ณิชาจอดพาหนะคู่ใจตรงด้านข้างของห้างสรรพสินค้าที่กันไว้สำหรับจักรยานและมอเตอร์ไซค์โดยเฉพาะ ก่อนจะเดินตรงไปยังร้านเสื้อผ้าแบรนด์หรูที่หมายตา แต่พอถึงประตูร้าน สิ่งที่พบเจอเมื่อสิบนาทีก่อนก็ทำให้ลังเล
หญิงสาวหมุนตัวกลับเพื่อจะตั้งหลักและชั่งใจถามตัวเอง หากหลายนาทีผ่านไป หัวใจที่ว้าวุ่น ตัดสินใจไม่ขาดทำให้เธอไม่อาจบอกตัวเองได้ว่าจะถอยกลับหรือเดินหน้าต่อดี มือเรียวล้วงกระเป๋าสะพาย หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทร.หาเพื่อนสนิท โดยไม่ต้องรอนาน อีกฝ่ายก็รับสาย แต่ณิชากลับลังเลที่จะพูดธุระเสียอย่างนั้น จึงได้แต่อ้ำอึ้งถาม “บัว ทำอะไรอยู่” “ทำงานสิยะ มีอะไรว่ามา อย่าชักช้า ตอนนี้ลูกค้าเต็มร้าน” ถ้อยคำรัวเร็วบอกชัดว่าคนปลายสายกำลังยุ่งสักแค่ไหน ณิชาตัดสินใจในวินาทีนั้นว่าจะข้ามผ่านสิ่งที่อยู่ข้างหน้าด้วยตัวเอง “โทร.มาคุย ไม่มีอะไร ทำงานไปเถอะ ไว้จะโทร.หาใหม่” “ได้ๆ แล้วฉันจะโทร.หาเธอเอง ตอนนี้ขอดูแลลูกค้าก่อน นานๆ กลุ่มทัวร์ถึงจะเข้า ไม่ปล่อยให้ฉันนั่งตบยุงเฝ้าร้านคนเดียว” “จ้ะ” วางสายจากกันแล้ว ณิชาสูดลมหายใจลึก เดินไปยังร้านเสื้อผ้าแบรนด์หรู ทุกย่างก้าวที่เดินดุ่มก็นึกประดิษฐ์ถ้อยคำไปพร้อมกัน...แต่แค่เปิดประตูร้าน เสียงทักทายหวานใสก็ดังขึ้น “น้องณิชานี่เอง ยังสนใจสมัครงานอยู่ใช่ไหมคะ วันนี้คุณแหววอยู่ร้าน จะได้คุยกันเลย พี่รับรองว่าคุณแหววต้องรับน้องเข้าทำงานแน่นอนค่ะ” ณิชาแทบตั้งตัวไม่ทันเมื่อพนักงานขายของร้านที่พบหน้ากันครั้งเดียวในวันที่เธอมาพร้อมกับบัวบูชาเข้ามาทักถาม มิหนำซ้ำยังบอกอย่างมั่นใจว่าหากจะสมัครงานตามที่เคยถามข้อมูลกันไว้ ‘คุณแหวว’ ที่คงเป็นเจ้าของร้านจะต้องรับเธออีกด้วย “มาค่ะ พี่จะพาไปพบคุณแหววข้างใน” คนพูดปรี่มาจับมือณิชา แต่ก็ชะงัก ยิ้มเก้อ เมื่อต้องถาม “ว่าแต่วันนี้น้องณิชามาเรื่องงานที่ถามกันวันก่อนใช่ไหมคะ ไม่ได้มาดูเสื้อผ้าในร้านเรา” “ไม่ค่ะ นิดมาสมัครงาน” ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้ ณิชาคงไม่เฉียดเข้ามาชมเสื้อผ้าสวยงาม แถมด้วยคุณภาพโดนใจแต่ราคาสูงลิบให้เกิดกิเลสแบบเอื้อมไม่ถึงให้ทรมานใจเล่นหรอก ณิชาเดินตามแรงจูงเข้าไปในห้องด้านในซึ่งกั้นผนังเป็นสัดส่วนด้วยกระจกใสและมีผ้าม่านสีเบจปิดทับพรางตา จนพบกับหญิงสาวหน้าตาสวยจัด ท่าทางประเปรียวที่นั่งอยู่หลังโต๊ะกลางห้อง หล่อนเงยหน้าขึ้น รอยยิ้มนั้นทำให้ณิชาหายใจทั่วท้อง...และนั่นก็ทำให้รู้สึกตัวว่าได้กลั้นหายใจลุ้นรับสถานการณ์อยู่นานเหมือนกันเกือบครึ่งชั่วโมง ณิชาถึงเดินออกจากร้านเสื้อผ้าแห่งนั้นพร้อมกับรอยยิ้มประดับบนใบหน้า มือบางกำกระเป๋าสะพายสีดำไว้แน่น หล่อนกำลังข่มกลั้นอารมณ์ดีใจไม่ให้หลุดเสียงกรี๊ดออกมาให้ผู้คนที่เดินสวนกันตกใจเล่น
เธอล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูอีกรอบ เมื่อสักครู่ปิดเสียงมันไว้ จึงไม่ได้ยินสายเรียกเข้าของบัวบูชา ณิชามองเครื่องมือสื่อสารแล้วยิ้มซุกซน ก่อนเก็บมันไว้ในกระเป๋าดังเดิม แล้วจ้ำออกจากห้าง ตรงไปยังสกูตเตอร์เพื่อบังคับพามันไปยังเป้าหมายอีกแห่งในวันนี้ ไม่ถึงสิบนาที รถมอเตอร์ไซค์สีส้มสดก็มาจอดด้านข้างตึกแถวสองชั้นติดกันสามคูหา หญิงสาวพาตัวเองไปยังคูหากลางอย่างคุ้นเคย เดินผ่านสินค้าหัตถกรรมที่แขวนห้อยย้อยอย่างจะใช้พื้นที่ทุกตารางนิ้วให้คุ้มค่า จนถึงด้านในสุด จึงพบกับคนที่ต้องการมาหาสนทนากับลูกค้าด้วยภาษาจีนกลางให้วุ่นอยู่ ณิชารอเพื่อนรักอย่างใจเย็น จนเห็นว่าลูกค้าได้สินค้าที่ต้องการ แล้วเดินออกจากร้าน เจ้าของสถานที่ถึงได้หันมาเห็นเธอ “โอ๊ย เหนื่อย กว่าจะคุยกันรู้เรื่อง