เสียงเพลงที่ดังกระหึ่มแข่งกันกับเสียงพูดคุยจอแจของบรรดาผีเสื้อราตรีนั้น เป็นที่ชาชินของเหล่าพนักงานที่มีหน้าที่บริการลูกค้าในสถานบันเทิงแห่งนี้ โดยเฉพาะในคืนวันศุกร์และเสาร์ที่มักจะคลาคล่ำไปด้วยนักท่องราตรีที่หลั่งไหลกันเข้ามาหาความสำราญ บ้างก็มาเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ ผ่อนคลายความตึงเครียดจากหน้าที่การงานที่รับผิดชอบอยู่ บ้างก็มาเพื่อพบปะสังสรรค์ บ้างก็มาเพื่อหาทางปฏิสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม แต่ไม่ว่าเหตุผลการมาของแต่ละคนจะเป็นอย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีหน้าที่ให้บริการก็ยินดีทั้งนั้น เพราะนั่นหมายถึงรายได้ที่มากขึ้นตามไปด้วย
ร่างเล็กที่ผลุบเข้าผลุบออกระหว่างห้องเก็บมิกเซอร์หลังเคาน์เตอร์บาร์กับพื้นที่ในส่วนบริการด้านหน้านั้น ก็เป็นหนึ่งในบรรดาพนักงานที่จะยิ้มรับทุกครั้งเมื่อเห็นนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่เดินเข้ามาเพื่อมองหาโต๊ะนั่ง เพราะถ้าหากเธอหาพื้นที่แทรกโต๊ะลงไปให้ลูกค้าได้ ค่าตอบแทนอย่างน้อยๆ ที่เธอจะได้รับเข้ากระเป๋าก็ต้องเป็นธนบัตรสีม่วงหนึ่งใบ ทั้งนี้ไม่รวมถึงทิปและเงินทอนเวลาที่ลูกค้าสั่งมิกเซอร์หรืออาหาร เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วเวลาที่ลูกค้าเริ่มมึนได้ที่ นักเที่ยวพวกนี้มักจะไม่สนเงินทอน ซึ่งพนักงานเสิร์ฟอย่างพวกเธอนั้นชื่นชอบกันเหลือเกิน
ต้องรักดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ ใกล้เที่ยงคืนแล้วแต่ดูเหมือนลูกค้ายังคงเข้ามานั่งในร้านเรื่อยๆ ทั้งที่เป็นคืนวันอาทิตย์ บางคนก็ดื่มมาจากที่อื่นแล้วแต่ต้องการมาวาดลวดลายต่อที่นี่ บางคนก็เพิ่งเลิกงานมาเพราะสังเกตได้จากชุดที่สวมใส่ แต่สิ่งเหล่านั้นเธอไม่ใคร่อยากจะสนใจนัก เพราะเวลานี้เธอสนใจแต่เงินค่าทิปที่เธอยัดรวมๆ กันไว้ในกระเป๋ากางเกงมากกว่า
“จะพอไหมเนี่ย”
หญิงสาวล้วงหยิบธนบัตรหลายใบออกมาจากกระเป๋าทั้งด้านหน้าและด้านหลังเพื่อนับรวมกัน จากนั้นก็ยืนเอาหลังพิงไว้กับกำแพงด้านหนึ่งของหลังร้านซึ่งเฉพาะพนักงานเท่านั้นที่จะเข้ามาได้
ปากอิ่มคลี่ยิ้มออกมาบางๆ เมื่อนับเงินรวมแล้วได้ยอดเป็นที่น่าพอใจ ถึงแม้จะเป็นงานกลางคืน แต่ก็รายได้ดีกว่าการไปทำงานในร้านสะดวกซื้อมากนัก อีกทั้งยังทำงานแค่ไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน ถึงแม้ว่าในตอนเช้าเธอจะต้องรีบตื่นเพื่อไปเรียนในมหาวิทยาลัยต่อก็เถอะ แต่เธอก็ยอมเหนื่อยถ้าหากมันทำให้เธอได้ค่าตอบแทนงามแบบนี้
