Beranda / รักโบราณ / การกลับมาของฮองเฮาเจิ้ง / บทที่ 13 ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใด สายที่มองต่ำยังคงเดิม

Share

บทที่ 13 ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใด สายที่มองต่ำยังคงเดิม

Penulis: moonlight -mini
last update Terakhir Diperbarui: 2025-11-20 11:56:27

บทที่ 13 ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใด สายที่มองต่ำยังคงเดิม

นางหยอบกายลงอย่างงดงาม ศีรษะต่ำแต่แววตากลับคมกริบ

“ไม่คิดว่าไท่หวงไท่โฮ่วจะทรงมีรับสั่งเรียกพบหม่อมฉันเช่นนี้”

ภายในตำหนัก กลิ่นกำยานอวลอบอวล ราวกับถูกจงใจจุดให้คลุ้งขับความคิดของผู้มาเยือนให้พร่าเลือน

ไท่หวงไท่โฮ่ววางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา พระหัตถ์เรียวยังคงงดงามแม้กาลเวลาจะผ่านไปหลายสิบปี

แววตาของนางเรียบสนิทเหมือนผิวน้ำในยามไร้ลม แต่ลึกลงไปกลับมีคลื่นกระเพื่อมที่อ่านไม่ออก

“ข้าก็ไม่คิด…ว่าหลังจากอยู่เงียบ ๆ บนเขาเทียนจี่เกือบสิบห้าปี เจ้าจะเลือกวันเช่นนี้ลงจากเขา”

เสียงนั้นอ่อนโยนราวกับกำลังสนทนากับสหายเก่า แต่ทุกคำกลับหนักราวค้อนเหล็กที่ค่อย ๆ ทุบลงบนหิน

เจิ้งซูเฟยเพียงยิ้มจาง ไม่ปฏิเสธ ไม่ยอมรับ

“บางครั้ง การกลับมาของผู้ที่ถูกไม่ได้รับความยุติธรรม…ก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล”

“ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลงั้นหรือ” ไท่หวงไท่โฮ่วแค่นหัวเราะเบา “ในวังนี้ ทุกการกระทำล้วนมีเหตุผล และทุกเหตุผลล้วนมีราคา”

พระเนตรของนางจ้องลึกเข้ามาราวจะชำแหละหัวใจผู้ตรงข้าม “ข้ากลัวเพียงว่า…ราคาที่ท่านจ่าย จะเป็นสิ่งที่แม้กระทั่งเจ้าเองก็ไม่อาจแบกรับ”

เจิ้งซูเฟยเลื่อนสายตาไปมองหน้าต่าง เห็นเงาไม้ไหวตามแรงลม ดวงตานั้นสะท้อนความเยียบเย็น “ในวังนี้ ข้าจ่ายมาแล้วทุกอย่าง…แม้กระทั่งชีวิตที่ควรได้ใช้กับลูก”

ความเงียบปกคลุมทั้งตำหนักอยู่ชั่วขณะ เหมือนทุกสรรพเสียงถูกกลืนหายไป

ไท่หวงไท่โฮ่วเอนพระวรกายเล็กน้อย น้ำเสียงช้าลง

“ลูก…หรือกษัตริย์ ในสายตาของข้า สองสิ่งนี้ไม่เคยเหมือนกัน”

ถ้อยคำนี้เหมือนคมมีดตัดขาดทุกความอ่อนโยนที่เหลืออยู่ในอากาศ

เจิ้งซูเฟยหัวเราะแผ่ว “เพราะเหตุนี้ วังหลังจึงอยู่ใต้พระหัตถ์ของท่านมาตลอด”

ไท่หวงไท่โฮ่วปรายพระเนตรคมกริบ “และเพราะเหตุนี้ ข้าจึงรู้ว่าเจ้าไม่ได้กลับมาเพราะคิดถึงโอรส”

นางหยุดชั่วครู่ เหมือนจงใจปล่อยให้ความเงียบบีบคั้นอีกฝ่าย “แต่กลับมา…เพื่อเล่นหมากตาใหม่”

