Masukบทที่ 14 บาดแผล
ไท่หวงไท่โฮ่วทรงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพระเนตรวาวขึ้นเหมือนประกายเหล็กกระทบกัน พระสุรเสียงแผ่วต่ำแต่ทิ่มแทงราวคมดาบ
“สามหาว… เจ้าอย่าคิดว่าเพียงเพราะหวงเชิงมอบตำแหน่งให้ เจ้าจะมีสิทธิ์เอื้อนเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ต่อหน้า ข้า ได้”
สุรเสียงแผ่วต่ำแต่แฝงแรงกดดันจนลมหายใจในตำหนักหนักอึ้ง “แม้ตอนนี้ข้าจะไม่ได้บัญชาหลังม่าน แต่วังหลังแห่งนี้… ข้าต่างหากคือผู้เป็นใหญ่ที่สุด”
เจิ้งซูเฟยหัวเราะในลำคอ เสียงนั้นเบาราวจะกลืนหายไปในอากาศ แต่กลับบาดลึกกว่าเสียงตวาดใด ๆ
“เพียงแค่ ตอนนี้ เท่านั้น… เสด็จแม่”
คำเรียกขานนั้นทำให้วังเวงทั้งตำหนักราวหยุดนิ่ง เวลานับสิบปีไม่เคยได้ยินคำนี้จากปากนาง แต่ครานี้กลับถูกเอ่ยออกมาอย่างจงใจ ราวใบมีดที่ทิ่มลึกลงในอดีต
แววตาของไท่หวงไท่โฮ่วฉายประกายเย็นยะเยือกปนเดือดดาล ความเยือกนั้นเหมือนน้ำแข็งในฤดูหนาว ขณะความเดือดดาลเหมือนเพลิงที่กำลังบีบอัดอยู่ในม่านหมอก จนไม่อาจคาดได้ว่าพายุนี้จะระเบิดเมื่อใด
พระพักตร์ที่ปกติสุขุม กลับค่อย ๆ คล้ำลงทีละส่วน ขอบพระโอษฐ์กระตุกขึ้นเล็กน้อยคล้ายรอยยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่เย็นชาจนเส้นเลือดเย็นเฉียบ
ในความเงียบที่กดทับ เสียงเครื่องประดับหยกบนข้อมือพระนางกระทบกันเบา ๆ กลับชัดเจนราวระฆังเตือนภัย
“ข้าจะให้เขาเห็น…ธาตุแท้ของเสด็จแม่เอง”
น้ำเสียงของเจิ้งซูเฟยเยือกเย็น แต่ดวงตาแฝงประกายมุ่งมั่น
จากนั้นเสียงหวีดร้องเจ็บปวดฉีกความเงียบภายในตำหนักดังสะท้อนออกมา
ฮ่องเต้หนุ่มที่เพิ่งมาถึงชะงักกึก ใจเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัว เขารู้เพียงว่าทันทีที่ได้ยินข่าวว่าเสด็จย่าเรียกมารดาของเขาเข้าพบ เขารีบรุดมาที่นี่ แต่กลับพบว่าข้ารับใช้และขันทีทุกคนถูกไล่ให้ออกมายืนอยู่ด้านนอกหมด
นั่นหมายความว่าภายในห้อง มีเพียงสตรีสองคนเผชิญหน้ากัน
เสียงของแตกดัง เพล้ง! ตามมาด้วยเสียงหวีดร้องสูงแหลม
“กรี๊ดดดดดดดด!”
