ปรกติธรณ์เป็นคนตื่นเช้า แม้จะทำงานดึกสักเพียงใด แต่วันนี้ชายหนุ่มพลิกตัวด้วยความเกียจคร้าน มือยาวควานไปทั่วเตียงกว้าง ก่อนค่อยๆ ลืมตา แล้วพบว่าตนอยู่เพียงลำพัง
เขานิ่วหน้ากัดฟันกรอดเมื่อระลึกได้ว่าเมื่อคืนใช้เวลาบนเตียงอยู่กับใคร เวรุณีหนีไปอีกแล้ว ผู้หญิงเลี้ยงไม่เชื่อง จอมโกหก!
ธรณ์หยิบกางเกงบนพื้นมาใส่ลวกๆ เปลือยอกออกไปนอกห้อง สาวใช้ที่กำลังขึ้นบันไดมาถึงกับผวา ด้วยเจ้านายของบ้านหน้าถมึงทึง แต่งตัวไม่เรียบร้อย ผิดจากมาดเนี๊ยบๆ ที่เคย
“เห็นผู้หญิงที่มากับฉันเมื่อคืนนี้ไหม”
สาวใช้สั่นหน้า พอดีกับป้าเอื้อง แม่บ้านใหญ่ตั้งแต่รุ่นพ่อตามหลังเธอมาพอดี
“เธออยู่ในห้องพระค่ะ”
ธรณ์สาวเท้ายาวๆ ไปตามทางที่บอกทันที ร่างอวบอัดนั่งพับเพียบเหม่อมองพระพุทธรูปและโกศอัฐิบนหิ้ง เบื้องหน้าเธอมีกระเป๋าสตางค์บรรจุซองอัฐิที่เขาเคยเห็นวางเลยถัดจากหัวเข่า
เขาคบกับผู้หญิงก็มาก ร่วมเตียงมาก็บ่อย เวรุณีคนเดียวเท่านั้นที่มาหลบอยู่ในห้องพระ
“นั่นพ่อแม่กับน้องสาวผม”
เธอสะดุ้งเฮือกหันขวับมองตาวาว เขากอดอกพิงไหล่สบายๆ กับกรอบประตู
“ในโกศยังไงล่ะ”
“คุณตื่นแล้วก็ดี ฉันจะได้กลับบ้าน”
“กลับไปทำไม”
ตาคมโลมเลียใบหน้ากระจ่างใส ไต่ไล่มาถึงผิวขาวใต้ปกเสื้อ กลิ่นเนื้อกายหอมกรุ่นที่ซบซอกมาทั้งคืน
“คุณต้องอยู่ที่นี่”
เวรุณีหน้าเข้ม ปากเม้มสั่นระริก
“คุณทำกับฉันจนหนำใจแล้วนี่ ยังจะเอาอะไรอีก ปล่อยฉันกลับบ้านเถอะ ถ้าท้องเมื่อไรจะบอก”
ทั้งโกรธและเกลียดตัวเอง เสียดายความสาว พอๆ กับรู้สึกผิดในใจ เธอทำเรื่องน่าอายกับผู้ชายแปลกหน้า คนที่เกลียดเธอ ...และเธอก็เกลียดเขา
ใช้เซ็กส์แลกกับเงินและเด็กที่กำลังจะเกิดมา เวรุณีปล่อยให้ตนกลายเป็นผู้หญิงแย่อย่างนี้ได้อย่างไร
เธอลืมตาตื่นอย่างสับสน จิตใจพลุ่งพล่านสวมเสื้อผ้ายับๆ ด้วยแรงเหวี่ยงเขา มาหาที่สงบใจอยู่ในห้องพระแห่งนี้