เจิ้งซูเฟยมองตรงไปยังพระพักตร์ของอีกฝ่ายอย่างไม่หวั่นไหว

“บนกระดานหมาก ใครก็ตามที่หยุดเดิน…คือผู้พ่ายแพ้”

ไท่หวงไท่โฮ่วหัวเราะในลำคอ แต่ในพระเนตรกลับไร้แววขัน

“ท่านกล้าเสี่ยงกับตานี้หรือ เจิ้งซูเฟยหมากครั้งนี้ไม่ใช่เพียงหมากดำหมากขาว แต่คือชีวิตของหลายคน”

“ชีวิต…หรืออำนาจ” เจิ้งซูเฟยเอียงคอน้อย ๆ “ในวังนี้ สองสิ่งนั้นต่างก็ถูกแลกเปลี่ยนกันได้”

ไท่หวงไท่โฮ่วทรงวางถ้วยชาลงอีกครั้ง คราวนี้เสียงกระทบถาดดังกว่าเดิมเพียงเล็กน้อย แต่พอให้ขันทีที่คุกเข่าอยู่สะดุ้ง

“ในฐานะย่า ในฐานะคนที่เลี้ยงเขามา ข้าทำทุกอย่างเพื่อให้เขามีวันนี้ ส่วนในฐานะศัตรู…ข้าก็พร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้เขาไม่พังทลายเพราะเจ้า”

เจิ้งซูเฟยขยับตัวเล็กน้อย สายตาเป็นประกายเยือกเย็น “แล้วในฐานะผู้เป็นแม่…ท่านพร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้เขามีความสุขหรือไม่”

ประโยคนี้ทำให้ไท่หวงไท่โฮ่วชะงักเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็กลับมาสงบดังเดิม

“ความสุขของกษัตริย์…คือการปกครองโดยไร้ภัย ไม่ใช่การคุมบังเหียนราชบัลลังก์อยู่เบื้องหลัง”

แววตาของเจิ้งซูเฟยแปรเปลี่ยนไปจากเดิม สายตาของทั้งคู่ปะทะกันอย่างเงียบงัน ไม่มีใครยอมหลบ แม้เวลาจะเหมือนหยุดเดิน

ไท่หวงไท่โฮ่วค่อย ๆ ลุกขึ้น พระอิริยาบถยังสง่างามดั่งจักรพรรดินีผู้ครองบัลลังก์

น้ำเสียงเย็นราวน้ำแข็งที่บดบังความเดือดในพระเนตร

“เจ้าจะอยู่ในวังนี้ได้…แต่ต้องอยู่ในกรอบของข้า หากไม่เพราะหวงเชิง หลานคนเดียวของข้ายังมีช่องว่างในใจเพราะขาดแม่ เขาคงไม่ยื่นตำแหน่งให้เจ้า ไม่รีบโอบรับเจ้าทันทีที่เจ้ากลับมา”

พระเนตรกดลึก เหมือนคมมีดเฉือนลงบนหัวใจ “หากอยากให้หวงเชิงนั่งบัลลังก์อย่างมั่นคง จงลืมความหมาดหมางระหว่างข้ากับเจ้าเสีย ถึงว่ายัยแก่คนนี้…ยอมลงให้แล้ว”

เจิ้งซูเฟยหัวเราะเบา ๆ เสียงนั้นแฝงเยาะหยัน นางยิ้มเพียงเล็กน้อย แต่ในดวงตากลับฉายแววคล้ายคำตอบว่า กรอบที่ท่านวาง…ข้าจะทำลายมันด้วยมือของข้าเอง

“ตอนหวงเชี้ยสามีของข้าเป็นฮ่องเต้ เขายังสูงแค่เอวข้าเท่านั้น”

นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย สายตาหันตรงไปยังอีกฝ่าย “ในบันทึกราชวงศ์เขียนไว้ชัดฮองเฮาเมิ้งจง ไร้บุตรธิดา…และ ‘บังเอิญ’ ที่สนมคนหนึ่งคลอดองค์ชาย…แล้ว ‘บังเอิญ’ ตายภายในเจ็ดวัน”

นางทอดเสียงช้า “โชคดีเสียจริง…ที่องค์ชายผู้นั้นได้กลายเป็นโอรสของท่าน และโชคดียิ่งกว่าที่ได้เป็นฮ่องเต้อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์”