หวงเชิงไม่รอช้า ผลักประตูพังเข้าไปทันที
ภาพที่เห็นทำให้หัวใจเขาหล่นวูบมารดาของเขาทรุดอยู่กับพื้น กาต้มน้ำชาที่ควรตั้งอยู่บนเตาไฟกระจัดกระจาย เศษถ้วยน้ำชากระเด็นเกลื่อน แขนเสื้อด้านหนึ่งของนางเปียกโชกและมีไอร้อนลอยกรุ่นออกมา กลิ่นไหม้แผ่วลอยแตะจมูก
สายพระเนตรของเขาเงยขึ้น พบเสด็จย่ายืนอยู่ไม่ไกล ใบหน้าสงบนิ่งราวน้ำแข็ง แต่แววตาลึกล้ำยากหยั่งถึง มือเรียวยังคงจับผ้าขนหนูผืนหนึ่งที่เปียกน้ำครึ่งหนึ่งเหมือนเพิ่งจะใช้
ความเงียบอึดอัดปกคลุมจนไม่อาจรู้ได้ว่าใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
“เสด็จย่า…” น้ำเสียงหวงเชิงสั่นเล็กน้อยแต่หนักแน่น “เป็นหลานเองที่มอบตำแหน่งให้เสด็จแม่ หากจะโกรธก็โกรธหลานเถิด อย่าลงโทษนางเช่นนี้เลย ความผิดทั้งหมดอยู่ที่หลานเพียงผู้เดียว”
แววตาของเขาจ้องสบพระพักตร์ผู้เฒ่าอย่างไม่หลบ แม้ในดวงตานั้นจะสั่นไหวด้วยความโกรธและกังวลผสมกัน ท่าทางนั้นทำให้ห้องที่เพิ่งคลายเสียงหวีดร้องกลับตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง
“ย่าไม่ได้แตะต้องนางสักปลายเล็บ…นางต่างหาก ที่ทำตัวเองให้เป็นเช่นนี้”
น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความเย็นชา แววตาหรี่ลงเล็กน้อยเหมือนจะวัดใจหลานชายว่าจะแก้ต่างให้มารดาหรือจะเลือกเชื่อคำพูดของตน
“หลานอย่าลืม…นางชำนาญนักเรื่องการทำให้ผู้คนสงสาร”
ซูเฟยพลิกชายแขนเสื้อขึ้นอย่างคล้ายเผลอไผล ท่วงท่าช้าเนิบนาบ แต่เพียงพอให้ทุกสายตาเห็นรอยแดงน่าหวาดเสียวที่ลามไปจนถึงท่อนแขน เนื้อหนังบวมพองเล็กน้อย สีผิวแดงฉานตัดกับความขาวซีดของนางยิ่งเด่นชัด
กลิ่นน้ำชาร้อนที่เพิ่งหกยังลอยอวลในอากาศ ความเงียบในห้องถูกทำลายด้วยเสียงสูดลมหายใจของขันทีบางคนที่เผลอครางออกมาอย่างตกใจ
“เพียงเพราะหม่อมฉันเอ่ยคำไม่ถูกหู…จึงสมควรลงโทษเช่นนี้หรือเพคะ”
น้ำเสียงของนางไม่ได้สูงนัก แต่สั่นระริก ราวกับพยายามกดความเจ็บปวดไว้ไม่ให้ปะทุออกมา ดวงตาแดงก่ำทว่ากลับมีประกายวาววับ แฝงความท้าทายที่มีเพียงไท่หวงไท่โฮ่วเท่านั้นที่มองออก
“เสด็จแม่ลงโทษนางกำนัลทุกคนเช่นนี้…แต่หม่อมฉันเป็นถึงมารดาของหลานเพียงคนเดียวของพระองค์”
ซูเฟยเอ่ยช้า ๆ ราวกับทุกถ้อยคำหนักเป็นพันชั่ง “แค่ตักเตือนคงไม่เพียงพออย่างนั้นหรือ…จึงลงโทษหม่อมฉันราวกับทาสในวัง”