เหนื่อยสายตัวแทบขาดเป็นอย่างไร เธอรู้ซึ้งดี เพราะนอกจากเธอต้องหาเงินเพื่อเลี้ยงตัวเอง และเป็นค่าเรียนในแต่ละเทอมแล้ว เธอยังต้องหาเงินรักษามารดาที่นอนป่วยเป็นมะเร็งอยู่ที่บ้านอีกด้วย
พรุ่งนี้เธอต้องพามารดาไปตรวจตามที่แพทย์นัด ไม่รู้ว่าจะต้องจ่ายเงินค่าหมอค่ายาอีกเท่าไร ก็ได้แต่ภาวนาว่าเงินที่ได้จากค่าทิปในวันนี้จะเพียงพอกับค่ารักษาของมารดา เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้นแล้วเธอก็คงต้องเจียดเอาเงินค่าเช่าบ้านที่ครบกำหนดจ่ายในวันมะรืนมาสมทบไปก่อน
ระหว่างที่กำลังพับเงินเก็บใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิม หางตาของต้องรักก็เห็นร่างสูงใหญ่ของใครบางคนยืนทำท่าลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงประตูที่จะเข้าไปในส่วนบริหาร หญิงสาวเพ่งมองอยู่สักพักก็เริ่มแน่ใจว่าผู้ชายคนนั้นไม่น่าจะเป็นพนักงานของที่นี่แน่นอน เพราะดูจากการแต่งตัวแล้วเขาน่าจะเป็นลูกค้าที่มาเที่ยวมากกว่า อย่างไม่รอช้า เธอรีบปรี่เข้าไปหาชายหนุ่มคนนั้นทันทีพร้อมกับเอ่ยปากเรียกเขาด้วยน้ำเสียงสุภาพ และเป็นทางการอย่างที่ได้ฝึกมา
“ขอโทษด้วยนะคะท่าน บริเวณนี้เป็นพื้นที่สำหรับพนักงานค่ะ บางทีท่านอาจจะหลงทางจึงทำให้เดินมาทางนี้ ถ้ายังไงเนี่ยเดี๋ยวดิฉันขออนุญาตพาท่านเดินเข้าไปด้านในนะคะ”
ทันทีที่ต้องรักพูดจบ ร่างสูงที่ยืนหันหลังให้เธออยู่เมื่อครู่ก็หันกลับมาทั้งตัว นัยน์ตาคมกริบของเขาจับจ้องที่ใบหน้าของหญิงสาวนิ่งๆ ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มส่งมาให้ ทว่าก็ไม่ได้บึ้งตึงขึงขังใส่ วูบหนึ่งนั้น ต้องรักรู้สึกใจกระตุกวาบเมื่อเห็นใบหน้าของชายหนุ่มคนนี้เต็มๆ ตา เขาจัดว่าเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่งเลยทีเดียว และเธอก็คิดว่าเขาคงจะดูหล่อเหลากว่านี้ ถ้าหากเขาจะยิ้มออกมาบ้าง และเพราะท่าทางนิ่งเฉยไม่ยินดียินร้ายของเขา จึงส่งผลให้เขาดูเหมือนตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เธอตัวหดเล็กลงๆ จนแทบกลายเป็นหนูตัวหนึ่ง
“ขะ...ขอโทษที่เสียมารยาทค่ะ”
ต้องรักก้มหน้างุด ไม่กล้าสบสายตาคมกริบของเขาที่ยังคงมองมานิ่งๆ จากที่เดิม แม้ท่าทางของเขาจะไม่ได้ดูคุกคาม หรือมองมาด้วยสายตาโลมเลียเหมือนลูกค้าบางคน แต่เธอกลับรู้สึกว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้มีรังสีบางอย่างแผ่ออกมาจากตัว จนทำให้เธอรู้สึกหวาดหวั่นและสะท้านไหวในคราวเดียว
“ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ ผมคงหลงทางมาจริงๆ”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มของเขาแม้จะพูดเพียงแผ่วเบา แต่กลับก้องกังวานอยู่ในความรู้สึก ต้องรักทำใจกล้าเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้งแล้วก็ต้องสบประสานกับสายตาคมกริบคู่เดิม ใบหน้าเฉยชา แต่ครั้งนี้ต้องรักคิดว่ามีบางอย่างที่แปลกออกไป
เพราะเธอคิดว่าเธอเห็นมุมปากของเขายกขึ้นมาเล็กน้อยจนดูเหมือนรอยยิ้ม
ระหว่างที่หญิงสาวเผลอตัวมองจ้องเขา ร่างสูงนั้นก็เดินห่างออกไปจากบริเวณที่ทั้งคู่ยืนอยู่อย่างเงียบเชียบ โดยมีสายตาของต้องรักมองตามแผ่นหลังกว้างของเขาไป ถึงแม้ไม่มีคำกล่าวลาระหว่างกัน แต่การที่เขาผินใบหน้ามามองเธอเล็กน้อยก่อนจะหายลับไปอีกมุมนั่นก็ทำให้เธอใจสั่นระรัวขึ้นมาเสียดื้อๆ
“สงสัยเพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรกละมั้ง”
ต้องรักเปรยกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะละทิ้งความสนใจในตัวชายหนุ่มคนเมื่อครู่แล้วเดินเข้าไปด้านในอีกครั้ง กะเอาไว้ว่าอย่างน้อยๆ ก่อนจะถึงเวลาที่ผับปิด เธอน่าจะได้เงินมาอีกสักพันสองพันก็คงจะดี เหลือเวลาอีกสองชั่วโมงเท่านั้น และสองชั่วโมงที่เหลือนี้ก็เป็นช่วงเวลานาทีทองที่เหล่าพนักงานทั้งหลายตั้งตารอคอย
ทางด้านคนที่ยอมรับกับพนักงานสาวว่าตนเองหลงทางนั้น แทนที่เขาจะกลับเข้าไปด้านในอย่างเช่นนักท่องราตรีคนอื่นๆ ทว่าเขากลับพาตัวเองเดินเข้าไปอีกฝั่งกับบริเวณที่ตนเองเดินออกมาเมื่อสักครู่ ซึ่งพื้นที่ฝั่งนี้นั้นแม้แต่พนักงานระดับผู้จัดการร้านก็ยังไม่มีใครกล้าเดินเข้ามาแม้แต่คนเดียว เว้นเสียแต่ว่าจะได้รับอนุญาตเสียก่อน
ร่างสูงเดินเข้าไปทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาตัวยาวกลางห้องโดยมีชายฉกรรจ์อีกสองคนเดินตามเข้ามาแล้วหยุดยืนอยู่ตรงบริเวณที่ใกล้กับประตูทางออก
“เอก นายเห็นผู้หญิงคนเมื่อกี้ไหม”
ชายหนุ่มเอ่ยปากขึ้นก่อน พร้อมกับยกแก้ววิสกี้ที่ลูกน้องอีกคนนำมาวางไว้ให้ขึ้นจดริมฝีปาก ก่อนกระดกน้ำสีอำพันนั้นลงคอไปพรวดเดียว
“เห็นครับคุณธิป สนใจหรือครับ” เอกรัฐถามยิ้มๆ เพราะตามปกติแล้วไม่ค่อยเห็นเจ้านายเอ่ยปากถึงผู้หญิงคนไหนก่อนเลยสักครั้ง
ชนาธิปตวัดสายตาคมดุขึ้นมองลูกน้องคู่ใจก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อย
“ไปดูประวัติพนักงานของผู้หญิงคนนั้นมาทีว่าอายุถึงยี่สิบรึยัง ดูหน้าตายังเด็กๆ อยู่เลยไม่น่าจะเข้ามาทำงานที่นี่ได้ ถ้าอายุยังไม่ถึงก็จัดการให้เงินไปสักก้อนแล้วเอาออกไปเสีย ฉันไม่อยากมีปัญหากับตำรวจ”
ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่แสดงความรู้สึกใดๆ เช่นเคย ซึ่งลูกน้องของเขาทั้งสองคนนั้นต่างรู้จักนิสัยใจคอของเจ้านายตัวเองดีว่าไม่ใช่คนช่างพูดนัก แต่ทว่าทุกประโยคนั้นแฝงความเด็ดขาดเอาไว้ทุกคำ
