บทที่ 3 ดื้อรั้น
หลายนาทีต่อมา
วิกกี้ผู้จัดการสาวสองกุลีกุจอเข้ามาสวมกอดพราวดาวด้วยความตกใจ สองมือประคองใบหน้าเธอไว้หลวม ๆ ตรวจดูรอยเขียวช้ำที่ข้างแก้ม “เป็นยังไงบ้างลูก”
“ก็โอเคค่ะ ไม่ได้เจ็บมาก”
“โธ่ลูก”
“งานถ่ายแบบ พราวว่าพราวคงไปไม่ได้นะคะ หน้าบวมขนาดนี้ ถ่ายออกมาคงไม่สวย”
“พี่วิกกี้จัดการแล้วค่ะ เลื่อนถ่ายให้แล้ว”
“ขอบคุณค่ะ”
“คุณแฟรงค์บอกให้พี่วิกกี้พาน้องพราวไปหาหมอ ตรวจเช็กให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นอะไร ไปนะลูก...” รอยยิ้มของผู้จัดการสาวเหมือนกำลังบังคับเธอทางอ้อม พราวดาวกอดอกแล้วจ้องหน้าวิกกี้
“แฟรงค์บอกอะไรพี่วิกกี้บ้าง”
“คุณแฟรงค์บอกว่า ให้พี่วิกกี้พาหนูไปหาหมอที่โรงพยาบาล ตรวจเช็กร่างกาย แล้วก็ให้หนูกินข้าวกินยาตามที่หมอสั่ง ถ้าได้รับยามากินน่ะนะ เขาบอกเพียงเท่านี้ค่ะ”
“งั้นพราวไม่ไปค่ะ จะอยู่ที่นี่แหละ” พูดจบเธอก็ลุกขึ้น เดินเข้าไปในห้องนอนในขณะที่วิกกี้ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ให้กับความดื้อรั้นของพราวดาว ขนาดแฟรงค์ยังบังคับเธอไม่ได้ แล้วผู้จัดการตัวน้อย ๆ อย่างเธอจะไปบอกอะไรได้
ผู้จัดการสาวเดินตามมาในห้องนอน ยิ้มร่าให้พราวดาว
“แฟรงค์บังคับพี่วิกกี้มาใช่ไหม งั้นพราวก็จะบอกให้พี่วิกกี้กลับไปเหมือนกัน” เธอเอ่ยบอกเขาในขณะที่นอนหันหลังให้วิกกี้
“น้องพราว...อย่าดื้อนักเลยนะคะ นะ...ไปหาหมอกับพี่วิกกี้นะ นะคะลูก” วิกกี้พยายามเกลี้ยกล่อมพราวดาวที่เปรียบเสมือนลูกสาวที่เธอคลอดออกมาเอง แม้จะไม่มีมดลูกก็เถอะ
“พี่วิกกี้ก็อีกคน ทำไมต้องไปตามใจมันด้วย”
“ก็คุณแฟรงค์...เป็นเพื่อนหนูหนิลูก นะลูกสาว นะคะคนสวยของแม่”
“ก็ได้ค่ะ พราวจะไป...แต่แฟรงค์ต้องเป็นคนพาไปเท่านั้น”
“เอ่อ...” วิกกี้ละล่ำละลัก พูดไม่ออกบอกไม่ถูก เธอจึงเดินออกมาแล้วยกหูโทร. หาแฟรงค์ทันที เล่าปัญหาให้มาเฟียหนุ่มฟังจนได้คำตอบกลับมาว่า เขาจะมาหาพราวดาวที่คอนโดและขอให้วิกกี้กลับไป
หลายนาทีต่อมาหลังจากที่วิกกี้กลับไปแล้ว ภายในห้องพักเงียบงันเพราะเจ้าของห้องกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่งเล่น พราวดาวขยับขาแว่นตาเล็กน้อย จ้องไปที่เครื่องปรับอากาศ แต่ทว่าจู่ ๆ ประตูห้องเธอก็ถูกผลักเข้ามาอย่างเสียมารยาท ก่อนที่ร่างหนาจะปรากฏต่อหน้าเธอ
“แฟรงค์!”