ฉันเมื่อยมือไปหมดเลย” บัวบูชาทำท่าหมดแรง อิงสะโพกกับขอบโต๊ะแคชเชียร์ จนณิชาต้องหัวเราะแล้วบอก “เธอพูดภาษาจีนกลางได้คล่องดีนี่ พัฒนาขึ้นเยอะ สงสัยมีลูกค้ามาให้ฝึกบ่อยสิท่า” “เหรอ ฉันพูดได้คล่องเหรอ แล้วทำไมยายสองหมวยเมื่อกี้ถึงไม่ยอมเข้าใจว่าพรมถักรูปช้างสีเงินเป็นงานทำด้วยมือ งานประณีต จะให้ตั้งราคาถูกเท่าสินค้าโรงงานที่ผลิตทีเป็นร้อยเป็นพันชิ้นไม่ได้” “เขาไม่อยากเข้าใจมากกว่า แม่ค้ามืออาชีพอย่างเธอน่าจะรู้ทัน” “ก็ว่าสิ ฉันก็หลงอธิบายอยู่ตั้งนาน” แม่ค้าหน้าใสหัวเราะแห้ง ก่อนพยักพเยิดถาม “วันนี้มีอะไรหรือเปล่าถึงออกจากหอคอยมาลุยดงสลัมของฉันได้” “เธอก็พูดเกินไป” ณิชาหัวเราะ คุ้นเสียแล้วกับถ้อยคำกระแนะกระแหนของเพื่อนคนนี้ “เธอยิ้ม แต่หน้าตาไม่สดใสเลย เสียดายความสวยจริงๆ อย่างนี้สิเล่า ฉันถึงไม่เข็นให้ลงเวทีประกวดนางงามแห่งเชียงราช ล่ารางวัลมาตั้งตัวกัน เพราะขืนส่งไปก็เข้าเนื้อ นางงามคงไปยืนทำหน้างอ ตีหน้าเศร้ากลางเวที กรรมการจะหงอยเสียเปล่า” “เพ้อเจ้อ ฉันไม่เอาด้วยหรอก” ณิชาค้อนให้เมื่อได้ยินบัวบูชาเล่าความคิดมาเป็นฉากๆ “ไม่ต้องออกตัวแรงขนาดนั้น เพราะฉันเลิกคิดจะเป็นพี่เลี้ยงนางงามให้เธอตั้งนานแล้ว หลังจากดีดลูกคิดแล้วพบว่าขาดทุนแหงๆ นอกจากจะได้นางงามคนใหม่ให้ดันแทนเธอ” บัวบูชาเคาะนิ้วกับปลายคางอย่างครุ่นคิดจริงจัง จนณิชาต้องหรี่ตามอง ไม่มั่นใจแล้วสิว่าเมื่อกี้เจ้าตัวพูดเล่นหรือพูดจริง “อย่าบอกนะว่าเธอยังไม่เลิกคิดจะเป็นเจ๊ดันส่งคนประกวดนางงาม” “ฉันเอาจริง ใครว่าฉันคิดเล่นๆ ฉันจริงจังตั้งแต่สมัยเราเรียนปีสี่ ถ้าไม่เป็นเพราะ...เอ่อ” บัวบูชาหยุดตัวเองเมื่อเผลอพูดถึงชีวิตช่วงเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย เธอเกือบจะเข็นณิชาเข้าประกวดนางงามแห่งเชียงราชสำเร็จ ถ้าไม่เพราะมีอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่คร่าชีวิตของพ่อและแม่เลี้ยงของณิชาเกิดขึ้นเสียก่อน นับจากนั้นแผนนี้ก็ถูกพับเก็บ ไม่เคยพูดถึงอีกเลย เพิ่งจะได้เท้าความถึงก็เมื่อกี้แหละ “จะว่าไป อย่างเธอเหมาะเป็นนักเขียน นักแปลนิยายนั่นละ เพราะช่างคิด ช่างเขียนและชอบอยู่ในโลกส่วนตัว” บัวบูชารีบดึงการสนทนาออกจากหัวข้อเดิม หวังไม่ให้กระทบจิตใจและความทรงจำอันเลวร้ายของเพื่อน และดูว่าสำเร็จเมื่ออีกฝ่ายยิ้มอ่อน “เธอว่าอย่างนั้นหรือ ฉันเหมาะกับงานหนังสือจริงหรือ แต่เราก็ไม่ได้เรียนมาทางด้านนี้เลยนะ” “อ้าว เธอทำมันได้ไม่ใช่หรือ เพราะฉะนั้นฉันจึงไม่เห็นความจำเป็นว่าต้องเรียนให้ตรงสายถึงจะทำงานนั้นได้ดี ดูอย่างฉันสิ เป็นแม่ค้าขายของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยว ทั้งที่เราสองคนก็เรียนบริหารการโรงแรมมาด้วยกันแท้ๆ” “ความจริงฉันก็กำลังจะได้ใช้ชีวิตอย่างเธออยู่นะ” ณิชาเกริ่น แล้วปิดปากเงียบ อมยิ้มแก้มตุ่ย ทำหน้าตามีเลศนัย จนคนรอฟังต้องเร่งถาม เจ้าหล่อนถึงยอมเปิดปากเฉลย “วันนี้ฉันไปสมัครงานเป็นพนักงานขายเสื้อผ้าในห้างมา เจอเจ้าของร้านพอดี เขาเลยให้เข้าไปคุย” “ฮ้า! นี่ตกลงว่าเธอเอาจริง ร้านในห้างวันนั้นที่เราเข้าไปถามกันอ่ะนะ” “จริงสิ แล้วทำไมต้องทำเสียงประหลาดใจขนาดนั้นด้วยล่ะ คิดว่าฉันทำไม่ได้หรือไง” “ก็...ไม่รู้สินะ” เจ้าของคำพูดเกาศีรษะแกรก เหล่มองคนหน้านวลใส...ท่าทางต้วมเตี้ยมเตาะแตะเป็นคุณหนูอย่างนี้นี่หรือจะเป็นพนักงานขายของในห้าง! และเหมือนว่าคนโดนปรามาสจะอ่านความในใจเธอออก สีหน้าหล่อนจึงงอง้ำทันตา “ดูถูกฉัน เดี๋ยวจะทำให้ดูว่างานแค่นี้ฉันทำได้ ไม่ได้ติดนิสัยคุณหนูเหยาะแหยะอย่างที่เธอชอบค่อนแคะสักหน่อย” “เปล่า ไม่ใช่นะ ฉันแค่คิดว่าเธอจะไปทางสายงานหนังสือเต็มตัว เพราะเริ่มต้นได้ดีแล้ว งานแปลก็มีพิมพ์ออกมาเป็นเล่มแล้วด้วย กลายเป็นนักแปลมีผลงานการันตี เลยเข้าใจว่าจะเดินในเส้นทางนี้แล้วซะอีก...