“อือ...” บัวบูชาเออออตาม หากเห็นสีหน้าและแววตาที่อ่านไม่ออกของเพื่อน แม้จะคาใจในความคิด แต่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่อยากพูดถึงนัก จึงรีบกลับมาคุยเรื่องเดิม “เป็นพนักงานในร้านขายเสื้อผ้านั่นก็ดี เพราะนักท่องเที่ยวเยอะมาก เธอพูดภาษาอังกฤษและภาษาจีนกลางได้คล่องยังกับเจ้าของภาษา เจ้าของร้านคงชอบ เธอก็จะได้ฝึกฝนด้วย”
“คงอย่างนั้น เมื่อกี้คุณแหววก็บอกว่าพอใจที่ฉันพูดสองภาษานี้ได้ ที่ร้านกำลังต้องการอยู่พอดี คงเพราะเหตุนี้ฉันถึงได้งานทำ” “คุณแหววงั้นหรือ” “ใช่ คุณแหววเป็นเจ้าของร้าน เธอสวยมากเลยนะ ฉันชอบเธอจัง” ดวงตาของณิชาเป็นประกาย เมื่อนึกถึงหญิงสาวสวย ท่าทางมั่นใจและประเปรียวคนนั้น “อ๋อ ได้ข่าวว่าเจ้าของร้านเป็นคนจากกรุงเทพฯ แต่ไปเรียนเมืองนอกหลายปี คงเก๋ไก๋ ทันสมัยน่าดูนะ แถมเป็นภรรยาของคุณรัชภาคย์ เจ้าของเหมืองทองคำด้วย คงรวยมากทีเดียว” “ใครนะ เธอว่าคุณแหววเป็นภรรยาของใคร” “อ้าว ก็คุณรัชภาคย์หรือคุณเล็ก แฝดคนน้องของคุณใหญ่ คนดังแห่งเมืองเชียงราชไง อย่าบอกนะว่าไม่รู้จัก” “จริงเหรอ” ณิชาครางถาม หล่อนทรุดนั่งบนเก้าอี้คล้ายหมดแรง ดวงตาทอความสับสน ก่อนจะถูกความหม่นหมองฉาบทับ...อย่างที่คนคอยสังเกตอยู่บอกได้ทันทีว่าไม่อยากเห็นเพื่อนในอารมณ์นี้เลยจริงๆ “มีอะไรหรือนิด เธอมีอะไรกับพวกเขาหรือ” “เปล่า ไม่มี อย่างฉันจะไปเกี่ยวข้องอะไรกับคนระดับนั้น” “แต่...เอ๊ะ! ฉันจำได้ว่าเธอรู้จักกับคุณลดา ภรรยาของคุณใหญ่ใช่ไหม เธอเคยเล่าให้ฉันฟังว่าพวกเขาเป็นเพื่อนนักธุรกิจกับคุณพ่อเธอ ตอนคุณพ่อรักษาตัว พวกเขาก็ไปเยี่ยมบ่อยๆ แถมยังช่วยเหลือเรื่องค่ารักษาพยาบาลด้วย” “อืม...คุณใหญ่เป็นเจ้าของโรงพยาบาล เขาให้การช่วยเหลือดี แต่ฉันก็ไม่ถึงขั้นสนิทสนมกับพวกเขา ยิ่งเป็นตอนนี้ฉันยิ่งไม่กล้าคุ้นเคยใหญ่เลย เขากับเราคนละระดับกันแล้ว” “แล้ว...ไม่มีผลกับงานร้านคุณแหววใช่ไหม” “ไม่มี” ณิชาบอกทันควัน จนคนฟังรู้สึกได้ว่าช่างรีบตอบเหมือนกำลังกลัวบางอย่าง แต่ไม่ได้ทักถาม “คุณแหววให้เริ่มทำงานตั้งแต่พรุ่งนี้ เพราะร้านขาดคน ฉันก็ตกลงไปตามนั้น” ณิชาสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ไม่ว่าจะอย่างไร เธอควรเดินหน้าต่อไป