนแรกฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาฝึกที่นี่แต่คุณแม่ของพี่คีตะเป็นคนทำเรื่องและฉันเองก็ขัดไม่ได้ และสามปีที่ผ่านมาฉันไม่ได้เจอหน้าไม่ได้พูดกับพี่คีตะเลย"พี่เจ้าขาพึ่งไปสองวันเองนะ"ฉันรีบบอกจอมพล เพราะพี่เจ้าขาไปคุยงานที่ต่างประเทศและไปตั้งเป็นอาทิตย์ด้วย"งานยกเลิก โทรถามมันได้เอส"จอมพลบอกฉันเสียงดุ"แล้วมีคุยงานอะไรที่นี่ไม่ทราบ"ฉันถามสามปีที่ผ่านมาฉันว่าฉันโตขึ้นมาเลยนะ ฉันขับรถยนต์เป็นแล้วด้วยซึ่งจอมพลเป็นคนสอนให้ ฉันสามารถไปไหนมาไหนคนเดียวได้โดยไม่ต้องรอคนอื่น ฉันว่าฉันเก่งขึ้นมาก"มีคุยงานกับเพื่อนเอสน่ะ แล้วนี่องศาไปไหน"มาหาองศานี่เองฉันกับองศามาฝึกงานที่นี่ส่วนมอสกับตังเมไปฝึกงานที่บริษัทของคุณพ่อของมอสและจอมพลก็ฝึกงานที่บริษัทของครอบครัว"ไปหาลูกค้า"ฉันรีบบอก"หึ...ทำผิดมาน่ะสิถึงได้รีบออกไป"จอมพลกับองศาจนมาถึงวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม เพื่อนรักของฉันสองคนปากแข็งกันทั้งคู่จนฉันไม่รู้จะช่วยใครก่อนด
เอสเทล"จะไปส่งมั้ยเดี๋ยวเราพาไป เพราะกว่าจะขึ้นเครื่องก็สามทุ่ม"จอมพลบอกฉันว่าวันนี้พี่คีตะจะไปต่างประเทศและไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ และที่พี่คีตะไปเหตุผลทุกอย่างมันมาจากฉันทั้งหมด ฉันไม่ได้อยากให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้เลยนะแต่จะให้ฉันทำยังไง"ไม่ดีกว่า ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้น่ะดีแล้ว"ฉันบอกไปฉันเคารพในการตัดสินใจของพี่คีตะเสมอ ถ้ามันจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นและฉันเองก็ไม่มีสิทธิ์จะไปห้ามอะไรพี่คีตะด้วย ฉันหวังแค่ว่าพี่คีตะจะคิดอะไรได้มากขึ้นเมื่อเราไกลกัน"พี่คีตะโทรหาหรือเปล่า"จอมพลถามฉัน"ไม่ได้โทร"ฉันพูดเสียงเบา"โอเคนะเอส""เอสต้องโอเคสิ"ฉันรีบบอกไปหลังจากนั้นฉันก็เดินมาทำขนมช่วยยาย เพราะตอนบ่ายองศากับตังเมชวนไปที่ร้านกาแฟ หน้าที่ของฉันตอนนี้คือตั้งใจเรียนหนังสืออย่างเดียวเท่านั้น ส่วนเรื่องความรักฉันคงต้องพักยาวเลย รักครั้งแรกมันทำให้ฉันกลัวทุกอย่างไปหมด"ทำไมมองหน้าเอสแบบนั้นล่ะ"ฉันถามจอมพลที่เอาแต่จ้องมองฉัน"อีกนานเลยนะเอส"จอมพลบอกฉัน"แล้วเอสจะเอาอะไรไปห้ามพี่คีตะ เราสองคนเลิกกันแล้วนะจอมพล"ฉันรีบบอกไป"ก็ยังรักเขาไม่ใช่"จอมพลถามแล้วยิ้มให้ฉัน"เวลาเท่านั้นแหละที่จะให้คำตอบเอสได้