คิดไม่ถึงว่าจะทำงานขายของ” “งานหนังสือฉันก็ไม่ทิ้งหรอก ทำกลางคืนได้ ส่วนงานขายของก็ทำกลางวัน มันสะดวกดีด้วย เพราะห้างอยู่ไม่ไกลจากบ้าน ขี่รถไม่กี่นาทีก็ถึง” “บ้านเหรอ ตกลงว่าเธอจะอยู่บ้านหลังนั้นต่อไปใช่ไหม” “บ้านหลังนั้นก็เคยเป็นบ้านของฉัน ทำไม...ฉันจะอยู่ไม่ได้”“อือ...” บัวบูชาเออออตาม หากเห็นสีหน้าและแววตาที่อ่านไม่ออกของเพื่อน แม้จะคาใจในความคิด แต่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่อยากพูดถึงนัก จึงรีบกลับมาคุยเรื่องเดิม “เป็นพนักงานในร้านขายเสื้อผ้านั่นก็ดี เพราะนักท่องเที่ยวเยอะมาก เธอพูดภาษาอังกฤษและภาษาจีนกลางได้คล่องยังกับเจ้าของภาษา เจ้าของร้านคงชอบ เธอก็จะได้ฝึกฝนด้วย”“คงอย่างนั้น เมื่อกี้คุณแหววก็บอกว่าพอใจที่ฉันพูดสองภาษานี้ได้ ที่ร้านกำลังต้องการอยู่พอดี คงเพราะเหตุนี้ฉันถึงได้งานทำ”“คุณแหววงั้นหรือ”“ใช่ คุณแหววเป็นเจ้าของร้าน เธอสวยมากเลยนะ ฉันชอบเธอจัง” ดวงตาของณิชาเป็นประกาย เมื่อนึกถึงหญิงสาวสวย ท่าทางมั่นใจและประเปรียวคนนั้น “อ๋อ ได้ข่าวว่าเจ้าของร้านเป็นคนจากกรุงเทพฯ แต่ไปเรียนเมืองนอกหลายปี คงเก๋ไก๋ ทันสมัยน่าดูนะ แถมเป็นภรรยาของคุณรัชภาคย์ เจ้าของเหมืองทองคำด้วย คงรวยมากทีเดียว”“ใครนะ เธอว่าคุณแหววเป็นภรรยาของใคร”“อ้าว ก็คุณรัชภาคย์หรือคุณเล็ก แฝดคนน้องของคุณใหญ่ คนดังแห่งเมืองเชียงราชไง อย่าบอกนะว่าไม่รู้จัก” “จริงเหรอ” ณิชาครางถาม หล่อนทรุดนั่งบนเก้าอี้คล้ายหมดแรง ดวงตาทอความสับสน ก่อนจะถูกความหม่นหมองฉาบทับ...อย่างที่คนคอยสังเกตอ
ณิชาทอดฝีเท้าเข้ามาในบ้าน พร้อมกอดหนังสือนิยายโรมานซ์ฉบับภาษาไทย ซึ่งเป็นผลงานการแปลเล่มแรกของเธอที่สำนักพิมพ์ตีพิมพ์และวางแผงเมื่อเกือบสองเดือนก่อน เงินตอบแทนนับว่าก้อนใหญ่พอสมควรสำหรับเธอถูกโอนเข้ามานอนนิ่งอยู่ในบัญชีตั้งแต่ต้นเดือน มันทำให้ณิชาอุ่นใจว่านับจากนี้ถ้าชีวิตจะต้องเปลี่ยนแปลงอีก เธอก็จะไม่จนทางนักไม่ไร้ทางไปเหมือนเมื่อปีก่อนตอนเพิ่งเรียนจบจากวิทยาลัย เมื่อเงินก้อนใหญ่ก้อนเดียวนั้นหายไปพร้อมกับจอมหลอกลวง...นั่นคือสาเหตุหลักที่ทำให้ณิชาต้องทำตัวเป็นคนหน้ามึน แสร้งไม่รู้สึกรู้สากับการยื้ออาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อ แม้มันจะถูกเปลี่ยนมือไปแล้วก็ตามแม้แต่บัวบูชาก็ยังไม่รู้ถึงความจริงข้อนี้ เธอรู้ว่าเพื่อนสาวแคลงใจและสงสัยตลอดมาว่าทำไมเธอถึงยึดติดกับบ้านนัก จนไม่ยอมย้ายออกไปเริ่มชีวิตใหม่...แม้ส่วนลึกณิชาจะอาลัย อยากได้บ้านคืนมาใจแทบขาด ถึงขนาดวาดฝันว่าไรวินทร์อาจเปลี่ยนใจยอมขายบ้านคืนให้กับแพทริเซีย และเมื่อเธอพร้อมก็จะเจรจาขอซื้อต่อมาได้หนึ่งปีที่ผ่านมาเมื่อต้องกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว โลกของณิชาจึงกลายเป็นสีหม่น มองไปทางไหนเห็นแต่ความทึมเทา ไร้แสงสว่างสาดส่องมาถึง แต่พ