ไท่หวงไท่โฮ่วก้าวมาหนึ่งก้าว พระเนตรหรี่มองอย่างเย็นชา นางไร้พยาน เป็นซูเฟยที่เอ่ยปากว่าอย่างคุยตามลำพัง ไท่โฮ่วเห็นว่าพื้นนที่เป็นของตนจึงยอมไล่คนของตนออกไป เพราะบางคำก็ไม่ได้ให้ใครได้ยิน หรือเจิ้งซูเฟยวางแผนนี้เอาไว้ก่อนแล้ว
“เจ้าอย่าคิดว่าการเป็นมารดาโดยสายเลือดจะทำให้เจ้าล่วงเกินข้าได้ ข้าถือบังเหียนวังหลังมาก่อนเจ้าจะกลับมาเหยียบแผ่นดินนี้เสียอีก”
ซูเฟยแย้มรอยยิ้มบาง มุมปากเย้ยหยัน “ก็จริงเพคะ…เสด็จแม่อยู่เหนือหัวหม่อมฉันมานานนัก…แต่เหนือหัวเพราะอำนาจ ไม่ใช่เพราะสายเลือด”
คำพูดนั้นเหมือนเข็มแหลมทิ่มแทงกลางใจ ฮ่องเต้ที่ยืนอยู่ข้างหนึ่งเม้มพระโอษฐ์แน่น แววตาลังเลแปรเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจต่อบรรยากาศที่บีบคั้นตรงหน้า
“พอแล้ว!” เสียงหวงเชิงดังสะท้อนในห้อง ราวกับตัดขาดบรรยากาศตึงเครียดในพริบตา “เสด็จแม่…ตามหมอหลวงมาดูแผลก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน”
พระหัตถ์ชี้ไปทางขันที “ไป! รีบเรียกหมอหลวงมาที่ตำหนักเดี๋ยวนี้”
แล้วหวงเชิงก็ก้าวไปประคอง ก่อนจะโน้มตัวอุ้มมารดาขึ้นจากพื้นอย่างระมัดระวัง
ไท่หวงไท่โฮ่วจ้องมองหลานชาย แววตาคมลึกเปี่ยมด้วยคำถาม
“เจ้า…คงไม่เชื่อในสิ่งที่นางพูดใช่ไหม หยงเชิง”
ฮ่องเต้เม้มพระโอษฐ์ ไม่ตอบตรงคำถาม เพียงเอ่ยเสียงต่ำ “เสด็จย่า เอาไว้ค่อยคุยกัน ตอนนี้รักษาคนเจ็บสำคัญที่สุด”
น้ำเสียงนั้นไม่ใช่การขอร้อง แต่เป็นการประกาศว่าพระองค์จะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ถูกตัดสินในเวลาที่อารมณ์ยังร้อนระอุ
เจิ้งซูเฟยยกยิ้มมุมปากมองสตรีชราตรงหน้า ราวกับประกาศว่า
เห็นแล้วใช่หรือไม่ว่าหยงเชิงเลือกจะเชื่อผู้ใด
บทที่ 17 พิษในร่มเงามีดที่ซ่อนอยู่ในรอยยิ้ม อันตรายยิ่งกว่าหอกทิ่มตรงหน้า และบางครั้ง การไว้ใจผิดคน…ก็เท่ากับเชิญภัยมาถึงตำหนักหลังการพิจารณาคดีในท้องพระโรง เจิ้งซูเฟยกลับตำหนักอย่างสงบ แต่ภายในวังยังมีแรงสั่นสะเทือนอยู่เงียบ ๆเพียงหนึ่งวันหลังจากนั้นขันทีผู้ดูแลตำหนักไท่ฮวา เอ่ยต่อไท่เฟยด้วยความนอบน้อม“เสี่ยวหลิง ลูกสาวมัวมัวเก่าผู้จงรักภักดี…ได้สมัครเข้ารับใช้ในตำหนักไท่เฟยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ไท่หวงไท่โฮว่เพียงพยักหน้า แต่สายพระเนตรเย็นดุจน้ำแข็ง“บอกนางว่า…ข้าต้องการความจริง ไม่ใช่ความภักดี”เสี่ยวหลิง