ชัชวาลพูดขึ้นก่อน จากนั้นทั้งสองคนก็ผลัดกันรายงานเรื่องราวต่างๆ ให้เจ้านายฟังอย่างละเอียด เนื่องจากช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ชนาธิปไม่ได้อยู่ที่เมืองไทยเพราะต้องเดินทางไปทำธุระที่ต่างประเทศ และพวกเขาทุกคนต่างรู้กันดีว่าถ้าหากเจ้านายไปอเมริกาเมื่อไร เขาจะทำตัวตัดขาดจากธุรกิจต่างๆ โดยสิ้นเชิง ฉะนั้นหากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ พวกเขาจะไม่โทร.ไปรบกวนอย่างเด็ดขาด
ต้องรักดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ ใกล้ตีสามเข้าไปทุกทีแต่เธอยังคงอยู่ที่ผับ เพราะคืนนี้มีลูกค้าหลายโต๊ะที่นั่งรอให้สุราหมดขวดจึงจะทยอยลุกออกไปจากโต๊ะกัน เรื่องแบบนี้พนักงานเสิร์ฟอย่างพวกเธอชินชากันเสียแล้วเพราะมีแทบทุกวันเลยก็ว่าได้ บางครั้งสุราเหลือแค่หนึ่งในสี่ของขวดก็ไม่ค่อยมีใครอยากฝากเอาไว้ที่ร้านสักเท่าไร ส่วนใหญ่มักจะจัดการให้หมด
หญิงสาวคว้ากระเป๋าสะพายได้ก็ผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำ จัดการล้วงเอาธนบัตรออกมาจากกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างมานับอีกครั้ง เรียวปากอิ่มเต็มตึงคลี่ยิ้มออกมาอย่างสมใจ วันนี้ถือว่ารายได้ทะลุเป้า อย่างน้อยๆ เธอก็ไม่ต้องเจียดเอาเงินที่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้มารดาในวันรุ่งขึ้นแล้ว
จากนั้นต้องรักก็จัดการแยกธนบัตรใบสีม่วงประมาณสี่ห้าใบเข้าไว้ด้วยกันแล้วม้วนจนเป็นหลอดเล็กๆ สอดเข้าไปในส่วนก้นของกระเป๋าสะพายซึ่งเธอแอบทำเป็นช่องลับเอาไว้เพื่อซ่อนเงินที่หามาได้จากพ่อเลี้ยงที่มักจะมาเบียดเบียนอยู่เสมอ เพราะหากเอาเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ ไม่แคล้วคงต้องถูกพ่อเลี้ยงขโมยไปลงขวด หรือไม่ก็เล่นการพนันจนหมด และเธอก็คงไม่มีเงินพามารดาไปหาหมอพรุ่งนี้เป็นแน่
ต้องรักไม่เคยถูกชะตากับพ่อเลี้ยงมาแต่ไหนแต่ไร เข้าขั้นเกลียดเลยก็ว่าได้ เพราะดิลก ผู้เป็นพ่อเลี้ยงของเธอนั้นไม่ใช่คนดีอะไรนัก ไม่เคยทำงานทำการเป็นชิ้นเป็นอัน หนำซ้ำยังหาเรื่องเดือดร้อนมาให้มารดากับเธอต้องคอยตามล้างตามเช็ดอยู่เสมอ ซึ่งเธอก็ไม่เคยเข้าใจมารดาเลยว่าทำไมถึงยังทนอยู่กับผู้ชายคนนี้มาได้ ทั้งที่เขาแทบไม่มีอะไรดีแม้แต่อย่างเดียว
ยิ่งมารดาของเธอป่วยเป็นมะเร็งแบบนี้ ก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าสายตาของพ่อเลี้ยงนั้นเริ่มเปลี่ยนไป มันดูวาววาม เจ้าเล่ห์ และดูหื่นกระหายอย่างน่าเกลียด ต้องรักเกลียดสายตาของพ่อเลี้ยงทุกครั้งที่มองมาราวกับเธอเป็นสมันเนื้อหวาน และเธอรังเกียจสัมผัสจากผู้ชายคนนี้ทุกครั้งที่เขาพยายามหาทางแตะต้องตัวเธอ