ณิชาล่ำลาป้าสดใสหลังจากรับประทานอาหารมื้อเช้าเสร็จ แม้จะเตรียมใจมาทั้งคืน แต่น้ำตาก็ยังเอ่อคลอจนได้ ป้าสดใสยังทำหน้าที่แม้วันสุดท้ายในฐานะแม่ครัว ร่างท้วมที่เคลื่อนไหวอย่างแช่มช้อยทว่าคล่องแคล่วในทีนั้นแทบไม่มีสิ่งใดผิดจากเดิม หากไม่สังเกตก็คงไม่เห็น...แต่ณิชารับรู้ได้จากดวงตาแฝงแววปรานีคู่นั้นว่าแดงเรื่ออยู่“ไปทำงานเถอะค่ะ ใกล้เวลาห้างเปิดแล้ว ทำงานวันแรก ไปสายไม่ดี”“ดูแลตัวเองนะคะป้า มีอะไรก็โทร.มาหานิดนะ”“คุณนิดก็เหมือนกัน อย่าลืมว่ายังมีป้า ถึงเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ป้ายังรักและอยากดูแลคุณนิดเหมือนเดิม”หญิงสาวกอดร่างอวบท้วม แล้วผละออกอย่างรวดเร็ว...กลัวจะตัดใจยากร่างน้อยในชุดเสื้อโปโลสีขาวเข้ารูปกับกางเกงเนื้อผ้าสีดำเดินออกจากห้องครัวไปทางด้านหลังบ้าน ไม่นานเสียงรถสกูตเตอร์ก็ดังขึ้น แล้วเสียงนั้นก็เคลื่อนห่างออกไปมือเรียวแข็งแรงกลัดกระดุมเสื้อเชิ้ตอย่างใจเย็น ดวงตาคมจับจ้องร่างคนที่นั่งบนรถมอเตอร์ไซค์ผ่านผนังกระจกนิรภัยซึ่งแล่นไปทางหน้าบ้าน จนทั้งคนและรถผ่านประตูรั้ว ลับหายจากสายตาไรวินทร์หรี่ตา สมองเริ่มครุ่นคิด ปกติณิชาจะอยู่ติดบ้านจนแทบจะขังตัวเองอยู่ในห้องส่วนตัว จนเขา
บ้านหลังใหญ่ที่ถูกปรับให้เป็นรูปแบบโมเดิร์นจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมดูเงียบสงัด แม้เป็นเวลาเพียงหกโมงเย็น ณิชาจอดสกูตเตอร์ไว้หลังบ้าน ใกล้ประตูห้องครัวด้วยความเคยชิน แต่พอคิดว่าในห้องครัววันนี้ไม่มีป้าสดใสอยู่แล้ว ความเหงาและโหยหาก็ประดังเข้ามาทันที มือบางดันประตูแง้มให้เปิดกว้าง แต่ต้องชะงักเท้า เมื่อเห็นสภาพข้างในนั้นเปลี่ยนจากเดิม“คุณไรวินทร์ให้ช่างเข้ามาทำค่ะ วันนี้เอาของเก่าออก เห็นช่างบอกว่าใช้เวลาสักสัปดาห์ก็ทำเสร็จ” พ้อหวานวางมือจากจานส้มตำแล้วหันมาบอก เมื่อเห็นอดีตลูกสาวเจ้าของบ้านยืนนิ่งงันอยู่ตรงช่องประตู พลางกวาดสายตามองอย่างสงสัยอยู่สายตาคู่นั้นเบนมาทางเด็กสาว วูบหนึ่งก็นึกห่วงว่าเมื่อป้าสดใสไม่อยู่แล้วจะมีงานให้ทำอยู่หรือเปล่า...หากไม่ทันได้เอ่ยปาก เจ้าตัวก็พูดต่อจ๋อยๆ “ส่วนหนูก็ยังทำงานในครัวเหมือนเดิม คุณไรวินทร์แค่สั่งให้ปรับปรุงครัวใหม่ ของเก่ามันไม่สวย เชยด้วย เคาน์เตอร์พวกนี้ก็จะทุบออก แล้วเอาที่สวยๆ ทันสมัยมาใส่แทน หนูว่าก็ดีนะคะ เห็นในละครบ้านพระเอกนางเอกมีครัวสวยๆ ทั้งนั้นเลย หนูชอบ บ้านเราก็จะทำด้วยคุณไรวินทร์มีเงินเยอะ ทำให้สวยแค่ไหนก็ได้”พ้อหวานร่ายยาวตามป
ไรวินทร์กระเซ้าถามแล้วได้ยินสาวสวยพ้อ ด้วยก่อนนี้พราวพิชชาหรือคุณแหววมักจะเป็นห่วงร้านเสื้อผ้าที่มาเปิดในห้างใหญ่ นัยว่าเจ้าตัวทุ่มเทแรงใจแรงกายเต็มที่ หลังจากที่ต้องเลิกทำงานที่ออสเตรเลียแล้วมาแต่งงานกับรัชภาคย์ เจ้าของเหมืองทองคำในเชียงราช ซึ่งไม่ใช่คนอื่นไกล เป็นน้องชายฝาแฝดของรัชตะ เพื่อนรุ่นพี่ที่นับถือของเขาเอง “มันเหมือนกันเสียทีไหนล่ะคะ นี่ร้านเปิดมาเป็นปี ตอนนี้อยู่ตัวแล้ว พนักงานก็รู้งานดี อีกอย่างแหววเพิ่งสั่งสินค้า เคลียร์สต็อกเสร็จ มีเวลาให้เที่ยวพักผ่อนถมไปค่ะ แถมเมื่อวานยังได้พนักงานใหม่หน้าใสกิ๊กมาช่วยอีกแรง สัมภาษณ์ดูแล้ว ความรู้ความสามารถพร้อมเลยรับไว้ ถือว่ามาถูกจังหวะที่แหววต้องการคนด้วย จะได้คอยช่วยติดต่อร้านค้าและลูกค้าต่างประเทศ เธอพูดภาษาได้คล่องมากค่ะ ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีน ภูมิความรู้ค่อนข้างแน่น จนต้องรีบตะครุบ นอกจากนี้แหววก็ยังติดตามดูแลร้าน ไม่ได้ทิ้งทุ่นไปเที่ยวเลยสักหน่อย”“ครับ เข้าใจแล้วครับ” ไรวินทร์ตอบรับกลั้วหัวเราะว่ากระจ่างทุกสิ่งที่สาวสวยโอดมายาวเหยียดแล้ว คุยกันต่อพักเดียวสองคนก็วางสายจากกัน พราวพิชชาเป็นคนน่ารัก อัธยาศัยดี แถมยังเป็นผู้หญิ
