ณ ตึกศัลยกรรมประสาทและสมอง ภีมวัชเดินเข้าโรงพยาบาลด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มอย่างเห็นได้ชัด แสงแห่งความสุขฉายประกายอยู่ในดวงตาคมกริบของเขาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ท่าทางที่เคยสุขุมและเคร่งขรึมบัดนี้กลับเต็มไปด้วยความสดชื่นและมีชีวิตชีวา เรียกเสียงฮือฮาจากพยาบาลสาวได้เป็นอย่างดี
เสียงซุบซิบดังขึ้นทันที
“แกดูสิ คุณหมอภีมยิ้มอีกแล้ว” พยาบาลสาวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นขณะที่มองตามหลังเขาไป
“วันนี้ยิ้มกว้างกว่าเมื่อวานอีกนะ”
“ใช่ แปลกมากเลยนะ ปกติจะเห็นแต่หน้านิ่งๆ” อีกคนเสริม
ไม่ใช่แค่ในแผนกของเขา แต่ข่าวการเปลี่ยนแปลงของ คุณหมอภีม แพร่สะพัดไปทั่วทั้งโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว แพทย์และพยาบาลต่างก็รู้สึกประหลาดใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงของเขาโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริง ยกเว้นณัชชาที่พอจะเดาสาเหตุนั้นออก
แพทย์หญิงณัชชาที่กำลังตรวจคนไข้อยู่ในห้องทำงานได้ยินเสียงซุบซิบนินทาของพยาบาลสองสามคนดังแว่วเข้ามาในห้อง เธอจึงแอบเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
“แกได้ยินเรื่องคุณหมอภีมไหม สองวันมานี้อารมณ์ดีผิดปกติเลยนะ” พยาบาลคนหนึ่งพูดเสียงกระซิบ
“อืม เมื่อวานก็ลางานเช้า แล้วก็เข้ามาทำงานช่วงสาย เห็นคนที่แผนกนั้นบอกว่าอาจารย์ภีมผิวปากด้วย วันนี้ก็ยังยิ้มกว้างขนาดนั้น สงสัยเป็นเพราะผู้หญิงที่เคยมานั่งกินข้าวด้วยแน่ๆ”
คำพูดของพยาบาลเหล่านั้นทำให้ณัชชาถึงกับชะงัก เธอรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาทิ่มแทงในอก เมื่อนึกถึงรอยยิ้มของภีมวัชที่หายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร และตอนนี้รอยยิ้มนั้นกลับปรากฏขึ้นถึงสองวันติดกัน
เธอรู้สึกอิจฉาอิงลดาอย่างรุนแรง ที่สามารถทำให้ภีมวัชยิ้มได้ ทั้งที่เธอเองพยายามมาตั้งนานแต่ก็ไม่เคยได้รับรอยยิ้มจากเขาเลยสักครั้ง
ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของณัชชา ห้ามตัวเองไม่ให้คิดได้เลยว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับอิงลดาอย่างแน่นอน
หลังจากตรวจคนไข้หมดในช่วงเช้า แพทย์สาวก็นั่งนิ่งอยู่ในห้องทำงานของตัวเอง ความคิดฟุ้งซ่านอยู่ในหัวตลอดเวลา เธออยากจะเดินไปหาภีมวัชที่ห้องทำงานของเขาเหลือเกิน อยากจะถามให้รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา แต่ขาทั้งสองข้างกลับไม่ยอมขยับ
เธอจำได้ถึงท่าทีห่างเหินที่เขาแสดงออก สายตาที่เคยเป็นมิตรกลับแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชาและจริงจัง คำพูดที่เขาบอกให้รักษาระยะห่างยังคงดังก้องอยู่ในหูของเธอ
ณัชชาหลับตาลงอย่างเจ็บปวด เธอรู้ดีว่าตัวเองกำลังทำใจกับเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ก็ไม่มีความกล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับความจริงอีกครั้ง เธอไม่อยากเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชาของเขา และไม่อยากได้ยินคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเธออีกแล้ว
ขณะเดียวกัน ที่อาคารพาณืชย์ซึ่งเป็นที่ตั้งชั่วคราวของสำนักงานสาขาย่อยของอิงลดา ภาณุนั่งรออยู่ในรถยนต์คันหรูที่จอดอยู่หน้าบริษัทมานานหลายชั่วโมงแล้ว สายตาคมกริบของเขายังคงจ้องมองไปยังประตูทางเข้าอย่างมีความหวัง เขามั่นใจจะได้เจอเธอแล้วขอร้องเธอให้รับรัก แต่แล้วความหวังนั้นก็ต้องมลายหายไป เมื่อรอเธอมาสามวันแล้วก็ยังไม่เจอหน้า
ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น ปลายสายเป็นเสียงของ สส.สุรเดช ผู้เป็นบิดา
“แกอยู่ที่ไหนภาณุ” เสียงของ สส.สุรเดชดังลอดออกมาจากโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงดุดัน
“กรุงเทพ”
“พ่อสั่งให้แกกลับมาเชียงใหม่เดี๋ยวนี้!”