โลกใบนี้ไม่มีพื้นที่สำหรับคนอ่อนแอหรอกนะ ถ้าเธอมัวแต่คิดหนี หวั่นกลัวต่อสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น หรือคิดน้อยใจในโชคชะตาและผู้คนที่เพียงผ่านเข้ามาในชีวิต แล้วเมื่อไหร่จะยืนได้สักที “ฉันต้องกลับแล้ว สัญญากับป้าสดใสไว้ว่าจะกลับไปกินมื้อเที่ยง แกเตรียมขนมจีนแกงไตปลาไว้ให้ แล้วบ่ายๆ จะให้พ้อหวานจัดปิ่นโตมาให้บัวชุดหนึ่งนะ เก็บไว้กิน ฉันจำได้ว่าเธอก็ชอบขนมจีนแกงไตปลาเหมือนกัน” ณิชาเปิดรอยยิ้มกว้าง แม้ดวงตาจะยังไม่อาจยิ้มตามก็เถอะ “ได้ ขอบใจ ฉันจะรอ”เพราะเดาว่าในเวลาอย่างนี้ แขกของไรวินทร์ยังอยู่ในบ้าน ณิชาจึงพารถคู่ใจอ้อมไปทางประตูรั้วด้านหลัง แล้วเข็นเข้ามาในเส้นทางขรุขระ ขนาดแค่พอคนเดินผ่าน
ด้วยอากาศร้อนจัด แม้จะเดินมาในระยะไม่กี่สิบเมตรจนถึงประตูห้องครัวที่เปิดแง้มก็ทำให้ใบหน้านวลนั้นแดงก่ำด้วยไอแดด แถมเม็ดเหงื่อซึมจนทั่ว ดังนั้นเมื่อเจอกับป้าสดใสที่สาละวนอยู่กับงานครัว เจ้าตัวจึงถึงกับอุทานถามให้วุ่น “กลับมายังไงคะคุณนิด แล้วเมื่อเช้าเอารถไปไม่ใช่หรือคะ ทำไมถึงได้เข้ามาทางหลังบ้านเงียบๆ” “โน่นไง รถจอดอยู่ข้างนอก นิดเข็นเข้ามา ไม่อยากรบกวนเจ้าของบ้านกับบรรดาแขกพิเศษ” “ใครที่ไหนกัน คุณนิดรู้หรือเปล่าว่าแขกของคุณไรวินทร์เป็นใคร เสียดายที่เมื่อเช้าคุณนิดรีบออกไปก่อน ไม่อย่างนั้นคงได้เจอกัน” “มีอะไรหรือคะป้า” “คุณลดาน่ะสิคะ มากับคุณใหญ่ ตอนตั้งโต๊ะทานข้าวช่วงใกล้เที่ยง เธอยังมาถามหาคุณนิดถึงในครัว แต่เหมือนจะรู้นะว่าคุณนิดออกไปข้างนอก เธอถามว่าคุณนิดกลับมาหรือยัง...คุณนิดได้คุยกับคุณลดาไว้ก่อนหรือเปล่าคะ” “ปละ...เปล่าค่ะ ไม่ได้คุย” ณิชาอ้ำอึ้ง เธอไม่อยากเจอปิ่นลดา เพื่อนใหม่ที่เคยคุยถูกคอในช่วงสั้นๆ ในเวลานี้ แม้จะรู้สึกดีกับเพื่อนรุ่นพี่คนนี้ตลอดมา เพราะรู้สึกว่ามีบางสิ่งในชีวิตที่คล้ายกัน จึงไม่ยากที่จะคุยกันได้ แต่พอเช้านี้เมื่อเผชิญหน้ากันตรงประตูรั้วใหญ่ซึ่งทำให้ณิชารู้ว่าปิ่นลดาและสามีนั่นเองที่มาเป็นแขกของไรวินทร์ เธอจึงถึงกับเบรกตัวเองจนตัวโก่ง เธอควรทบทวนความสัมพันธ์ฉันเพื่อนกับปิ่นลดาใหม่แล้วใช่ไหม “แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ไหนกันคะ”...