ทั้งที่เป็นหน้าหนาว อุณหภูมิลดต่ำในช่วงเย็นเหลือสิบแปดองศา แต่คนเคลิ้มหลับบนโซฟามุมหนึ่งในห้องทำงานกลับมีเหงื่อซึมทั่ว ร่างใหญ่พลิกกายหงายเมื่อรู้สึกถึงความไม่สบายตัว เปลือกตาหนาเปิดปรือ มองเพดานห้องที่เห็นจากโคมไฟจากโต๊ะทำงานที่ยังส่องสว่างจ้าอยู่ไรวินทร์ลุกนั่ง สะบัดศีรษะไล่ความง่วงงุน เมื่อคืนวานเขามีประชุมทางไกลกับทีมงานทางแถบยุโรป ด้วยเวลาที่ต่างกัน เขาจึงต้องอดหลับอดนอนทั้งคืน แถมพอตอนเช้ากลับมีธุระต้องออกข้างนอก กว่าจะกลับก็เย็นแล้ว“ทำไมร้อนอบอ้าวจัง” ร่างสูงยันกายยืนขึ้น เดินไปผลักหน้าต่างให้เปิดกว้าง สายลมหนาวตีกลับเข้ามาวูบใหญ่ พาความสดชื่นคืนให้ร่างกายฟื้นได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเหลียวมองด้านในโดยรอบถึงได้รู้ถึงสาเหตุ“ไม่มีใครเปิดแอร์หรือไง”ชายหนุ่มบ่นพลางเดินไปหยิบรีโมตบนหลังตู้หนังสือ กดเปิดให้เครื่องปรับอากาศทำงาน เสร็จก็มานั่งที่เดิม แล้วนึกได้ว่าเดิมหน้าที่นี้เป็นของป้าสดใส แม่ครัวเก่าที่พ่วงตำแหน่งคนดูแลบ้าน ต่อเมื่อนางย้ายออกกะทันหัน จึงยังไม่มีใครเข้ามาจัดการแทนไรวินทร์ถอนหายใจ เขาไม่คุ้นชินกับการดูแลบริวารและบริหารบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ ที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตอย่างสั
“แค่หนังสือ ทำไมถึงหวงนัก หรือมีอะไรในนี้ที่ไม่อยากให้ฉันเห็น”ณิชาสุดจะทน วางถ้วยบะหมี่ชามโตบนโต๊ะใกล้โน้ตบุ๊กที่เปิดค้างอย่างไม่เบามือ แล้วยืดกายตรง กำมือแน่นอย่างสกัดอารมณ์ มองคนที่ยังยืนพลิกเปิดหนังสือของเธออย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว“มันเป็นของฉัน คุณไม่ควรหยิบมาโดยพลการ ทำไมถึงชอบยุ่มย่ามกับข้าวของของคนอื่นนักนะ” ท้ายประโยคน้ำเสียงกระด้างตวัดสูง ดวงหน้าหวานแดงก่ำ ณิชาจะใจเย็นต่อไม่ไหวแล้วนะ คนร้ายกาจคนนี้ดูท่าจะไม่สำนึกว่ากำลังทำอะไรอยู่แม้หล่อนจะอาศัยบ้านนี้อยู่ แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้องของส่วนตัวของเธอทุกชิ้น พวกเศรษฐีใหม่ ไร้อารยธรรม คงไม่รู้สิว่ามารยาทสังคมที่พึงกระทำมันเป็นอย่างไรเมื่อได้ระบายด้วยถ้อยคำออกไป สีแดงสุกปลั่งบนดวงหน้าสวยจึงค่อยๆ เลือนหาย ความโกรธที่พุ่งทะลุจุดเดือดทุเลาลง หากความรู้สึกแบบใหม่ที่ทอออกจากดวงตาหวานของหญิงสาว ไรวินทร์มองเห็น เพราะมันชัดเจนทุกความรู้สึก เขาถึงกับขบกรามแน่น“คนไร้มารยาท”“หุบปาก แม่ยาจก ถ้าขืนยังทำอวดเก่ง ฉันซัดกลับไม่เลี้ยงแน่ อยากลองดีไหมล่ะ” เสียงกร้าวกระด้างหลุดจากริมฝีปากหยักแค่แผ่วเบา หากณิชาได้ยินชัด หล่อนถึงกับผงะ ไม่คิดว่าเ
แพทริเซียว่ายาวเหยียด เห็นสภาพของไรวินทร์ก็เป็นห่วงไม่น้อย เดินนำไปนั่งบนโซฟามุมโถง วางกล่องเครื่องมือแพทย์ หยิบหลอดยาออกมาตั้งท่าเตรียมพร้อม...แต่คนไข้ของเธอกลับยืนนิ่งงันที่เดิม มองโซฟาแล้วทำหน้าแสนประหลาด“มานั่งนี่ก่อน ฉันเตรียมยามาให้ด้วย ทาไว้ก่อนจะกลายเป็นแผลอักเสบ ดูแล้วไม่เป็นอะไรมากหรอก แต่ไม่ควรปล่อยไว้อย่างนี้นาน”แพทริเซียตบที่นั่งข้างๆ อย่างคุ้นเคย หล่อนกับไรวินทร์เติบโตในประเทศเยอรมัน ประเทศของพ่อผู้ให้กำเนิด บ้านสองหลังอยู่ติดกัน เห็นกันตั้งแต่จำความได้ แม่ของเธอกับแม่ของไรวินทร์ยังเป็นพี่น้องคลานตามกันมา ดังนั้นไรวินทร์จึงเป็นทั้งญาติและเพื่อนสนิท ต่อเมื่อพ่อกับแม่ของเธอแยกทางกัน ตอนนั้นแพทริเซียอยู่ในวัยเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยจึงย้ายตามแม่มาเมืองไทยด้วย กระทั่งแม่มีครอบครัวใหม่จึงตกลงใจตามมาอยู่ด้วยกันที่เชียงราช...จนตอนนี้ หล่อนจึงคิดว่าที่แห่งนี้จะเป็นบ้านให้อยู่ต่อไปสำหรับไรวินทร์ ตั้งแต่แยกจากกัน หล่อนไม่ได้รู้เรื่องราวของเขาโดยละเอียด รู้เพียงว่าเจ้าตัวไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกาและไม่ค่อยติดต่อกับครอบครัวที่เยอรมันเท่าไร รู้จากแม่ของเขาหรืออีกนัยคือน้าแท้ๆ ของเธอ