แววตาไท่หวงไท่โฮ่วพลันหม่นเข้มขึ้น คล้ายเมฆครึ้มปิดฟ้า แต่เจิ้งซูเฟยกลับเอียงพระศอเล็กน้อย กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่คมเหมือนคมดาบ

“ก็ไม่แปลกใจบุรุษที่ปกครองใต้หล้าได้เพราะมีมารดาบงการอยู่เบื้องหลัง…ย่อมปกป้องแม้แต่ภรรยาไม่ได้”

พระพักตร์ของไท่หวงไท่โฮ่วเข้มขึ้นทีละส่วน แต่ไม่ทรงขัด นั่นยิ่งทำให้คำถัดไปของเจิ้งซูเฟยราวกับยาพิษที่ค่อย ๆ ซึม

“แต่…คนที่อยู่ใต้เงาท่านมาทั้งชีวิต ถึงจะสามารถลากร่างเน่าเปื่อยมีลมหายใจอยู่ต่อ จนส่งต่อบัลลังก์ให้โอรสเพียงคนเดียวได้เมื่อเขาอายุสิบแปด และนั่งบัลลังก์โดยไม่ต้องมีผู้สำเร็จราชการ…อย่างที่ตนเองเคยเป็น”

ไท่หวงไท่โฮ่วหรี่พระเนตร “แล้วอย่างไร”

เจิ้งซูเฟยก้าวเข้าไปเพียงครึ่งก้าว ลดเสียงลงราวกับกระซิบ แต่ทุกถ้อยคำกลับชัดเจนราวกับตอกตะปู

“ที่ข้าพูดมายาวเหยียด…ก็เพื่อจะบอกท่านว่าเลือดของท่านกับหวงเชิง…ไม่เคยมีแม้แต่หยดเดียวที่เข้ากันได้”

แววตานางคมกริบ “แต่ข้า…คือคนที่อุ้มเขามาสิบเดือน กลั่นเลือดในอกให้เขาดูดดื่ม”

นางหยุดเพียงชั่วอึดใจ ก่อนแทงคำสุดท้ายอย่างไร้เมตตา

“หากไม่ใช่เพราะท่านหลงอำนาจ…เขาคงได้เติบโตในอ้อมแขนของข้า ไม่ต้องอยู่ในวังหลังเย็นชาเช่นนี้…ไม่ต้องเรียนรู้วิธีรักคนอื่นด้วยหัวใจที่ไร้ความอบอุ่น”

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • การกลับมาของฮองเฮาเจิ้ง   บทที่ 17 พิษในร่มเงา

    บทที่ 17 พิษในร่มเงามีดที่ซ่อนอยู่ในรอยยิ้ม อันตรายยิ่งกว่าหอกทิ่มตรงหน้า และบางครั้ง การไว้ใจผิดคน…ก็เท่ากับเชิญภัยมาถึงตำหนักหลังการพิจารณาคดีในท้องพระโรง เจิ้งซูเฟยกลับตำหนักอย่างสงบ แต่ภายในวังยังมีแรงสั่นสะเทือนอยู่เงียบ ๆเพียงหนึ่งวันหลังจากนั้นขันทีผู้ดูแลตำหนักไท่ฮวา เอ่ยต่อไท่เฟยด้วยความนอบน้อม“เสี่ยวหลิง ลูกสาวมัวมัวเก่าผู้จงรักภักดี…ได้สมัครเข้ารับใช้ในตำหนักไท่เฟยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ไท่หวงไท่โฮว่เพียงพยักหน้า แต่สายพระเนตรเย็นดุจน้ำแข็ง“บอกนางว่า…ข้าต้องการความจริง ไม่ใช่ความภักดี”เสี่ยวหลิง นางอายุเพียงสิบหกปี ใบหน้ากลมขาว ผูกเปียเล็กหลังศีรษะ พูดจาเรียบร้อย ไม่สอดรู้ ไม่เสนอตัวเกินงามวันแรกที่เข้าตำหนัก เจิ้งซูเฟยมองอย่างเรียบเฉย“เจ้าชื่ออะไร”“เสี่ยวหลิงเพคะ มารดาเคยทำงานในวังสมัยก่อน”“ข้าไม่ถามเรื่องมารดา ข้าถามว่าเจ้าตั้งใจจะรับใช้อย่างไร”คำตอบที่เสี่ยวหลิงตอบ คือการก้มกราบลงอย่างเงียบงันหลายวันผ่านไปเสี่ยวหลิงดูเป็นเด็กขยัน ซื่อสัตย์ ไม่เคยซุบซิบ แต่นางมักอยู่ใกล้เอกสาร โต๊ะเขียนหนังสือ หรือห้องเก็บของสำคัญ และทุกค่ำคืน จะกลับห้องช้ากว่าคนอื่นเล็กน้อยเสมอคนส

