ณิชาจอดพาหนะคู่ใจตรงด้านข้างของห้างสรรพสินค้าที่กันไว้สำหรับจักรยานและมอเตอร์ไซค์โดยเฉพาะ ก่อนจะเดินตรงไปยังร้านเสื้อผ้าแบรนด์หรูที่หมายตา แต่พอถึงประตูร้าน สิ่งที่พบเจอเมื่อสิบนาทีก่อนก็ทำให้ลังเล
หญิงสาวหมุนตัวกลับเพื่อจะตั้งหลักและชั่งใจถามตัวเอง หากหลายนาทีผ่านไป หัวใจที่ว้าวุ่น ตัดสินใจไม่ขาดทำให้เธอไม่อาจบอกตัวเองได้ว่าจะถอยกลับหรือเดินหน้าต่อดี มือเรียวล้วงกระเป๋าสะพาย หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทร.หาเพื่อนสนิท โดยไม่ต้องรอนาน อีกฝ่ายก็รับสาย แต่ณิชากลับลังเลที่จะพูดธุระเสียอย่างนั้น จึงได้แต่อ้ำอึ้งถาม “บัว ทำอะไรอยู่” “ทำงานสิยะ มีอะไรว่ามา อย่าชักช้า ตอนนี้ลูกค้าเต็มร้าน” ถ้อยคำรัวเร็วบอกชัดว่าคนปลายสายกำลังยุ่งสักแค่ไหน ณิชาตัดสินใจในวินาทีนั้นว่าจะข้ามผ่านสิ่งที่อยู่ข้างหน้าด้วยตัวเอง “โทร.มาคุย ไม่มีอะไร ทำงานไปเถอะ ไว้จะโทร.หาใหม่” “ได้ๆ แล้วฉันจะโทร.หาเธอเอง ตอนนี้ขอดูแลลูกค้าก่อน นานๆ กลุ่มทัวร์ถึงจะเข้า ไม่ปล่อยให้ฉันนั่งตบยุงเฝ้าร้านคนเดียว” “จ้ะ” วางสายจากกันแล้ว ณิชาสูดลมหายใจลึก เดินไปยังร้านเสื้อผ้าแบรนด์หรู ทุกย่างก้าวที่เดินดุ่มก็นึกประดิษฐ์ถ้อยคำไปพร้อมกัน...แต่แค่เปิดประตูร้าน เสียงทักทายหวานใสก็ดังขึ้น “น้องณิชานี่เอง ยังสนใจสมัครงานอยู่ใช่ไหมคะ วันนี้คุณแหววอยู่ร้าน จะได้คุยกันเลย พี่รับรองว่าคุณแหววต้องรับน้องเข้าทำงานแน่นอนค่ะ” ณิชาแทบตั้งตัวไม่ทันเมื่อพนักงานขายของร้านที่พบหน้ากันครั้งเดียวในวันที่เธอมาพร้อมกับบัวบูชาเข้ามาทักถาม มิหนำซ้ำยังบอกอย่างมั่นใจว่าหากจะสมัครงานตามที่เคยถามข้อมูลกันไว้ ‘คุณแหวว’ ที่คงเป็นเจ้าของร้านจะต้องรับเธออีกด้วย “มาค่ะ พี่จะพาไปพบคุณแหววข้างใน” คนพูดปรี่มาจับมือณิชา แต่ก็ชะงัก ยิ้มเก้อ เมื่อต้องถาม “ว่าแต่วันนี้น้องณิชามาเรื่องงานที่ถามกันวันก่อนใช่ไหมคะ ไม่ได้มาดูเสื้อผ้าในร้านเรา” “ไม่ค่ะ นิดมาสมัครงาน” ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้ ณิชาคงไม่เฉียดเข้ามาชมเสื้อผ้าสวยงาม แถมด้วยคุณภาพโดนใจแต่ราคาสูงลิบให้เกิดกิเลสแบบเอื้อมไม่ถึงให้ทรมานใจเล่นหรอก ณิชาเดินตามแรงจูงเข้าไปในห้องด้านในซึ่งกั้นผนังเป็นสัดส่วนด้วยกระจกใสและมีผ้าม่านสีเบจปิดทับพรางตา จนพบกับหญิงสาวหน้าตาสวยจัด ท่าทางประเปรียวที่นั่งอยู่หลังโต๊ะกลางห้อง หล่อนเงยหน้าขึ้น รอยยิ้มนั้นทำให้ณิชาหายใจทั่วท้อง...และนั่นก็ทำให้รู้สึกตัวว่าได้กลั้นหายใจลุ้นรับสถานการณ์อยู่นานเหมือนกันเกือบครึ่งชั่วโมง ณิชาถึงเดินออกจากร้านเสื้อผ้าแห่งนั้นพร้อมกับรอยยิ้มประดับบนใบหน้า มือบางกำกระเป๋าสะพายสีดำไว้แน่น หล่อนกำลังข่มกลั้นอารมณ์ดีใจไม่ให้หลุดเสียงกรี๊ดออกมาให้ผู้คนที่เดินสวนกันตกใจเล่น
