ณิชาจอดพาหนะคู่ใจตรงด้านข้างของห้างสรรพสินค้าที่กันไว้สำหรับจักรยานและมอเตอร์ไซค์โดยเฉพาะ ก่อนจะเดินตรงไปยังร้านเสื้อผ้าแบรนด์หรูที่หมายตา แต่พอถึงประตูร้าน สิ่งที่พบเจอเมื่อสิบนาทีก่อนก็ทำให้ลังเล
หญิงสาวหมุนตัวกลับเพื่อจะตั้งหลักและชั่งใจถามตัวเอง หากหลายนาทีผ่านไป หัวใจที่ว้าวุ่น ตัดสินใจไม่ขาดทำให้เธอไม่อาจบอกตัวเองได้ว่าจะถอยกลับหรือเดินหน้าต่อดี มือเรียวล้วงกระเป๋าสะพาย หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทร.หาเพื่อนสนิท โดยไม่ต้องรอนาน อีกฝ่ายก็รับสาย แต่ณิชากลับลังเลที่จะพูดธุระเสียอย่างนั้น จึงได้แต่อ้ำอึ้งถาม “บัว ทำอะไรอยู่” “ทำงานสิยะ มีอะไรว่ามา อย่าชักช้า ตอนนี้ลูกค้าเต็มร้าน” ถ้อยคำรัวเร็วบอกชัดว่าคนปลายสายกำลังยุ่งสักแค่ไหน ณิชาตัดสินใจในวินาทีนั้นว่าจะข้ามผ่านสิ่งที่อยู่ข้างหน้าด้วยตัวเอง “โทร.มาคุย ไม่มีอะไร ทำงานไปเถอะ ไว้จะโทร.หาใหม่” “ได้ๆ แล้วฉันจะโทร.หาเธอเอง ตอนนี้ขอดูแลลูกค้าก่อน นานๆ กลุ่มทัวร์ถึงจะเข้า ไม่ปล่อยให้ฉันนั่งตบยุงเฝ้าร้านคนเดียว” “จ้ะ” วางสายจากกันแล้ว ณิชาสูดลมหายใจลึก เดินไปยังร้านเสื้อผ้าแบรนด์หรู ทุกย่างก้าวที่เดินดุ่มก็นึกประดิษฐ์ถ้อยคำไปพร้อมกัน...แต่แค่เปิดประตูร้าน เสียงทักทายหวานใสก็ดังขึ้น “น้องณิชานี่เอง ยังสนใจสมัครงานอยู่ใช่ไหมคะ วันนี้คุณแหววอยู่ร้าน จะได้คุยกันเลย พี่รับรองว่าคุณแหววต้องรับน้องเข้าทำงานแน่นอนค่ะ” ณิชาแทบตั้งตัวไม่ทันเมื่อพนักงานขายของร้านที่พบหน้ากันครั้งเดียวในวันที่เธอมาพร้อมกับบัวบูชาเข้ามาทักถาม มิหนำซ้ำยังบอกอย่างมั่นใจว่าหากจะสมัครงานตามที่เคยถามข้อมูลกันไว้ ‘คุณแหวว’ ที่คงเป็นเจ้าของร้านจะต้องรับเธออีกด้วย “มาค่ะ พี่จะพาไปพบคุณแหววข้างใน” คนพูดปรี่มาจับมือณิชา แต่ก็ชะงัก ยิ้มเก้อ เมื่อต้องถาม “ว่าแต่วันนี้น้องณิชามาเรื่องงานที่ถามกันวันก่อนใช่ไหมคะ ไม่ได้มาดูเสื้อผ้าในร้านเรา” “ไม่ค่ะ นิดมาสมัครงาน” ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้ ณิชาคงไม่เฉียดเข้ามาชมเสื้อผ้าสวยงาม แถมด้วยคุณภาพโดนใจแต่ราคาสูงลิบให้เกิดกิเลสแบบเอื้อมไม่ถึงให้ทรมานใจเล่นหรอก ณิชาเดินตามแรงจูงเข้าไปในห้องด้านในซึ่งกั้นผนังเป็นสัดส่วนด้วยกระจกใสและมีผ้าม่านสีเบจปิดทับพรางตา จนพบกับหญิงสาวหน้าตาสวยจัด ท่าทางประเปรียวที่นั่งอยู่หลังโต๊ะกลางห้อง หล่อนเงยหน้าขึ้น รอยยิ้มนั้นทำให้ณิชาหายใจทั่วท้อง...และนั่นก็ทำให้รู้สึกตัวว่าได้กลั้นหายใจลุ้นรับสถานการณ์อยู่นานเหมือนกันเกือบครึ่งชั่วโมง ณิชาถึงเดินออกจากร้านเสื้อผ้าแห่งนั้นพร้อมกับรอยยิ้มประดับบนใบหน้า มือบางกำกระเป๋าสะพายสีดำไว้แน่น หล่อนกำลังข่มกลั้นอารมณ์ดีใจไม่ให้หลุดเสียงกรี๊ดออกมาให้ผู้คนที่เดินสวนกันตกใจเล่น
