บทที่ 2 เศษเสี้ยวความห่วงใย
00:00
พราวดาวข่มตาหลับด้วยความระแวง ภายในห้องพักถูกปกคลุมด้วยความเงียบจนน่าหวาดหวั่น นางแบบสาวหลับตาลง ผ่อนลมหายใจเข้าออกทำสมาธิจนในที่สุดเธอก็หลับใหลไปด้วยความเพลีย
เช้าวันต่อมา
แสงแดดอ่อน ๆ จากยามเช้าสาดส่องผ่านม่านระเบียงมากระทบกับใบหน้าเกลี้ยงเกลา ปลายจมูกเธอแดงซ่านจากอาการภูมิแพ้อากาศในช่วงเช้า ความเพลียทำให้เธอไม่อยากตื่นหรือลุกออกจากเตียง ทว่า ณ ตอนนี้กลับรู้สึกวูบวาบเหมือนมีคนจ้องอยู่ทางด้านหลัง พราวดาวจึงดันตัวลุกขึ้นแล้วหันไปมองทางด้านหลัง
“แฟรงค์...” ร่างหนานั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาดุดันจ้องมองมาที่ร่างเธอไม่ลดละ “มาตั้งแต่เมื่อไหร่” พราวดาวขยับปากถามเสียงพร่า
“...” แฟรงค์เงียบไม่ตอบคำถาม เขาพ่นลมหายใจออกหนัก ๆ หนึ่งครั้งแล้วเอ่ยตอบเธอ “เมื่อคืน”
“รู้แล้วสินะ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน”
“อืม”
“ปิดข่าวให้หน่อย ฉันไม่อยากให้เป็นข่าว”
“มันใช่เรื่องเหรอ เธอคิดว่าชีวิตมันจะสามารถกลับมาใหม่ได้อีกครั้งงั้นเหรอ”
“เรื่องปกติ ฉันอยู่ในวงการนี้มานานแล้ว แกก็รู้ว่ามันเป็นยังไง แล้วแกไม่มีสิทธิ์มาพูดกับฉันด้วยคำพูดแบบนั้น”
“ฮึ! คนที่ไม่มีสิทธิ์พูดคือเธอพราว” พราวดาวหันไปมองทางอื่นอย่างยิ้ม ๆ
“มีความสุขนะเนี่ย ทำให้เจ้าพ่อมาเฟียอย่างแฟรงค์หัวร้อนได้”
“กูไม่ตลก” น้ำเสียงเย็นชาเปล่งออกมาเมื่ออีกฝ่ายยังทำเป็นพูดเล่นแกมหัวเราะอยู่แบบนี้ ทั้งที่เรื่องเมื่อวานนี้เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
พราวดาวหยัดกายลุกออกมาจากเตียงนอนด้วยความเพลียสุด ๆ แรงตบไอ้บ้านั่นทำใบหน้าเธอร้าวระบมและบวมนิด ๆ ด้วย
“อ๊ะ! ปล่อย แฟรงค์”
“อยู่นิ่ง ๆ ดิ!” มาเฟียหนุ่มออกสั่งเสียงเข้ม ลากแขนพราวดาวเดินออกมาจากห้องนอน พาไปที่ห้องนั่งเล่นแล้วจึงกดไหล่เธอ บังคับให้นั่งลงบนโซฟา “ถ้าขยับ! กูเอามึงเจ็บกว่าโดนไอ้เหี้ยพวกนั้นทำร้ายแน่ เลือกเอาว่าต้องการแบบไหน ระหว่างนั่งนิ่ง ๆ เป็นเด็กเรียบร้อยกับขัดขืนกูแล้วถูกทำโทษ”