อยากหนีออกจากบ้านนี้ไปเสียแต่ก็ทำไม่ได้อย่างที่ใจคิด เธอยังมีมารดาที่ต้องดูแล เพราะถ้าให้ชวนท่านไปด้วย ท่านไม่มีทางไปกับเธออย่างแน่นอน
ทุกวันนี้ต้องรักจึงต้องกล้ำกลืนฝืนทนอยู่ร่วมบ้านกับคนที่เกลียดแสนเกลียดอย่างดิลก ต้องเหนื่อยกับการหาเลี้ยงคนทั้งบ้าน เพราะนอกจากค่าเช่าบ้าน ค่ารักษาพยาบาลของมารดา ค่ากินค่าอยู่ของตัวเองแล้ว เธอยังต้องเจียดเงินที่หามาได้ในแต่ละวันให้ผู้ชายปีกทองอย่างพ่อเลี้ยงอีกด้วย หากไม่ได้เงินอย่างที่หวังไว้ ดิลกมักจะหาเรื่องตบตีทำร้ายมารดาของเธออยู่เสมอ ในเวลาที่เธอต้องออกมาทำงานข้างนอก
ต้องรักเดินออกมาจากห้องน้ำ จากนั้นจึงเดินไปตอกบัตรที่ติดไว้ด้านข้างของประตูทางออก เสร็จเรียบร้อยก็เดินออกมาจากอาคารเพื่อหารถกลับบ้าน
“รัก...กลับด้วยกันไหม เดี๋ยวไปส่ง”
เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งดังมาจากลานจอดรถ ต้องรักหันไปตามเสียงเรียก พอเห็นว่าเป็นใครเธอจึงค่อยเบาใจว่าไม่ใช่พวกลูกค้าที่ชอบหาเรื่องแทะโลม
“อ้าว...บอยหรอกหรือ ยังอยู่อีกหรือเนี่ย นึกว่ากลับไปแล้วเสียอีก” หญิงสาวหยุดเดินแล้วยืนอยู่กับที่ ฝ่ายนั้นจึงต้องเคลื่อนรถมอเตอร์ไซค์ที่ตนนั่งคร่อมอยู่ให้เข้ามาใกล้เธอเสียเอง
“ก็ว่ากำลังจะกลับน่ะ แต่เห็นรักกำลังเดินมาก็เลยหยุดรอก่อน กลับด้วยกันไหม เดี๋ยวเราไปส่งที่บ้านให้”
บอย หรืออนุวัฒน์ เป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและเป็นเพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันกับต้องรัก เขาแอบชอบต้องรักมานานแล้วแต่เธอก็ยังให้เขาได้แค่ความเป็นเพื่อน แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดย่อท้อหรือถอดใจ เพราะเขาเชื่อว่าความเสมอต้นเสมอปลายของเขาจะชนะใจเธอได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
“เกรงใจน่ะ ไม่เป็นไรหรอก เธอกลับไปเถอะ เรากลับเองได้”
ต้องรักปฏิเสธออกไปไม่ใช่เพราะรังเกียจความหวังดีของเขา แต่เพราะเกรงใจเขาจริงๆ หลายครั้งหลายคราที่เธอต้องอาศัยให้เขาไปส่งที่หน้าปากทางเข้าบ้าน ทั้งที่บ้านของเขาถึงก่อนบ้านของเธอเสียด้วยซ้ำ แทนที่เขาจะได้รีบกลับไปพักผ่อน กลับกลายเป็นว่าต้องเสียเวลามาส่งเธอถึงบ้านก่อน
“จะมาเกรงใจอะไรกันเล่า รักนี่ก็...ถ้ารักออกไปยืนรอรถเมล์ตอนนี้ ชาติไหนมันถึงจะมาสักคันล่ะ เปลี่ยวก็เปลี่ยวนะตรงนั้นน่ะอันตรายจะตายไป ขึ้นมาเถอะอย่าคิดมากเลย”
ชายหนุ่มบิดกุญแจสตาร์ตเครื่องพร้อมกับบุ้ยใบ้ให้เธอไปนั่งซ้อนท้าย ก่อนจะลอบยิ้มออกมาเมื่อเห็นหญิงสาวเดินมานั่งคร่อมเบาะหลังของเขา