เธอล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูอีกรอบ เมื่อสักครู่ปิดเสียงมันไว้ จึงไม่ได้ยินสายเรียกเข้าของบัวบูชา ณิชามองเครื่องมือสื่อสารแล้วยิ้มซุกซน ก่อนเก็บมันไว้ในกระเป๋าดังเดิม แล้วจ้ำออกจากห้าง ตรงไปยังสกูตเตอร์เพื่อบังคับพามันไปยังเป้าหมายอีกแห่งในวันนี้ ไม่ถึงสิบนาที รถมอเตอร์ไซค์สีส้มสดก็มาจอดด้านข้างตึกแถวสองชั้นติดกันสามคูหา หญิงสาวพาตัวเองไปยังคูหากลางอย่างคุ้นเคย เดินผ่านสินค้าหัตถกรรมที่แขวนห้อยย้อยอย่างจะใช้พื้นที่ทุกตารางนิ้วให้คุ้มค่า จนถึงด้านในสุด จึงพบกับคนที่ต้องการมาหาสนทนากับลูกค้าด้วยภาษาจีนกลางให้วุ่นอยู่ ณิชารอเพื่อนรักอย่างใจเย็น จนเห็นว่าลูกค้าได้สินค้าที่ต้องการ แล้วเดินออกจากร้าน เจ้าของสถานที่ถึงได้หันมาเห็นเธอ “โอ๊ย เหนื่อย กว่าจะคุยกันรู้เรื่อง ฉันเมื่อยมือไปหมดเลย” บัวบูชาทำท่าหมดแรง อิงสะโพกกับขอบโต๊ะแคชเชียร์ จนณิชาต้องหัวเราะแล้วบอก “เธอพูดภาษาจีนกลางได้คล่องดีนี่ พัฒนาขึ้นเยอะ สงสัยมีลูกค้ามาให้ฝึกบ่อยสิท่า” “เหรอ ฉันพูดได้คล่องเหรอ แล้วทำไมยายสองหมวยเมื่อกี้ถึงไม่ยอมเข้าใจว่าพรมถักรูปช้างสีเงินเป็นงานทำด้วยมือ งานประณีต จะให้ตั้งราคาถูกเท่าสินค้าโรงงานที่ผลิตทีเป็นร้อยเป็นพันชิ้นไม่ได้” “เขาไม่อยากเข้าใจมากกว่า แม่ค้ามืออาชีพอย่างเธอน่าจะรู้ทัน” “ก็ว่าสิ ฉันก็หลงอธิบายอยู่ตั้งนาน” แม่ค้าหน้าใสหัวเราะแห้ง ก่อนพยักพเยิดถาม “วันนี้มีอะไรหรือเปล่าถึงออกจากหอคอยมาลุยดงสลัมของฉันได้” “เธอก็พูดเกินไป” ณิชาหัวเราะ คุ้นเสียแล้วกับถ้อยคำกระแนะกระแหนของเพื่อนคนนี้ “เธอยิ้ม แต่หน้าตาไม่สดใสเลย เสียดายความสวยจริงๆ อย่างนี้สิเล่า ฉันถึงไม่เข็นให้ลงเวทีประกวดนางงามแห่งเชียงราช ล่ารางวัลมาตั้งตัวกัน เพราะขืนส่งไปก็เข้าเนื้อ นางงามคงไปยืนทำหน้างอ ตีหน้าเศร้ากลางเวที กรรมการจะหงอยเสียเปล่า” “เพ้อเจ้อ ฉันไม่เอาด้วยหรอก” ณิชาค้อนให้เมื่อได้ยินบัวบูชาเล่าความคิดมาเป็นฉากๆ “ไม่ต้องออกตัวแรงขนาดนั้น เพราะฉันเลิกคิดจะเป็นพี่เลี้ยงนางงามให้เธอตั้งนานแล้ว หลังจากดีดลูกคิดแล้วพบว่าขาดทุนแหงๆ นอกจากจะได้นางงามคนใหม่ให้ดันแทนเธอ” บัวบูชาเคาะนิ้วกับปลายคางอย่างครุ่นคิดจริงจัง จนณิชาต้องหรี่ตามอง ไม่มั่นใจแล้วสิว่าเมื่อกี้เจ้าตัวพูดเล่นหรือพูดจริง “อย่าบอกนะว่าเธอยังไม่เลิกคิดจะเป็นเจ๊ดันส่งคนประกวดนางงาม” “ฉันเอาจริง ใครว่าฉันคิดเล่นๆ ฉันจริงจังตั้งแต่สมัยเราเรียนปีสี่ ถ้าไม่เป็นเพราะ...