“แล้วแกแน่ใจเหรอ ว่าฉันกลัวสิ่งที่แกขู่ มีสิทธิ์มาออกคำสั่งตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ”
“อย่าท้าทายกู” แฟรงค์ออกแรงบีบข้อมือหญิงสาวอย่างลืมตัว เขารู้ดีว่าคนอย่างพราวดาวดื้อรั้นแค่ไหน และคงเป็นเพราะไม่เคยมีใครกล้าต่อปากต่อคำกับเขาเหมือนพราวดาวละมั้ง พอเธอมีคำพูดขึ้นมาหน่อยเขาจึงรู้สึกหงุดหงิดหากเป็นลูกน้อง ป่านนี้มันคงได้ไปนอนในโลงแล้ว
“เลิกทำเหมือนห่วงฉันได้แล้ว วงการบันเทิงมันก็เป็นแบบนี้แหละ หรือแกยังไม่ชิน” แฟรงค์พยายามสะกดกลั้นอารมณ์คุกรุ่น ก่อนจะปล่อยพราวดาวแล้วถอยออกมาจากเธอหนึ่งก้าว
“แล้วไปหาพ่อเธอบ้างหรือยัง” คำถามที่ทำเอาคนถูกถามทำหน้าเหนื่อยหน่ายสุด ๆ คนตัวเล็กถอนหายใจออกยาว ๆ
“แกก็รู้ว่าพ่อเกลียดฉันเข้าไส้ ขืนไปให้เห็นหน้าความดันคงขึ้นอีก” เธอพูดประโยคนั้นด้วยท่าทางสบาย ๆ แล้วลุกขึ้นยืน เดินนวยนาดไปที่ห้องครัวเล็ก ๆ ซึ่งไม่ได้มีอุปกรณ์ทำครัวเลย “แล้วแกมาทำอะไร อย่าบอกนะว่าเป็นห่วงมากจนต้องถ่อมาหาที่คอนโด” นางแบบสาวเหยียดยิ้มมุมปากที่แฟรงค์เงียบไป
“อืม” แฟรงค์เปล่งเสียงตอบในลำคอ ก่อนจะเดินไปหาพราวดาวแล้วจับตัวเธอหันมามองหน้ากันตรง ๆ ภายใต้ความเงียบงัน มีสองดวงใจที่ยังเต้นปกติ แต่ทว่าจู่ ๆ หัวใจดวงน้อยกลับเต้นแรงอย่างบ้าคลั่งเมื่ออีกฝ่ายโน้มใบหน้าลงมาใกล้จนปลายจมูกโด่งคมสัมผัสกับปลายจมูกเธอ ลมหายใจร้อนผะผ่าวเจือมาด้วยกลิ่นบุหรี่เป่ารดริมฝีปากเธอเบา ๆ
“ออกไป”
“ทำเป็นปากดี” แม้น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจะห้วน ๆ แต่ก็แฝงไปด้วยความห่วงใยแม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวก็ตาม
“จะให้จัดการยังไง”
“อะไร” พราวดาวถามเสียงเรียบ
“ก็ไอ้สองตัวนั้น ฆ่าทิ้งหรือทรมานมันให้ตายช้า ๆ ดี”
“แล้วแต่แกจะจัดการ แต่ช่วยปิดข่าวให้ก่อน ไม่อยากเป็นข่าว เบื่อต้องให้สัมภาษณ์นักข่าวอีก” ใบหน้าสวยหงิกงอเมื่อนึกเห็นตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางหมู่นักข่าวที่มารุมล้อมถามเรื่องถูกทำร้าย ดวงตากลมโตกะพริบปริบ ๆ มองมาเฟียหนุ่ม “หิว” พราวดาวเปลี่ยนประเด็น เธอแสร้งเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหาของกิน
“จะกินอะไร” เขาถามเสียงเข้ม กอดอกมองพราวดาวอย่างรอคำตอบ แต่หญิงสาวกลับมองเขาราวกับว่าจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็หันหลังเดินออกไปจากห้องครัวหน้าตาเฉย “ถาม ไม่ได้ยิน หรืออยากให้กูทำอย่างอื่น บอกมา”
“อยากกินข้าวไข่เจียวฝีมือแฟรงค์ ทำให้กินได้ไหม”
“อุปกรณ์ทำครัวไม่มี เอาไว้วันหลัง ตอนนี้สั่งมากินก่อน”
“อืม เอาอะไรก็ได้ที่แกชอบกิน”
“อืม” เขาตอบรับในลำคอเบา ๆ แล้วกดโทรศัพท์เดินออกไปจากห้องเธอ พราวดาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองตามแผ่นหลังกำยำจนลับตา เขาหายไปนานหลายนาที และกลับมาพร้อมกับอาหารที่สั่งไป “มอง?” มาเฟียหนุ่มเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย
“ปกติแกเคยใส่ใจเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ งงว่าทำไมต้องทำขนาดนี้”
“เรื่องอะไร”
“ก็ที่แกมาหา แถมยังสั่งอาหารมาให้ และยังใจดีจะทำไข่เจียวให้กิน แต่เผอิญว่าครัวไม่พร้อมฉันเลยอด”
“กูก็ทำตัวปกติ”
“อืม ปกติก็ปกติ แล้วนี่ไปหาน้องว่าที่คู่หมั้นบ้างหรือยัง”
“ไม่ใช่ธุระ”
“แฟรงค์...เอาจริง ๆ นะ ฉันไม่อยากให้นายเข้ามายุ่งเกี่ยวแล้ว ฉันว่าเราควรจบความสัมพันธ์นี้ได้แล้วนะ” แฟรงค์หยุดชะงัก เขาปรายตามองพราวดาวเพียงนิด
“ก็ถ้าทำได้ ก็ลองดู...”
“หมายความว่ายังไง”
“ก็หมายความอย่างที่พูด” มาเฟียหนุ่มยกยิ้มมุมปาก ก่อนที่จะออกไปจากห้องพักพราวดาวโดยไม่บอกลาหรือพูดอะไรต่อจากประโยคนั้น นางแบบสาวทิ้งตัวลงกับโซฟาตัวยาวด้วยความเหนื่อยหน่าย แต่ในจังหวะที่จะถอนหายใจ โทรศัพท์เครื่องหรูก็สั่นสะเทือนอยู่บนโต๊ะ ยิ่งเห็นว่าเป็นเบอร์ใครแล้ว ความเหนื่อยหน่ายยิ่งถาโถมเข้าใส่
“ค่ะ”
(หนูตื่นแล้วเหรอลูก เดี๋ยวพี่เข้าไปหานะคะ)
“พี่วิกกี้...เราเลื่อนงานถ่ายแบบออกไปได้ใช่ไหม”
(ได้ค่ะได้ เดี๋ยวเราค่อยคุยกันนะคะ) ผู้จัดการเธอพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนก่อนสายจะถูกตัดไป
“เฮ้อ...”