เธอล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูอีกรอบ เมื่อสักครู่ปิดเสียงมันไว้ จึงไม่ได้ยินสายเรียกเข้าของบัวบูชา ณิชามองเครื่องมือสื่อสารแล้วยิ้มซุกซน ก่อนเก็บมันไว้ในกระเป๋าดังเดิม แล้วจ้ำออกจากห้าง ตรงไปยังสกูตเตอร์เพื่อบังคับพามันไปยังเป้าหมายอีกแห่งในวันนี้ ไม่ถึงสิบนาที รถมอเตอร์ไซค์สีส้มสดก็มาจอดด้านข้างตึกแถวสองชั้นติดกันสามคูหา หญิงสาวพาตัวเองไปยังคูหากลางอย่างคุ้นเคย เดินผ่านสินค้าหัตถกรรมที่แขวนห้อยย้อยอย่างจะใช้พื้นที่ทุกตารางนิ้วให้คุ้มค่า จนถึงด้านในสุด จึงพบกับคนที่ต้องการมาหาสนทนากับลูกค้าด้วยภาษาจีนกลางให้วุ่นอยู่ ณิชารอเพื่อนรักอย่างใจเย็น จนเห็นว่าลูกค้าได้สินค้าที่ต้องการ แล้วเดินออกจากร้าน เจ้าของสถานที่ถึงได้หันมาเห็นเธอ “โอ๊ย เหนื่อย กว่าจะคุยกันรู้เรื่อง ฉันเมื่อยมือไปหมดเลย” บัวบูชาทำท่าหมดแรง อิงสะโพกกับขอบโต๊ะแคชเชียร์ จนณิชาต้องหัวเราะแล้วบอก “เธอพูดภาษาจีนกลางได้คล่องดีนี่ พัฒนาขึ้นเยอะ สงสัยมีลูกค้ามาให้ฝึกบ่อยสิท่า” “เหรอ ฉันพูดได้คล่องเหรอ แล้วทำไมยายสองหมวยเมื่อกี้ถึงไม่ยอมเข้าใจว่าพรมถักรูปช้างสีเงินเป็นงานทำด้วยมือ งานประณีต จะให้ตั้งราคาถูกเท่าสินค้าโรงงานที่ผลิตทีเป็นร้อยเป็นพันชิ้นไม่ได้” “เขาไม่อยากเข้าใจมากกว่า แม่ค้ามืออาชีพอย่างเธอน่าจะรู้ทัน” “ก็ว่าสิ ฉันก็หลงอธิบายอยู่ตั้งนาน” แม่ค้าหน้าใสหัวเราะแห้ง ก่อนพยักพเยิดถาม “วันนี้มีอะไรหรือเปล่าถึงออกจากหอคอยมาลุยดงสลัมของฉันได้” “เธอก็พูดเกินไป” ณิชาหัวเราะ คุ้นเสียแล้วกับถ้อยคำกระแนะกระแหนของเพื่อนคนนี้ “เธอยิ้ม แต่หน้าตาไม่สดใสเลย เสียดายความสวยจริงๆ อย่างนี้สิเล่า ฉันถึงไม่เข็นให้ลงเวทีประกวดนางงามแห่งเชียงราช ล่ารางวัลมาตั้งตัวกัน เพราะขืนส่งไปก็เข้าเนื้อ นางงามคงไปยืนทำหน้างอ ตีหน้าเศร้ากลางเวที กรรมการจะหงอยเสียเปล่า” “เพ้อเจ้อ ฉันไม่เอาด้วยหรอก” ณิชาค้อนให้เมื่อได้ยินบัวบูชาเล่าความคิดมาเป็นฉากๆ “ไม่ต้องออกตัวแรงขนาดนั้น เพราะฉันเลิกคิดจะเป็นพี่เลี้ยงนางงามให้เธอตั้งนานแล้ว