ต้องรักคร้านจะเถียงกับเพื่อน เวลาประมาณนี้ที่ป้ายรถเมล์ยังคงมีคนพลุกพล่านอยู่ เพราะผับอื่นๆ ก็เลิกเวลานี้เช่นกัน แถวนี้มีแต่ผับและไนต์คลับเปิดเรียงรายเต็มสองข้างทาง ส่วนใหญ่เวลาเธอกลับบ้านจึงมีพนักงานจากผับอื่นๆ นั่งรอรถประจำทางเป็นเพื่อนอยู่หลายคน แม้จะไม่รู้จักกันแต่ก็รู้สึกอุ่นใจว่าไม่ได้ยืนรออยู่เพียงลำพังแน่นอน
รถยุโรปคันหรูติดฟิล์มดำสนิททั้งคันเคลื่อนตัวออกมาจากที่จอดรถสำหรับผู้บริหารและแขกวีไอพี จนกระทั่งแล่นเข้ามาใกล้คนทั้งคู่อย่างช้าๆ อนุวัฒน์จึงหยุดรอให้รถคันนั้นเคลื่อนผ่านไปก่อนแล้วค่อยออกรถตามไปทีหลัง
ต้องรักที่กำลังนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์เพื่อนอยู่นั้นเผลอตัวมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกรถหรูจนมันแล่นผ่านไปโดยลืมนึกไปว่า เธอไม่สามารถมองเข้าไปในตัวรถได้ แต่คนในรถนั้นสามารถมองออกมาด้านนอกได้อย่างชัดเจน อาการเธอที่เผลอมองเงาของตัวเองเมื่อครู่จึงอยู่ในสายตาคนที่นั่งอยู่ด้านในโดยตลอด
“นี่รถใครหรือบอย เราเห็นบ่อยๆ แต่ไม่เคยเห็นคนขับสักที แขกวีไอพีหรือ” หญิงสาวถามคนด้านหน้า ชายหนุ่มจึงหันหน้ามาตอบให้
“รถของคุณชนาธิป เจ้าของที่นี่ยังไงเล่า หรือพูดง่ายๆ ก็คือเจ้านายของพวกเรานั่นแหละ”
“จริงหรือ...จะว่าไปตั้งแต่ทำงานมาเราก็ยังไม่เคยเห็นหน้าเจ้าของที่นี่เลยนะ”
ต้องรักพูดขึ้นลอยๆ เธอเห็นรถคันนี้บ่อยๆ ทั้งตอนจะกลับบ้านแล้วเห็นมันจอดอยู่ หรือแม้แต่ตอนที่เธอนั่งรอรถประจำทางแล้วรถคันนี้แล่นผ่านหน้าไป คราแรกเธอนึกว่าเป็นรถของลูกค้าวีไอพีขาประจำ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นรถของเจ้าของผับที่ตนทำงานอยู่
“แล้วเธอเคยเห็นหน้าเขารึเปล่า คุณชนาธิปอะไรเนี่ย” เธออดถามไม่ได้ว่าทำไมอนุวัฒน์เคยเห็นผู้เป็นเจ้านายแต่เธอไม่ ทั้งที่เธอเข้าทำงานหลังอนุวัฒน์แค่สองเดือน
“เคยเจอครั้งเดียว เจอแบบบังเอิญด้วย ตอนนั้นเราออกมาโทรศัพท์ที่หลังร้านน่ะ เห็นพี่ตั้มกำลังยืนพูดคุยอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งอยู่ ท่าทางนอบน้อมมากเลย หัวนี่ก้มแล้วก้มอีก เราก็นึกว่ากำลังคุยกับลูกค้า แต่พอผู้ชายคนนั้นเดินเข้าไปในส่วนบริหารก็เลยถามพี่ตั้มว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร พี่แกก็บอกว่านั่นน่ะเจ้าของที่นี่เชียวนะเว้ยเอ็ง หรือเจ้านายพวกเอ็งนั่นแหละ”
อนุวัฒน์ทำเสียงเลียนแบบผู้จัดการร้านที่ชื่อตั้ม ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
“แปลว่าต้องอายุมากแล้วก็ต้องดุมากแน่ๆ เลย” ต้องรักเอ่ยขึ้นอย่างใจคิด แต่อนุวัฒน์กลับค้านเสียงหลง
