เมื่อสายโทรศัพท์ถูกตัดไป ตอนนี้ฉันยืนตัวแข็งทื่อไม่ขยับ เขาโทรมาพูดแค่นั้น แต่คำขู่ของเขามันทำให้ฉันรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ
เขาจะตามหาฉันเจอมั้ย ทำไมกัน ทำไมถึงต้องตามจองเวรจองกรรมฉันขนาดนี้ฉันพยายามที่จะไม่คิดมาและทำอาหารต่อจนเสร็จ คุณท่านมาพอดี ฉันพยายามทำตัวให้ปกติที่สุดไม่อยากให้คุณท่านรู้ว่าลูกชายของคุณท่านข่มขู่อะไรฉันบ้าง เพราะฉันไม่อยากให้คุณท่านคิดมาก
“หนูรู้มั้ยว่าฉันอยากมีลูกผู้หญิงมาก แต่วาสนาฉันได้แต่ลูกผู้ชาย” “คุณท่านมีลูกกี่คนหรอคะ แค่คุณโชนหรือมีอีก” “สมัยฉันยังหนุ่มฉันเจ้าชู้ หนูคิดว่าฉันจะมีแค่ตาโชนงั้นรึ” พูดจบคุณท่านก็หัวเราะ หึหึ ในลำคอออกมา งั้นก็แปลว่าคุณท่านยังมีลูกอีก ใครกันนะ “เขาไม่ได้อยู่บ้านหลังเดียวกับคุณท่านหรอคะ” “ฉันส่งไปเรียนที่เมืองนอก ขืนให้อยู่ที่บ้านตาโชนคงได้ฆ่าตายกันพอดี” ฉันไม่อยากจะตามอะไรที่มันล้วงลึกเพราะมันจะดูว่าฉันก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคุณท่านมากจนเกินไป ถ้าคุณท่านอยากจะเล่าเดี๋ยวคุณท่านก็เล่าให้ฉันฟังเอง “หนูนี่ทำอาหารอร่อยเหมือนแม่หนูไม่มีผิด” “แม่หนูเคยทำอาหารให้คุณท่านทานด้วยหรอคะ” ฉันถามด้วยความสงสัย แปลกจังที่คุณท่านมักจะพูดถึงแม่ฉันบ่อยๆ แต่แม่ไม่เคยเล่าเรื่องของคุณท่านให้ฉันฟังเลย “เคยสิ บ่อยด้วยนะ ^_^” ฉันกับคุณท่านทานข้าวกันไปพลางคุยกันไปด้วย เวลาที่อยู่กับคุณท่านมันรู้สึกปลอดภัย รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ เวลาล่วงเลยมาจนถึงวันเปิดภาคเรียน ที่ผ่านมาฉันใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้องสะส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ออกไปไหน วันไหนคุณท่านว่างๆคุณท่านก็จะมาทานข้าวกับฉัน ส่วนลูกชายของคุณท่านเขาโทรมาหาฉันทุกวันแต่ฉันไม่รับ เขาส่งข้อความมาฉันก็ไม่แม้แต่จะเปิดอ่าน เวลาที่มีเบอร์แปลกๆโทรมาฉันก็ไม่รับเลย ฉันรับแค่เบอร์ของคุณท่านเท่านั้น แต่ฉันก็ทำใจเอาไว้บ้างแล้วแหละ ถึงฉันไม่อยากจะเจอเขา แต่ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลกใบเดียวกันสักวันฉันกับเขาก็ต้องเจอกันอยู่ดีตอนนี้ฉันอยู่ในชุดนักศึกษา กำลังลงจากรถเดินไปที่ตึกคณะของตัวเองทีีเลือกเรียน ฉันขับรถมาเองนะ รถหรูราคาหลักล้านที่คุณท่านซื้อให้ฉันนั่นแหละ