“ยัง”“แล้วใครซื้อยาพวกนี้มาให้”เขายังนอนคว่ำหน้านิ่ง ณิชามองเสี้ยวหน้าคมที่เบี่ยงไปอีกทาง เห็นว่าเขาหลับตาพริ้มอยู่ จึงไม่อยากกวนอีก...แต่พอมองยาในมือก็ผุดคำถามอย่างลืมตัว“หมอแพทเอามาให้ใช่ไหม”เงียบ ไม่มีเสียงตอบ ณิชาจึงเบนความสนใจมายังสิ่งที่ต้องทำ...ทำเพราะไถ่โทษให้ตัวเองหรอกนะ...พยายามท่องบอกตัวเองไว้ตอนแรกคิดว่าจะทำๆ ไปให้เสร็จ แต่พอเริ่มใช้ไม้พันสำลีชุบยาจากหลอดป้ายลงบนผิวที่มีรอยแดง บางแห่งออกสีช้ำ หญิงสาวกลับทำอย่างแผ่วเบา ระมัดระวังอย่างที่สุด กลัวว่าเขาจะเจ็บแล้วสะดุ้งตื่นณิชาบอกตัวเองไม่ได้ว่าใช้เวลาไปนานเท่าไรกับภารกิจที่เพิ่งเสร็จลง หล่อนตั้งใจทำจนลืมทุกสิ่ง เมื่อสังเกตคนตัวใหญ่จึงเห็นว่าเขายังนอนนิ่งเช่นเดิม ลมหายใจสม่ำเสมอ เอียงคอมองอย่างประหลาดใจ...แปลกใจทั้งตัวเองและเขาหลับง่ายขนาดนี้เชียว ไม่กลัวถูกบีบคอตายคาเตียงหรือไง ทำเราไว้ดีนักณิชาคิดอย่างเขม่น ก้มมองยา เห็นยังมียาเม็ดอยู่ในถุงอีกสองขนานก็คิดต่ออย่างกังขายาทานหลังอาหาร...ตื่นมาเขาคงจัดการเองเมื่อคิดว่าตนหมดหน้
ดวงหน้าคมสันที่มีหนวดเคราสั้นๆ ประดับทั่ว ผนวกกับกายกำยำสูงใหญ่ เมื่อเจ้าตัวชำเลืองมองคล้ายจะค้อนจึงกลายเป็นภาพที่ทำให้ณิชาเบิกตามองนิ่ง ถูกความตะลึงงันเข้าครอบงำหล่อนไม่เข้าใจ...เดาไม่ออกว่าเขาคิดอะไร...นอกเหนือจากนั้น ณิชาคิดว่าท่าทางเมื่อกี้ไม่เห็นจะเข้ากับเขาเลยเมื่อจู่ๆ คนที่เธอนั่งจับตามองหันขวับมา ณิชาถึงกับสะดุ้งโหยง พอเขาก้าวอาดๆ มาหา หญิงสาวก็กรีดร้องโวยวาย หล่อนตกใจ กลัวแสนกลัว ถ้าเขาจะทำอะไรขึ้นมา ณิชาคงช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แน่นอน“อย่านะ อย่าทำนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจทำร้ายคุณ ฮือๆ ไม่เอานะ”คนร่างเล็กดิ้นขลุกขลัก ร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะฝืน เมื่อถูกประชิดถึงและโอบไว้ทั้งตัว แต่ไม่กี่วินาทีก็รับรู้ถึงข้อมือสองข้างที่ถูกมัดไพล่หลังนั้นหลุดจากกัน สติถึงค่อยๆ คืนร่าง ดวงตาหวานช้อนมอง เขาถอยไปทางปลายเท้าเธอและแก้มัดด้วยท่าทีกระแทกกระทั้น กระทั่งเสร็จก็ดึงเข็มขัดหนังเนื้อดีออกไป ณิชาสูดปากเมื่อถูกมันครูดผิวจนรู้สึกเจ็บ“เบาๆ ก็ได้ ถลอกหรือเปล่าก็ไม่รู้”“แค่นี้ทำบ่น...มันน้อยไปด้วยซ้ำ”“แสดงว่าคุณตั้งใจ เ
“อย่างนั้นเลยหรือคะ แล้วน้องนิดจะเป็นยังไงบ้าง ลดาเป็นห่วงจังค่ะ” เสียงครางถามจากคนที่มีสีหน้าสุดแสนกังวล มือยังถือเครื่องมือสื่อสารไว้มั่น หลังจากมีสายเรียกเข้ามาและเธอก็สนทนาอยู่เป็นพักแล้วคนร่างใหญ่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเข้มและกางเกงสแล็กซ์สีดำอย่างพร้อมออกไปทำงาน หากเวลานี้ยังนั่งเอนบนเก้าอี้สานต้องหยุดหยอกเย้ากับทารกน้อยตัวกลมที่นั่งทับหน้าท้องแกร่งอยู่ เขารอฟัง จนเธอตัดสายแล้วหันมาหาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี“มีอะไรหรือลดา แล้วใครโทร.มา”“คุณสุดา พนักงานร้านคุณแหววค่ะ” ปิ่นลดาตามมานั่งใกล้ แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น “คุณใหญ่รู้ไหมคะว่าน้องนิดออกจากบ้าน แล้วไปทำงานเป็นพนักงานในร้านคุณแหวว คุณแหววก็เจอหน้ากันแล้ว แต่คงไม่รู้จักกัน คุณแหววเลยไม่ได้บอกลดา แล้วตอนนี้เกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ คุณสุดาเล่าว่าเมื่อคืนลูกน้องคุณวินทร์ไปถามหาที่อยู่ใหม่ของน้องนิดกับเธอ เธอตกใจ ก็แต่ละคนยังกับลูกน้องมาเฟียเลยนี่ เลยบอกไปทั้งหมด”“แล้วยังไง”รัชตะเลิกคิ้วถาม สีหน้าบอกชัดว่าไม่รู้อยู่ดีว่าภรรยาสาวอยากให้เขาทำอะไร หรือ