“แค่ครั้งสองครั้ง คงไม่ติดง่ายๆ หรอกน่า”
รอยซับสีเลือดซ่านบนใบหน้าสาว หากไม่ติดว่าอยู่ต่อหน้าพระต่อหน้าเจ้า เธอล่ะอยากลุกขึ้นขย้ำเขานัก
“อยู่ด้วยกันที่นี่แหละ ผมอยากให้ลูกเกิดในบ้านหลังนี้”
“แล้วคุณจะทำยังไงกับฉัน ให้อยู่ที่นี่ด้วยฐานะอะไร คนจะมองฉันแบบไหน”
ธรณ์ยักไหล่
“อยากให้คนมองแบบไหนก็แล้วแต่คุณ ผมรู้แต่ว่าคุณต้องมาอยู่บนเตียงผมทุกคืน”
คนฟังอ้าปากค้าง แช่งชักหักกระดูกความแย่ ไร้ความรับผิดชอบของเขาอย่างที่สุด
“ไหนคุณบอกจะไปทำงานไง นี่กี่โมงแล้ว”
เขาเปลี่ยนเรื่อง ทอดตาไปยังแสงสว่างรำไรภายนอกซึ่งลอดใต้ม่านมากระทบพื้น
“ฉันจะกลับไปเอาเสื้อผ้า ชุดทำงานอยู่ที่นั่น”
เจ้าของบ้านพยักหน้าเข้าใจ แต่ยังมิวายบ่น
“คุณจะทำงานไปทำไม หลังมีลูกให้ผมก็จะได้ตั้งสิบล้าน”
วาจาเขาระคายหูและเสียดแทงดังมีดกรีดใจ
“ก็หลังคลอด คุณเอาเด็กไป ฉันจะยังได้มีงานทำ”
เวรุณีแทบนับหนึ่งถึงร้อย ระงับอารมณ์โมโหสุดขีด ยามคุยกับเขา
“วางแผนยาวเลยนะ” ธรณ์เยาะ “เดี๋ยวผมจะให้คนไปส่ง”
ชายหนุ่มออกไปจากห้อง ทิ้งเธอให้กำมือแน่นสะกดความรู้สึกภายใน สักพักก็กลับมาพร้อมผู้ชายอีกคนที่เคยเห็นอยู่กับเขาบ่อยๆ
“ภูสิตจะพาคุณกลับบ้าน อย่าคิดตุกติกอีกนะทิป ไม่อย่างนั้นคุณอาจจะไม่โชคดีเหมือนเมื่อคืนนี้”
เธอสะบัดหน้าพรืด ตามหลังคนของเขาไป ในใจนึกเคือง ขนาดโชคดีเวรุณียังเจ็บร้าวทั้งตัว ปวดทั้งใจกับวาจาเชือดเฉือน หากโชคร้ายจากเขามาเยือนจริง ธรณ์คงฆ่าเธอแน่ ...แบบโหดร้ายและเลือดเย็นเลยทีเดียว
“เป็นอะไรไปน่ะฮึทิป”
พจนารถทักหน้ายุ่งทันทีที่เจอ
“เห็นผมเป็นไปรษณีย์ส่งจดหมายลาออกไปได้”
เขาคือคนที่สองซึ่งเธอต้องเคลียร์ ถัดจากผู้จัดการ
“โทษที แบบว่า ...ช่วงนี้ฉันอารมณ์ไม่ค่อยปรกติน่ะ คือ...”