ตอนแรกฉันไม่รู้ว่าฉันจะเรียนอะไรดีเพราะฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะเรียนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว มีคุณท่านที่แนะนำให้ฉันเลือกเรียนบริหาร ซึ่งฉันก็ตกลงตามที่คุณท่านบอกทั้งที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะได้เรียนเกี่ยวกับอะไร ก็ฉันมันโง่หนิ โง่มากด้วยเรื่องเรียนเนี่ย รู้สึกท้อตั้งแต่ยังไม่ได้เรียนเลยด้วยซ้ำ และก็เป็นไปตามที่ฉันคิด เมื่อได้เข้ามาสัมผัสภายในห้องเรียนแล้ว ฉันถึงกับต้องกุมขมับเลยทีเดียวเพราะฉันเรียนไม่รู้เรื่องเลย “นี่เธอ ๆมีปากกาให้เรายืมมั้ยปากกาเรามันเขียนไม่ติด” ในขณะที่ฉันกำลังนั่งกุมขมับอยู่ จู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งข้างๆกับฉันสะกิดแขนฉัน แล้วเธอก็ขอยืมปากกาฉัน “อื้อ มีสิ” ฉันเปิดกระเป๋าหยิบปากกาออกไปให้เธอยืมหลังจากเรียนเสร็จถึงเวลาพักเที่ยง ฉันก็เดินไปที่โรงอาหารซื้อข้าวมานั่งกินคนเดียว มันน่าเศร้าจริงๆ อยากจะมีเพื่อนแต่ฉันก็ไม่รู้จะคุยจะเริ่มยังไง เพราะฉันพูดไม่ค่อยเก่งเข้าหาคนไม่เก่ง
“เธอ เราขอนั่งด้วยได้มั้ย” จู่ๆ ก็มีคนทักฉันแถมยังขอนั่งกับฉันอีก พอเงยหน้าขึ้นไปมองถึงได้รู้ว่าเธอคือผู้หญิงคนนั้น ที่ยืมปากกาฉัน
“อื้อ นั่งสิ” ฉันตอบสั้นๆพร้อมกับยิ้มจางๆให้เธอ เธอดูสดใสสมวัยดีนะ ต่างกับฉันที่เหมือนคนกำลังอมทุกข์อยู่ตลอดเวลา “ฉันชื่อเอิงเอยนะ เธอชื่ออะไร” เมื่อเธอนั่งลงแล้วเธอก็เอ่ยแนะนำตัวพร้อมกับถามชื่อฉันทันที เอาล่ะ ฉันคิดว่าฉันคงจะมีเพื่อนแล้ว “ฉันชื่อแสนดี ^_^” “เราเป็นเพื่อนกันนะ ^_^” “อื้อได้สิ ^_^”สุดท้ายฉันก็มีเพื่อนรอดตายแล้ว เอิงเอยเป็นคนพูดเก่ง เธอเล่าให้ฉันฟังว่าเธอเป็นนักเรียนทุน ได้ทุนมาเรียนที่มหาวิทยาลัยนี้ บ้านของเธออยู่ที่ต่างจังหวัดนู้น
เลิกเรียน
“เอยกลับยังไงให้ฉันไปส่งมั้ย” ฉันถามเอ่ยหลังจากที่เราเดินออกมาตากห้องเรียนพร้อมกัน “งั้นดีเลย ^_^” ฉันพาเอิงเลยเดินมาที่รถ เธอดูจะตกใจมากครั่งแรกที่ได้เห็นรถของฉัน ส่วนฉันก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆให้เธอ อยากจะบอกว่าฉันก็ไม่ได้รวยอะไร แต่ถ้าพูดออกไปเดี๋ยวจะเจอซักถามอีกมากมายเลยไม่พูดจะดีกว่าหลังจากที่ไปส่งเอิงเอยเสร็จแล้ว ฉันก็กลับมาที่คอนโดของตัวเอง
เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว ฉันถึงกับต้องชะงักและถอยรูดกลับไปจนติดกับประตู เพราะภาพที่เห็นตรงหน้ามันทำให้ฉันไม่กล้าที่จะก้าวขาไปข้างหน้าต่อ “คะ คุณโชน...” ฉันอุทานออกมาเบาๆ ขะ เขามาที่นี่ได้ยังไง รู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่ แล้วเขาเข้ามาในห้องของฉันได้ยังไง “ไม่เจอกันตั้งนาน ไม่ต้องทำหน้าดีใจขนาดนั้นก็ได้ ฉันรู้ว่าเธอคิดถึงฉันสาวน้อย...” เขาแสยะยิ้มให้ฉัน เขามองยังไงว่าฉันดีใจ ฉันกำลังกลัวเขาอยู่ต่างหาก “คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่” “แล้วมันยากตรงไหน หึ!! ฉันรู้นานแล้วว่าเธออยู่ที่ไหนแสนดี” เขายืนเดินก่อนจะก้าวขาเดินตรงมาหาฉัน จากนั้นเขาก็กระชากแขนฉันแรงๆจนตัวฉันแทบจะปลิว “ให้ฉันเดา ห้องนี้พ่อฉันก็คงจะซื้อให้เป็นชื่อของเธอ” “....” ฉันเม้มปากแน่น มันคือความจริงที่ฉันปฏิเสธไม่ได้ แปะ แปะ แปะ !! จู่ๆ เขาก็ปรบมือเสียงดังสามสี่ครั้ง ก่อนจะจ้องหน้าฉันตาเขม่ง “เธอนี่มันผลาญเก่งดีจริงๆ พึ่งแต่งงานไม่ถึงเดือนเอากับพ่อฉันไปกี่ล้านแล้ว หึ!!” หมับ! มือหนาของเขาคว้ามากระชากแขนฉันอีกครั้ง “ฉันเจ็บนะ” ฉันพูดพลางพยายามแกะมือของตัวเองออกจากมือหนาของคนใจร้ายอย่างเขา แต่เขาไม่มีท่าทีว่าจะยอมปล่อยฉันเลย “ไม่เจอตั้งนานฉันโคตรคิดถึงเธอเลยรู้มั้ย ฉันอยากจะจับเธอกระแทกแรงๆ ทั้งวันทั้งคืน...” “ยะ ยะ อย่านะ อร้าย...กรี๊ด” ฉันกรีดร้องออกมาเสียงหลงเมื่อจู่ๆเขาก็แบกฉันขึ้นพาดบ่า ก่อนที่จะพาฉันเดินไปที่ห้องแล้วโยนฉันลงเตียงอย่างแรงจนมันรู้สึกจุกไปทั่วท้อง@โรงพยาบาลฉันปวดท้องตั้งแต่เช้า จนตอนนี้ปาเข้าไปหกโมงเย็นแล้วยังไม่คลอดเลย อาการปวดท้องมันเริ่มปวดหนักขึ้น เรื่อยๆ มันแน่นไปหมดเลยตอนนี้ “ปวดมากท้องมากเลยใช่มั้ย” คุณโชนจับมือฉันเอาไว้ตลอด เขาไม่ปล่อยมือฉันเลยถ้าไม่จำเป็น “ปะ ปวดค่ะ ปะ ปวดมาก” เขาเฝ้าถามฉันตลอดว่าเจ็บท้องมากมั้ย หมอก็มาเช็คปากมดลูกเป็นระยะๆแต่ก็ยังไม่ถึงเวลาคลอด คุณพ่อกับคุณณอณจะที่โรงพยาบาลช่วงบ่าย แต่ฉันยังไม่คลอดทั้งสองคนเลยกลับไปก่อน เอิงเอยก็มาด้วยนะ เธอตัดใจจากคุณโชนได้แล้ว และบอกว่าจะมาใหม่ตอนฉันคลอดแล้ว “อดทนหน่อยนะ เดี๋ยวก็คลอด” คุณโชนบีบมือของฉันแน่น แววตาของเขามันเต็มไปด้วยความเป็นห่วง “ขอบคุณนะคะ ที่ลางานมาอยู่เป็นเพื่อนฉัน” “เมียกำลังจะคลอดเธอจะให้ฉันมีกะจิตกะใจไปทำงานได้ลงคอรึไง” คุณโชนพูดค้อนฉัน ตอนนี้รู้สึกว่าลูกเริ่มถีบแรงขึ้น เรื่อยๆ และมันทำให้ฉันเจ็บจนตัวเกร็ง มันใกล้แล้วใล่มั้ย อีกนิดเดียวเท่านั้น ฉันก็จะได้เจอหน้าลูกชายของฉันแล้ว... @ห้องคลอด “เบ่งค่ะคุณแม่ อื๊ดดดดดด ~” “อื๊ดดดดดดด ~” “หายใจเข้าออก ลึกๆ แล้วเบ่งอีกนะคะคุณแม่” “คุณพ่อช่วยคุณแม่เบ่งด้วยนะคะ” “หนึ่ง สอง อื๊ดดดดดดด
-ณ ดาดฟ้าของโรงแรมหรูใจกลางเมือง ฉันกำลังนั่งกินมื้อค่ำที่สุดแสนจะโรแมนติกกับคุณโชนสามีของฉัน “อาหารไม่อร่อยหรอคะ ?” ฉันเห็นคุณโชนเอาช้อน เขี่ยๆ จานข้าวสักพักแล้วแหละแต่ก็ไม่ยอมกินสักที “ไม่หรอก ฉันแค่รู้สึกอยากจะอ้วก” “ฉันอุตส่าห์เป็นคนท้อง แท้ๆ ทำไมคุณถึงมาแพ้ท้องแทนฉันได้นะ” “เธอไม่แพ้ก็ดีแล้ว ถ้าท้องอยู่แล้วต้อบมาแพ้ท้องหนักอีกฉันจะได้ไปทำงานรึไง” “ทำไมละคะ ?”“เมียทั้งคนฉันจะไม่ห่วงได้ไง” ดินเนอร์ครั้งนี้มันเป็นอะไรที่เรียบง่าย เราคุยกันปกติเหมือนที่คุยกันทุกวัน ฉันไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่านี้หรอก เพราะยังไงเราก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว ไม่จำเป็นหวานใส่กันตลอดเวลา อีกอย่างเขาก็ไม่ค่อยจะหวานกับฉันเท่าไหร่หรอกนะคุณโชนน่ะ เพราะเขาเขินจนทำตัวไม่ถูก“อย่าลืมนะคะว่าพรุ่งนี้ต้องซักผ้าล้างจานที่ตัวเองกินเอาไว้เมื่อวานด้วย” ฉันบอกคุณโชนในขณะที่เรากำลังนั่งรถกลับบ้านกัน “รู้แล้วครับคุณเมีย พูดกรอกหูตั้งแต่ขาไปยันขากลับ กลัวได้ทำเองรึไง” ฉันฝึกเขาเอาไว้น่ะ ให้หัดทำอะไรด้วยตัวเองเพราะเวลาฉันคลอดลูกคุณโชนจะได้ทำเป็น อีกอย่างพวกเสื้อผ้าลูกฉันไม่อยากให้คนอื่นซักเพราะเป็นเสื้อผ้าเด็กยิ่งต้อ
เช้า...วันนี้ฉันกับคุณโชนตื่นกันตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อเตรียมของรอใส่บาตรเพื่อเป็นสิริมงคลต่อการเริ่มใช้ชีวิตคู่ในฐานะสามีภรรยาของเรา หลังจากใส่บาตรเสร็จคุณโชนก็เตรียมตัวออกไปบริษัท แต่เขานะสิจะเอาฉันไปด้วยให้ได้เลย งอแงเหมือนเด็กนั่งหน้าบึ้งไม่พูดไม่จาเพราะฉันไม่ยอมไปบริษัทกับเขาด้วย “คุณโชน คุณจะมางอนเหมือนเด็กแบบนี้ไม่ได้นะคะ” “ก็ไปด้วยกันสิ แค่นั้นก็จบ” เขาพูดทั้งที่ยังนั่งหันหลังให้ฉันอยู่ “ฉันอยากอยู่บ้านมากกว่านี่คะ ไปที่บริษัทมันน่าเบื่อ...” “ฉันน่าเบื่อใช่มั้ย” ฉันถึงกับถอนหายใจออกมา ยาวๆ ดูเขาสิ ฉันยังไม่ทันจะพูดอะไรเลยนะ คิดเองเออเองเป็นตุเป็นตะเชียว “เราพึ่งแต่งงานกันเมื่อวานเองนะ คุณอยากจะเซ็นใบหย่าแล้วหรอคะ” ฉันยืนกอดอกมองแผ่นหลังผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายของตัวเอง พอคุณโชนได้ยืนคำพูดของฉันเมื่อกี้เขาก็หันควับมามองหน้าฉันตาเขียวปั๊ดทันที “แค่นี้ถึงกับขู่จะหย่าเลยหรอวะแสนดี !!” “ก็คุณพูดไม่รู้เรื่อง” “คิดว่าฉันจะเซ็นใบหย่าให้เธอหรือไง ไม่มีทาง” “ไปทำงานได้แล้วค่ะ” ฉันขี้เกียจจะทะเลาะแล้ว อยากจะพักผ่อนช่วงนี้เหนื่อยง่ายอยากจะนอนตลอดเวลาเลย “
— งานมงคลสมรส “พอใส่ชุดเจ้าสาวแล้วสวยมากเลยนะคะ ^_^” ช่างแต่งหน้าเอ่ยชมฉันเมื่อเห็นฉันเดินออกมาจากห้องแต่งตัว ฉันยิ้มตอบกลับไปด้วยความเขินอาย ฉันมองภาพตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกบานใหญ่ น้ำตามันก็พลอยจะไหลออกมาให้ได้ ฉันไม่เคยวาดฝันว่าตัวเองจะได้ใส่ชุดเจ้าสาวราคา แพงๆ ไม่เคยวาดฝันว่าจะมีงานแต่งที่ใหญ่โตอลังการ ค่าสินสอดหลายสิบล้าน ฉันอยากให้แม่อยู่กับฉันในตอนนี้ด้วยจัง อยากให้แม่ได้มาเห็นลูกสาวคนนี้ในวันที่สำคัญที่สุดในชีวิต ตอนนี้แม่คงจะกำลังมองฉันจากบนสวรรค์ หลังจากที่คุณโชนขอฉันแต่งงาน เราก็ไปบอกคุณท่าน คุณท่านเป็นคนจัดการหาฤกษ์แต่งให้และก็ได้ฤกษ์อีกสองอาทิตย์ ทำเอาพวกเราหัวหมุนกันทุกคนแทบไม่ได้พักผ่อนฉันแอบหวั่นใจอยู่นะว่าคนที่มาในงานเขาจะไม่แปลกใจหรอที่ก่อนหน้านี้ฉันแต่งงานกับคุณท่าน พอมาวันนี้ฉันกลับแต่งงานกับลูกของคุณท่านซะงั้น แต่คุณท่านก็บอกฉันว่าไม่ต้องคิดมากเพราะว่าคุณท่านแก้ข่าวให้แล้ว พิธีกรแต่งงานเป็นไปอย่างราบรื่น ทุกคนในงานต่างพากันยิ้มมีความสุข พิธีจัดขึ้นแค่ช่วงเช้า หลังจากเสร็จพิธีแต่งงานแล้วฉันกับคุณโชนก็ถูกส่งตัวเข้าหอ — ภายในห้อง “เธอไม่รู้สึกตื่นเต้นบ้าง
