เข้าสู่ระบบหลินซูหนานรู้ดีว่าองค์รัชทายาทสามารถทำสิ่งที่กล่าวเอาไว้ได้อย่างแน่นอน นางจึงค่อย ๆ พยุงตัวเองขึ้นจากพื้นและพยายามตั้งสติก่อนจะมองไปที่เขาด้วยสายตาเรียบนิ่ง
“ท่านรู้ดีว่าบิดาของข้าคือคนสำคัญในราชสำนัก ทั้งยังเป็นสหายสนิทของฝ่าบาท และเป็นคนที่ฝ่าบาทไว้วางพระทัยมากที่สุด”
นางกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาแล้วหยุดเล็กน้อยเพราะความเหนื่อยอ่อน ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเช่นเดิม
“หากบิดาของข้าต้องเจอกับอันตราย ฝ่าบาทจะต้องระแวงและคำนึงถึงการกระทำของท่านอย่างแน่นอน ดังนั้นหากท่านต้องการที่จะรักษาตำแหน่งรัชทายาทไว้ล่ะก็ ท่านจำเป็นต้องรักษาข้าและสกุลหลินไว้เป็นฐานอำนาจที่มั่นคง ข้ากล่าวเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่เพคะ”
หลินซูหนานขู่กลับไปบ้าง โดยยกความสนิทสนมระหว่างฝ่าบาทกับบิดาของนางขึ้นมาเป็นเกราะกำบังตนและตระกูลหลิน
“เจ้ากล้าข่มขู่ข้าหรือ!” โจวหยางหลงได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวออกมาอย่างไม่พอใจ เขาจ้องเขม็งไปยังร่างของคนตรงหน้าอย่างไม่วางตา ในสายตานั้นมีแต่ความเคียดแค้นชิงชังต่อนาง
“ข้าไม่บังอาจข่มขู่ท่านหรอก ข้าเพียงกล่าวให้ท่านรับรู้เท่านั้นว่า หากไม่มีการสนับสนุนจากบิดาของข้าแล้ว น้ำหนักในพระทัยของฝ่าบาทที่จะให้ท่านเป็นรัชทายาทต่อไปก็อาจจะน้อยลง และท่านอาจจะไม่สามารถรักษาตำแหน่งของท่านไว้ได้ หาก
ฝ่าบาทรับรู้ว่าเบื้องหลังการเกิดเหตุร้ายกับตระกูลหลินมาจากท่านท่านต้องตระหนักว่าก่อนที่ฝ่าบาทจะสละบัลลังก์ พระองค์อาจจะมีการเปลี่ยนตัวองค์รัชทายาทก็เป็นได้ หากท่านทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ผู้สนับสนุนของฝ่าบาท ท่านอาจจะเป็นคนที่เสียผลประโยชน์ในท้ายที่สุด”
หลินซูหนานกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนลงมาเล็กน้อยพร้อมกับส่งยิ้มให้กับเขาอย่างอ่อนโยน แต่นางก็ไม่ลืมที่จะข่มขู่เขาไปอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน
คำกล่าวของหลินซูหนานทำให้โจวหยางหลงตระหนักถึงความจริงที่เขามิอาจหลีกเลี่ยง ความเงียบปกคลุมไปทั่วบริเวณขณะที่เขาพยายามรวบรวมความคิด
โจวหยางหลงรู้ดีว่าสิ่งที่นางกล่าวนั้นถูกต้องทุกประการ และเขาจำเป็นต้องพิจารณาให้ดี เพื่อให้ตนเองสามารถรักษาตำแหน่งรัชทายาทเอาไว้
หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความเย็นชาของโจงหยางหลงและหลินซูหนานยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งคู่ต้องอยู่ร่วมกันภายในตำหนักบูรพาที่มีบรรยากาศอันหนักอึ้งและเงียบงัน ความสัมพันธ์ที่เคยอบอุ่นและเต็มไปด้วยความรัก เริ่มเปลี่ยนไปเป็นความตึงเครียดที่แผ่กระจายไปทั่วทุกซอกทุกมุมของตำหนักบูรพา