เวรุณีแก้ตัวคล้ายๆ เมื่อพบผู้จัดการ เพื่อแจ้งระงับจดหมายลาออก ธรณ์ยังไม่ได้เซ็นอนุมัติจริงๆ ตามดังขอ
“ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ”
พจนารถยิ้มละไม ทุกคนเห็นใจในการสูญเสียอย่างกะทันหันของเธอทั้งนั้น ขนาดผู้จัดการยังอบรมเธอเรื่องอนิจจังของชีวิตแล้วจึงให้ลงมาทำงานเหมือนเดิม
“มีอะไรมาปรึกษาผมได้นะ”
เขาทำตัวเป็นเพื่อนที่ดี กลางวันยังมาชวนทานข้าว แล้วพาไปเลี้ยงน้ำผลไม้ร้านใกล้ๆ บริษัท ธรณ์เห็นภาพเธอจากในรถติดไฟแดงขณะจะไปประชุมกับหน่วยงานรัฐบาล ความหงุดหงิดยิ่งเพิ่มทวีคูณ เมื่อนึกถึงบทสนทนาเมื่อเช้า
เวรุณีวางแผนชีวิตหลังคลอดลูกเขาไว้ไกลจริงๆ ตีหน้าเนียนสนิทกับคนรอบข้างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอก็เหมือนผู้หญิงทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเขา ...พบเพื่อจาก
ธรณ์วางศีรษะได้รูปบนเบาะ ปิดเปลือกตาระงับความพลุ่งพล่านในใจซึ่งมีที่มาจากคนผ่านตาไปเมื่อครู่
หญิงสาวมายืนตรงหน้าประตูเหล็กดัดใหญ่ เมื่อแสงอาทิตย์สุดท้ายลับขอบฟ้า ภายในบริเวณบ้านเปิดไฟสว่างจ้า สาวใช้เปิดประตูให้เธองงๆ เวรุณีเดินขึ้นบันไดกว้างหน้าระเบียง ผ่านไปยังห้องโถงซึ่งมีเชอเดอร์เลียแก้วแวววาวประดับ
ป้าเอื้องมองแบบไว้ตัวนิดๆ ด้วยไม่รู้ว่าเธอจะอยู่ในสถานะไหนกับนายหนุ่ม และจะอยู่ที่นี่อีกนานเท่าใด
เวรุณีเพิ่งเหยียบบันไดขั้นที่สอง หูก็พลันได้ยินเสียงบีบแตรสนั่นไหว ไม่กี่นาที ร่างโปร่งระหงในเสื้อเกาะอก กางยีนฟิตเปรี๊ยะและรองเท้าส้นสูงก็ก้าวเข้ามา
“ธรณ์ล่ะ”
“ยังไม่กลับค่ะ”
เธอมองผู้สูงวัยไม่เป็นมิตรนัก จากนั้นตวัดตามาทางเวรุณี
“แล้วนี่ใคร”
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ”
ป้าเอื้องตอบห้วน บรรยากาศชักไม่ดี
“หรือเป็นคนที่เขาลือกัน ว่าธรณ์เอาเมียเก็บมาซุกไว้ในบ้าน”
“สวยเหมือนนางฟ้าเลย”อาม่าชมเปาะ เมื่อการแต่งหน้าอันยาวนานสิ้นสุดลง เวรุณีก็อึ้งไปเหมือนกันเมื่อมองภาพในกระจก ผู้หญิงในชุดขาวที่สวยเกินจินตนาการ“อาธรณ์อีต้องตะลึงเหมือนกันแน่ๆ”อาม่าหัวเราะคิก ท่านมาอยู่กับเธอตั้งแต่เช้ามืดในวันงานแต่งงานอันแสนวุ่นวาย“คุณภูสิตโทร.