  • การกลับมาของฮองเฮาเจิ้ง   บทที่ 16 หรงชิง บุรุษผู้หวนคืนจากความตาย

    บทที่ 16 หรงชิง บุรุษผู้หวนคืนจากความตายบางคนคิดว่าเขาตายไปแล้ว บางคนภาวนาให้เขาตายเสียที แต่เขากลับก้าวเข้าสู่ประตูวัง…ด้วยเท้าที่มั่นคง และหัวใจที่ยังภักดีต่อความจริงต้นฤดูใบไม้ร่วง ลมแล้งพัดแรงจากชายแดนเหนือ คาราวานหนึ่งจากแดนเถื่อนเคลื่อนเข้าสู่พระนครอย่างไร้ผู้เหลียวแลทว่าในหมู่ผู้เดินทางนั้น…มีชายสวมผ้าหยาบซีด ไม่เผยใบหน้า“นั่น…หน้าคล้ายอัครเสนาบดีหรงชิง!”“เป็นไปไม่ได้! เขาถูกประหารไปแล้วเมื่อสิบปีก่อน!”ข่าวลือแพร่กระจายดุจไฟลามหญ้าในวังหลวงขุนนางชราหน้าซีดเผือด ขุนนางรุ่นใหม่เริ่มตั้งคำถามราชสำนัก…เคยฆ่าคนผิดหรือไม่ในตำหนักลับของขุนนางผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ชายในชุดหยาบเผยโฉมอย่างชัดเจนต่อหน้าฮ่องเต้“หม่อมฉัน…หรงชิง ขอกลับมาสู่แผ่นดินภายใต้พระบารมีอีกครั้งสิบปีที่ผ่านมา…หม่อมฉันมิได้ตาย แต่ถูกขับให้ลี้ภัย รอวันที่ความจริงจะได้เป็นธรรม”เขาคลี่ผ้าผืนหนึ่งออกในนั้นคือจดหมายของเจิ้งซูเฟยจากสิบปีก่อนหมึก ตราประทับ และลายมือ…ตรงกับต้นฉบับทุกประการเนื้อความในจดหมายนั้น…มิใช่ถ้อยคำแห่งความรักแต่คือถ้อยคำแห่งความกล้า“…แม้ข้าจะไร้อำนาจ แต่หากท่านยังมีเมตตา ขอท่านอย่าปล่