เอ่อ” บัวบูชาหยุดตัวเองเมื่อเผลอพูดถึงชีวิตช่วงเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย เธอเกือบจะเข็นณิชาเข้าประกวดนางงามแห่งเชียงราชสำเร็จ ถ้าไม่เพราะมีอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่คร่าชีวิตของพ่อและแม่เลี้ยงของณิชาเกิดขึ้นเสียก่อน นับจากนั้นแผนนี้ก็ถูกพับเก็บ ไม่เคยพูดถึงอีกเลย เพิ่งจะได้เท้าความถึงก็เมื่อกี้แหละ “จะว่าไป อย่างเธอเหมาะเป็นนักเขียน นักแปลนิยายนั่นละ เพราะช่างคิด ช่างเขียนและชอบอยู่ในโลกส่วนตัว” บัวบูชารีบดึงการสนทนาออกจากหัวข้อเดิม หวังไม่ให้กระทบจิตใจและความทรงจำอันเลวร้ายของเพื่อน และดูว่าสำเร็จเมื่ออีกฝ่ายยิ้มอ่อน “เธอว่าอย่างนั้นหรือ ฉันเหมาะกับงานหนังสือจริงหรือ แต่เราก็ไม่ได้เรียนมาทางด้านนี้เลยนะ” “อ้าว เธอทำมันได้ไม่ใช่หรือ เพราะฉะนั้นฉันจึงไม่เห็นความจำเป็นว่าต้องเรียนให้ตรงสายถึงจะทำงานนั้นได้ดี ดูอย่างฉันสิ เป็นแม่ค้าขายของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยว ทั้งที่เราสองคนก็เรียนบริหารการโรงแรมมาด้วยกันแท้ๆ” “ความจริงฉันก็กำลังจะได้ใช้ชีวิตอย่างเธออยู่นะ” ณิชาเกริ่น แล้วปิดปากเงียบ อมยิ้มแก้มตุ่ย ทำหน้าตามีเลศนัย จนคนรอฟังต้องเร่งถาม เจ้าหล่อนถึงยอมเปิดปากเฉลย “วันนี้ฉันไปสมัครงานเป็นพนักงานขายเสื้อผ้าในห้างมา เจอเจ้าของร้านพอดี เขาเลยให้เข้าไปคุย” “ฮ้า! นี่ตกลงว่าเธอเอาจริง ร้านในห้างวันนั้นที่เราเข้าไปถามกันอ่ะนะ” “จริงสิ แล้วทำไมต้องทำเสียงประหลาดใจขนาดนั้นด้วยล่ะ คิดว่าฉันทำไม่ได้หรือไง” “ก็...ไม่รู้สินะ” เจ้าของคำพูดเกาศีรษะแกรก เหล่มองคนหน้านวลใส...ท่าทางต้วมเตี้ยมเตาะแตะเป็นคุณหนูอย่างนี้นี่หรือจะเป็นพนักงานขายของในห้าง! และเหมือนว่าคนโดนปรามาสจะอ่านความในใจเธอออก สีหน้าหล่อนจึงงอง้ำทันตา “ดูถูกฉัน เดี๋ยวจะทำให้ดูว่างานแค่นี้ฉันทำได้ ไม่ได้ติดนิสัยคุณหนูเหยาะแหยะอย่างที่เธอชอบค่อนแคะสักหน่อย” “เปล่า ไม่ใช่นะ ฉันแค่คิดว่าเธอจะไปทางสายงานหนังสือเต็มตัว เพราะเริ่มต้นได้ดีแล้ว งานแปลก็มีพิมพ์ออกมาเป็นเล่มแล้วด้วย กลายเป็นนักแปลมีผลงานการันตี เลยเข้าใจว่าจะเดินในเส้นทางนี้แล้วซะอีก...