มาตามแล้วค่ะ”เว็ดดิ้งเพลนเนอร์เร่ง รีบมาช่วยยกชายกระโปรงฉลุลายลูกไม้ กลุ่มเจ้าสาวจึงได้พากันทยอยออกจากห้องอาม่าพูดอะไรสักอย่างแว่วๆ เวรุณีไม่ทันได้ฟัง ด้วยหูก็อื้อ ตาก็หนักเพราะขนตาปลอมหนามือใหญ่คุ้นเคยจับเธอไว้ พร้อมกระซิบ“ทิปสวยมากเลยครับ”น่าเสียดายที่ขนตาปลอมเยอะไปหน่อย เธอจึงไม่ได้เห็นหน้าเขาว่าปลื้มเพียงใด ธรณ์พาเธอเดินผ่านไปในประตูใหญ่ ที่มีเสียงดนตรีและแสงเฟลชกล้องรัวต่อเนื่อง“บ่าวสาวยิ้มครับ ยิ้ม”เวรุณีพยายามตามเสียงที่บอก แต่หน้าตึงเครื่องสำอางจนไม่รู้ว่าตนเองยิ้มจริงหรือแค่แสยะเขาพาเธอเดินขึ้นเวที ก่อนพิธีก่อนจะพูดอะไรสักอย่างที่ฟังไม่ทันทุกอย่างรวดเร็วเหลือเกินในความรู้สึกเธอ วงดนตรีเล่นเพลงรักหวาน ภูสิตแอบมากระซิบเจ้าบ่าว“ไฟล์สไลด์รูปพรีเวดดิ้งเสียครับ รอสักครู่เว็ดดิ้งแพลนเนอร์กำลังให้วินมอเตอร์ไซด์เอ
แขกกลับประมาณสามทุ่ม อาม่าบ่นอยากอยู่คุยด้วยมากกว่านี้ แต่ติดเรื่องสุขภาพ อายุมากและเดินทางมาไกล ทำให้เพลียมาก ท่านเล่าให้ฟังว่ามีบ้านอยู่อีกแห่งแถวปทุมธานีพจนารถกลับเป็นรายถัดมา ด้วยรับรู้ถึงบรรยากาศ “ไล่” ของธรณ์เวรุณีช่วยแอนเก็บล้างภาชนะ เขากับภูสิตอาสาจะช่วย แต่เธอปรามไว้ ให้เหตุผลว่าครัวเล็ก เกะกะกันเสียเปล่าๆ ทั้งสองจึงมานั่งดูโทรทัศน์หน้าโซฟา“คุณทิปไปไหน”ธรณ์ถามเมื่อแวะห้องน้ำข้างครัวแล้วเห็นแอนคนเดียว“ขึ้นไปข้างบนตั้งนานแล้วค่ะ”เขาพยักหน้า ก่อนตามขึ้นไป ห้องเวรุณีปิดประตูเงียบ แต่มีไฟลอดออกมาจากห้องพระเธอพนมมือพับเพียบหน้าโกศบรรจุอัฐิคนในครอบครัว ธรณ์ย่อตัวลงนั่งข้าง เขาเห็นน้ำตาน้อยๆ เอ่อคลอคลองจักษุ“ร้องไห้ทำไม”“ฉันดีใจที่พ่อแม่ ไทม์ ยังห่วง ดลใจให้พวกอาม่ามา แต่ก็เศร้าเพราะคิดถึงพวกเขา”ธรณ์เอื้อมมือไปโอบศีรษะเธอมาแนบชิด“ทุกอย่างเหมือนกับฝันไป จู่ๆ ฉันก็มีญาติตั้งเยอะ” เวรุณีเล่าเสียงเครือ“สมัยก่อนฉันอิจฉามาก เวลาปิดเทอมที่เพื่อนๆ ได้ไปอยู่บ้านปู่ย่าตายาย ได้แต่คิดว่าทำไม่ครอบครัวไม่มีญาติเลย”“ไม่ใช่ฝันหรอก ทุกอย่างเป็นความจริง”“มันเร็ว เกิดขึ้นกะทันหัน”เวรุณี