“ไม่เลย ไม่แก่สักนิด ยังหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวเชียวแหละรักเอ๊ย ตัวก็สูง เป็นพระเอกหนังหรือนายแบบได้สบายๆ เลย แต่ท่าทางจะดุอย่างที่รักว่านั่นแหละ เพราะตอนที่เราแอบดูเราไม่เห็นเขายิ้มเลยสักนิด ทำหน้านิ่งๆ ไม่พูดไม่จา เอาแต่พยักหน้ารับรู้อย่างเดียว แถมคนติดตามก็ขนาบซ้ายขวา คงเป็นบอดีการ์ดประจำตัวเขามั้ง”
ต้องรักพยายามจะยันกายลุกขึ้นนั่ง ทว่ามือของดิลกก็เลื่อนขึ้นมาตรึงข้อมือไว้ทั้งสองข้าง หญิงสาวจึงก่นด่าพร้อมทั้งข่มขู่ด้วยความแค้นเคือง“ไอ้หลก แกฆ่าแม่ฉัน ฉันจะเอาแกเข้าคุกให้ได้ ไอ้เลว!”“กูไม่ได้ฆ่าแม่มึง นังจงมันตกบันไดลงมาเอง”ดิลกรีบแก้ต่างให้ตัวเอง ก่อนจะพูดบางอย่างที่ต้องรักได้ฟังก็ยิ่งโกรธแค้นเป็นร้อยเท่าพันทวี“กะอีแค่ทองเส้นเท่าหนวดกุ้ง แม่มึงจะหวงไว้ทำไมนักหนา กูแค่ขอยืมไปหมุนหน่อยเดียวแต่มันไม่ยอมให้ กูก็ต้องขโมยเอาสิ แม่มึงวิ่งตามกูจะเอาคืนแล้วพลาดตกบันไดมาเองไม่เกี่ยวกับกูสักหน่อย”“ไอ้ชาติชั่ว! ปล่อยนะ ไอ้ทุเรศ! ปล่อยฉัน” ต้องรักดิ้นรนสุดแรงเท่าที่ตัวเองจะมี ปากก็ร้องด่าทอดิลก พ่อเลี้ยงไปด้วย“ปล่อยก็โง่แล้ว กูเล็งมึงมาตั้งนาน ตอนแม่มึงอยู่กูทำอะไรไม่ได้เพราะติดคำสาบานที่ให้ไว้กับแม่มึง แต่ตอนนี้แม่มึงมันก็ตายไปแล้ว ยอมๆ กูไปเถอะน่ากูรู้ว่ามึงเองก็ไม่ได้สดซิงอะไรนักหรอกทำงานกลางคืนอย่างนั้นน่ะ”ถ้อยคำต่ำทรามที่พ่นออกมาจากปากของดิลกทำเอาหญิงสาวแ
“ไปคุยกันที่บ้านเอ็งดีกว่า” พูดจบก็เดินนำหน้าหญิงสาวไปอย่างเชื่องช้า ต้องรักจึงเดินไปข้างๆ พร้อมกับชะลอฝีเท้าให้ช้าลงตามไปด้วยยายสาเป็นคนแก่คนหนึ่งที่คนในซอยมักไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าไรนัก อาศัยอยู่เพียงลำพังในบ้านเช่าใกล้วัด นานๆ จึงจะมีลูกหลานมาเยี่ยมมาหาสักครั้ง ซึ่งเธอเองก็ไม่ค่อยเข้าใจลูกหลานของยายสานักว่ากำลังคิดอะไรกันอยู่ ถึงได้ปล่อยปละละเลยให้คนชราที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอยู่เพียงลำพังได้“ยายมีของมาคืนให้เอ็งน่ะ”เมื่อเข้ามาในบ้าน หญิงชราก็นั่งลงที่เก้าอี้แล้วรูดซิปล้วงหยิบเอาถุงกำมะหยี่สีแดงออกมาจากกระเป๋าเสื้อคอกระเช้าพลางยื่นให้หญิงสาวตรงหน้าต้องรักเอื้อมมือไปรับมา คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างงุนงงสงสัย เห็นยายสาพยักพเยิดให้เธอเปิดถุงออกดูจึงได้รู้ว่าสิ่งที่อยู่ด้านในคือแหวนทองประดับด้วยทับทิมสีแดงเม็ดเดี่ยวๆ ไม่ใหญ่มากนัก แต่มันกลับทำให้หญิงสาวน้ำตารื้นขึ้นมาทันที เพราะจำได้ดีว่าแหวนวงนี้มีความสำคัญกับมารดามากเพียงใด“นังจง แม่เอ็งน่ะเอามาฝากยายไว้ตั้งนานแล้ว เพราะขืนเอาเก็บไว้ที่บ้านไอ้หลกมันคงขโมยไปขายเอาเงิ