คิดไม่ถึงว่าจะทำงานขายของ” “งานหนังสือฉันก็ไม่ทิ้งหรอก ทำกลางคืนได้ ส่วนงานขายของก็ทำกลางวัน มันสะดวกดีด้วย เพราะห้างอยู่ไม่ไกลจากบ้าน ขี่รถไม่กี่นาทีก็ถึง” “บ้านเหรอ ตกลงว่าเธอจะอยู่บ้านหลังนั้นต่อไปใช่ไหม” “บ้านหลังนั้นก็เคยเป็นบ้านของฉัน ทำไม...ฉันจะอยู่ไม่ได้”ณิชาวางขวดวิสกี้ไว้ที่เดิมแล้วเดินไปหยิบอุปกรณ์ทำแผล ก่อนสืบเท้าไปหาเขาไรวินทร์เมินหนี ไม่อยากเห็นหน้าและแววตาหวั่นระแวงให้หงุดหงิดหัวใจเมื่อณิชาเพ่งมองแผ่นหลังกว้างใกล้ๆ ก็พานให้สยดสยอง แต่พอนึกถึงสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ หล่อนก็เม้มริมฝีปากแน่น...แค่นี้ก็โอดราวจะเป็นจะตาย ทีทำกับเธอกลับให้แค่คำขอโทษแล้วจบกัน“แพทให้ยาแก้อักเสบตัวใหม่ แต่ยาทายังใช้หลอดเดิม” เขาว่า หล่อนก็ทำตาม หยิบยาหลอดสีเหลืองมาป้ายแผ่นหลังให้อย่างระมัดระวัง แม้จะโกรธอยู่มาก แต่ก็ไม่ใจดำพอจะซ้ำให้เป็นหนักกว่าเดิม“คุณนอนลงได้ไหมคะ นอนคว่ำหน้า แบบนี้ฉันทายาให้ไม่ถนัด”ณิชาบอก เมื่อต้องนั่งคุกเข่าอยู่ด้านหลังเขา เห็นความแข็งแกร่งใหญ่โตของเรือนกายอย่างที่ทำให้พานหายใจไม่ออกเอาดื้อๆไรวินทร์ดึงหมอนมาวางแล้วล้มตัวนอนคว่ำหน้าอย่างว่าง่าย ณิชาจึงเริ่มทำหน้าที่ของตัวเองพร้อมอาการหายใจหายคอคล่องขึ้นหล่อนใช้เวลานานกว่าครั้งแรก เพราะไม่กล้าแตะรอยแผลบางแห่งให้หนักมือ ไม่รู้ว่าเขาเจ็บแค่ไหน แต่จากที่ดูด้วยตาหล่อนก็นึกกลัวขึ้นมาเหมือนกัน“คุณทำเห
“เจ้านายของนายเป็นอะไร ทำไมถึงติดต่อไม่ได้ตั้งแต่เช้า”“นายอยู่ในบ้านครับ” คำตอบแบบไม่ตรงคำถามลอยมาจากปลายสาย ทำให้คนถามนึกสงสัยหนักเข้าไปอีก“ฉันไม่ได้ถามว่าเขาอยู่ไหน แต่อยากรู้ว่าวันนี้ทำไมถึงไม่มาร่วมงาน ไหนรับปากไว้ว่าจะมา”“ผมจะเรียนให้นายทราบนะครับว่าคุณใหญ่โทร.มา”“เออ อย่าลืมบอกเขาล่ะ”รัชตะเก็บโทรศัพท์มือถือ ดวงตาคมหรี่ลงอย่างสงสัย ไรวินทร์เบี้ยวนัดสำคัญว่าจะเข้าร่วมประชุมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมของเชียงราช ทั้งที่รับปากไว้ดิบดี ปกติถ้าเป็นเรื่องงานไม่เคยเห็นว่าหมอนั่นจะเหลวไหล...แล้วทำไมวันนี้ถึงหายหัวไปดื้อๆ แถมพอถามจากเบน คนสนิทที่ติดตามมานาน ก็แสดงท่าทีบ่ายเบี่ยงอย่างเห็นได้ชัดจนรถจอดเทียบหน้าคฤหาสน์ เจ้าของอาณาจักรจึงก้าวออกมาพร้อมตัดความสงสัยนี้ออกจากหัว อารมณ์เคร่งเครียดที่ตกค้างจากการประชุมก็ปลิดหายเมื่อเห็นหนูน้อยตัวกลมคลานตุ้บตั้บอยู่ที่ระเบียงแล้วตรงมาหา หัวเราะดีใจที่เห็นเขารัชตะช้อนอุ้มร่างจ้ำม่ำของลูกน้อย หยอกล้ออย่างมันเขี้ยว แล้วตรงไปโอบเอวภรรยาที่ยืนกอดอกส่