นางอายุเพียงสิบหกปี ใบหน้ากลมขาว ผูกเปียเล็กหลังศีรษะ พูดจาเรียบร้อย ไม่สอดรู้ ไม่เสนอตัวเกินงามวันแรกที่เข้าตำหนัก เจิ้งซูเฟยมองอย่างเรียบเฉย“เจ้าชื่ออะไร”“เสี่ยวหลิงเพคะ มารดาเคยทำงานในวังสมัยก่อน”“ข้าไม่ถามเรื่องมารดา ข้าถามว่าเจ้าตั้งใจจะรับใช้อย่างไร”คำตอบที่เสี่ยวหลิงตอบ คือการก้มกราบลงอย่างเงียบงันหลายวันผ่านไปเสี่ยวหลิงดูเป็นเด็กขยัน ซื่อสัตย์ ไม่เคยซุบซิบ แต่นางมักอยู่ใกล้เอกสาร โต๊ะเขียนหนังสือ หรือห้องเก็บของสำคัญ และทุกค่ำคืน จะกลับห้องช้ากว่าคนอื่นเล็กน้อยเสมอคนส
บทที่ 16 หรงชิง บุรุษผู้หวนคืนจากความตายบางคนคิดว่าเขาตายไปแล้ว บางคนภาวนาให้เขาตายเสียที แต่เขากลับก้าวเข้าสู่ประตูวัง…ด้วยเท้าที่มั่นคง และหัวใจที่ยังภักดีต่อความจริงต้นฤดูใบไม้ร่วง ลมแล้งพัดแรงจากชายแดนเหนือ คาราวานหนึ่งจากแดนเถื่อนเคลื่อนเข้าสู่พระนครอย่างไร้ผู้เหลียวแลทว่าในหมู่ผู้เดินทางนั้น…มีชายสวมผ้าหยาบซีด ไม่เผยใบหน้า“นั่น…หน้าคล้ายอัครเสนาบดีหรงชิง!”“เป็นไปไม่ได้! เขาถูกประหารไปแล้วเมื่อสิบปีก่อน!”ข่าวลือแพร่กระจายดุจไฟลามหญ้าในวังหลวงขุนนางชราหน้าซีดเผือด ขุนนางรุ่นใหม่เริ่มตั้งคำถามราชสำนัก…เคยฆ่าคนผิดหรือไม่ในตำหนักลับของขุนนางผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ชายในชุดหยาบเผยโฉมอย่างชัดเจนต่อหน้าฮ่องเต้“หม่อมฉัน…หรงชิง ขอกลับมาสู่แผ่นดินภายใต้พระบารมีอีกครั้งสิบปีที่ผ่านมา…หม่อมฉันมิได้ตาย แต่ถูกขับให้ลี้ภัย รอวันที่ความจริงจะได้เป็นธรรม”เขาคลี่ผ้าผืนหนึ่งออกในนั้นคือจดหมายของเจิ้งซูเฟยจากสิบปีก่อนหมึก ตราประทับ และลายมือ…ตรงกับต้นฉบับทุกประการเนื้อความในจดหมายนั้น…มิใช่ถ้อยคำแห่งความรักแต่คือถ้อยคำแห่งความกล้า“…แม้ข้าจะไร้อำนาจ แต่หากท่านยังมีเมตตา ขอท่านอย่าปล่
บทที่ 15 อ้อมกอดที่แสนคนึงหาใต้เงามืดในวังหลังมีคนกลุ่มหนึ่งเดินลัดเลาะตามเงาที่ถอดยาว เมื่อถึงตำหนักของเจิ้งซูเฟย หนึ่งในชายชุดดำก็แยกตัวออกมาและเล้นกายเข้าไปภายในประตูไม้เปิดออกช้า ๆเงาร่างสูงสง่าในชุดคลุมไหมเข้มก้าวเข้ามาเงียบ ๆ ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์เมื่อเห็นเจิ้งซูเฟยที่กำลังนั่งให้คนสนิทพันผ้าพันแผลให้อยู่ ร่างสูงก็ยืนนิ่งราวกลับถูกแช่แข็งไว้ สนิทของเจิ้งซูเฟยเห็นผู้บุกลุกก็รีบลุกแล้วออกไปด้านนอกในทันทีชายในชุดดำทรุกกายลงนั่งแทนที