ภายในห้องนอนที่เคยเป็นสถานที่พักผ่อนและผ่อนคลายกลับกลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความเย็นชา ทั้งสองคนยังคงต้องเผชิญหน้ากันในทุกวัน แต่การสนทนาเป็นไปอย่างจำกัด ขาดความอบอุ่นและความเข้าใจที่เคยมี ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขายิ่งเพิ่มความตึงเครียดมากขึ้น
บทสนทนาระหว่างพวกเขามีเพียงเรื่องงาน และการจัดการธุระต่าง ๆ ที่จำเป็นเพียงเท่านั้น ไม่มีความรู้สึกรักใคร่ใด ๆ แม้แต่น้อย มีแค่ความรู้สึกชิงชังเท่านั้นที่เริ่มเข้ามาเกาะกุมในใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
กลับมายังปัจจุบัน
เมื่อเห็นคุณหนูของตนมีสีหน้าและแววตาหม่นหมองลง เซียงลี่จึงคอยมองดูด้วยความเป็นห่วงอยู่ไม่ห่าง เนื่องจากเวลานี้แม้ว่าใบหน้าจะเรียบเฉย แต่แววตาของคุณหนูนั้นกลับแสดงถึงความวิตกกังวลที่ไม่อาจปิดบังได้
แม้ว่าหลินซูหนานจะพยายามยิ้มให้และบอกว่าไม่มีอะไร แต่ท่าทีของนางกลับไม่สามารถซ่อนความกังวลที่อยู่ในใจได้เลย
“คุณหนู ท่านมีเรื่องอะไรให้เป็นกังวลใจหรือ บอกกล่าวให้ข้ารับรู้ได้หรือไม่เจ้าคะ เผื่อข้าจะช่วยแบ่งเบาความทุกข์นั้นได้บ้าง”
เซียงลี่เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง สีหน้าของนางนั้นมีความกังวลไม่น้อยกับความทุกข์ใจของเจ้านายสาว
หลินซูหนานหันไปมองเซียงลี่เล็กน้อย ยามนี้แววตาของนางเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย แต่ก็พยายามควบคุมอารมณ์ให้สงบและไม่ให้ความกังวลในใจที่มีแสดงออกมามากเกินไป
“ข้าไม่มีเรื่องใดให้กังวลหรอก ข้าเพียงแค่เหนื่อยจากการเตรียมงานวันเกิดก็เท่านั้น” หลินซูหนานตอบออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยน
เซียงลี่ยังคงไม่แน่ใจในคำตอบที่ได้รับ นางรู้ดีว่าเจ้านายของตนไม่ได้เป็นคนที่ชอบแสดงความรู้สึกออกมาให้คนอื่นรับรู้มากนัก แต่เมื่อดูจากสีหน้าของผู้เป็นนายแล้ว ก็คาดเดาได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณหนูของนางหาใช่ความเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อยจากการจัดเตรียมงานวันเกิดของตนเอง
ทว่านางเป็นเพียงสาวใช้ จึงไม่อาจสอดรู้สอดเห็นเรื่องของเจ้านายได้ ในเมื่อเจ้านายสาวบอกว่าไม่มีเรื่องใด ก็คงต้องยอมเชื่อตามนั้น
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะออกไปรอข้างนอก เพื่อให้คุณหนูได้มีเวลาพักผ่อนอยู่ตามลำพัง หากว่าคุณหนูต้องการสิ่งใดก็ให้เรียกข้านะเจ้าคะ ข้าจะรออยู่ที่หน้าประตูไม่ไปไหน” เซียงลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ขณะที่เตรียมตัวเคลื่อนกายออกจากห้องไป