สิ้นคำเพราะพริ้ง ร่างหญิงสาวก็ล้มผึงบนที่นอนอย่างเหมาะเหม็งเมื่อถูกดันลงอย่างไม่ออมแรง ชายหนุ่มดึงผ้านวมผืนใหญ่มาคลุมไว้เพียงอกอวบ...บังคับตัวเองให้ถอนสายตาไปยังดวงหน้าสวยหวาน ไล้สายตาไปยังเปลือกตาที่บวมแดงกับปลายจมูกโด่งเล็กนั่น ใบหน้าคมสันค่อยๆ โน้มลง อยากจูบประโลมเหลือกำลัง แต่ก็ต้องตัดใจ ผละห่างก่อนเธอจะรู้ตัวและระแวงจนไม่เป็นอันได้พัก“ผมรู้ว่าคุณคงหลับยาก แต่ยังไงก็ต้องพยายามพักผ่อน อย่าเพิ่งคิดไปในทางเลวร้าย...อย่ามองผมในแง่ร้ายนักเลย ณิชา”เสียงฝีเท้าของไรวินทร์เคลื่อนห่าง เธอต้องบ้าแน่ๆ ณิชาเอ็ดตัวเองอยู่ในใจที่เกิดเชื่อว่าตนจะปลอดภัยบนเตียงนอนของเขาตลอดค่ำคืนนี้...ทั้งที่เพิ่งถูกเขาล่วงเกินมาหมาดๆณิชาปรือเปลือกตาอย่างยากลำบาก กระทั่งสายตาปรับรับภาพได้ ความหดหู่เจ็บปวดก็จู่โจมเข้ามา ความทรงจำราวภาพฝันร้ายโถมหายามลืมตาตื่น ต่อเมื่อพลิกกาย ความเจ็บร้าวก็ยังตามมาตอกย้ำว่าสิ่งที่เกิดเมื่อคืนเป็นความจริง แถมเธอยังหลับสนิทบนเตียงนอนนี้ต่อได้อย่างไม่น่าให้อภัยณิชายันกายขึ้นนั่ง มองรอบไม่เห็นเงาของไรวินทร์ก็พอใจ กระทั่งทรงกายยืนข้างเตียง คิ
ณิชาห่อกาย อยากบรรเทาความรู้สึกรุนแรง หลบสายตาคนตัวใหญ่หนาที่กำลังควบขับอยู่เหนือร่างเธอ เขาดูน่ากลัว ดุดันและไร้ความปรานีเปลือกตาบางปรือปิดลงด้วยอยากปิดกั้นภาพน่ากลัวนั้น รับรู้แต่ว่าเรือนกายตนกำลังสั่นคลอนตามแรงกระแทกกระทั้นที่เริ่มดุดันหนักหน่วงขึ้น หล่อนเกาะเกี่ยวไหล่หนาไว้แน่นเมื่อร่างถูกโยกคลอนรุนแรง ความเจ็บระคนเสียวซ่านประดังเข้าหาจนณิชารับมันแทบไม่ไหว ครั้งแล้วครั้งเล่าที่คิดว่าตัวเองต้องขาดใจเสียงหอบคำรามดังขึ้นจากลำคอหนาถี่ขึ้น ขณะที่สัมผัสยิ่งดุดันรุนแรง“พอ...ไม่ไหวแล้ว”หล่อนปรือตามอง ร้องขออย่างไม่กลั้นตัวเอง นอกจากความเจ็บปวดแล้วยังมีความเสียดเสียวที่กระหน่ำทวี ณิชากรีดร้องอย่างลืมตัว ร่างกายบิดเร่าด้วยอยากบรรเทาความทรมานที่กำลังก่ออยู่ในกายเขาจะไม่รับฟัง กลับเคลื่อนไหวดุดัน กระแทกกระทั้นเต็มกำลัง ณิชาคิดว่าร่างกายเธอต้องแหลกสลายแน่แล้ว แต่แทนที่จะถอยห่าง กลับยิ่งหยัดร่างเข้าหาเหมือนอยากได้สัมผัสรุนแรงนั้นยิ่งขึ้น...เธอต้องการมัน มากเท่าไรก็ยังไม่พอเสียงเนื้อกระทบเนื้อและเสียงคำรามในลำคอหนาดังก้องอยู่ในหูของณิชา สลั