“ไปกับกู”
“อ๊ะ! ไปไหน”
“ไปหาหมอ”
“ก็บอกแล้วว่าไม่ไปไง”
“แต่มึงบอกเองว่าจะไปหาหมอก็ต่อเมื่อกูพาไป นี่ไง หรืออยากให้กูทวนคำพูดนั้นอีกรอบ” คนตัวเล็กเลิ่กลั่กแล้วรีบสะบัดมือหนาออก “อย่าดื้อได้ไหมวะ อยากหน้าบวมเขียวช้ำแบบนั้นจนถึงวันทำงานหรือไง”
“ทำงาน...แกรู้เหรอว่าฉันมีงานวันไหน”
“เลิกพล่ามได้แล้วพราว จะไปดี ๆ หรือให้กูออกกำลังถึงจะไป” ไม่ทันที่พราวดาวจะได้พูดอะไร ร่างเธอก็ลอยหวือขึ้นมาแนบอกแฟรงค์ ด้วยความที่ไม่ได้ตั้งตัว เธอจึงรีบตวัดแขนโอบคอหนาไว้แน่น หลับตาปี๋ด้วยความกลัว
“ฉันเดินเองได้ ปล่อย!”
“เดินเองแต่ก็ไม่ยอมไป งั้นก็อยู่นิ่ง ๆ หากดื้ออีกกูไม่รับประกันนะว่าถ้าตกลงไปจะเจ็บกว่ารอยช้ำที่หน้าเธอหรือเปล่า” คำขู่ของแฟรงค์ได้ผลเมื่อพราวดาวยอมอยู่นิ่ง ๆ ในอ้อมกอดเขา เธอเบ้ปากแล้วกอดรัดคอเขาแน่นแทบหายใจไม่ออก
“แล้วจะถอนหายใจทำไม ไม่เต็มใจก็ปล่อย”
“เลิกปากดีกับกูสักวันได้ไหม อย่ายั่วโมโหให้มาก”
“ฉันก็เป็นแบบนี้”
“...” แฟรงค์ปรายตามองเจ้าของคำพูดนั้นเพียงนิดแล้วพาพราวดาวเข้ามาในลิฟต์ ลูกน้องหนุ่มที่เข้ามาด้วยกดลิฟต์ไปยังชั้นใต้ดินที่เป็นลานจอดรถส่วนตัว
หลายนาทีต่อมา
นางแบบสาวนั่งยิ้มบาง ๆ ให้หมอรุ่นพี่ที่กำลังทำการตรวจเธออย่างละเอียดตามคำสั่งของมาเฟียหนุ่ม ซึ่งแฟรงค์ยืนคุมเชิงอยู่ด้านหลังพราวดาว
“ไม่เป็นไรมากนะพราว แต่พี่ว่าเราแจ้งความดีไหม มันอันตรายมากนะครับ” นายแพทย์หนุ่มเอ่ยบอกผู้เป็นน้องด้วยความเป็นห่วง พราวดาวถอนหายใจยาว ๆ
“อยากทำแบบนั้นนะคะ แต่เรื่องมันจะวุ่นวายไปอีก อีกอย่าง...แฟรงค์ก็จัดการให้พราวแล้ว”
“เฮ้อ เอาเป็นว่าพี่จะให้ยาลดอาการบวมไปกินนะครับ แล้วก็ยาทาแก้ฟกช้ำ ส่วนแผลที่มุมปากก็ไม่ต้องห่วง ไม่เป็นแผลเป็นแน่นอนครับ”
พราวดาวคลี่ยิ้มหวานให้หมอหนุ่ม ก่อนจะแหงนมองแฟรงค์ที่ยืนกอดอกมองเธอไม่พูดไม่จาอยู่ด้านหลัง
“ยิ้มหน่อยดิ ก็มาหาหมอแล้วนี่ไง”
“เฮอะ! กล้าพูดนะ ถ้ากูไม่พามามึงก็ไม่มา”
“นายมาด้วยก็อุ่นใจแหละ ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องห่วง”
“ห่วง? ฮึ!” เขาแค่นหัวเราะออกมาอย่างหนักกับคำพูดของพราวดาว “ออกไปรอข้างนอก” พูดจบเขาก็เดินออกมาจากห้องตรวจ เดินไปหาลูกน้องเพื่อสั่งงานบางอย่าง
“นายจะกลับเลยเหรอครับ คุณพราวยังไม่ออกมาเลย”
“มีธุระต้องไปทำ พวกมึงดูแลพราวด้วย อย่าให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีก เพราะกูจะไม่เอาใครไว้แน่” คำสั่งเด็ดขาดที่มาพร้อมสายตาดุดันจ้องพวกเขาทั้งสอง แล้วเจ้านายก็เดินออกไปทันที ครู่หนึ่งพราวดาวก็เดินออกมาจากห้องตรวจพร้อมกับหมอที่เป็นรุ่นพี่ของเธอ คลาดกับแฟรงค์เพียงเสี้ยวนาทีเท่านั้น
“แฟรงค์ไปไหน” หญิงสาวเอ่ยถามลูกน้องคนสนิทเขาที่ยืนก้มหน้าอยู่หน้าห้องตรวจ
“นายกลับแล้วครับ นายให้พวกผมพาคุณพราวกลับ” สิ้นเสียงลูกน้องหนุ่ม นางแบบสาวก็ถอนหายใจออกอย่างเบื่อหน่าย
“ก็แค่รอกลับพร้อมกัน มันจะตายหรือไงวะ” เธอเบะปาก เดินตึงตังไปที่เคาน์เตอร์เพื่อรับยา จากนั้นก็กลับไปขึ้นรถด้วยความหงุดหงิด
“หลอกให้มาแล้วก็มาทิ้งไว้ที่โรงพยาบาล มันน่าตบให้คว่ำสักทีหนึ่ง!”