“อืม...เจ้าไปเถอะ ข้าขออยู่ตามลำพังสักครู่” หลินซูหนานกล่าวแล้วหลับตาลงเพื่อเป็นการตัดบทสนทนา
ตอนพิเศษ 2.2ฉู่ตงฟางนั่งลงข้างๆ ฉู่สือ โดยพิจารณาความคิดนี้อย่างละเอียด ก่อนจะกล่าวขึ้น “แล้วจะมีวิธีการไหนบ้างที่เจ้าจะใช้ในการคำนวณมูลค่าของสินค้าบนเรือ”“ข้าสามารถแบ่งประเภทสินค้าออกเป็นกลุ่ม ๆ ได้ขอรับ เช่นสินค้าแบบหยกหรืออัญมณี จะมีมูลค่าสูง ในขณะที่สินค้าธรรมดาอย่างอาหารหรือเครื่องใช้ จะมีมูลค่าต่ำกว่า ซึ่งเราจะต้องมีการกำหนดอัตราเทียบเคียงกันด้วย” ฉู่สืออธิบายต่ออย่างเชี่ยวชาญ“ฟังดูดีมีเหตุผลมาก” ฉู่ตงฟางพยักหน้าเห็นด้วยฉู่ตงฟางพิจารณาความคิดของลูกชายก่อนจะถามอย่างจริงจังอีกครั้ง “แล้วเจ้าคิดว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ จะทำให้ลูกค้าพอใจหรือไม่”“ข้าเชื่อว่าหากพวกเราชี้แจงเหตุผลให้ชัดเจน พวกเขาจะเข้าใจและเห็นความสำคัญขอรับ เราต้องทำให้เจ้าของเรือรวมถึงลูกค้าอื่น ๆ รู้ว่าวิธีการนี้จะทำให้เขาได้กำไรมากขึ้น เพราะสินค้าบางอย่างที่มูลค่าไม่สูงมาก พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายแพง” ฉู่สือกล่าวอย่างมั่นใจ“ดีมาก ถ้าเช่นนั้นพ่อจะให้เจ้าไปอธิบายเรื่องนี้กับเจ้าของเรือและลูกค้าในวันพรุ่งนี้” ฉู่ตงฟางกล่าวพร้อมกับยิ้มอย่างภูมิใจ“ขอรับท่านพ่อ ขอบคุณที่เชื่อมั่นใจตัวลูก” ฉู่สือตอบรับด้วยความตื่นเต้น
ตอนพิเศษ 2.1สิบปีต่อมาฉู่ปิ่งเติบโตเป็นเด็กหนุ่มที่แข็งแกร่งและกล้าหาญที่สุดในเมืองท่าแห่งนี้ ปีนี้เขาอายุสิบสามแล้ว เป็นเด็กหนุ่มที่มีความมุ่งมั่นและขยันขันแข็งในทุกสิ่งที่ทำ โดยเฉพาะในด้านการเรียนและการฝึกวรยุทธ ฉู่ปิ่งเข้าเรียนที่สถานศึกษาของเมืองท่า โดยมีอดีตราชบัณฑิตเจียงจวนหยางเป็นผู้สอน เขาสอนทั้งวิชาการและการต่อสู้ ทำให้ฉู่ปิ่งเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ จนได้รับการยอมรับจากอาจารย์และสหายร่วมชั้นในแต่ละปีเวลามีงานเทศกาลประจำเมือง ฉู่ปิ่งมักจะเข้าร่วมการประลอง เขาได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของตนอย่างเต็มที่ ในปีนี้ก็เช่นกัน เขาผ่านรอบสุดท้ายโดยมีคู่ต่อสู้ที่ตัวใหญ่และดุดันชื่อว่าเหอจิ้ง ซึ่งเป็นนักสู้รุ่นพี่ที่มีฝีมืออันดับต้น ๆ ในเมืองท่าท่ามกลางเสียงร้องของผู้คนในงานเทศกาล ฉู่ตงฟาง หลินซูหนาน และน้องสาวน้องชายของฉู่ปิ่ง นั่งอยู่ในที่นั่งที่ดีที่สุด พวกเขามองไปที่ฉู่ปิ่งด้วยความหวังและความภูมิใจในตัวเขา“ฉู่ปิ่ง ตั้งใจสู้ให้ดี” หลินซูหนานตะโกนให้กำลังใจบุตรชาย ขณะที่ฉู่ปิ่งยืนอยู่ในวงล้อมการประลอง“ใช่ แสดงให้พวกเขาเห็นว่าเราคือใคร” ฉู่ตงฟางเอ่ยขึ้นเสียงดังด้วยความตื่นเต้นฉู่ปิ่งม