ตะวันคล้อยจากฟ้า จวนเจียนจะลาลับ วันที่น่าเบื่อหน่ายของหลายคนอาจใกล้สิ้นสุด ทว่าความสุขของธรณ์เพิ่งเริ่มต้นรถคันงามกำลังแล่นฝ่าการจราจรแออัด มีปลายทางคือทาวน์เฮ้าส์หลังน้อยของเวรุณีธรณ์จงใจไม่โทร.หาเธอ ให้ภูสิตเตรียมไวน์ดีๆ ไว้ เพื่อดื่มคู่กับอาหารอิตาเลียน เขาตั้งใจให้เป็นเซอไพรส์ แต่การจราจรก็ติดสาหัสสากรรจ์เหลือเกิน“ให้ผมโทร.บอกคุณทิปไหมครับว่าเราจะไปถึงช้าหน่อย”ภูสิตถามจากเบาะหน้าข้างคนขับ“ไม่ต้องหรอก ทิปเขาเข้าใจ”ข้อดีของการไม่ติดโทรศัพท์คือเวรุณีไม่โทร.ตามจิกเขา เธอจะรอถ้าเขาบอกว่าจะไปหา และธรณ์ก็ไม่เคยผิดนัดเสียด้วยเวรุณีรู้จักการรักษาระยะห่าง เธอเลือกจะอยู่ในที่ทางของตัวเอง ซึ่งเป็นทั้งส่วนที่น่ารักและน่าหงุดหงิด...น่ารักตรงเขาอยู่ด้วยแล้วสบายใจ น่าหงุดหงิดที่เธอดูสบายๆ จนเหมือนคนไม่มีแฟนครั้งหนึ่งทั้งสองไปทานมื้อค่ำด้วยกัน ระหว่างเดินออกมาจากร้าน เขามีสายสำคัญจากลูกค้า เธอจึงเลี่ยงไปเลือกขนมฝากเด็กที่ดูแลบ้านและคนขับรถธรณ์คุยโทรศัพท์ไม่กี่นาที หันมาอีกครั้ง เวรุณีก็ยืนหัวเราะคิกคักกับเชฟฝรั่งชุดขาวหุ่นอ้วน หูตาคนพูดทั้งแพรวพราวทั้งโลมเลียหน้าอกเธอขนาดเขาเดินไปใกล้ยั
ทันใดนั้นแอนซึ่งป้าเอื้องให้มาอยู่เป็นเพื่อนก็เข้ามาบอกว่าท่อระบายน้ำอ่างล้างจานตัน ทั้งเธอและเขาหน้าแดงกันทั้งคู่เวรุณีต่อว่าธรณ์ เขาไม่ทุกข์ร้อน เรียกแอนมาและบังคับให้สัญญาว่าจะไม่เอาเรื่องที่เห็นไปบอกใครแอนตัวสั่น น้ำตาคลอ เวรุณีเห็นแล้วสงสาร ต่อไปชีวิตเด็กคนนี้จะไม่เหมือนเดิม ต้องอยู่กับความหวาดระแวง กลัวเจ้านายลงโทษ กลัวการตกงาน กลัวครอบครัวลำบากเธอโกรธธรณ์ที่ใช้วิธีรุนแรง เหนือจากนั้นเวรุณีโทษว่าเป็นความผิดตนเอง ทำเรื่องไม่สมควรทำให้คนอื่นเดือดร้อน เธอจึงต้องทำเรื่องที่ตัวเองเท่านั้นจะทำได้“นะคะ ...คุณธรณ์ อีกไม่กี่สัปดาห์เอง เราก็จะแต่งงาน ได้อยู่บ้านเดียวกันแล้ว”เวรุณีภาวนาให้ธรณ์ใจอ่อน มิเช่นนั้นก็ไม่รู้จะทำเช่นไรแล้ว“คุณยังมากินข้าวกับฉันได้นะคะ ถ้าจะมาวันนี้ฉันจะลองทำอาหารอิตาเลี่ยนแบบที่เราดูกันในสารคดีวันก่อนให้คุณชิม”เธอเปลี่ยนมาอ้อน“ร้ายนักนะทิป”“ผู้หญิงตอแหลก็อย่างนี้แหละค่ะ”ครั้งหนึ่งเคยเป็นคำบริภาษแสลงหู ตอนนี้เธอเก็บไว้ล้อเลียนเวลาตนทำอะไรแสบๆ ให้เขา“คุณยื่นขอเสนอที่ผมไม่อาจปฏิเสธได้อีกแล้ว”เสียงหัวเราะใสแว่วจากปลายสาย เพราะเธอรู้ว่านี่เป็นวลีจากภาพยนตร์