ร่างผอมบางของจงรักถูกลุงเพิ่มอุ้มพาไปยังเบาะรถสามล้ออย่างทุลักทุเล โดยมีต้องรักและนวลตามขึ้นไปนั่งอยู่บนพื้นด้วย จากนั้นรถก็มุ่งไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันทีเวลาผ่านไปนานเท่าไรก็สุดรู้เพราะต้องรักไม่ได้สนใจ ตอนนี้สายตาของหญิงสาวจ้องเขม็งไปยังประตูห้องฉุกเฉินที่มารดาเข้าไปอยู่ในนั้นได้พักใหญ่แล้ว การรอคอยช่างแสนทรมาน ยิ่งยาวนานก็ยิ่งรู้สึกราวกับหัวใจถูกบีบอัดให้เล็กลงเรื่อยๆ จนเหมือนจะหายใจไม่ออก“รักเอ๊ย...แม่เอ็งถึงมือหมอแล้ว เอ็งไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ”นวลที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เดินเข้ามาบีบหัวไหล่เบาๆ อย่างปลุกปลอบ ต้องรักหันมามองครู่หนึ่งก่อนน้ำตาที่สู้อุตส่าห์กักเก็บไว้จะไหลทะลักออกมาจากหน่วยตาอีกครั้ง“รักไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น รักกลับมาจากทำงานก็เห็นแม่นอนอยู่หน้าบันไดแล้ว” ต้องรักพูดปนสะอื้น ในขณะที่นวลนั้นทำท่านึกอะไรบางอย่าง“รู้สึกป้าจะได้ยินไอ้หลกมันทะเลาะกับแม่เอ็งนะ เหมือนมันจะเอาอะไรสักอย่างแล้วแม่เอ็งไม่ยอมให้น่ะ ป้าเองก็ไม่ได้สนใจเพราะเห็นทะเลาะกันเกือบทุกวันอยู่แล้ว”ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรกันต
ต้องรักเดินเกาะกลุ่มกับเพื่อนพนักงานออกมาจากอาคารเพื่อกลับบ้านดังเช่นทุกวัน นัยน์ตาคู่สวยชะเง้อมองไปยังที่จอดรถทางฝั่งของผู้บริหารอย่างลืมตัว รถยุโรปคันหรูที่เธอเคยนั่งยังคงจอดนิ่งอยู่ที่เดิม อันเป็นการบอกว่าเขาคนนั้นยังไม่ได้ออกจากที่นี่ อยากหยุดยืนเพื่อรอส่งตอนที่รถของเขาแล่นผ่าน แต่ก็เกรงว่าหากทำอย่างนั้นเขาจะมองว่าเธอกำลังทอดสะพานให้เขา คิดได้ดังนั้นจึงตัดสินใจเดินตามกลุ่มเพื่อนออกไปทว่ายังไม่ทันเดินพ้นเขตลานจอดรถดี รถคันที่ต้องรักมองดูอยู่เมื่อครู่ก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวแล่นผ่านหน้าของทุกคนไป ต้องรักมองไปยังกระจกของที่นั่งตอนหลังพร้อมกับคลี่ยิ้มให้ มองผิวเผินอาจจะดูเหมือนว่าเธอกำลังยิ้มให้เงาของตัวเองที่สะท้อนกลับมา แต่ใครเลยจะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเธอกำลังยิ้มให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะหลังนั้นต่างหาก“รัก!”ได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งเรียกมาจากด้านหลัง แต่เจ้าของชื่อไม่ได้หันกลับไปเพราะมัวแต่มองส่งรถคนนั้นจนกระทั่งลับสายตา พร้อมกับที่ผู้ตะโกนเรียกมาหยุดรถมอเตอร์ไซค์อยู่ข้างๆ“รักขึ้นรถเราเถอะ เดี๋ยวเราไปส่ง”อน