“แต่พ่อครับ ผมยังไม่ได้เจออิงลดาเลย” ภาณุตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด
“พอได้แล้ว อย่าให้ฉันต้องใช้ไม้แข็งกับแก เรื่องที่แกไปก่อความวุ่นวายโรงพยาบาลเอสที อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ รีบมาก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน” สส.สุรเดชขึ้นเสียง
ภาณุกำมือแน่นด้วยความโกรธ เขาไม่สามารถขัดคำสั่งบิดาได้ เพราะเขารู้ดีว่าหากบิดาโกรธขึ้นมาจริงๆ เขาจะต้องเดือดร้อนอย่างแน่นอน
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างขัดใจ แล้วให้คนขับรถขับรถออกจากหน้าบริษัทของอิงลดาไปอย่างช้าๆ การรอคอยของเขาในวันนี้ผิดหวังอีกเช่นเคย
“ให้ไปที่ไหนครับคุณภาณุ” คนขับรถถามอย่างไม่มั่นใจ
“กลับบ้าน” เขาตอบเสียงเรียบ ก่อนที่จะโทรออกหาเบอร์ของอิงลดา แต่ก็ไม่สามารถติดต่อเธอได้ ภาณุโมโหที่ไม่ได้ดั่งใจ เขาโยนโทรศัพท์ปาลงเบาะข้างๆ
“อิง คุณจะหนีผมไปอีกนานแค่ไหน แต่ช่างเถอะ หนีได้ก็หนีไป แต่ผมไม่มีวันปล่อยคุณไปหรอก” เขากัดฟันกรอด พึมพำออกมากับตัวเอง
************************
ณ ตึกศัลยกรรมประสาทและสมอง ภีมวัชเดินเข้าโรงพยาบาลด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มอย่างเห็นได้ชัด แสงแห่งความสุขฉายประกายอยู่ในดวงตาคมกริบของเขาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ท่าทางที่เคยสุขุมและเคร่งขรึมบัดนี้กลับเต็มไปด้วยความสดชื่นและมีชีวิตชีวา เรียกเสียงฮือฮาจากพยาบาลสาวได้เป็นอย่างดีเสียงซุบซิบดังขึ้นทันที“แกดูสิ คุณหมอภีมยิ้มอีกแล้ว” พยาบาลสาวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นขณะที่มองตามหลังเขาไป“วันนี้ยิ้มกว้างกว่าเมื่อวานอีกนะ”“ใช่ แปลกมากเลยนะ ปกติจะเห็นแต่หน้านิ่งๆ” อีกคนเสริมไม่ใช่แค่ในแผนกของเขา แต่ข่าวการเปลี่ยนแปลงของ คุณหมอภีม แพร่สะพัดไปทั่วทั้งโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว แพทย์และพยาบาลต่างก็รู้สึกประหลาดใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงของเขาโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริง ยกเว้นณัชชาที่พอจะเดาสาเหตุนั้นออกแพทย์หญิงณัชชาที่กำลังตรวจคนไข้อยู่ในห้องทำงานได้ยินเสียงซุบซิบนินทาของพยาบาลสองสามคนดังแว่วเข้ามาในห้อง เธอจึงแอบเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ“แกได้ยินเรื่องคุณหมอภีมไหม สองวันมานี้อารมณ