“ยัยตัวแสบ!”ธรณ์จะทำอย่างไรกับเธอดี นอกจากคาดเดาไม่ได้แล้วยังทำให้เขาหัวปั่น ธรณ์ไม่เคยง้อใคร กับน้องสาวก็มีแต่อ้อนและเอาใจเขาการยอมให้เวรุณีกลับไปอยู่บ้านนี่ไม่ได้หมายความว่าให้เธอไม่ต้องสนใจเขาเหมือนคนปลายทางจะรู้ใจ หน้าจอปรากฏสายเข้าเป็นรูปเธอ ธรณ์กดรับอย่างไม่ลังเล แล้วต่างฝ่ายต่างก็เงียบ“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณธรณ์ โทร.มาตั้งหลายสาย”“ทำไมไม่รับโทรศัพท์”เขาใช้เสียงแบบตำหนิลูกน้องเวลาทำงานพลาด“ฉันไม่ได้เอามือถือไป”เธอไม่ทุกข์ร้อนหรือมีแววสำนึกผิดในน้ำเสียง“แล้วคุณไปไหนมา! โทรศัพท์น่ะมันของจำเป็นนะ ถ้าเกิดเรื่องอะไรมากับคุณ คนอื่นจะได้รู้”ถ้าเจ้าหล่อนอยู่ตรงหน้า ธรณ์จะจับตัวเขย่าๆ ให้หัวคลอนเลยทีเดียว ในยุคที่คนติดมือถือ นับเป็นปัจจัยที่ห้าในการดำรงชีวิตเห็นจะมีแต่เธอเท่านั้นแหละไม่ไยดีมัน ที่ติดตัวเป็นประจำมีแต่ไอพ็อดไว้ฟังเพลง“ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็เดินไปสถานีตำรวจสิ อยู่ใกล้ๆ นิดเดียวเอง”“แล้วคุณไปที่ไหน ถึงใกล้สถานีตำรวจแบบนั้น”“ฉันไปลานออกกำลังกายชุมชน เล่นโน่นนี่จนเหงื่อโทรมเลย มันอยู่ใกล้ๆ สถานีตำรวจ”ทาวน์เฮ้าส์เวรุณีมีสถานที่นั้นหรือเปล่า ธรณ์ไม่ทันสังเกต สิ่งเดียวท
โนโมโฟเบีย เป็นการรวมสองคำคือ โทรศัพท์มือถือ (Mobile Phone) และ อาการกลัว(Phobia) ใส่ คำว่าโน (No) นำหน้าไปนิด ก็ได้คำศัพท์ใหม่ทันสมัยแปลว่ากลุ่มอาการติดโทรศัพท์มือถือ และกังวลใจว่าถ้าหากไม่มีมันจะเป็นอย่างไร สังเกตง่ายๆ คือ ห่วงแต่มือถือ เช็คหน้าจอตลอด วางไว้ใกล้ชนิดแค่ฝ่ามือคว้าภูสิตเหลือบตาจากข้อมูลไอแพ็ดที่ยกระดับปกสูทเทา แอบมองคนมีอาการดังว่าเจ้านายสวมเสื้อกั๊กน้ำเงินเข้มหลังโต๊ะทำงานหน้ามุ่ย พยายามกดมือถือโทร.ไปเบอร์ซ้ำๆ คิ้วใต้ผมหวีเสียเรียบขมวด ขบกรามเป็นสัน อันเป็นสัญญาณบอกว่าปลายทางไม่รับสาย“เซ็นก่อนดีไหมครับ แล้วค่อยโทร.ใหม่”เลขาฯคู่ใจเก็บไอแพ็ดแนบอก พยักหน้าไปทางเอกสารรอการอนุมัติซึ่งวางค้างเติ่งไว้นานแล้ว“ทิปไม่รับสายเลย ไม่แม้แต่จะโทร.กลับ”ธรณ์บ่น แต่ยังวางโทรศัพท์ไม่ห่างมือนัก หยิบปากกาหมึกซึมแท่งดำเงาเลื่อมราคาแพง ตวัดชื่อลงบนกระดาษ“นั่นมันเมื่อห้านาทีที่แล้วนะที่คุณติดต่อเธอ หลังจากนั้นก็จี้ตลอด สงสัยคุณทิปโทร.เข้าไม่ได้เพราะสายคุณสวนออกไปมั้งครับ”ภูสิตเผยยิ้มน้อยๆ เพราะหากมากกว่านี้ อาจเป็นเขาเองที่โดนระเบิดลง“เดี๋ยวเย็นนี้ก็เจอกัน”“เจอไม่กี่ชั่วโมงแล้วฉัน