“พวกนายมีอะไรจะรายงานฉันรึเปล่า”
ชนาธิปยกแก้ววิสกี้ขึ้นสาดลงคอไปอีกครั้งพลางมองมายังลูกน้องคนสนิททั้งสองคน เอกรัฐกับชัชวาลหันไปมองตากันอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเดินมานั่งที่โซฟาฝั่งตรงกันข้ามกับเจ้านาย
“ก็เรื่องเดิมๆ นั่นแหละครับ แต่คราวนี้ดูเหมือนจะหนักข้อขึ้น”
ต้องรักพยายามจะยันกายลุกขึ้นนั่ง ทว่ามือของดิลกก็เลื่อนขึ้นมาตรึงข้อมือไว้ทั้งสองข้าง หญิงสาวจึงก่นด่าพร้อมทั้งข่มขู่ด้วยความแค้นเคือง“ไอ้หลก แกฆ่าแม่ฉัน ฉันจะเอาแกเข้าคุกให้ได้ ไอ้เลว!”“กูไม่ได้ฆ่าแม่มึง นังจงมันตกบันไดลงมาเอง”ดิลกรีบแก้ต่างให้ตัวเอง ก่อนจะพูดบางอย่างที่ต้องรักได้ฟังก็ยิ่งโกรธแค้นเป็นร้อยเท่าพันทวี“กะอีแค่ทองเส้นเท่าหนวดกุ้ง แม่มึงจะหวงไว้ทำไมนักหนา กูแค่ขอยืมไปหมุนหน่อยเดียวแต่มันไม่ยอมให้ กูก็ต้องขโมยเอาสิ แม่มึงวิ่งตามกูจะเอาคืนแล้วพลาดตกบันไดมาเองไม่เกี่ยวกับกูสักหน่อย”“ไอ้ชาติชั่ว! ปล่อยนะ ไอ้ทุเรศ! ปล่อยฉัน” ต้องรักดิ้นรนสุดแรงเท่าที่ตัวเองจะมี ปากก็ร้องด่าทอดิลก พ่อเลี้ยงไปด้วย“ปล่อยก็โง่แล้ว กูเล็งมึงมาตั้งนาน ตอนแม่มึงอยู่กูทำอะไรไม่ได้เพราะติดคำสาบานที่ให้ไว้กับแม่มึง แต่ตอนนี้แม่มึงมันก็ตายไปแล้ว ยอมๆ กูไปเถอะน่ากูรู้ว่ามึงเองก็ไม่ได้สดซิงอะไรนักหรอกทำงานกลางคืนอย่างนั้นน่ะ”ถ้อยคำต่ำทรามที่พ่นออกมาจากปากของดิลกทำเอาหญิงสาวแ
“ไปคุยกันที่บ้านเอ็งดีกว่า” พูดจบก็เดินนำหน้าหญิงสาวไปอย่างเชื่องช้า ต้องรักจึงเดินไปข้างๆ พร้อมกับชะลอฝีเท้าให้ช้าลงตามไปด้วยยายสาเป็นคนแก่คนหนึ่งที่คนในซอยมักไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าไรนัก อาศัยอยู่เพียงลำพังในบ้านเช่าใกล้วัด นานๆ จึงจะมีลูกหลานมาเยี่ยมมาหาสักครั้ง ซึ่งเธอเองก็ไม่ค่อยเข้าใจลูกหลานของยายสานักว่ากำลังคิดอะไรกันอยู่ ถึงได้ปล่อยปละละเลยให้คนชราที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอยู่เพียงลำพังได้“ยายมีของมาคืนให้เอ็งน่ะ”เมื่อเข้ามาในบ้าน หญิงชราก็นั่งลงที่เก้าอี้แล้วรูดซิปล้วงหยิบเอาถุงกำมะหยี่สีแดงออกมาจากกระเป๋าเสื้อคอกระเช้าพลางยื่นให้หญิงสาวตรงหน้าต้องรักเอื้อมมือไปรับมา คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างงุนงงสงสัย เห็นยายสาพยักพเยิดให้เธอเปิดถุงออกดูจึงได้รู้ว่าสิ่งที่อยู่ด้านในคือแหวนทองประดับด้วยทับทิมสีแดงเม็ดเดี่ยวๆ ไม่ใหญ่มากนัก แต่มันกลับทำให้หญิงสาวน้ำตารื้นขึ้นมาทันที เพราะจำได้ดีว่าแหวนวงนี้มีความสำคัญกับมารดามากเพียงใด“นังจง แม่เอ็งน่ะเอามาฝากยายไว้ตั้งนานแล้ว เพราะขืนเอาเก็บไว้ที่บ้านไอ้หลกมันคงขโมยไปขายเอาเงิ