ในตอนเช้า ภีมวัชตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสุขและอิ่มเอมใจ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วภาพแรกที่เห็นก็คือใบหน้าหวานที่กำลังหลับใหลอยู่บนอกของเขาอิงลดานอนหลับอย่างสบายใจ ผมยาวสลวยสีดำขลับระใบหน้าของเธอ ภีมวัชมองดูใบหน้านั้นอย่างหลงใหลและเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ในที่สุดเขาก็ได้เป็นสามีของผู้หญิงที่เป็นรักแรกและรักเดียวของเขาแล้ว หลังจากที่ต้องเฝ้ารอคอยมานานถึงสิบปีภีมวัชใช้ปลายนิ้วเขี่ยปอยผมที่ปรกหน้าเธอออกอย่างแผ่วเบา สัมผัสที่อ่อนโยนทำให้เปลือกตาของอิงลดาเริ่มขยับ เธอกำลังจะรู้สึกตัวแล้ว เขารีบหลับตาลงทันที ทำเป็นแกล้งหลับ แล้วกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นกอดภรรยาในนามไว้ไม่ยอมปล่อยอิงลดาค่อยๆ ลืมตาขึ้น เธอรู้สึกถึงอ้อมกอดที่อบอุ่นและแข็งแกร่งของเขา แล้วตกใจไม่น้อยที่ตนเองนอนในอ้อมอกของเขาแบบนี้หญิงสาวค่อยๆดันตัวออกไป เธอมองใบหน้าที่หล่อเหลาของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีที่กำลังหลับตาพริ้มอยู่ หญิงสาวยิ้มออกมาก่อนที่จะเอื้อมมือไปเขย่าแขนของเขาเบาๆ“พี่ภีมคะ ตื่นได้แล้ว”“ขออีกห้านาทีนะ” เขาพูดเสียงงัวเงีย ยังคงหลั
“จำที่พี่บอกได้ไหม หลังแต่งงานพี่มีบางอย่างจะบอกอิง” ภีมวัชพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน น้ำเสียงของเขานุ่มทุ้มจนทำให้เธอรู้สึกใจสั่นอิงลดาไม่ตอบ เธอเงียบฟังอย่างตั้งใจ“รู้ไหมว่าทำไมพี่ถึงยอมแต่งงานกับอิง” คำถามของเขาทำให้อิงลดาชะงักไปเล็กน้อย“ทำไมเหรอคะ” เธอถามเสียงเบาด้วยความสงสัยภีมวัชกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีกนิด แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย“เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเจอกัน”อิงลดาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “ไม่จริง...เรา...เราเคยเจอกันแล้วเหรอคะ”“อืม เราเคยเจอกันเมื่อนานมาแล้ว” เขาตอบสั้นๆอิงลดารีบหันไปหาเขาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและสงสัย“ที่ไหนคะ อิงจำไม่ได้เลย”ภีมวัชหัวเราะในลำคอเบาๆ“เมื่อสิบปีก่อน ที่มหาวิทยาลัย”คำพูดของเขาทำให้อิงลดาถึงกับเงียบไปทันที ความทรงจำของเธอถูกย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน แต่มันว่างเปล่า เธอไม่เคยมีภาพความทรงจ
เมื่อมาถึงบ้าน ทั้งสองก็เดินเคียงกันเข้ามาด้วยรอยยิ้ม อิงลดากำลังจะเดินตรงไปที่ห้องนอนของตัวเอง แต่ภีมวัชกลับคว้ามือของเธอไว้เบาๆ“จะไปไหน” เขาถามเสียงนุ่มนวล“ก็เข้าห้องอิงไงคะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย“ห้องของอิงอยู่ที่นี่” เขาพูดพร้อมกับดึงมือเธอให้เดินตามเขามาที่หน้าห้องนอนของเขา อิงลดาชะงัก“แต่ว่าเราแต่งงานกันในนาม ยังไม่ได้แต่งจริงเสียหน่อย อีกอย่างอิงยังไม่ได้ย้ายของเลยนะคะ”“พี่ให้แม่จัดการให้แล้ว” ภีมวัชคลี่ยิ้มบางๆ ที่มุมปากคำพูดของภีมวัชทำให้อิงลดาถึงกับอ้าปากค้าง หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ใบหน้าสวยหวานแดงก่ำด้วยความเขินอายและความตื่นเต้นภีมวัชเปิดประตูห้องนอนของเขาออก ภายในห้องที่ดูเรียบหรูและเป็นระเบียบเรียบร้อย บัดนี้มีข้าวของของเธอวางอยู่มุมห้องอย่างเป็นสัดส่วน“ยินดีต้อนรับสู่ห้องของเรานะ” ภีมวัชพูดพร้อมกับโอบไหล่ของเธอให้เดินเข้าไปในห้องนอนอิงลดามองสำรวจไปรอบๆ ห้องด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เธอรู้สึก