มือหนาพันแผลที่ยังค้างเอาไว้ต่ออย่างเบามือเขาเงยหน้าสบตาคนตรงหน้าที่มีดวงตาเช่นเขา“มาสาย”“เสด็จแม่ไม่เห็นต้อง…ทำเช่นนี้”“นางจะได้ไม่สงสัยว่าทำไมเจ้าให้ตำแหน่งแม่ง่ายดาย”“แต่แขนของท่าน หากข้าไปช้าอีกนิด ไม่รู้ว่า” เขาตอบเสียงแผ่ว “เสด็จย่าจะทำเช่นไรกับท่านต่อ ในตำหนักนั่นมีแต่คนของนาง”เจิ้งซูเฟยยกยิ้มบาง ดวงหน้าอ่อนโยนอย่างที่ไม่มีใครในวังเคยเห็น“แต่เจ้าก็ไปทันมิใช่นหรือ เจ้าโตแล้วจริง ๆ เจ้า…โตพอจะปกป้องแม่แทนแล้ว”“อย่าทำเช่นนี้อีก หากข้าเห็นท่านต้องบาดเจ็บตรงหน้า ไม่รู้ว่าทนเปิดบังความรักที่ข้ามีต่อท่านได้แค่ไหน”“มากกว่า
บทที่ 14 บาดแผลไท่หวงไท่โฮ่วทรงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพระเนตรวาวขึ้นเหมือนประกายเหล็กกระทบกัน พระสุรเสียงแผ่วต่ำแต่ทิ่มแทงราวคมดาบ“สามหาว… เจ้าอย่าคิดว่าเพียงเพราะหวงเชิงมอบตำแหน่งให้ เจ้าจะมีสิทธิ์เอื้อนเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ต่อหน้า ข้า ได้”สุรเสียงแผ่วต่ำแต่แฝงแรงกดดันจนลมหายใจในตำหนักหนักอึ้ง “แม้ตอนนี้ข้าจะไม่ได้บัญชาหลังม่าน แต่วังหลังแห่งนี้… ข้าต่างหากคือผู้เป็นใหญ่ที่สุด”เจิ้งซูเฟยหัวเราะในลำคอ เสียงนั้นเบาราวจะกลืนหายไปในอากาศ แต่กลับบาดลึกกว่าเสียงตวาดใด ๆ“เพียงแค่ ตอนนี้ เท่านั้น… เสด็จแม่”คำเรียกขานนั้นทำให้วังเวงทั้งตำหนักราวหยุดนิ่ง เวลานับสิบปีไม่เคยได้ยินคำนี้จากปากนาง แต่ครานี้กลับถูกเอ่ยออกมาอย่างจงใจ ราวใบมีดที่ทิ่มลึกลงในอดีตแววตาของไท่หวงไท่โฮ่วฉายประกายเย็นยะเยือกปนเดือดดาล ความเยือกนั้นเหมือนน้ำแข็งในฤดูหนาว ขณะความเดือดดาลเหมือนเพลิงที่กำลังบีบอัดอยู่ในม่านหมอก จนไม่อาจคาดได้ว่าพายุนี้จะระเบิดเมื่อใดพระพักตร์ที่ปกติสุขุม กลับค่อย ๆ คล้ำลงทีละส่วน ขอบพระโอษฐ์กระตุกขึ้นเล็กน้อยคล้ายรอยยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่เย็นชาจนเส้นเลือดเย็นเฉียบในความเงียบที่กดทับ เสียงเคร