ร่างของฉันถูกคุณโชนอุ้มเข้าไปในห้องนอน เขาวางฉันลงบนเตียงอย่างเบามือจากนั้นก็ก้มลงมาประกบริมฝีปากจูบฉัน “อื้ม...” เสียงทุ้มนุ่มของคุณโชนครางออกมาในลำคออย่างพึงพอใจ ฉันไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นเอาแต่หลับตารับรสจูบสัมผัสที่หอมหวานนั้นของคุณโชน ไม่บ่อยหนักที่เขาจะนุ่มนวลแบบครั้งนี้ เหมือนเขากำลังเอาใจฉันอยู่ เราทั้งคู่ดูดดื่มกับรสจูบได้สักพัก เป็นคุณโชนที่ถอนจูบออกแล้วก็จ้องมองลึกเข้ามาในดวงตาของฉัน “เธอกำลังทำให้ฉันหลงเธอจนโงหัวไม่ขึ้นนะแสนดีรู้ตัวมั้ย หื้ม...” คุณโชนพูดพรางเอานิ้วเกลี่ยไปมาบนริมฝีปากของฉัน เบาๆ “แต่ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ” “นั่นสิ ทำไมฉันถึงหลงเธอขนาดนี้กัน” พูดจบเขาก็ก้มหน้าลงมาซุกซอกคอของฉัน ตึกตัก ตึกตัก! เสียงหัวใจของฉันมันเต้นรัวกับคำหวานที่คุณโชนพูดออกมาบอกฉัน มันไม่เคยจะชินเลยสักครั้ง คงจะเป็นเพราะฉันชินกับคุณโชนคนที่ ดิบ เถื่อน ชอบทำร้ายจิตใจฉัน พอเขาเปลี่ยนไปฉันถึงกับใจเต้นรัวทุกครั้งที่เขาพูดคำหวานแบบนี้ “อื้อ อย่าทำให้มันเป็นรอยสิ” ฉันท้วงคนที่กำลังซุกไซร้ซอกคอของฉันอยู่ตอนนี้ เพราะเขากำลังดูดเม้มทำรอยไว้หลายจุดเลย “อยากแสดงความเป็นเจ้าของ ฉันผิด
“ถ้าฉันเป็นโรคอะไรร้ายแรง จริงๆ เธอให้อภัยฉันได้มั้ย ?” เขามองหน้าฉันแววตามีความหวัง เอายังไงดีล่ะฉันจะตอบไปว่ายังไงดี “เกลียดฉันมากขนาดนั้นเลยรึไงถึงเอาแต่เงียบ” “แล้วฉันสมควรที่จะเกลียดคุณมั้ยละคะ” ฉันย้อนถามเขา และครั้งนี้เป็นคุณโชนที่เป็นฝ่ายเงียบซะเอง “ขอโทษ....” “....” “ฉันรู้ว่าคำว่าขอโทษพูดไปมันก็เป็นแค่เพียงลมปาก มันลบสิ่งที่ฉันเคยทำไว้กับเธอไม่ได้” “....” “แต่ฉันพร้อมที่จะดูแลเธอ ชดใช้ในสิ่งที่ฉันเคยทำพลาดไป มันไม่น่าให้อภัยฉันรู้ ฉันก็แค่อยากให้เธอเปิดใจ อึก อึก....” “คะ คุณโชน...!!” ฉันรีบประคองตัวเขาเอาไว้ เขาจะอ้วกอีกแล้ว นี่มันอะไรกันฉันจะร้องไห้แล้วนะ “แสนดี...” “พอแล้วค่ะ ไม่ต้องพูดแล้วไปหาหมอก่อน” “ให้อภัยฉันได้มั้ย....” “....” ฉันเม้มปากแน่น ฉันไม่เคยใจแข็งกับเขาได้เลย จริงๆ “อึก ตะ ตอบหน่อย อึก อ้วก...” “คะ คุณโชน ค่ะโอเคฉันให้อภัยคุณแล้วไปโรงพยาบาลกันนะ” สุดท้ายฉันก็ใจอ่อนให้เขา ฉันคิดดูแล้ว ถ้าครั้งนี้ฉันตัดสินใจพลาด มันจะไม่มีครั้งต่อไปอีก “พูดจริงๆนะ เธอให้อภัยฉันแล้ว” คุณโชนยิ้มให้ฉัน ใบหน้าของเขาซีดเผือดเหมือนคนไม่มีเลือดฝาดบนใบหน้าเลย “ค่ะ