ยิ่งร่างผอมเร่งฝีเท้าวิ่งตามมากขึ้นเท่าไหร่ รถยุโรปสีเงินวาวคันนั้นก็เหมือนยิ่งไกลออกไปมากเท่านั้น อิงดาวรู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้า ลมหายใจติดขัด
“โอ๊ย !”
อิงดาวล้มลงไปกับพื้นเพราะข้อเท้าพลิก แสงแดดยามเที่ยง แผ่ความร้อนระอุออกมา จนเธอรู้สึกว่าทุกอย่างพร่ามัวไปหมด แม้แต่รถยุโรปสีเงินวาวคันนั้นก็หายลับไปจากสายตา
“อาจารย์ธาวิน”
เธอเรียกชื่อเขาออกมาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ทุกอย่างจะดับ วูบลง สวรรค์ช่างใจร้ายกับเธอนัก ขอแค่ได้เจอหน้าเป็นครั้งสุดท้าย เธอก็ทำไม่ได้ ทำได้แค่เพียง น้อยใจตนเอง ที่เกิดมามีบุญเท่านี้ เป็นได้แค่เพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่คู่ควรกับรองศาสตราจารย์ผู้สูงส่ง
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด
เสียงเครื่องฟอกไตกำลังทำงาน กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้ออบอวลไปทั่วทั้งห้อง นางจันทร์ปาดน้ำตาที่ข้างแก้มทิ้ง เธอรับโทรศัพท์ด่วนจากหน่วยกู้ภัยว่าลูกสาวของเธอหัวใจหยุดเต้น เจ้าหน้าที่กำลังให้การช่วยเหลือ และถูกนำส่งโรงพยาบาล
นางจึงฝากร้านไว้กับแม่ค้าร้านข้าง ๆ เมื่อมาถึงที่โรงพยาบาล อิงดาวพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังไม่รู้สึกตัว
“แม่”
เสียงเบาออกมากจากริมฝีปากซีด ดวงตาอิดโรยของอิงดาวมองไปรอบ ๆ ตัว ก็พบว่าตนเองอยู่ในโรงพยาบาลและกำลังได้รับการฟอกเลือดอีกครั้ง
“หนูบอกว่าไม่ต้องฟอกเลือดแล้วไงคะ”
มือเล็กของอิงดาวจับที่สายเลือดสีแดงเส้นโตหมายจะดึงออกจากตัว นางจันทร์รีบจับมือลูกสาวเอาไว้ พร้อมกับตวาดขึ้นทั้งน้ำตาว่า
“อิง หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
“พวกเราตกลงกันแล้วไม่ใช่รึคะว่า หนูจะไม่ฟอกไต และจะไม่รับการรักษาใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะโรคนี้เป็นแล้วไม่มีทางหาย ฟอกก็ตาย ไม่ฟอกก็ตาย แม่จะเอาเงินมาละลายทิ้งกับหนูไม่ได้”
อิงดาวบอกแม่ ดวงตาแดงก่ำ มีน้ำใส ๆ รื้นขึ้นจนล้นออกมา
“อิงจะให้แม่ทำยังไง ให้แม่มองอิงตายไปต่อหน้าต่อตาหรือไง แม่ทำไม่ได้”
นางจันทร์สะอื้นฮัก อับจนหนทางที่จะหาเงินมารักษาลูกสาว เดิมทีเธอคิดว่าเมื่อลูกสาวเรียนจบได้งานทำแล้ว ภาระในการหาเงินเลี้ยงครอบครัวจะเบาบางลงบ้าง นึกไม่ถึงเลยว่าอิงดาวที่เปรียบเสมือนเสาหลักของครอบครัว กลับต้องมาล้มป่วย สวรรค์ช่างซ้ำเติมให้แม่ม่ายลูกสองอย่างเธอต้องอับจนหนทางครั้งแล้วครั้งเล่า
อิงดาวยอมปล่อยมือออกจากสายเลือด เธอจะยอมฟอกเลือดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย
“แม่ แม่ฟังอิงนะ เงินเดือนของอิงเดือนสุดท้าย กับเงินที่ได้จากการขายข้าวแกง ให้แม่เก็บเอาไว้ใช้จ่าย และส่งน้องเรียนเตรียมทหาร ถ้าแม่เอาเงินมาใช้ฟอกไตให้อิง แล้วน้องจะเอาเงินที่ไหนไปสอบ เอาเงินส่วนไหนไปจ่ายค่าเทอม น้องยังมีอนาคต แต่อิง.... หมดสิ้นแล้ว”
ประโยคสุดท้ายกลืนหายไปกับเสียงสะอื้น ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้ผู้เป็นแม่ นางจันทร์พยักหน้ารับ และเข้าใจในสิ่งที่ลูกสาวพูดเป็นอย่างดี
เดือนกว่าเกือบจะสองเดือนแล้วที่อิงดาวลาออกจากงาน ช่วงแรกที่ร่างกายยังแข็งแรง เธอก็ช่วยแม่ทำกับข้าวขาย ทำงานบ้านทุกอย่างเหมือนเช่นที่เคยทำ ไม่ว่าจะเป็นกวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจาน และเธอก็ฝึกให้น้องชายทำงานบ้านไปด้วย