หรือยังสังสรรค์อยู่ในห้องรับประทานอาหารโอ่โถงที่บิดาเคยใช้รับรองแขก ซึ่งภายหลังไรวินทร์ยึดไว้ใช้เอง “กลับกันแล้วค่ะ นี่บ่ายโมงกว่าแล้ว คุณนิดเพิ่งมา ว่าแต่ทานอะไรมาจากข้างนอกหรือยังคะ ถ้ายังป้าจะตั้งโต๊ะให้” “นิดยังไม่ได้ทานอะไรมาเลย ตั้งใจหิ้วท้องกลับมากินขนมจีนแกงไตปลากับผักลวกกะทิของป้า ตอนนี้หิวมากเลยค่ะ” ณิชาบอกเสียงออด แม้จะมีอาหารตกถึงท้องแค่ข้าวต้มไม่กี่ช้อนในมื้อเช้า แต่ก็ยังห่างไกลจากคำว่าหิว หากเพียงอยากให้แม่ครัวใหญ่ถอนความสนใจจากแขกของเจ้าของบ้านคนใหม่เท่านั้นเอง ณิชายอมรับว่า...ยังไม่อาจทำใจรับฟังด้วยหัวใจที่เปรมปรีดิ์ได้ลำแสงเรื่อเรืองเคลียเส้นขอบฟ้า ยามตะวันเคลื่อนคล้อยใกล้จะลาลับ อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว สายลมหนาวพัดวูบมา ทำให้คนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงลานสนามหญ้าหลังบ้านต้องห่อไหล่ มือบางดึงผ้าคลุมพลิ้วนุ่มกระชับแน่นขึ้น หากสายตาก็ยังจดจ่อกับสิ่งที่วางบนตัก
หล่อนกำลังตกเป็นเป้าสายตาของใครคนหนึ่งซึ่งยืนอิงกรอบหน้าต่างชั้นสองทางปีกซ้ายของบ้าน ดวงตาคมคู่นั้นหรี่ลงอย่างประเมินและครุ่นคิด เป็นครู่ใหญ่เขาถึงขยับยืน สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงยีนส์ สายตายังจับจ้องตรงภาพเดิม นึกอยากรู้ขึ้นมาว่าผู้หญิงคนนั้นทนอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วยเหตุผลอะไร เพราะเห็นชัดว่าหล่อนไม่ได้รู้สึกดีกับเขา...แถมยังแสดงชัดว่าไม่แม้จะอยากเฉียดใกล้ด้วยซ้ำ แล้วเสียงหัวเราะก็ดังในลำคอหนา เมื่อความคิดแล่นมาหยุดตรงนี้ ณิชา...มีสิทธิ์อะไรที่จะคิดและทำอย่างนั้นเล่า ในเมื่อเขากับเธอไม่ได้เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย หล่อนเองต่างหากที่ทู่ซี้อยู่ ไม่ยอมย้ายออกไปเอง เท่าที่เขายอมให้อยู่ ก็นับว่าใจดีมากพอแล้ว ควรหรือที่คนอาศัยอย่างหล่อนจะมาทำท่าทีรังเกียจเจ้าของบ้านอย่างเขาได้! เมื่อหญิงสาวที่นั่งอยู่กลางลานหญ้าลุกยืน คนร่างสูงใหญ่ตรงบานหน้าต่างชั้นสองก็ขยับตัว ถอยหลบเข้ามาข้างใน ด้วยไม่ต้องการให้เจ้าหล่อนรู้ว่าเขาเฝ้าจับตามองอยู่ณิชาคิดจะลงมานั่งอ่านหนังสือข้างล่าง ความก้าวหน้าของงานแปลดูท่าจะช้ากว่าแผน