ตอนพิเศษ 1.2ก่อนที่หมอจะออกจากห้อง ก็แนะนำเกี่ยวกับยาบำรุงครรภ์ที่จำเป็น และหยิบยาออกมาสองเทียบส่งให้ฉู่ตงฟาง พร้อมกับแนะนำว่า “ให้ฮูหยินใช้ยานี้บำรุงร่างกาย ต้องต้มกินวันละสามเวลา หากหมดก็ให้ไปรับยาได้ที่โรงหมอของข้าได้”“ขอบคุณท่านหมอมาก” ฉู่ตงฟางกล่าวขอบคุณอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความสุข เขารับยาจากหมออย่างระมัดระวังเมื่อหมอกลับออกไปแล้ว ฉู่ตงฟางนั่งอยู่ข้างหลินซูหนานด้วยความรักและเอาใจใส่ นางยังคงนอนอยู่บนเตียงในสภาพร่างกายที่อ่อนเพลีย ทว่าภายใต้สีหน้าที่ซีดขาวนั้น กลับมีความรู้สึกดีใจอยู่เต็มเปี่ยม“ซูหนาน ข้าตื่นเต้นและดีใจมากที่เราจะมีเจ้าก้อนแป้งกันแล้ว” เขากล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาและอ่อนหวานหลินซูหนานยิ้มอย่างหวานละมุน “ข้าก็รู้สึกดีใจเหมือนกันครอบครัวของพวกเราจะสมบูรณ์แล้วนะเจ้าคะ” นางกล่าวอย่างมีความสุข“ต่อจากนี้ไป ข้าจะดูแลเจ้าตลอดเวลา เจ้าจะต้องพักผ่อนมากๆ ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องลำบาก ส่วนเรื่องขายของข้า จะสั่งให้คนมาช่วย” ฉู่ตงฟางก้มลงมองนางอย่างรักใคร่“เจ้าค่ะ” หลินซูหนานตอบอย่างไม่มีปัญหาเพราะนางก็อยากรักษาตนเองให้ดีที่สุดเพื่อเจ้าก่อนแป้ง“พักผ่อนเถอะ ข้าจะอยู่ก
ตอนพิเศษ 1.1หลังจากที่ฉู่ตงฟางและหลินซูหนานได้ล่องเรือเที่ยวไปตามเมืองต่าง ๆ จนพอใจแล้ว สุดท้ายทั้งคู่ก็ตัดสินใจปักหลักที่เมืองท่าแห่งหนึ่ง เมืองนี้มีทิวทัศน์ที่สวยงาม พร้อมด้วยท่าเรือที่คึกคัก ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบและสวยงามของแม่น้ำสายใหญ่ จึงทำให้ทั้งสองรู้สึกว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะสมในการสร้างชีวิตใหม่ฉู่ตงฟางและหลินซูหนานเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยการเปิดร้านค้าเล็ก ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือ ร้านค้าของพวกเขาได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม มีบรรยากาศอบอุ่นที่ดึงดูดลูกค้า ทั้งสองจัดทำสินค้าหลากหลาย ตั้งแต่อาหาร ไปจนถึงสินค้าหัตถกรรมที่สวยงาม โดยเฉพาะสินค้าที่หลินซูหนานทำด้วยมือซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้ร้านของทั้งสองมีชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว โดยตั้งร้านค้าชื่อซูหนานนอกจากการขายสินค้าแล้ว ฉู่ตงฟางยังให้บริการคุ้มภัยทางเรือแก่พ่อค้าและนักเดินทางที่ต้องการขนส่งสินค้าไปยังเมืองต่าง ๆ โดยตั้งชื่อสำนักคุ้มภัยซูหนานฉู่ตงฟางมีลูกน้องที่มีวรยุทธสูงส่งมากมายที่ลาออกจากการเป็นองครักษ์เพื่อมาติดตามเขา และเขาเองก็มีความสามารถในการจัดการที่ดีเยี่ยม ทำให้ลูกค้าต่างไว้ใจสำนักคุ้มภัยซูหนานของนายท่า