ภีมวัชขับรถพาอิงลดามาที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ก่อนจะเดินนำเธอไปยังร้านอาหารไทยสไตล์ฟิวชั่นที่ขึ้นชื่อเมื่อพนักงานนำเมนูมาให้ ภีมวัชก็ยื่นเมนูนั้นให้กับอิงลดา“อยากกินอะไรก็สั่งเลยนะ”อิงลดายิ้นรับ เธอเปิดเมนูดูอย่างตั้งใจ สั่งอาหารที่เธอชอบและคิดว่าเขาจะชอบด้วย พนักงานจดรายการอาหารแล้วเดินออกไป เหลือเพียงเขาสองคนนั่งอยู่ด้วยกันภีมวัชมองใบหน้าของอิงลดาอย่างหลงใหล ดวงตาคมกริบของเขาทอประกายความสุขอย่างที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนในแววตาของเขาหญิงสาวรู้สึกได้ถึงสายตาของเขา เธอเงยหน้าขึ้นมองสบตาเขานิดหน่อย“พี่ภีมมองอะไรคะ”“มองภรรยาของพี่ไง” ภีมวัชตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนจนทำให้เธอรู้สึกใจสั่นใบหน้าของอิงลดาแดงก่ำ เธอหลุบตาลงมองแก้วน้ำที่วางอยู่ตรงหน้าอย่างเขินอาย หัวใจของเธอเต้นแรงกับคำว่าภรรยาที่เขาเรียกภีมวัชเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์ความรักมาก่อน คำพูดที่เขาพูดไปก็ไม่รู้ว่ามันจะฟังดูเสี่ยวเกินไปหรือไม่ ต่างคนก็ต่างขวยเขินและเงียบไปพักใหญ่ ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดอะไรกันดีเมื่ออาหา
ณัชชาพยายามหลบหน้าภีมวัชเพื่อที่จะลดความเจ็บปวดให้ตัวเอง เธอใช้เวลาทั้งหมดในห้องทำงานของตัวเอง หรือไม่ก็อยู่กับคนไข้ เพื่อให้ตัวเองไม่มีโอกาสได้พบกับเขาเลย เธอรู้ดีว่าเธอต้องทำใจกับความสัมพันธ์ของเธอกับเขา แต่การกระทำของเธอมันช่างขัดแย้งกับความรู้สึกข้างในใจเหลือเกินพอถึงเวลาพักกลางวัน ณัชชาตัดสินใจเดินลงไปที่โรงอาหารของโรงพยาบาล เธอแอบหวังลึกๆ ว่าจะได้เจอภีมวัชที่นั่น เพราะปกติแล้วเขาจะมารับประทานอาหารกลางวันเป็นประจำสายตาของเธอสอดส่ายไปทั่วโรงอาหาร แต่ก็ไม่พบร่างสูงของคนที่เธอต้องการเจอ เธอเดินไปนั่งที่โต๊ะประจำด้วยสีหน้าที่ผิดหวังเล็กน้อยทันใดนั้น นายแพทย์ธนินทร์ก็เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะเดียวกับเธอ พร้อมด้วยเพื่อนแพทย์อีกสองคน“เป็นอะไรไปหมอนัท ทำไมหน้าตาดูไม่ค่อยดีเลย”“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่รู้สึกหิว แต่ไม่รู้จะกินอะไรดี” ณัชชายิ้มเจื่อนๆ“วันนี้ร้านข้าวแกงมีขนมจีนแกงเขียวหวานด้วย ของโปรดหมอนัทนี่ครับ ทำทีไรก็ไปจัดตลอด” หมอธนินทร์ถามพร้อมกับรอยยิ้ม“วันนี้ไม่อยากกินเส้นค่ะ”&l