เขาผละออกห่างเพียงให้เกิดช่องว่าง มือแข็งแรงรูดเสื้อยืดเนื้อนุ่มของเธอออกง่ายดาย เต้าเต่งอวบงามที่ห่อหุ้มในบราเซียสีหวานเผยสู่สายตาชายหนุ่มมองแล้วรู้สึกเหมือนลำคอกำลังแห้งผาก“อย่ามอง อย่าทำ...ฉัน”ณิชาร้องไห้ตัวสั่น พยายามบิดกายเพื่อจะพรางตัวเองให้พ้นสายตาหื่นกระหายนั่น มันน่ากลัวเหลือเกินเรือนกายกลมกลึงอิ่มสะพรั่งด้วยวัยสาว ทั้งส่วนเว้าส่วนโค้งและผิวขาวผ่องนุ่มลื่นมือ ยิ่งเมื่อบิดเร่าด้วยพยายามหนี แต่เธอคงไม่รู้หรอกว่าภาพนั้นมันยิ่งกระพืออารมณ์ดิบให้เขาเหลือเกินไรวินทร์หายใจหอบ ความพยายามควบคุมตัวเองขาดสะบั้น มือหนาข้างหนึ่งที่ยังตรึงข้อมือหล่อนกดเหนือศีรษะ ปลดปล่อยออกมา เลื่อนมาลากไล้ตามไหล่ลาดกลมกลึง เนินอกอวบขาวผ่องที่เบียดชิดอัดแน่นอย่างอึดอัดพริบตาเดียว มือเรียวแข็งแรงข้างนั้นเลื่อนปัดไปตรงแผ่นหลังบาง สะกิดตะขอบราอย่างชำนิชำนาญจนก้อนเนื้อที่หมายตาถูกปลดปล่อยเป็นอิสระณิชาเม้มริมฝีปาก สะกดอารมณ์หวาดหวั่นและหวิวไหวไม่ให้หลุดออกมา หัวใจเต้นแรงด้วยความกลัวและเหนื่อยจากความพยายามที่ไร้ผล เห็นลางพ่ายแพ้อยู่แค่ตรงหน้า เธ
ทุ่มตรงที่ณิชาขังตัวเองอยู่ในห้องนอนบนชั้นสอง ห้องใหม่แต่เป็นตำแหน่งเดิมของห้องที่เคยเป็นของเธอ เหลือบมองสลัดผักจานใหญ่ที่คนรับใช้นำมาให้ตั้งแต่ชั่วโมงก่อน ตอนนี้มันพร่องไปกว่าครึ่งณิชาไม่อยากอุดอู้อยู่แต่ข้างใน แต่ปัญหาใหญ่ที่ทำให้ต้องกลายเป็นนางห้องเนื่องจากว่าทางออกของห้องนี้ต้องผ่านไปทางห้องนอนใหญ่ของไรวินทร์นั่นเองบ้านหรือเขาวงกตกันก็ไม่รู้ ณิชาสุดแสนจะหน่ายกับสิ่งที่เจออยู่ นายคนนี้คงกะจะเป็นเจ้าอาณาจักรผู้ครอบครองพื้นที่ในทุกตารางนิ้วของบ้านเลยใช่ไหม...เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น คนอะไรช่างแปลกประหลาดแต่อย่างว่า นายไรวินทร์ก็ไม่ใช่คนธรรมดา การจะทำอะไรคงต้องระวังตัวแจ แม้แต่บ้านยังต้องออกแบบใหม่ให้ตัวเองควบคุมได้ทุกส่วน ใครอยู่ด้วยคงได้อึดอัดตาย เท่าที่ณิชาหลวมตัวเข้ามาแค่วันเดียวก็เจียนบ้า แทบหลุดอารมณ์ใส่อยู่หลายรอบแค่นึกก็แทบแลบลิ้นปลิ้นตาผ่านบานประตูไปถึง...ไม่เคยเกลียดและหมั่นไส้ใครเท่านายคนนี้มาก่อนเลยแล้วต้องหยุดความคิดเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู แม้จะเบาๆ แต่เป็นจังหวะสม่ำเสมอสามครั้ง เดาได้ทันทีว่าเป็นใคร และนั่นทำให้ณิชาต้องระวังตัวม