ตอนพิเศษ 2 วันต่อมา แฟรงค์นั่งขัดสมาธิพับใบตองตามที่พราวดาวสั่ง ส่วนลูกน้องคนอื่น ๆ ก็ปูเสื่อนั่งทำกระทงของตนเองอยู่ในสวน เพราะวันนี้เจ้านายจะพาออกไปเที่ยวข้างนอก “เท” หนูพิ้งค์ยื่นดอกไม้ให้แล้วขยับตัวไปนั่งบนหน้าตักของเทนต์ ทำเอาแฟรงค์หยุดชะงักเหลือบตามองลูกน้องอย่างเอาเรื่อง “คุณหนูทำกระทงไหมครับ เดี๋ยวผมสอนพับกระทงนะ” เทนต์ไม่ได้มองเจ้านายและสอนคุณหนูพับใบตองทำกระทงเล็ก ๆ เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยเรียกความสนใจจากเหล่าแม่บ้านและบอดีการ์ดคนอื่นได้เป็นอย่างดี “หนูพิ้งค์อยู่กับเทนต์ก็ดีแล้วค่ะ แกจะได้ไม่ป่วนคนอื่น” พราวดาวห้ามแฟรงค์ที่ตั้งท่าจะเดินไปหาลูกสาว แต่กลับถูกพราวดาวรั้งตัวไว้ด้วยคำพูด “หนูพิ้งค์แกเป็นเด็กเรียบร้อยนะคะ” “เฮ้อ...เรียบร้อยแล้วยังไง แฟรงค์ห่วงลูกมากอยู่ดี” “แฟรงค์ห่วงลูก หวงลูกอะได้ พราวไม่ห้ามหรอกค่ะ แต่คนในบ้านเว้นไว้ได้ไหม อย่างน้อย ๆ พวกเขาก็ช่วยเลี้ยงยายหนูมานะ” “คนในบ้านก็ไม่น่าไว้ใจเท่าไร ยิ่งหนูพิ้งค์สนิทกับเทนต์มากแค่ไหนแฟรงค์ยิ่งไม่ชอบ” มาเฟียหนุ่มขมวดคิ้วแน
ตอนพิเศษ 1 หนึ่งปีต่อมา กาลเวลาผ่านมาอย่างรวดเร็ว แต่ความรักของเขาและเธอยังคงสดใสเหมือนวันแรกที่คบกัน “หนูพิ้งค์อย่าวิ่งค่ะ เดี๋ยวล้มคุณแม่ไม่โอ๋นะคะ” นางแบบสาวดุลูกสาวตัวน้อยที่กำลังอยู่ในวัยซุกซน เธอวิ่งเล่นอยู่ในสวนหลังบ้าน และได้หันมามองหน้าแม่เมื่อได้ฟังสิ่งที่แม่บอก “หนูจะให้เทโอ๋” เด็กน้อยที่ยังพูดไม่ชัดเท่าไรตอบกลับแม่ ทำเอาพราวดาวอึ้งกินกับสิ่งที่ได้ฟัง “หนูไปเอาคำพูดพวกนั้นมาจากไหนคะเนี่ย หนูพูดแบบนั้นไม่ได้นะคะหนูพิ้งค์” “หนูจะไปหาเท” ว่าจบก็วิ่งหน้าตั้งจนปลายผมถักเปียสะบัดไปมาไปหาเทนต์ที่ห้องพักบอดีการ์ด เด็กน้อยมาแอบอยู่ที่ประตูห้องแล้วกวาดสายตามองหาคนที่จะมาหา เมื่อเห็นเป้าหมายแล้วจึงวิ่งไปกอดขาเทนต์ไว้แน่นจนชายหนุ่มตกใจ “คุณหนูครับ เล่นแบบนี้ไม่ได้นะครับ ถ้าผมถือของมีคมอยู่จะทำยังไง” เทนต์ย่อเข่านั่งลงตรงหน้าหนูพิ้งค์แล้วลูบผมออกจากพวงแก้มแดงปลั่งจากการวิ่งมา เด็กน้อยยังอยู่ในอาการหอบหายใจเร็ว “ไปเย็งกัง” “ไม่เล่นแล้วครับ ตอนนี้ผมทำงานอยู่” “เย็งกัน” ม