ตอนพิเศษ 2 วันต่อมา แฟรงค์นั่งขัดสมาธิพับใบตองตามที่พราวดาวสั่ง ส่วนลูกน้องคนอื่น ๆ ก็ปูเสื่อนั่งทำกระทงของตนเองอยู่ในสวน เพราะวันนี้เจ้านายจะพาออกไปเที่ยวข้างนอก “เท” หนูพิ้งค์ยื่นดอกไม้ให้แล้วขยับตัวไปนั่งบนหน้าตักของเทนต์ ทำเอาแฟรงค์หยุดชะงักเหลือบตามองลูกน้องอย่างเอาเรื่อง “คุณหนูทำกระทงไหมครับ เดี๋ยวผมสอนพับกระทงนะ” เทนต์ไม่ได้มองเจ้านายและสอนคุณหนูพับใบตองทำกระทงเล็ก ๆ เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยเรียกความสนใจจากเหล่าแม่บ้านและบอดีการ์ดคนอื่นได้เป็นอย่างดี “หนูพิ้งค์อยู่กับเทนต์ก็ดีแล้วค่ะ แกจะได้ไม่ป่วนคนอื่น” พราวดาวห้ามแฟรงค์ที่ตั้งท่าจะเดินไปหาลูกสาว แต่กลับถูกพราวดาวรั้งตัวไว้ด้วยคำพูด “หนูพิ้งค์แกเป็นเด็กเรียบร้อยนะคะ” “เฮ้อ...เรียบร้อยแล้วยังไง แฟรงค์ห่วงลูกมากอยู่ดี” “แฟรงค์ห่วงลูก หวงลูกอะได้ พราวไม่ห้ามหรอกค่ะ แต่คนในบ้านเว้นไว้ได้ไหม อย่างน้อย ๆ พวกเขาก็ช่วยเลี้ยงยายหนูมานะ” “คนในบ้านก็ไม่น่าไว้ใจเท่าไร ยิ่งหนูพิ้งค์สนิทกับเทนต์มากแค่ไหนแฟรงค์ยิ่งไม่ชอบ” มาเฟียหนุ่มขมวดคิ้วแน
ตอนพิเศษ 1 หนึ่งปีต่อมา กาลเวลาผ่านมาอย่างรวดเร็ว แต่ความรักของเขาและเธอยังคงสดใสเหมือนวันแรกที่คบกัน “หนูพิ้งค์อย่าวิ่งค่ะ เดี๋ยวล้มคุณแม่ไม่โอ๋นะคะ” นางแบบสาวดุลูกสาวตัวน้อยที่กำลังอยู่ในวัยซุกซน เธอวิ่งเล่นอยู่ในสวนหลังบ้าน และได้หันมามองหน้าแม่เมื่อได้ฟังสิ่งที่แม่บอก “หนูจะให้เทโอ๋” เด็กน้อยที่ยังพูดไม่ชัดเท่าไรตอบกลับแม่ ทำเอาพราวดาวอึ้งกินกับสิ่งที่ได้ฟัง “หนูไปเอาคำพูดพวกนั้นมาจากไหนคะเนี่ย หนูพูดแบบนั้นไม่ได้นะคะหนูพิ้งค์” “หนูจะไปหาเท” ว่าจบก็วิ่งหน้าตั้งจนปลายผมถักเปียสะบัดไปมาไปหาเทนต์ที่ห้องพักบอดีการ์ด เด็กน้อยมาแอบอยู่ที่ประตูห้องแล้วกวาดสายตามองหาคนที่จะมาหา เมื่อเห็นเป้าหมายแล้วจึงวิ่งไปกอดขาเทนต์ไว้แน่นจนชายหนุ่มตกใจ “คุณหนูครับ เล่นแบบนี้ไม่ได้นะครับ ถ้าผมถือของมีคมอยู่จะทำยังไง” เทนต์ย่อเข่านั่งลงตรงหน้าหนูพิ้งค์แล้วลูบผมออกจากพวงแก้มแดงปลั่งจากการวิ่งมา เด็กน้อยยังอยู่ในอาการหอบหายใจเร็ว “ไปเย็งกัง” “ไม่เล่นแล้วครับ ตอนนี้ผมทำงานอยู่” “เย็งกัน” ม