ถ้ายังไม่เดินหน้าทำจริงจัง ปล่อยให้อนาคตถูกโยงด้วยเส้นด้ายเปราะบางอย่างนี้คงไม่ดีแน่ไม่ว่าจะมีเรื่องราวสักกี่ร้อยพันเข้ามา แต่หน้าที่ของเธอหลังจากสิ้นพ่อและแม่แล้ว นั่นคือการดูแลตัวเองให้ดีที่สุด แม้จะพลั้งพลาดในบางเรื่อง ถลำลึกเกินกว่าจะหันหลังกลับ แต่คงไม่มีใครอยากให้ชีวิตพลาดซ้ำอยู่เรื่อยไปหญิงสาวเดินเข้าโถงบ้าน คิดจะครองโซฟามุมสงบนั่งทำงานตลอดวัน ก็เห็นพ้อหวานยิ้มแป้นมาแต่ไกล“ตอนเที่ยงกินอะไรดีคะ หนูทำให้”“กินอะไรดีล่ะ พ้อหวานทำอะไรได้บ้าง นอกจากต้ม ทอดและผัด”“แหม คุณนิด หนูกำลังพยายามอยู่นะคะ ตอนนี้ฝึกทำเครื่องแกงอยู่ ป้าสดใสบอกว่าเราทำเองมันจะหอมอร่อยกว่าซื้อที่เขาปั่นขายสำเร็จในตลาด”“อ๋อ เลยจะให้ฉันเป็นหนูทดลอง”ณิชายิ้มกริ่ม ต่อล้อต่อเถียงกับเด็กรับใช้อย่างอารมณ์ดี เมื่อสำเหนียกว่าอีกฝ่ายมีความปรารถนาดีและจริงใจให้อยู่“ไม่ใช่สักหน่อย หนูจะทำสุดฝีมือแล้วให้คุณนิดช่วยบอกต่างหากล่ะคะว่าเป็นยั
สงครามดุเดือดผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มพลิกกายห่างจากร่างนุ่มนิ่ม หล่อนนอนหลับตา ผ้าห่มผืนนุ่มคลุมถึงเนินอก เผยให้เห็นผิวผ่องตรงลาดไหล่งามและซอกคอขาวเนียนที่มีรอยแดงเป็นจ้ำด้วยฝีมือเขาไรวินทร์มองหญิงสาว ความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเต็มเปี่ยมอยู่ในหัวใจ แม้บางขณะความน้อยใจและขัดใจจะแทรกเข้ามาเพราะยังเรื่องที่คาใจอยู่ แต่เขาก็ไม่มีวันปล่อยเธอไปแน่เขายอมให้เธอพักผ่อน จนเลยมาหลายสิบนาที นึกหมั่นไส้คนยังนอนนิ่งทั้งที่รู้ว่าไม่ได้หลับชายหนุ่มเคลื่อนกายหาอีกรอบ ยกมือโอบรอบร่างน้อยกระชับแน่น หล่อนตัวแข็งจนเขารู้สึกได้ นึกอยากแกล้งนัก จึงโฉบใบหน้าสากระคายลงไซ้ตรงซอกคอ สูดกลิ่นหอมกรุ่นเข้าเต็มปอด แถมก่อนจะผละยังไม่ลืมขบเม้มซ้ำรอยเดิม จนณิชาต้องห่อกายหนี“หายสงสัยหรือยังว่าผมไปมั่วกับใครมาทั้งคืน หืม...ณิชา”เสียงหัวเราะในลำคอหนาทำให้ณิชาอยากทุบเขาให้ตาย“ฉันเกลียดคุณ”“แต่ผม...อยากรักคุณ รักคุณทั้งวันทั้งคืน”ถ้อยคำกำกวมและสื่อความนัยทำให้คนนอนตัวแข็งนึกหวั่นผวา พอเขาขยับหาอีก หล่อนก็รีบร้อง