ร่างผอมบางของจงรักถูกลุงเพิ่มอุ้มพาไปยังเบาะรถสามล้ออย่างทุลักทุเล โดยมีต้องรักและนวลตามขึ้นไปนั่งอยู่บนพื้นด้วย จากนั้นรถก็มุ่งไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันทีเวลาผ่านไปนานเท่าไรก็สุดรู้เพราะต้องรักไม่ได้สนใจ ตอนนี้สายตาของหญิงสาวจ้องเขม็งไปยังประตูห้องฉุกเฉินที่มารดาเข้าไปอยู่ในนั้นได้พักใหญ่แล้ว การรอคอยช่างแสนทรมาน ยิ่งยาวนานก็ยิ่งรู้สึกราวกับหัวใจถูกบีบอัดให้เล็กลงเรื่อยๆ จนเหมือนจะหายใจไม่ออก“รักเอ๊ย...แม่เอ็งถึงมือหมอแล้ว เอ็งไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ”นวลที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เดินเข้ามาบีบหัวไหล่เบาๆ อย่างปลุกปลอบ ต้องรักหันมามองครู่หนึ่งก่อนน้ำตาที่สู้อุตส่าห์กักเก็บไว้จะไหลทะลักออกมาจากหน่วยตาอีกครั้ง“รักไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น รักกลับมาจากทำงานก็เห็นแม่นอนอยู่หน้าบันไดแล้ว” ต้องรักพูดปนสะอื้น ในขณะที่นวลนั้นทำท่านึกอะไรบางอย่าง“รู้สึกป้าจะได้ยินไอ้หลกมันทะเลาะกับแม่เอ็งนะ เหมือนมันจะเอาอะไรสักอย่างแล้วแม่เอ็งไม่ยอมให้น่ะ ป้าเองก็ไม่ได้สนใจเพราะเห็นทะเลาะกันเกือบทุกวันอยู่แล้ว”ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรกันต
ต้องรักเดินเกาะกลุ่มกับเพื่อนพนักงานออกมาจากอาคารเพื่อกลับบ้านดังเช่นทุกวัน นัยน์ตาคู่สวยชะเง้อมองไปยังที่จอดรถทางฝั่งของผู้บริหารอย่างลืมตัว รถยุโรปคันหรูที่เธอเคยนั่งยังคงจอดนิ่งอยู่ที่เดิม อันเป็นการบอกว่าเขาคนนั้นยังไม่ได้ออกจากที่นี่ อยากหยุดยืนเพื่อรอส่งตอนที่รถของเขาแล่นผ่าน แต่ก็เกรงว่าหากทำอย่างนั้นเขาจะมองว่าเธอกำลังทอดสะพานให้เขา คิดได้ดังนั้นจึงตัดสินใจเดินตามกลุ่มเพื่อนออกไปทว่ายังไม่ทันเดินพ้นเขตลานจอดรถดี รถคันที่ต้องรักมองดูอยู่เมื่อครู่ก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวแล่นผ่านหน้าของทุกคนไป ต้องรักมองไปยังกระจกของที่นั่งตอนหลังพร้อมกับคลี่ยิ้มให้ มองผิวเผินอาจจะดูเหมือนว่าเธอกำลังยิ้มให้เงาของตัวเองที่สะท้อนกลับมา แต่ใครเลยจะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเธอกำลังยิ้มให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะหลังนั้นต่างหาก“รัก!”ได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งเรียกมาจากด้านหลัง แต่เจ้าของชื่อไม่ได้หันกลับไปเพราะมัวแต่มองส่งรถคนนั้นจนกระทั่งลับสายตา พร้อมกับที่ผู้ตะโกนเรียกมาหยุดรถมอเตอร์ไซค์อยู่ข้างๆ“รักขึ้นรถเราเถอะ เดี๋ยวเราไปส่ง”อน