บทที่ 69 ตอนจบ หลายเดือนต่อมา “คุณหนูไม่เล่นนะครับ เดี๋ยวคุณพ่อดุเอานะ” เทนต์ลูกน้องคนสนิทแฟรงค์กำลังดุคุณหนูตัวน้อยที่กำลังซนเดินเล่นรอบบ้าน วันนี้มีการนัดกินข้าวและประชุมใหญ่ของตระกูลโสภณ เขากับพี่เลี้ยงคุณหนูพิ้งค์อีกคนจึงต้องพาเธอออกมาเดินเล่นที่สวน เพราะบรรยากาศในห้องรับประทานอาหารไม่ค่อยดีเท่าไร “แอ๊ะ~” เด็กน้อยวัยหนึ่งขวบเดินเตาะแตะล้มบ้างไม่ล้มบ้าง เธอหัวเราะขบขันที่เห็นเทนต์วิ่งตามมาจับแล้วอุ้มขึ้นไปแนบอก “ปาปะ” “ไม่ใช่ครับ ไม่ปะป๋าครับ” เขาปัดเศษหญ้าออกจากตัวคุณหนูแล้วพาเธอเดินไปนั่งลงบนม้านั่ง หนูพิ้งค์นั่งนิ่งฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจพลางปรบมือแปะ ๆ เมื่อเทนต์ไกวชิงช้าไปมาเบา ๆ “ชอบเหรอครับ” “อื้อ~” เด็กน้อยยิ้มแป้นแล้วแหงนมองหน้าเขา หนูพิ้งค์ส่งสายตาหวานเยิ้มและรอยยิ้มที่ทำเอาคนทื่อ ๆ แข็งกระด้างเป็นต้องโอนอ่อนและเผยรอยยิ้มเอ็นดูออกมา “เท...” หนูพิ้งค์เอนตัวไปซบอกแกร่งอย่างออดอ้อนออเซาะ นิ้วน้อย ๆ เขี่ยแก้มเทนต์เบา ๆ พลางทำปากยื่น ๆ “คุณหนูจะเอาอะไรครับ” “หม่ำ ๆ กิงหม่ำ ๆ” “อา...นา
บทที่ 68 ความรัก ในช่วงชีวิตนางแบบคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าชีวิตข้างหน้าจะดังเป็นพลุแตก หรือดับอนาถไม่ได้เฉิดฉายอยู่ในวงการ แต่วันนี้มีผู้ชายคนหนึ่งทำให้เธอรู้ว่าบนโลกใบนี้เธอไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว ยังมีเขาที่เป็นดั่งลมหายใจและทุก ๆ อย่างในชีวิต “ขอบคุณมากนะที่รักที่ดูแลกันมา” พราวดาวที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างเอี้ยวหน้ามายิ้มให้คนรักซึ่งแฟรงค์ยืนโอบเอวเธออยู่ด้านหลัง มาเฟียหนุ่มกดปลายจมูกลงบนไหล่มนอย่างแผ่วเบา “หากไม่ใช่เธอ ฉันเองก็ไม่รู้จะเป็นแบบไหน ชีวิตดำเนินไปในทางไหนมากกว่ากันระหว่างเป็นคนเลวกับเป็นคนดี แต่เพราะมีเธอ ชีวิตฉันถึงดีขึ้น เธอเองก็เป็นดั่งดวงใจของฉัน” “ปากหวานแบบนี้อยากให้พราวมีน้องให้หนูพิ้งค์เหรอคะ” แฟรงค์คลี่ยิ้มชอบใจกับคำถามเชิงหยอกล้อแฟนสาว แม้จะรู้ว่าเป็นเพียงการเย้าหยอก แต่เขากลับรู้สึกดีจนต้องซุกหน้าลงกับไหล่พราวดาว หลบสายตาเธอด้วยความเขินอาย “อย่ามาพูดดีกว่า ในเมื่อไม่อนุญาตให้มีอะ” แฟรงค์เบะปากใส่พราวดาว เพราะเธอเป็นคนบอกเองว่าจะยังไม่มีลูกคนที่สองถ้าหนูพิ้งค์ยังไม่สองขวบ “จริง ๆ แล้วลูกอาจจะอยากมีน้องนะ” แฟ