จนท้องฟ้าด้านนอกสว่างเรืองรอง ณิชาปรือตาเปิดเมื่อแสงส่องเข้ามา กะพริบตามองเพดานห้อง สัมผัสความคุ้นเคย กระทั่งไออุ่นที่โอบรัด วินาทีนั้นเธอยังไม่อยากจากความอบอุ่นนี้ไป เรียวปากอิ่มแย้ม เปลือกตาบางปรือปิด ตั้งท่าจะหลับต่อหากแค่เสี้ยววินาทีดวงตาหวานกลับเบิกโพลง หันมองเจ้าของอ้อมกอด เขากำลังหลับสนิท ใบหน้าคมสันซุกนิ่งอยู่ข้างแก้มเธอ ณิชาเม้มริมฝีปากแน่น สูดหายใจลึก...เช้ามาอย่างนี้ไม่อยากเริ่มต้นด้วยอารมณ์บูดเลยแต่เขาก็ทำกับเธอเกินไป ออกไปหาความสุขนอกบ้าน พอคิดจะกลับก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นี่หล่อนคงกลายเป็นคู่นอนหมอนข้างของเขาอย่างสมบูรณ์แล้วสินะ มีประโยชน์ก็แค่บนเตียงนอนร่างน้อยดิ้นขลุกขลัก ออกแรงผลักร่างใหญ่โต หนักอึ้งปานหินผา ทั้งผลักทั้งดันอย่างไรก็ไม่เป็นผล ซ้ำร้ายยังขยับเข้ามาแนบชิด ท่อนแขนกำยำปานเหล็กกล้ายังออกแรงรัดจนหล่อนแทบจมหายเข้าไปในอ้อมกอดนั้น...ทุกอย่างเป็นไปโดยอัตโนมัติ โดยที่เจ้าของร่างใหญ่นั้นยังหลับอยู่ณิชาหยุดตัวเอง หายใจหอบ เหลือบมองชายหนุ่มอย่างเคืองๆหญิงสาวปล่อยให้ตัวเองนอนอยู่นิ่งๆ เพื่อรอให้หายเหนื่อย แต่แค่นาทีผ่านไป ร่างหนาให
เกือบเที่ยงคืนไรวินทร์ยังไม่กลับมา ณิชานอนพลิกกายอยู่บนเตียง พยายามคิดว่าเขาจะออกไปไหนและพบกับใคร ยิ่งคิดความระแวงก็ยิ่งถามหา พานผุดเป็นใบหน้าของคนที่เธอไม่อยากนึกถึง...อรุณวดี“ไม่หรอก เขาไม่มีทางทำกับเราอย่างนั้น”เมื่อนอนไม่หลับจึงลุกขึ้นเปิดไฟจนสว่างโร่ เดินวนเวียนอยู่ในห้องนอน ทะลุไปถึงห้องเสื้อผ้า สายตาเจ้ากรรมชำเลืองไปทางมุมหนึ่งแล้วใบหน้าก็ร้อนวาบ ภาพยามเช้าตรู่วันนั้นที่เธอหลบมาซุกนั่งด้วยไม่อาจทำใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างกัน จนเขาตามเข้ามา จากนั้นณิชาก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาถึงกระโจนหาหล่อนรวดเร็วตั้งตัวไม่ทัน แล้วทุกอย่างก็เกิดตามครรลองอีกรอบบ่อยครั้งเมื่ออยู่ใกล้ไรวินทร์ หล่อนรู้สึกเหมือนว่าตัวเขามีแรงลึกลับที่จะดึงดูดให้เอนเข้าหา ณิชาเคยต่อต้านแต่ก็ไม่เคยสำเร็จหล่อนหันกายจะกลับ แต่แล้วก็เห็นถุงกระดาษแปะโลโก้โรงแรมคุ้นตาวางกองสุมอยู่ เหมือนไม่มีใครใส่ใจจัดเก็บมันให้เข้าที่เข้าทางหญิงสาวตรงไปหยิบ ตั้งใจจัดให้เรียบร้อยด้วยไม่อาจปล่อยให้รกหูรกตา เสื้อเชิ้ตสไตล์ที่ไรวินทร์ใช้หลายตัว ณิชาหยิบมาจะเข้าตู้ของเขา แต่กระดาษชิ้น