  • การกลับมาของฮองเฮาเจิ้ง   บทที่ 15 อ้อมกอดที่แสนคนึงหา

    บทที่ 15 อ้อมกอดที่แสนคนึงหาใต้เงามืดในวังหลังมีคนกลุ่มหนึ่งเดินลัดเลาะตามเงาที่ถอดยาว เมื่อถึงตำหนักของเจิ้งซูเฟย หนึ่งในชายชุดดำก็แยกตัวออกมาและเล้นกายเข้าไปภายในประตูไม้เปิดออกช้า ๆเงาร่างสูงสง่าในชุดคลุมไหมเข้มก้าวเข้ามาเงียบ ๆ ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์เมื่อเห็นเจิ้งซูเฟยที่กำลังนั่งให้คนสนิทพันผ้าพันแผลให้อยู่ ร่างสูงก็ยืนนิ่งราวกลับถูกแช่แข็งไว้ สนิทของเจิ้งซูเฟยเห็นผู้บุกลุกก็รีบลุกแล้วออกไปด้านนอกในทันทีชายในชุดดำทรุกกายลงนั่งแทนที มือหนาพันแผลที่ยังค้างเอาไว้ต่ออย่างเบามือเขาเงยหน้าสบตาคนตรงหน้าที่มีดวงตาเช่นเขา“มาสาย”“เสด็จแม่ไม่เห็นต้อง…ทำเช่นนี้”“นางจะได้ไม่สงสัยว่าทำไมเจ้าให้ตำแหน่งแม่ง่ายดาย”“แต่แขนของท่าน หากข้าไปช้าอีกนิด ไม่รู้ว่า” เขาตอบเสียงแผ่ว “เสด็จย่าจะทำเช่นไรกับท่านต่อ ในตำหนักนั่นมีแต่คนของนาง”เจิ้งซูเฟยยกยิ้มบาง ดวงหน้าอ่อนโยนอย่างที่ไม่มีใครในวังเคยเห็น“แต่เจ้าก็ไปทันมิใช่นหรือ เจ้าโตแล้วจริง ๆ เจ้า…โตพอจะปกป้องแม่แทนแล้ว”“อย่าทำเช่นนี้อีก หากข้าเห็นท่านต้องบาดเจ็บตรงหน้า ไม่รู้ว่าทนเปิดบังความรักที่ข้ามีต่อท่านได้แค่ไหน”“มากกว่า

  • การกลับมาของฮองเฮาเจิ้ง   บทที่ 14 บาดแผล

    บทที่ 14 บาดแผลไท่หวงไท่โฮ่วทรงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพระเนตรวาวขึ้นเหมือนประกายเหล็กกระทบกัน พระสุรเสียงแผ่วต่ำแต่ทิ่มแทงราวคมดาบ“สามหาว… เจ้าอย่าคิดว่าเพียงเพราะหวงเชิงมอบตำแหน่งให้ เจ้าจะมีสิทธิ์เอื้อนเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ต่อหน้า ข้า ได้”สุรเสียงแผ่วต่ำแต่แฝงแรงกดดันจนลมหายใจในตำหนักหนักอึ้ง “แม้ตอนนี้ข้าจะไม่ได้บัญชาหลังม่าน แต่วังหลังแห่งนี้… ข้าต่างหากคือผู้เป็นใหญ่ที่สุด”เจิ้งซูเฟยหัวเราะในลำคอ เสียงนั้นเบาราวจะกลืนหายไปในอากาศ แต่กลับบาดลึกกว่าเสียงตวาดใด ๆ“เพียงแค่ ตอนนี้ เท่านั้น… เสด็จแม่”คำเรียกขานนั้นทำให้วังเวงทั้งตำหนักราวหยุดนิ่ง เวลานับสิบปีไม่เคยได้ยินคำนี้จากปากนาง แต่ครานี้กลับถูกเอ่ยออกมาอย่างจงใจ ราวใบมีดที่ทิ่มลึกลงในอดีตแววตาของไท่หวงไท่โฮ่วฉายประกายเย็นยะเยือกปนเดือดดาล ความเยือกนั้นเหมือนน้ำแข็งในฤดูหนาว ขณะความเดือดดาลเหมือนเพลิงที่กำลังบีบอัดอยู่ในม่านหมอก จนไม่อาจคาดได้ว่าพายุนี้จะระเบิดเมื่อใดพระพักตร์ที่ปกติสุขุม กลับค่อย ๆ คล้ำลงทีละส่วน ขอบพระโอษฐ์กระตุกขึ้นเล็กน้อยคล้ายรอยยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่เย็นชาจนเส้นเลือดเย็นเฉียบในความเงียบที่กดทับ เสียงเคร

  • การกลับมาของฮองเฮาเจิ้ง   บทที่ 13 ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใด สายที่มองต่ำยังคงเดิม