“ไปเอากุญแจรถ” เสียงสั่งเข้มจากเจ้าของสีหน้าถมึงทึง ทำให้ลูกน้องที่อยู่ใกล้ต้องรีบทำตามคำสั่ง ไม่กี่วินาทีของที่ต้องการก็มาส่งถึงมือรถสปอร์ตราคาแพงลิบกระชากตัวออก ตามด้วยรถจิ๊ปสปอร์ตอีกสองคัน จากบ้านหลังใหญ่แล่นผ่านถนนกลางเมือง ผ่านห้างสรรพสินค้าดัง แล้วทะลุเข้าซอยหนึ่งอย่างรู้เป้าหมาย จนมาจอดหน้าหอพักสี่ชั้นในเวลาไม่ถึงสิบนาทีร่างสูงใหญ่ในรถคันแรกที่มาจอดก้าวออกมา ตามด้วยลูกน้องจากรถสองคันหลัง ซึ่งประกบเจ้านายทันที“ที่นี่ใช่ไหม”“ใช่ครับนาย คุณสายสุดาพนักงานของคุณแหววบอกผมเอง ไม่ผิดแน่ครับ ห้องของคุณณิชาอยู่ชั้นสาม ห้องสามศูนย์เจ็ด”แล้วคนกลุ่มนั้นก็เดินฝ่าสายตาสงสัยใคร่รู้ของทั้งเหล่าไทยมุงและไม่ตั้งใจมุงจากเหตุการณ์ก่อนหน้า จนมาถึงประตูกรุกระจก ทำท่าผลักเข้าไปเพื่อขึ้นบันไดไปยังที่ที่ตั้งใจไว้“ดะ...เดี๋ยวค่ะ พวกคุณเป็นใคร เข้าไปไม่ได้นะคะ หยุดก่อนค่ะ”เจ้าหน้าที่ธุรการหอพักเพิ่งจะตั้งสติได้ รีบออกมาขวาง“ผมจะขึ้นไปหาณิชา เมื่อกี้เกิดเรื่องไม่ดีกับเธอใช่ไหม”“ณิ
“แล้วอีกสองเบอร์”“ตอนแรกคิดว่าเป็นป้าสดใส คิดว่าแกเปลี่ยนเบอร์ แต่ตอนนี้อาจไม่ใช่ แต่ฉันยังไม่ได้โทร.กลับใครสักคน”“แล้วที่เธอพูดเหมือนว่ารู้ตัวคนทำล่ะ รู้จริงหรือมั่นใจแค่ไหน”“ฉันเพิ่งมีปัญหากับนายไรวินทร์ เขาต้องการให้ฉันออกจากบ้านนานแล้ว แต่ฉันมันดื้อด้านเอง จนเขาเพิ่งทำสำเร็จเมื่อวาน เขาไล่ฉันออกมา”น้ำเสียงสั่นเครือของณิชา ทำให้บัวบูชาเบิกตาค้าง สงสารเพื่อนจับใจ แต่ด้วยความที่ยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ไม่รู้ว่ายังมีเบื้องลึกเบื้องหลังอื่นอีกหรือเปล่า จึงงดแสดงความเห็นไว้ก่อน“ส่วนหมอแพทก็เคยบอกให้ฉันอยู่บ้านนั้นจนกว่าพร้อมย้ายออก ฉันไม่คิดว่าเธอจะมีส่วนได้เสียกับการอยู่หรือไปของฉัน รายนี้คงตัดออก นอกนั้นฉันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับใครอีก”“แต่เราไม่มีหลักฐานชี้ไปที่คุณไรวินทร์นะนิด เดี๋ยวจะกลายเป็นการปรักปรำเขา”“ฉันจะเริ่มจากเบอร์โทร.สองเบอร์ที่ไม่รู้จักนี้ เมื่อฉันออกจากบ้านมาแล้ว นายไรวินทร์หรือคนของเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะติดต่อฉันอีก นอกจากอยากได้เบาะแสตามรังควาน
ตีห้าของวันใหม่ คนร่างบางพลิกกายไปมา ก่อนจะปรือตาตื่นด้วยอากาศที่เย็นลงจนไม่อาจทนนอนขดตัวบนเตียงได้อีกภาพที่เห็นหลังจากลืมตา ภายในห้องที่ไม่คุ้นเคยทำให้ณิชานิ่งงันหลายวินาที จนตื่นเต็มตา ลุกขึ้นมาเปิดหน้าต่าง ทำความรู้จักกับที่พักพิงของตนข้างนอกหน้าต่าง พระอาทิตย์ทอแสงเคลียเส้นขอบฟ้ารำไร เสียงนกร้องจิ๊บๆ ที่กำลังออกหากิน ทำให้เช้านี้กับสถานที่ใหม่ดูตื่นตาและมีชีวิตชีวาขึ้นทีเดียวระเบียงทอดยาวตลอดความยาวห้องพัก ทำให้นึกถึงซุ้มกล้วยไม้ที่เธอทิ้งมา แรกทีเดียวดวงตาสลดลง แต่เมื่อมองระเบียงอีกรอบ เรียวปากสวยก็แย้มกว้าง“ถ้ากล้วยไม้ในซุ้มมาอยู่ที่ระเบียง แขวนเป็นแนวไว้คงดีไม่น้อย”ณิชาหมายมั่นปั้นมือว่าจะทำสิ่งที่คิดให้เป็นจริงให้ได้ หล่อนมองอยู่เป็นพัก ต่อเมื่อนึกได้ว่าเช้านี้ยังมีหลายอย่างต้องทำก่อนเข้าทำงานจึงรีบเข้าห้องน้ำ จัดการตัวเองโชคดีที่ห้องน้ำยังมีเครื่องทำน้ำอุ่น อากาศเย็นจัดของช่วงหน้าหนาวในเชียงราชจึงไม่ทำให้ณิชาแข็งตายเพราะความเย็นของน้ำเสียก่อนคิดไปคิดมา ณิชาก็เริ่มติดใจห้องพักนี้เสียแล้วเกือบครึ่งชั่วโมง หญิงสาวออกจากห้องน้ำในชุดเสื้อตัวโคร่งและกางเกงขายาวผ้ายืด ชุดเดิ