บทส่งท้าย ความสุขที่ต้องการ 1.2การสนทนานี้จบลงด้วยความเข้าใจและความรักที่มีต่อกัน ทั้งสองคนลุกขึ้นยืนและโบกมือให้กัน เป็นการกล่าวลาอย่างอบอุ่น ก่อนที่ฉู่ตงฟางจะเดินออกจากห้องทรงพระอักษร ไปสู่วิถีชีวิตใหม่ของเขา ขณะที่ฮ่องเต้ยืนอยู่ในห้องนั้น ด้วยรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่ต้องเผชิญในอนาคตหลังจากที่ฉู่ตงฟางและหลินซูหนานออกเดินทางไปท่องเที่ยว ทั้งสองก็ล่องเรือไปตามแม่น้ำที่สวยงาม โดยที่แรกที่ทั้งสองคนมุ่งไปเป็นเทือกเขาหมินซาน ที่นี่เป็นสถานที่ที่หลินซูหนานตั้งใจอยากมาเยี่ยมชมมานาน ด้วยความงดงามของธรรมชาติที่รายล้อมด้วยภูเขาเขียวขจีและดอกไม้ที่บานสะพรั่งเมื่อทั้งคู่มาถึงเทือกเขาหมินซาน ทิวทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ทำให้หลินซูหนานอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจ ฉู่ตงฟางมองดูนางด้วยความรัก เขาจับมือของนางขึ้นมาจับแล้วกล่าวอย่างหยอกล้อว่า“ดูสิ สถานที่นี้สวยงามไม่แพ้เจ้าเลย”“ท่านพี่ ข้าชอบที่นี่มากจริงๆ” หลินซูหนานกล่าวด้วยเสียงสดใส ยามนี้นางไม่เรียกเขาตำแหน่งอ๋องอีกแล้ว“ข้าดีใจที่เห็นเจ้ามีความสุข” ฉู่ตงฟางกล่าวด้วยรอยยิ้มทั้งสองใช้เวลาหลายวันในการเดินชมธรรมชาติ โดยฉู่ตงฟางพานางไปเก็บดอกไม้ท
บทส่งท้าย ความสุขที่ต้องการ 1.1 หนึ่งปีผ่านไปการเมืองในราชสำนักกลับมาสงบเงียบไร้ซึ่งเกลียวคลื่นใต้น้ำ ขุนนางทุกฝ่ายเริ่มเห็นพ้องต้องกัน และต่างรวมกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินฮ่องเต้ต้าเฟยได้แต่งตั้งฮองเฮาคู่กาย ฮองเฮาผู้นี้เป็นญาติห่าง ๆ ของหลินซูหนาน ในช่วงเวลานี้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน ในวันที่อากาศสดใส ฮ่องเต้ต้าเฟยได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมชาวบ้านด้วยพระองค์เอง โดยมีราชครูหลินเจิ้งหานตามเสด็จไปด้วยในฐานะพระอาจารย์ของฮ่องเต้ พวกเขาเดินทางไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งนาเขียวขจี ความงดงามของธรรมชาติทำให้ฮ่องเต้รู้สึกสดชื่น หลังจากที่ตรากตรำกับราชกิจอยู่ในวังมานานระหว่างที่พระองค์กำลังชมทัศนียภาพอยู่นั้น สายพระเนตรของพระองค์ก็ไปสะดุดกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่กลางทุ่งนานั้น ใบหน้าของนางสวยงามราวกับภาพวาด ผมยาวสลวยถูกลมพัดปลิวไสว ดวงตาส่องประกายมีชีวิตชีวา รอยยิ้มอ่อนหวานของนาง ดึงดูดใจพระองค์เป็นอย่างมากหญิงสาวผู้นี้กำลังช่วยชาวบ้านจัดการพืชผลที่เก็บได้ ในมือมีสมุดบัญชีอยู่หนึ่งเล่ม ซึ่งนางกำลังก้มหน้าก้มตาจดรายการพืชผลของช