บทที่ 13 ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใด สายที่มองต่ำยังคงเดิมนางหยอบกายลงอย่างงดงาม ศีรษะต่ำแต่แววตากลับคมกริบ“ไม่คิดว่าไท่หวงไท่โฮ่วจะทรงมีรับสั่งเรียกพบหม่อมฉันเช่นนี้”ภายในตำหนัก กลิ่นกำยานอวลอบอวล ราวกับถูกจงใจจุดให้คลุ้งขับความคิดของผู้มาเยือนให้พร่าเลือนไท่หวงไท่โฮ่ววางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา พระหัตถ์เรียวยังคงงดงามแม้กาลเวลาจะผ่านไปหลายสิบปีแววตาของนางเรียบสนิทเหมือนผิวน้ำในยามไร้ลม แต่ลึกลงไปกลับมีคลื่นกระเพื่อมที่อ่านไม่ออก“ข้าก็ไม่คิด…ว่าหลังจากอยู่เงียบ ๆ บนเขาเทียนจี่เกือบสิบห้าปี เจ้าจะเลือกวันเช่นนี้ลงจากเขา”เสียงนั้นอ่อนโยนราวกับกำลังสนทนากับสหายเก่า แต่ทุกคำกลับหนักราวค้อนเหล็กที่ค่อย ๆ ทุบลงบนหินเจิ้งซูเฟยเพียงยิ้มจาง ไม่ปฏิเสธ ไม่ยอมรับ“บางครั้ง การกลับมาของผู้ที่ถูกไม่ได้รับความยุติธรรม…ก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล”“ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลงั้นหรือ” ไท่หวงไท่โฮ่วแค่นหัวเราะเบา “ในวังนี้ ทุกการกระทำล้วนมีเหตุผล และทุกเหตุผลล้วนมีราคา”พระเนตรของนางจ้องลึกเข้ามาราวจะชำแหละหัวใจผู้ตรงข้าม “ข้ากลัวเพียงว่า…ราคาที่ท่านจ่าย จะเป็นสิ่งที่แม้กระทั่งเจ้าเองก็ไม่อาจแบกรับ”เจิ้งซูเฟยเล
บทที่ 12 ลายมือจากอดีตคืนหนึ่งหลังการสอบสวนขันทีเฒ่าเสร็จสิ้น หลิวกงกงผู้ซื่อสัตย์ได้นำหีบไม้เก่าใบหนึ่งมาเฝ้าพระพักตร์ เป็นหีบที่ถูกเก็บไว้ในห้องเก็บตำราเก่า ณ หอพระราชนิพนธ์ด้านใน ซึ่งไม่มีผู้ใดแตะต้องมากว่าสิบห้าปี“ฝ่าบาท… หม่อมฉันพบสิ่งนี้ระหว่างจัดระเบียบเอกสารเก่า พระองค์โปรดทอดพระเนตรเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ภายในหีบมีสมุดฉบับเล็กเย็บมือ บนปกไม่มีชื่อ แต่เมื่อเปิดออก กลับเป็น ลายมือของเจิ้งซูเฟย ในยามถูกจองจำที่ตำหนักเย็นใจระหว่างการตัดสินโทษข้อความที่เปลี่ยนทุกอย่าง‘…แม้ข้าต้องยอมสละเกียรติ ยอมเป็นหญิงบ้าในสายตาโลก หากเพียงเขา…ลูกของข้า…จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าก็ยินดี’‘ข้าถูกล่อลวงให้ถือถ้วยชาที่มีพิษ’พระเนตรฮ่องเต้แข็งค้างไปนานแม้กระดาษจะเก่า แม้หมึกจะเลือนลางแต่ลายมือนั้น…ทรงจำได้ดีเพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่พระองค์ทรงเห็นลายมือที่ซ่อนในสมุดเล่มนั้นกลายเป็น คำให้การที่ไม่มีใครสามารถลบได้“ลายมือเช่นนี้…คล้ายกับบทกลอนที่วางไว้ข้างพระแท่นบรรทมเมื่อหลายคืนก่อนท่านแม่…เขียนถึงข้าทั้งที่รู้ว่าจะไม่มีวันได้พบอีก ”ฮ่องเต้เริ่มเชื่อว่าเจิ้งซูเฟยไม่ได้ทอดทิ้งพระองค์อย่างที่ถูกเล่าทรงระลึกถ