“บ้า บอกรักกันง่ายๆ ได้ยังไง ฉันเขินหมด” ฟังจากน้ำเสียง เจ้าตัวคงรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ จนณิชาต้องหัวเราะ แล้วบอกชื่อหอกับกับเส้นทางให้บัวบูชารู้ ก่อนจะตัดสายจากกัน พลันก็มีสายไม่รู้จักโทร.เข้ามา เป็นสายเดิมที่เคยโทร.หาตอนเธอปิดเครื่องเมื่อกลางวัน ณิชาตัดสินใจตัดสายและปิดเครื่องอีกครั้ง เธอตั้งใจตัดขาดจากทุกคนสักระยะ รอให้ตัวเองเข้มแข็งพอแล้วค่อยเผชิญหน้าใหม่...แล้วจึงมุ่งตรงไปยังที่พักใหม่ของตนเพราะเจ้าของหอบอกแกมขู่ว่ามีคนมาติดต่อขอดูห้องอยู่ ถ้าตัดสินใจช้า ห้องอาจหลุดเป็นของคนอื่น ณิชาเลยยอมกระโดดลงหลุมพรางด้วยการจ่ายมัดจำพร้อมกับจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าเดือนแรก แลกกับการได้กุญแจห้องพักมาถือไว้ในมืออย่างอุ่นใจ...ตอนนี้แหละที่รู้ว่าตัดสินใจถูกแล้ว“คุณณิชาปิดมือถือไปอีกแล้วครับ แต่เมื่อครู่เธอเปิดเครื่อง ผมดักสัญญาณหาตำแหน่งได้ทัน จุดที่เธอกำลังอยู่เป็นกลางเมือง ไม่ห่างจากบ้านเรานะครับ”เบนยื่นเครื่องมือสื่อสารให้ไรวินทร์ดูหน้าจอ สีหน้าของชายหนุ่มดีขึ้น จากที่เคร่งเครียดมาตั้งแต่หัวค่ำ หลังจากกลับเข้าบ้านแล้วพบว่าเบนยังไม่ได้เบาะแสใดๆ ของณิชา ให้คนไปดักรอที่ร้านของเพื่อนเธอก็ไร้ผล“นี่ม
ไรวินทร์ขับรถสปอร์ตคู่ใจออกทางถนนสายเลี่ยงเมือง เพื่อจะไปในเส้นทางออกนอกเมือง เป้าหมายเพื่อชมวิวและใช้ตัวเองอยู่กับความคิด เมื่อกว่าปีก่อน พอคิดว่าถึงเวลาลงหลักให้กับธุรกิจตัวเอง ไรวินทร์เลือกเมืองเชียงราชตามคำชวนของแพทริเซียอย่างไม่รีรอ เพราะรู้ทำเลและที่ตั้งของเมืองจากแผนที่และข้อมูลข่าวสาร รู้ถึงอนาคตของเมืองว่าจะเป็นศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ในแถบภูมิภาค เหมาะอย่างยิ่งที่จะย้ายฐานจากเมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลียมายังที่แห่งนี้...ในตอนนั้นไรวินทร์มองเห็นเท่านี้จริงๆ แต่พอมาถึง จึงได้พบว่ามันมีมนต์เสน่ห์มากกว่าที่คาด ซึ่งหากไม่ได้สัมผัสเองก็คงไม่รู้ ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ยังสมบูรณ์ อากาศกำลังดี แทบไม่น่าเชื่อว่าเมืองที่สมบูรณ์ในทุกด้านแบบนี้จะอยู่ใกล้แค่เอื้อม ในตอนนั้นไรวินทร์คิดว่าโชคดีที่ค้นพบ...มันดีที่สุดสำหรับธุรกิจเขา หากเมื่อถึงเวลานี้ ความตั้งใจที่จะฟอร์มงานให้อยู่ตัวแล้วจะย้ายตัวเองต่อไปเรื่อยๆ ตามประสาคนชอบเดินทางกลับต้องลังเล เขาตอบรับการซื้อบ้านกึ่งตึกสองชั้น รูปทรงเทอะทะ หากจะมองในสายตาของสถาปนิกเก่า แค่สิ่งก่อสร้างที่ไร้รสนิยมดีๆ นี่เอง แต่พอรู้เรื่องราวความเป็นไ
“บอสคะ คุณไรวินทร์มาพบค่ะ” เสียงจากอินเตอร์คอมทำให้คนนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานอย่างผ่อนคลาย สายตาไล่ตามเอกสารต้องเลิกคิ้ว ก่อนยื่นมือกดตอบกลับเลขาฯ ทรงประสิทธิภาพแล้วปิดแฟ้มเอกสารนั้น วางคืนบนโต๊ะ “เข้ามาเลย ผมรออยู่” สิ้นคำแทบจะทันที ประตูห้องก็ถูกเคาะอย่างพอเป็นพิธีก่อนถูกเปิดออก ตามด้วยชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเข้มกับกางเกงยีนส์เดินเข้ามา เขานั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะอย่างไม่รอคำเชิญ “ผมอยากเร่งสร้างออฟฟิศ ให้เสร็จก่อนหน้าร้อนปีหน้าได้ยิ่งดี” คนที่โทรศัพท์เข้ามาเมื่อสิบนาทีก่อนว่าจะมาพบเพราะมีธุระสำคัญจะคุยด้วยเข้าเรื่องอย่างไม่ให้เสียเวลา “เหลือเวลาอีกแค่แปดเดือน” “อีกตั้งแปดเดือนต่างหาก คุณใหญ่ช่วยผมได้ไหม” “ได้สิ จะมีปัญหาอะไร เรื่องแค่นี้เอง” รัชตะว่าเสียงเนิบ เหลือบมองคนยังตีหน้านิ่งแล้วถาม “ว่าแต่ทำไมถึงเปลี่ยนกำหนดการสร้างเสร็จล่ะ มีเหตุผลอะไร พอจะบอกได้ไหม” “ผมจะย้ายพนักงานมาที่เชียงราช สัญญาเช่าตึกออฟฟิศที่เพิร์ธหมดในกลางปีหน้า จะได้ย้ายมาจัดทีมใหม่ที่นี่ทีเดียว” “หมายความว่าคุณจะย้ายฐานบริษัทมาตั้งที่นี่เลยใช่ไหม” “ใช่” “คุณจะปักหลักที่เชียงราช?” พ