บทที่ 69 ตอนจบ หลายเดือนต่อมา “คุณหนูไม่เล่นนะครับ เดี๋ยวคุณพ่อดุเอานะ” เทนต์ลูกน้องคนสนิทแฟรงค์กำลังดุคุณหนูตัวน้อยที่กำลังซนเดินเล่นรอบบ้าน วันนี้มีการนัดกินข้าวและประชุมใหญ่ของตระกูลโสภณ เขากับพี่เลี้ยงคุณหนูพิ้งค์อีกคนจึงต้องพาเธอออกมาเดินเล่นที่สวน เพราะบรรยากาศในห้องรับประทานอาหารไม่ค่อยดีเท่าไร “แอ๊ะ~” เด็กน้อยวัยหนึ่งขวบเดินเตาะแตะล้มบ้างไม่ล้มบ้าง เธอหัวเราะขบขันที่เห็นเทนต์วิ่งตามมาจับแล้วอุ้มขึ้นไปแนบอก “ปาปะ” “ไม่ใช่ครับ ไม่ปะป๋าครับ” เขาปัดเศษหญ้าออกจากตัวคุณหนูแล้วพาเธอเดินไปนั่งลงบนม้านั่ง หนูพิ้งค์นั่งนิ่งฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจพลางปรบมือแปะ ๆ เมื่อเทนต์ไกวชิงช้าไปมาเบา ๆ “ชอบเหรอครับ” “อื้อ~” เด็กน้อยยิ้มแป้นแล้วแหงนมองหน้าเขา หนูพิ้งค์ส่งสายตาหวานเยิ้มและรอยยิ้มที่ทำเอาคนทื่อ ๆ แข็งกระด้างเป็นต้องโอนอ่อนและเผยรอยยิ้มเอ็นดูออกมา “เท...” หนูพิ้งค์เอนตัวไปซบอกแกร่งอย่างออดอ้อนออเซาะ นิ้วน้อย ๆ เขี่ยแก้มเทนต์เบา ๆ พลางทำปากยื่น ๆ “คุณหนูจะเอาอะไรครับ” “หม่ำ ๆ กิงหม่ำ ๆ” “อา...นา
บทที่ 68 ความรัก ในช่วงชีวิตนางแบบคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าชีวิตข้างหน้าจะดังเป็นพลุแตก หรือดับอนาถไม่ได้เฉิดฉายอยู่ในวงการ แต่วันนี้มีผู้ชายคนหนึ่งทำให้เธอรู้ว่าบนโลกใบนี้เธอไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว ยังมีเขาที่เป็นดั่งลมหายใจและทุก ๆ อย่างในชีวิต “ขอบคุณมากนะที่รักที่ดูแลกันมา” พราวดาวที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างเอี้ยวหน้ามายิ้มให้คนรักซึ่งแฟรงค์ยืนโอบเอวเธออยู่ด้านหลัง มาเฟียหนุ่มกดปลายจมูกลงบนไหล่มนอย่างแผ่วเบา “หากไม่ใช่เธอ ฉันเองก็ไม่รู้จะเป็นแบบไหน ชีวิตดำเนินไปในทางไหนมากกว่ากันระหว่างเป็นคนเลวกับเป็นคนดี แต่เพราะมีเธอ ชีวิตฉันถึงดีขึ้น เธอเองก็เป็นดั่งดวงใจของฉัน” “ปากหวานแบบนี้อยากให้พราวมีน้องให้หนูพิ้งค์เหรอคะ” แฟรงค์คลี่ยิ้มชอบใจกับคำถามเชิงหยอกล้อแฟนสาว แม้จะรู้ว่าเป็นเพียงการเย้าหยอก แต่เขากลับรู้สึกดีจนต้องซุกหน้าลงกับไหล่พราวดาว หลบสายตาเธอด้วยความเขินอาย “อย่ามาพูดดีกว่า ในเมื่อไม่อนุญาตให้มีอะ” แฟรงค์เบะปากใส่พราวดาว เพราะเธอเป็นคนบอกเองว่าจะยังไม่มีลูกคนที่สองถ้าหนูพิ้งค์ยังไม่สองขวบ “จริง ๆ แล้วลูกอาจจะอยากมีน้องนะ” แฟ