“ไม่เป็นไรหรอกบอย รักกลับเองดีกว่า อีกอย่างนะ ทางไปบ้านบอยกับบ้านรักมันคนละทางกันเลยนะ บอยไม่ต้องไปส่งเราหรอก”ต้องรักรีบปฏิเสธออกมาทันทีพร้อมกับยกแขนของยุวรรณดาขึ้นมาดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือของเพื่อน“จะสี่โมงแล้วเดี๋ยวเรากลับบ้านก่อนดีกว่า พรุ่งนี้เจอกันนะ บาย”เมื่อเห็นว่าอีกสิบนาทีจะบ่ายสี่โมง ต้องรักจึงรีบตัดบทแล้วหาทางเลี่ยงออกมาทันที เพราะกลัวว่าอนุวัฒน์จะดึงดันขอไปส่งบ้านให้ได้ เพื่อนชายคนนี้คิดกับตนอย่างไรใช่ว่าเธอจะไม่รู้ แม้ว่าเขาจะดีและมีน้ำใจกับเธอมากแค่ไหน แต่เธอก็ไม่สามารถคิดกับเขาเกินเพื่อนได้จริงๆเดินห่างเพื่อนออกมาได้ไม่เท่าไร โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าก็สั่นเตือนขึ้นมาว่ามีคนโทร.เข้า ต้องรักเอามือควานหาโดยไม่หยุดเดิน เมื่อเจอแล้วก็กดรับสายทันที โดยไม่ต้องดูชื่อเพราะรู้ว่าใครโทร.มา“ค่ะ รักกำลังจะถึงหน้ามอแล้วค่ะคุณธิป...ได้ค่ะ”หลังจากวางสาย ร่างเล็กก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปทางหน้ามหาวิทยาลัย ยิ่งเขาบอกว่ากำลังจอดรถรออยู่ หญิงสาวก็ยิ่งลนลานรีบไปให้ถึงโดยเร็วที่สุดเพราะไม่อยากให้เขารอนาน จึง
ต้องรักตื่นนอนประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่ง รู้สึกว่าอาการปวดตึงที่ข้อเท้าเริ่มดีขึ้นมาก อาจเป็นเพราะเมื่อตอนเช้ามืดที่ผ่านมาเธอได้เล่าให้มารดาฟังว่าเกิดอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนเล็กน้อยจนข้อเท้าแพลง ท่านจึงนวดจับเส้นให้จนสามารถเดินลงน้ำหนักได้เต็มเท้ามากขึ้นหญิงสาวจัดการทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ เสร็จเรียบร้อยก็เดินลงไปชั้นล่าง ได้ยินเสียงตำน้ำพริกอยู่ในครัวจึงเดินเข้าไปดูเผื่อมีอะไรที่พอช่วยได้บ้าง“มีอะไรให้ช่วยไหมแม่”ร่างเล็กเดินเข้าไปยืนเมียงมองที่โต๊ะเล็กข้างเตาแก๊สปิกนิก เห็นมีไข่ไก่วางไว้ในชามใบเล็กสองฟอง มีต้นหอมที่ยังไม่ได้ซอยวางอยู่บนเขียง เธอจึงเดินเข้าไปจัดการต่อให้ทันที“งั้นรักเจียวไข่เองนะ” พูดพลางลงมือหั่นต้นหอมสำหรับใส่ไข่เจียว พอดีกับที่มารดาตำน้ำพริกเสร็จจึงหันมาถามบุตรสาวอย่างเอาใจใส่ เพราะเห็นเวลาเพิ่งจะเที่ยงเท่านั้น เท่ากับว่าต้องรักเพิ่งนอนไปได้แค่ห้าชั่วโมง“นอนอิ่มแล้วเหรอลูก น่าจะนอนอีกสักหน่อยไหนๆ ก็หยุดเรียนแล้ว”“ไม่ไหวละจ้ะแม่ ท้องร้องโครกครากเลยต้องลงมาหาอะไรกินนี่แหละ อีกอย่างนะ วันนี้รักจะไปแถวที่ทำงานเร็วกว่าเดิมสักหน่อย ว่าจะลองไปเดินดูห้องเช่าหรืออพาร์ตเมนต์แถว