หลังจากดีดลูกคิดแล้วพบว่าขาดทุนแหงๆ นอกจากจะได้นางงามคนใหม่ให้ดันแทนเธอ” บัวบูชาเคาะนิ้วกับปลายคางอย่างครุ่นคิดจริงจัง จนณิชาต้องหรี่ตามอง ไม่มั่นใจแล้วสิว่าเมื่อกี้เจ้าตัวพูดเล่นหรือพูดจริง “อย่าบอกนะว่าเธอยังไม่เลิกคิดจะเป็นเจ๊ดันส่งคนประกวดนางงาม” “ฉันเอาจริง ใครว่าฉันคิดเล่นๆ ฉันจริงจังตั้งแต่สมัยเราเรียนปีสี่ ถ้าไม่เป็นเพราะ...เอ่อ” บัวบูชาหยุดตัวเองเมื่อเผลอพูดถึงชีวิตช่วงเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย เธอเกือบจะเข็นณิชาเข้าประกวดนางงามแห่งเชียงราชสำเร็จ ถ้าไม่เพราะมีอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่คร่าชีวิตของพ่อและแม่เลี้ยงของณิชาเกิดขึ้นเสียก่อน นับจากนั้นแผนนี้ก็ถูกพับเก็บ ไม่เคยพูดถึงอีกเลย เพิ่งจะได้เท้าความถึงก็เมื่อกี้แหละ “จะว่าไป อย่างเธอเหมาะเป็นนักเขียน นักแปลนิยายนั่นละ เพราะช่างคิด ช่างเขียนและชอบอยู่ในโลกส่วนตัว” บัวบูชารีบดึงการสนทนาออกจากหัวข้อเดิม หวังไม่ให้กระทบจิตใจและความทรงจำอันเลวร้ายของเพื่อน และดูว่าสำเร็จเมื่ออีกฝ่ายยิ้มอ่อน “เธอว่าอย่างนั้นหรือ ฉันเหมาะกับงานหนังสือจริงหรือ แต่เราก็ไม่ได้เรียนมาทางด้านนี้เลยนะ” “อ้าว เธอทำมันได้ไม่ใช่หรือ เพราะฉะนั้นฉันจึงไม่เห็นความจำเป็นว่าต้องเรียนให้ตรงสายถึงจะทำงานนั้นได้ดี ดูอย่างฉันสิ เป็นแม่ค้าขายของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยว ทั้งที่เราสองคนก็เรียนบริหารการโรงแรมมาด้วยกันแท้ๆ” “ความจริงฉันก็กำลังจะได้ใช้ชีวิตอย่างเธออยู่นะ” ณิชาเกริ่น แล้วปิดปากเงียบ อมยิ้มแก้มตุ่ย ทำหน้าตามีเลศนัย จนคนรอฟังต้องเร่งถาม เจ้าหล่อนถึงยอมเปิดปากเฉลย “วันนี้ฉันไปสมัครงานเป็นพนักงานขายเสื้อผ้าในห้างมา เจอเจ้าของร้านพอดี เขาเลยให้เข้าไปคุย” “ฮ้า! นี่ตกลงว่าเธอเอาจริง ร้านในห้างวันนั้นที่เราเข้าไปถามกันอ่ะนะ” “จริงสิ แล้วทำไมต้องทำเสียงประหลาดใจขนาดนั้นด้วยล่ะ คิดว่าฉันทำไม่ได้หรือไง” “ก็...ไม่รู้สินะ” เจ้าของคำพูดเกาศีรษะแกรก เหล่มองคนหน้านวลใส...ท่าทางต้วมเตี้ยมเตาะแตะเป็นคุณหนูอย่างนี้นี่หรือจะเป็นพนักงานขายของในห้าง! และเหมือนว่าคนโดนปรามาสจะอ่านความในใจเธอออก สีหน้าหล่อนจึงงอง้ำทันตา “ดูถูกฉัน เดี๋ยวจะทำให้ดูว่างานแค่นี้ฉันทำได้ ไม่ได้ติดนิสัยคุณหนูเหยาะแหยะอย่างที่เธอชอบค่อนแคะสักหน่อย” “เปล่า ไม่ใช่นะ ฉันแค่คิดว่าเธอจะไปทางสายงานหนังสือเต็มตัว เพราะเริ่มต้นได้ดีแล้ว งานแปลก็มีพิมพ์ออกมาเป็นเล่มแล้วด้วย กลายเป็นนักแปลมีผลงานการันตี เลยเข้าใจว่าจะเดินในเส้นทางนี้แล้วซะอีก...