“ไม่เป็นไรหรอกบอย รักกลับเองดีกว่า อีกอย่างนะ ทางไปบ้านบอยกับบ้านรักมันคนละทางกันเลยนะ บอยไม่ต้องไปส่งเราหรอก”ต้องรักรีบปฏิเสธออกมาทันทีพร้อมกับยกแขนของยุวรรณดาขึ้นมาดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือของเพื่อน“จะสี่โมงแล้วเดี๋ยวเรากลับบ้านก่อนดีกว่า พรุ่งนี้เจอกันนะ บาย”เมื่อเห็นว่าอีกสิบนาทีจะบ่ายสี่โมง ต้องรักจึงรีบตัดบทแล้วหาทางเลี่ยงออกมาทันที เพราะกลัวว่าอนุวัฒน์จะดึงดันขอไปส่งบ้านให้ได้ เพื่อนชายคนนี้คิดกับตนอย่างไรใช่ว่าเธอจะไม่รู้ แม้ว่าเขาจะดีและมีน้ำใจกับเธอมากแค่ไหน แต่เธอก็ไม่สามารถคิดกับเขาเกินเพื่อนได้จริงๆเดินห่างเพื่อนออกมาได้ไม่เท่าไร โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าก็สั่นเตือนขึ้นมาว่ามีคนโทร.เข้า ต้องรักเอามือควานหาโดยไม่หยุดเดิน เมื่อเจอแล้วก็กดรับสายทันที โดยไม่ต้องดูชื่อเพราะรู้ว่าใครโทร.มา“ค่ะ รักกำลังจะถึงหน้ามอแล้วค่ะคุณธิป...ได้ค่ะ”หลังจากวางสาย ร่างเล็กก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปทางหน้ามหาวิทยาลัย ยิ่งเขาบอกว่ากำลังจอดรถรออยู่ หญิงสาวก็ยิ่งลนลานรีบไปให้ถึงโดยเร็วที่สุดเพราะไม่อยากให้เขารอนาน จึง
ต้องรักตื่นนอนประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่ง รู้สึกว่าอาการปวดตึงที่ข้อเท้าเริ่มดีขึ้นมาก อาจเป็นเพราะเมื่อตอนเช้ามืดที่ผ่านมาเธอได้เล่าให้มารดาฟังว่าเกิดอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนเล็กน้อยจนข้อเท้าแพลง ท่านจึงนวดจับเส้นให้จนสามารถเดินลงน้ำหนักได้เต็มเท้ามากขึ้นหญิงสาวจัดการทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ เสร็จเรียบร้อยก็เดินลงไปชั้นล่าง ได้ยินเสียงตำน้ำพริกอยู่ในครัวจึงเดินเข้าไปดูเผื่อมีอะไรที่พอช่วยได้บ้าง“มีอะไรให้ช่วยไหมแม่”ร่างเล็กเดินเข้าไปยืนเมียงมองที่โต๊ะเล็กข้างเตาแก๊สปิกนิก เห็นมีไข่ไก่วางไว้ในชามใบเล็กสองฟอง มีต้นหอมที่ยังไม่ได้ซอยวางอยู่บนเขียง เธอจึงเดินเข้าไปจัดการต่อให้ทันที“งั้นรักเจียวไข่เองนะ” พูดพลางลงมือหั่นต้นหอมสำหรับใส่ไข่เจียว พอดีกับที่มารดาตำน้ำพริกเสร็จจึงหันมาถามบุตรสาวอย่างเอาใจใส่ เพราะเห็นเวลาเพิ่งจะเที่ยงเท่านั้น เท่ากับว่าต้องรักเพิ่งนอนไปได้แค่ห้าชั่วโมง“นอนอิ่มแล้วเหรอลูก น่าจะนอนอีกสักหน่อยไหนๆ ก็หยุดเรียนแล้ว”“ไม่ไหวละจ้ะแม่ ท้องร้องโครกครากเลยต้องลงมาหาอะไรกินนี่แหละ อีกอย่างนะ วันนี้รักจะไปแถวที่ทำงานเร็วกว่าเดิมสักหน่อย ว่าจะลองไปเดินดูห้องเช่าหรืออพาร์ตเมนต์แถว