บทที่ 67 ครอบครัว หลายเดือนต่อมา พราวดาวอุ้มลูกน้อยในวัยเจ็ดเดือนไปที่สวนหลังบ้าน เพราะคุณปู่คุณย่ารอเล่นกับหลานอยู่ที่นั่น วันนี้เป็นวันคริสต์มาสเลยมีการแลกของขวัญกันหน่อย “หลานปู่มาแล้ว” พอพิ้งค์ได้ยินเสียงคุ้นหู เธอก็กรีดร้องและดีดดิ้นดีใจที่เห็นหน้าปู่กับย่า “มาหาปู่มาลูก” คาร์ลลุกขึ้นมาอุ้มหลานสาวมาแนบอก พร้อมทั้งหอมแก้มหนูพิ้งค์ไปหนึ่งฟอดใหญ่ด้วยความคิดถึงมาก ๆ แม้ว่าพราวดาวจะไม่ได้ย้ายมาอยู่กับเขาตามที่พูดกันไว้ แต่ก็พาหลานสาวมาหาทุกวัน ทว่าความคิดถึงปู่กับย่าก็มีให้ทุกวันเหมือนกัน “แอ๊ะ~” หนูพิ้งค์ส่งเสียงอ้อแอ้มองหน้าปู่กับย่าด้วยรอยยิ้มสดใส เธอยกมือขึ้นมาลูบแก้มปู่แล้วซบหน้าลงกับบ่า “นี่หนูง่วงนอนเหรอเนี่ย หรือว่าอยากได้อะไรครับ” “พ่อไม่ต้องตามใจพิ้งค์เลย เดี๋ยวเอาแต่ใจ เสียนิสัยอีก” แฟรงค์รีบดักทางพ่อกับแม่ไว้ เพราะท่านทั้งสองเอาใจและตามใจหนูพิ้งค์เก่งพอ ๆ กับตามใจลูกสะใภ้ พราวดาวคลี่ยิ้มจนตาหยีเมื่อเห็นปู่ย่าทำหน้าสลดเมื่อถูกลูกชายปรามไว้ “ความสุขของท่านค่ะ ให้แกทำเถอะ” “ไม่ได้
บทที่ 66 ความสุข “มันไม่ยากขนาดนั้นหรอกน่าเพื่อน มึงออกจะหล่อ สูงยาวขาวตี๋แบบนี้ ผู้หญิงคนไหนก็อยากเข้าหา” หมอพีทหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกอย่างหนักแล้วหันมองหน้าแฟรงค์อย่างเหนื่อยหน่ายใจ “ก็ถ้าเป็นอย่างที่พูดก็ดีดิ กูเจอแต่คนไม่จริงใจ” “เออน่า ครั้งนี้ต้องเจอคนที่ดีแน่” “สองปีครั้งเนี่ยนะ” “เออ ดีกว่าไม่มีคนมาจีบแล้วกัน” “แหม...มึงมีเมียแล้วก็พูดได้ดิ กูยังไม่มี มันหายากเว้ย!” แฟรงค์หัวเราะขบขันกับสีหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ของเพื่อนรัก “มีเมียไม่พอ ยังหลงลูกหลงเมียอีก” “ก็ธรรมดาไหมวะ” หมอพีทกลอกตามองบนกับสิ่งที่ได้ยิน “เออ...มองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้วว่าคุณพ่อป้ายแดงขาโหดอย่างแฟรงค์หลงลูกหลงเมียมากแค่ไหนน่ะ” “ก็จริง ไม่กล้าเถียงเลย” แฟรงค์ยกยิ้มมุมปาก จากนั้นจึงเดินออกมาด้านนอก “ทำอะไรกันครับ” แฟรงค์เดินไปหาพราวดาวแล้วโน้มตัวลงไปโอบกอดเธอไว้หลวม ๆ “กำลังกินน้ำร้อนอยู่ค่ะ คุณแม่โทร. มาบอกให้พราวกินน้ำร้อนบ่อย ๆ แล้วเดี๋ยวอีกสิบห้าวันท่านจะมาหาและให้พราวอยู่ไฟ