คิดไม่ถึงว่าจะทำงานขายของ” “งานหนังสือฉันก็ไม่ทิ้งหรอก ทำกลางคืนได้ ส่วนงานขายของก็ทำกลางวัน มันสะดวกดีด้วย เพราะห้างอยู่ไม่ไกลจากบ้าน ขี่รถไม่กี่นาทีก็ถึง” “บ้านเหรอ ตกลงว่าเธอจะอยู่บ้านหลังนั้นต่อไปใช่ไหม” “บ้านหลังนั้นก็เคยเป็นบ้านของฉัน ทำไม...ฉันจะอยู่ไม่ได้”ณิชาคิดจะลงมานั่งอ่านหนังสือข้างล่าง ความก้าวหน้าของงานแปลดูท่าจะช้ากว่าแผน ถ้ายังไม่เดินหน้าทำจริงจัง ปล่อยให้อนาคตถูกโยงด้วยเส้นด้ายเปราะบางอย่างนี้คงไม่ดีแน่ไม่ว่าจะมีเรื่องราวสักกี่ร้อยพันเข้ามา แต่หน้าที่ของเธอหลังจากสิ้นพ่อและแม่แล้ว นั่นคือการดูแลตัวเองให้ดีที่สุด แม้จะพลั้งพลาดในบางเรื่อง ถลำลึกเกินกว่าจะหันหลังกลับ แต่คงไม่มีใครอยากให้ชีวิตพลาดซ้ำอยู่เรื่อยไปหญิงสาวเดินเข้าโถงบ้าน คิดจะครองโซฟามุมสงบนั่งทำงานตลอดวัน ก็เห็นพ้อหวานยิ้มแป้นมาแต่ไกล“ตอนเที่ยงกินอะไรดีคะ หนูทำให้”“กินอะไรดีล่ะ พ้อหวานทำอะไรได้บ้าง นอกจากต้ม ทอดและผัด”“แหม คุณนิด หนูกำลังพยายามอยู่นะคะ ตอนนี้ฝึกทำเครื่องแกงอยู่ ป้าสดใสบอกว่าเราทำเองมันจะหอมอร่อยกว่าซื้อที่เขาปั่นขายสำเร็จในตลาด”“อ๋อ เลยจะให้ฉันเป็นหนูทดลอง”ณิชายิ้มกริ่ม ต่อล้อต่อเถียงกับเด็กรับใช้อย่างอารมณ์ดี เมื่อสำเหนียกว่าอีกฝ่ายมีความปรารถนาดีและจริงใจให้อยู่“ไม่ใช่สักหน่อย หนูจะทำสุดฝีมือแล้วให้คุณนิดช่วยบอกต่างหากล่ะคะว่าเป็นยั
สงครามดุเดือดผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มพลิกกายห่างจากร่างนุ่มนิ่ม หล่อนนอนหลับตา ผ้าห่มผืนนุ่มคลุมถึงเนินอก เผยให้เห็นผิวผ่องตรงลาดไหล่งามและซอกคอขาวเนียนที่มีรอยแดงเป็นจ้ำด้วยฝีมือเขาไรวินทร์มองหญิงสาว ความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเต็มเปี่ยมอยู่ในหัวใจ แม้บางขณะความน้อยใจและขัดใจจะแทรกเข้ามาเพราะยังเรื่องที่คาใจอยู่ แต่เขาก็ไม่มีวันปล่อยเธอไปแน่เขายอมให้เธอพักผ่อน จนเลยมาหลายสิบนาที นึกหมั่นไส้คนยังนอนนิ่งทั้งที่รู้ว่าไม่ได้หลับชายหนุ่มเคลื่อนกายหาอีกรอบ ยกมือโอบรอบร่างน้อยกระชับแน่น หล่อนตัวแข็งจนเขารู้สึกได้ นึกอยากแกล้งนัก จึงโฉบใบหน้าสากระคายลงไซ้ตรงซอกคอ สูดกลิ่นหอมกรุ่นเข้าเต็มปอด แถมก่อนจะผละยังไม่ลืมขบเม้มซ้ำรอยเดิม จนณิชาต้องห่อกายหนี“หายสงสัยหรือยังว่าผมไปมั่วกับใครมาทั้งคืน หืม...ณิชา”เสียงหัวเราะในลำคอหนาทำให้ณิชาอยากทุบเขาให้ตาย“ฉันเกลียดคุณ”“แต่ผม...อยากรักคุณ รักคุณทั้งวันทั้งคืน”ถ้อยคำกำกวมและสื่อความนัยทำให้คนนอนตัวแข็งนึกหวั่นผวา พอเขาขยับหาอีก หล่อนก็รีบร้อง