    บทที่ 13 ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใด สายที่มองต่ำยังคงเดิมนางหยอบกายลงอย่างงดงาม ศีรษะต่ำแต่แววตากลับคมกริบ“ไม่คิดว่าไท่หวงไท่โฮ่วจะทรงมีรับสั่งเรียกพบหม่อมฉันเช่นนี้”ภายในตำหนัก กลิ่นกำยานอวลอบอวล ราวกับถูกจงใจจุดให้คลุ้งขับความคิดของผู้มาเยือนให้พร่าเลือนไท่หวงไท่โฮ่ววางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา พระหัตถ์เรียวยังคงงดงามแม้กาลเวลาจะผ่านไปหลายสิบปีแววตาของนางเรียบสนิทเหมือนผิวน้ำในยามไร้ลม แต่ลึกลงไปกลับมีคลื่นกระเพื่อมที่อ่านไม่ออก“ข้าก็ไม่คิด…ว่าหลังจากอยู่เงียบ ๆ บนเขาเทียนจี่เกือบสิบห้าปี เจ้าจะเลือกวันเช่นนี้ลงจากเขา”เสียงนั้นอ่อนโยนราวกับกำลังสนทนากับสหายเก่า แต่ทุกคำกลับหนักราวค้อนเหล็กที่ค่อย ๆ ทุบลงบนหินเจิ้งซูเฟยเพียงยิ้มจาง ไม่ปฏิเสธ ไม่ยอมรับ“บางครั้ง การกลับมาของผู้ที่ถูกไม่ได้รับความยุติธรรม…ก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล”“ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลงั้นหรือ” ไท่หวงไท่โฮ่วแค่นหัวเราะเบา “ในวังนี้ ทุกการกระทำล้วนมีเหตุผล และทุกเหตุผลล้วนมีราคา”พระเนตรของนางจ้องลึกเข้ามาราวจะชำแหละหัวใจผู้ตรงข้าม “ข้ากลัวเพียงว่า…ราคาที่ท่านจ่าย จะเป็นสิ่งที่แม้กระทั่งเจ้าเองก็ไม่อาจแบกรับ”เจิ้งซูเฟยเล

  • การกลับมาของฮองเฮาเจิ้ง   บทที่ 12 ลายมือจากอดีต

    บทที่ 12 ลายมือจากอดีตคืนหนึ่งหลังการสอบสวนขันทีเฒ่าเสร็จสิ้น หลิวกงกงผู้ซื่อสัตย์ได้นำหีบไม้เก่าใบหนึ่งมาเฝ้าพระพักตร์ เป็นหีบที่ถูกเก็บไว้ในห้องเก็บตำราเก่า ณ หอพระราชนิพนธ์ด้านใน ซึ่งไม่มีผู้ใดแตะต้องมากว่าสิบห้าปี“ฝ่าบาท… หม่อมฉันพบสิ่งนี้ระหว่างจัดระเบียบเอกสารเก่า พระองค์โปรดทอดพระเนตรเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ภายในหีบมีสมุดฉบับเล็กเย็บมือ บนปกไม่มีชื่อ แต่เมื่อเปิดออก กลับเป็น ลายมือของเจิ้งซูเฟย ในยามถูกจองจำที่ตำหนักเย็นใจระหว่างการตัดสินโทษข้อความที่เปลี่ยนทุกอย่าง‘…แม้ข้าต้องยอมสละเกียรติ ยอมเป็นหญิงบ้าในสายตาโลก หากเพียงเขา…ลูกของข้า…จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าก็ยินดี’‘ข้าถูกล่อลวงให้ถือถ้วยชาที่มีพิษ’พระเนตรฮ่องเต้แข็งค้างไปนานแม้กระดาษจะเก่า แม้หมึกจะเลือนลางแต่ลายมือนั้น…ทรงจำได้ดีเพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่พระองค์ทรงเห็นลายมือที่ซ่อนในสมุดเล่มนั้นกลายเป็น คำให้การที่ไม่มีใครสามารถลบได้“ลายมือเช่นนี้…คล้ายกับบทกลอนที่วางไว้ข้างพระแท่นบรรทมเมื่อหลายคืนก่อนท่านแม่…เขียนถึงข้าทั้งที่รู้ว่าจะไม่มีวันได้พบอีก ”ฮ่องเต้เริ่มเชื่อว่าเจิ้งซูเฟยไม่ได้ทอดทิ้งพระองค์อย่างที่ถูกเล่าทรงระลึกถ

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status