บทที่ 67 ครอบครัว หลายเดือนต่อมา พราวดาวอุ้มลูกน้อยในวัยเจ็ดเดือนไปที่สวนหลังบ้าน เพราะคุณปู่คุณย่ารอเล่นกับหลานอยู่ที่นั่น วันนี้เป็นวันคริสต์มาสเลยมีการแลกของขวัญกันหน่อย “หลานปู่มาแล้ว” พอพิ้งค์ได้ยินเสียงคุ้นหู เธอก็กรีดร้องและดีดดิ้นดีใจที่เห็นหน้าปู่กับย่า “มาหาปู่มาลูก” คาร์ลลุกขึ้นมาอุ้มหลานสาวมาแนบอก พร้อมทั้งหอมแก้มหนูพิ้งค์ไปหนึ่งฟอดใหญ่ด้วยความคิดถึงมาก ๆ แม้ว่าพราวดาวจะไม่ได้ย้ายมาอยู่กับเขาตามที่พูดกันไว้ แต่ก็พาหลานสาวมาหาทุกวัน ทว่าความคิดถึงปู่กับย่าก็มีให้ทุกวันเหมือนกัน “แอ๊ะ~” หนูพิ้งค์ส่งเสียงอ้อแอ้มองหน้าปู่กับย่าด้วยรอยยิ้มสดใส เธอยกมือขึ้นมาลูบแก้มปู่แล้วซบหน้าลงกับบ่า “นี่หนูง่วงนอนเหรอเนี่ย หรือว่าอยากได้อะไรครับ” “พ่อไม่ต้องตามใจพิ้งค์เลย เดี๋ยวเอาแต่ใจ เสียนิสัยอีก” แฟรงค์รีบดักทางพ่อกับแม่ไว้ เพราะท่านทั้งสองเอาใจและตามใจหนูพิ้งค์เก่งพอ ๆ กับตามใจลูกสะใภ้ พราวดาวคลี่ยิ้มจนตาหยีเมื่อเห็นปู่ย่าทำหน้าสลดเมื่อถูกลูกชายปรามไว้ “ความสุขของท่านค่ะ ให้แกทำเถอะ” “ไม่ได้
บทที่ 66 ความสุข “มันไม่ยากขนาดนั้นหรอกน่าเพื่อน มึงออกจะหล่อ สูงยาวขาวตี๋แบบนี้ ผู้หญิงคนไหนก็อยากเข้าหา” หมอพีทหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกอย่างหนักแล้วหันมองหน้าแฟรงค์อย่างเหนื่อยหน่ายใจ “ก็ถ้าเป็นอย่างที่พูดก็ดีดิ กูเจอแต่คนไม่จริงใจ” “เออน่า ครั้งนี้ต้องเจอคนที่ดีแน่” “สองปีครั้งเนี่ยนะ” “เออ ดีกว่าไม่มีคนมาจีบแล้วกัน” “แหม...มึงมีเมียแล้วก็พูดได้ดิ กูยังไม่มี มันหายากเว้ย!” แฟรงค์หัวเราะขบขันกับสีหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ของเพื่อนรัก “มีเมียไม่พอ ยังหลงลูกหลงเมียอีก” “ก็ธรรมดาไหมวะ” หมอพีทกลอกตามองบนกับสิ่งที่ได้ยิน “เออ...มองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้วว่าคุณพ่อป้ายแดงขาโหดอย่างแฟรงค์หลงลูกหลงเมียมากแค่ไหนน่ะ” “ก็จริง ไม่กล้าเถียงเลย” แฟรงค์ยกยิ้มมุมปาก จากนั้นจึงเดินออกมาด้านนอก “ทำอะไรกันครับ” แฟรงค์เดินไปหาพราวดาวแล้วโน้มตัวลงไปโอบกอดเธอไว้หลวม ๆ “กำลังกินน้ำร้อนอยู่ค่ะ คุณแม่โทร. มาบอกให้พราวกินน้ำร้อนบ่อย ๆ แล้วเดี๋ยวอีกสิบห้าวันท่านจะมาหาและให้พราวอยู่ไฟ