ณิชามองหน้าจอมือถืออย่างตัดสินใจหลังจบการติดต่อผ่านโปรแกรมสนทนา เธอยังไม่ยอมรับสาย ไม่พูดคุยกับคนที่เพียรติดต่อหาโดยตรงนัดหมายของพีระ...ทำให้ณิชาลังเล สองจิตสองใจ ทั้งที่ก่อนนี้ตั้งใจจะตัดขาด ไม่ยอมพบหน้าเขาอีก“นิดไม่อยากได้บ้านคืนแล้วเหรอ ทางพีชช่วยได้นะ คุณพ่อจัดการให้ได้ นายไรวินทร์มันมีจุดอ่อนให้เราเล่นงานตั้งหลายจุด คุณพ่อรู้ดี คุณพ่อเล็งจะเล่นงานมันนานแล้ว’พ่อของพีระเป็นนายตำรวจใหญ่ในเชียงราช มีอิทธิพลและคนรู้จักอย่างกว้างขวาง การจะหาจุดอ่อนเพื่อเล่นงานนักธุรกิจหน้าใหม่ที่เข้ามาในเชียงราชสักคน ไม่ใช่เรื่องเกินความสามารถ“จะทำยังไง บอกได้ไหม”“ออกมาคุยกันสิ คุยอย่างนี้ไม่สะดวก ไม่ปลอดภัยทั้งพีชและนิด”“นิดขอคิดดูก่อนนะ”“ทำไม รักมันแล้วใช่ไหมถึงลังเล เปลี่ยนใจยกบ้านให้มันแล้วสิ”“นิดอยู่ในบ้าน มีคนของเขาจับตามองอยู่ การออกไปพบพีชไม่ใช่เรื่องง่าย”“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง พีชเข้าใจนิดแล้ว พีชจะรอนะ”การพูดคุยผ่านโปรแกรมจบลงเท่านั้น ณิชาก้มหน้าก้มตาอ
น้ำเสียงจริงจังแต่ไม่อาจทำให้คนฟังเชื่อ!“ผมไม่อยากขวางคุณทำงานหรอกนะ คุณทำงานกับคุณแหวว ผมชอบและยินดีกับคุณ คุณแหววก็ดูเชื่อมั่นคุณไม่น้อย”คนที่ล่วงรู้ความคิดเธอบอก แต่ณิชากลับรู้สึกแย่“พูดอะไรตอนนี้ คุณทำลายมันหมดแล้วนี่”“ให้ผมหาคนที่แกล้งคุณได้ก่อนแล้วจะพาสมัครงานใหม่ รับรองคุณแหววไม่มีทางกล้าปฏิเสธผม”“ไม่ต้องมาอวดตัว คุณแหววรับฉันเข้าทำงานเพราะตัวฉันเอง ถ้าจะรับกลับอีกก็ไม่เกี่ยวกับคุณ”แค่รู้ว่าจะได้กลับไปทำงาน มีลู่ทางสร้างความหวังเป็นของตัวเองอีก ณิชาก็อารมณ์ดีพอจะโต้เขาด้วยการจิกกัดพอให้เจ็บๆ คันๆ เล่น...แต่พอได้ยินคำพูดเนิบช้าคล้ายกำลังเล่าเรื่องดินฟ้าอากาศ ณิชาก็ถึงกับอึ้ง มึนงง ไม่รู้ว่าควรไปอย่างไรต่อดี“บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ามองผมในแง่ร้ายเกินไป เผื่อใจไว้บ้าง รู้จักตัวจริงของผมเมื่อไหร่คุณจะหลงรักผมหัวปักหัวปำ”ไรวินทร์มองคนนั่งข้าง เรียวปากอิ่มขยับเหมือนจะพูดบางอย่างแต่กลับไม่มีเสียงหลุดออกมา เขานึกอยากหัวเราะคนเก่งเสียจริง...แต่ก็สงสาร กลัวว่าจะยิ่งทำตัวไ