จนท้องฟ้าด้านนอกสว่างเรืองรอง ณิชาปรือตาเปิดเมื่อแสงส่องเข้ามา กะพริบตามองเพดานห้อง สัมผัสความคุ้นเคย กระทั่งไออุ่นที่โอบรัด วินาทีนั้นเธอยังไม่อยากจากความอบอุ่นนี้ไป เรียวปากอิ่มแย้ม เปลือกตาบางปรือปิด ตั้งท่าจะหลับต่อหากแค่เสี้ยววินาทีดวงตาหวานกลับเบิกโพลง หันมองเจ้าของอ้อมกอด เขากำลังหลับสนิท ใบหน้าคมสันซุกนิ่งอยู่ข้างแก้มเธอ ณิชาเม้มริมฝีปากแน่น สูดหายใจลึก...เช้ามาอย่างนี้ไม่อยากเริ่มต้นด้วยอารมณ์บูดเลยแต่เขาก็ทำกับเธอเกินไป ออกไปหาความสุขนอกบ้าน พอคิดจะกลับก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นี่หล่อนคงกลายเป็นคู่นอนหมอนข้างของเขาอย่างสมบูรณ์แล้วสินะ มีประโยชน์ก็แค่บนเตียงนอนร่างน้อยดิ้นขลุกขลัก ออกแรงผลักร่างใหญ่โต หนักอึ้งปานหินผา ทั้งผลักทั้งดันอย่างไรก็ไม่เป็นผล ซ้ำร้ายยังขยับเข้ามาแนบชิด ท่อนแขนกำยำปานเหล็กกล้ายังออกแรงรัดจนหล่อนแทบจมหายเข้าไปในอ้อมกอดนั้น...ทุกอย่างเป็นไปโดยอัตโนมัติ โดยที่เจ้าของร่างใหญ่นั้นยังหลับอยู่ณิชาหยุดตัวเอง หายใจหอบ เหลือบมองชายหนุ่มอย่างเคืองๆหญิงสาวปล่อยให้ตัวเองนอนอยู่นิ่งๆ เพื่อรอให้หายเหนื่อย แต่แค่นาทีผ่านไป ร่างหนาให
เกือบเที่ยงคืนไรวินทร์ยังไม่กลับมา ณิชานอนพลิกกายอยู่บนเตียง พยายามคิดว่าเขาจะออกไปไหนและพบกับใคร ยิ่งคิดความระแวงก็ยิ่งถามหา พานผุดเป็นใบหน้าของคนที่เธอไม่อยากนึกถึง...อรุณวดี“ไม่หรอก เขาไม่มีทางทำกับเราอย่างนั้น”เมื่อนอนไม่หลับจึงลุกขึ้นเปิดไฟจนสว่างโร่ เดินวนเวียนอยู่ในห้องนอน ทะลุไปถึงห้องเสื้อผ้า สายตาเจ้ากรรมชำเลืองไปทางมุมหนึ่งแล้วใบหน้าก็ร้อนวาบ ภาพยามเช้าตรู่วันนั้นที่เธอหลบมาซุกนั่งด้วยไม่อาจทำใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างกัน จนเขาตามเข้ามา จากนั้นณิชาก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาถึงกระโจนหาหล่อนรวดเร็วตั้งตัวไม่ทัน แล้วทุกอย่างก็เกิดตามครรลองอีกรอบบ่อยครั้งเมื่ออยู่ใกล้ไรวินทร์ หล่อนรู้สึกเหมือนว่าตัวเขามีแรงลึกลับที่จะดึงดูดให้เอนเข้าหา ณิชาเคยต่อต้านแต่ก็ไม่เคยสำเร็จหล่อนหันกายจะกลับ แต่แล้วก็เห็นถุงกระดาษแปะโลโก้โรงแรมคุ้นตาวางกองสุมอยู่ เหมือนไม่มีใครใส่ใจจัดเก็บมันให้เข้าที่เข้าทางหญิงสาวตรงไปหยิบ ตั้งใจจัดให้เรียบร้อยด้วยไม่อาจปล่อยให้รกหูรกตา เสื้อเชิ้ตสไตล์ที่ไรวินทร์ใช้หลายตัว ณิชาหยิบมาจะเข้าตู้ของเขา แต่กระดาษชิ้น
ณิชามองหน้าจอมือถืออย่างตัดสินใจหลังจบการติดต่อผ่านโปรแกรมสนทนา เธอยังไม่ยอมรับสาย ไม่พูดคุยกับคนที่เพียรติดต่อหาโดยตรงนัดหมายของพีระ...ทำให้ณิชาลังเล สองจิตสองใจ ทั้งที่ก่อนนี้ตั้งใจจะตัดขาด ไม่ยอมพบหน้าเขาอีก“นิดไม่อยากได้บ้านคืนแล้วเหรอ ทางพีชช่วยได้นะ คุณพ่อจัดการให้ได้ นายไรวินทร์มันมีจุดอ่อนให้เราเล่นงานตั้งหลายจุด คุณพ่อรู้ดี คุณพ่อเล็งจะเล่นงานมันนานแล้ว’พ่อของพีระเป็นนายตำรวจใหญ่ในเชียงราช มีอิทธิพลและคนรู้จักอย่างกว้างขวาง การจะหาจุดอ่อนเพื่อเล่นงานนักธุรกิจหน้าใหม่ที่เข้ามาในเชียงราชสักคน ไม่ใช่เรื่องเกินความสามารถ“จะทำยังไง บอกได้ไหม”“ออกมาคุยกันสิ คุยอย่างนี้ไม่สะดวก ไม่ปลอดภัยทั้งพีชและนิด”“นิดขอคิดดูก่อนนะ”“ทำไม รักมันแล้วใช่ไหมถึงลังเล เปลี่ยนใจยกบ้านให้มันแล้วสิ”“นิดอยู่ในบ้าน มีคนของเขาจับตามองอยู่ การออกไปพบพีชไม่ใช่เรื่องง่าย”“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง พีชเข้าใจนิดแล้ว พีชจะรอนะ”การพูดคุยผ่านโปรแกรมจบลงเท่านั้น ณิชาก้มหน้าก้มตาอ
น้ำเสียงจริงจังแต่ไม่อาจทำให้คนฟังเชื่อ!“ผมไม่อยากขวางคุณทำงานหรอกนะ คุณทำงานกับคุณแหวว ผมชอบและยินดีกับคุณ คุณแหววก็ดูเชื่อมั่นคุณไม่น้อย”คนที่ล่วงรู้ความคิดเธอบอก แต่ณิชากลับรู้สึกแย่“พูดอะไรตอนนี้ คุณทำลายมันหมดแล้วนี่”“ให้ผมหาคนที่แกล้งคุณได้ก่อนแล้วจะพาสมัครงานใหม่ รับรองคุณแหววไม่มีทางกล้าปฏิเสธผม”“ไม่ต้องมาอวดตัว คุณแหววรับฉันเข้าทำงานเพราะตัวฉันเอง ถ้าจะรับกลับอีกก็ไม่เกี่ยวกับคุณ”แค่รู้ว่าจะได้กลับไปทำงาน มีลู่ทางสร้างความหวังเป็นของตัวเองอีก ณิชาก็อารมณ์ดีพอจะโต้เขาด้วยการจิกกัดพอให้เจ็บๆ คันๆ เล่น...แต่พอได้ยินคำพูดเนิบช้าคล้ายกำลังเล่าเรื่องดินฟ้าอากาศ ณิชาก็ถึงกับอึ้ง มึนงง ไม่รู้ว่าควรไปอย่างไรต่อดี“บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ามองผมในแง่ร้ายเกินไป เผื่อใจไว้บ้าง รู้จักตัวจริงของผมเมื่อไหร่คุณจะหลงรักผมหัวปักหัวปำ”ไรวินทร์มองคนนั่งข้าง เรียวปากอิ่มขยับเหมือนจะพูดบางอย่างแต่กลับไม่มีเสียงหลุดออกมา เขานึกอยากหัวเราะคนเก่งเสียจริง...แต่ก็สงสาร กลัวว่าจะยิ่งทำตัวไ