ตะวัน ไม่เถียงเธอเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ยอมกลับบ้านเร็วขึ้นเพื่อมาช่วยแม่เก็บร้าน ได้เห็นน้องชายมีความรับผิดชอบมากขึ้นเช่นนี้ เธอก็หมดห่วงแล้ว
สิ่งเดียวที่ยังคงค้างคาใจ คือ เจ้าของผ้าเช็ดหน้าสีเทา เนื้อผ้า ลื่นมืออย่างดีผืนนี้เท่านั้น มือผอมแห้งลูบคลำผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นอย่างเบามือ ช่วงสองสามวันมานี้ร่างกายของเธอทรุดหนักลงมากขึ้นแม้แต่แรงจับ ไม้กวาดยังไม่มี จึงได้แค่ลุกนั่งนอนอยู่บนเตียงชั้นสองของบ้าน ดวงตาเหลืองลึก แก้มตอบ ผิวหนังกลายเป็นสีเหลืองทั่วทั้งตัว
ในทุก ๆ เช้า อิงดาวจะพยายามลุกขึ้นเอง ฝืนความเจ็บปวดเอาไว้ จากนั้นก็ยิ้มให้กับทุกคน เพื่อให้แม่ได้ออกไปขายข้าวแกงที่ตลาดได้อย่างสบายใจ และให้น้องไปเรียนโดยที่ไม่ต้องมาเฝ้าเธอ ให้ทุกคนรู้ว่า เธอสามารถดูแลตัวเองได้
เช้านี้ก็เช่นกัน หลังจากกินข้าวต้มที่แม่ตักใส่ถ้วยไว้ให้แล้ว เธอเลื่อนมันเก็บไว้ที่มุมหนึ่งของโต๊ะ เผื่อว่าตอนกลางวันเธอหิวขึ้นมาก็เปิดกินข้าวต้มเก่าที่เหลือ ส่วนน้ำดื่มนั้นก็วางอยู่ในตำแหน่งที่อิงดาวสามารถเอื้อมหยิบได้เอง
วันนี้หล่อนทานข้าวต้มได้เพียงสองสามคำก็รู้สึกปวดท้อง เจ็บขึ้นมาเป็นระลอก ๆ ใบหน้าผอมซูบบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เหงื่อซึมผุดพรายขึ้นตามไรผมที่หน้าผาก หญิงสาวต้องนอนขดตัวงอ มือซ้ายกำผ้าเช็ดหน้าของผู้เป็นที่รักไว้แน่น มือขวากดลงที่ท้อง ดวงตาพร่าเลือนไปหมด ลมหายใจติดขัด รวยระริน
ก่อนที่ความเจ็บปวดอันแสนทรมานจะปลิดลมหายใจของเธอไป ทั่วทั้งห้องก็ปรากฏแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นวูบหนึ่ง
วาบ !
เมื่อแสงสว่างจนแสบตานั้นหายไป ก็ปรากฏเงาร่างผู้ชายกำยำสองคนถือหอกสามง่าม สวมโจงกระเบนสีแดง ยืนทะมึนอยู่ที่ปลายเตียง อิงดาวตัวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว หากแต่ไม่มีแรงขยับหนีไปไหน
“อิงดาว เสถียรรักชาติ ใช่หรือไม่”
เสียงเย็นยะเยือกจากเงาร่างสีดำตัวใหญ่ถามขึ้น
“ใช่”
หญิงสาวนิ่วหน้าขานรับอย่างแผ่วเบา เธอเหมือนจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกแล้ว เหมือนร่างกายมันวูบโหวงอย่างประหลาด ราวกับว่าร่างกายนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณของเธออีกต่อไป
“บัดนี้ชีวิตเจ้าในภพในชาตินี้ สิ้นสุดลงแล้ว เจ้ามีสิ่งใดที่อยากจะทำก่อนตายหรือไม่”
ยมทูตร่างเล็กอีกตนเอ่ยถามขึ้น
ดวงตาอิงดาวเลื่อนลอยหยาดน้ำใส ๆ คลอขึ้นจนเต็มดวงตา ชีวิตคนมันก็เพียงเท่านี้หนอ เพียงแค่สายลมพัดผ่านก็ราวกับว่าลมหายใจจะหยุดลง มือผอมยังคงกำผ้าเช็ดหน้าสีเทาไว้แน่น แน่นเหมือนกับหัวใจของเธอที่ยังยึดติดอยู่กับเจ้าของผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ แม้จวบวันสุดท้ายแห่งชีวิตเธอก็ไม่อาจลืมเขาได้
เธอไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันทำไมถึงรักเขาลึกซึ้งได้มากมายเพียงนี้ เพียงเขาช่วยเธอแค่ครั้งเดียว ไม่เคยพูดกันเลยสักคำ แต่เธอกลับคิดถึงเขามากมาย คอยแต่รับฟังทุกเรื่องราวที่เกี่ยวกับเขา เพียรพยายามเพื่อให้ได้ใกล้ชิด สุดท้ายสิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็นสายใยบาง ๆ ที่คอย ๆ ร้อยรัดหัวใจของเธอให้ผูกติดกับเขา นานวันเข้าเธอยิ่งปักใจรักมั่น จนไม่อาจตัดขาดได้ หากมีสิ่งใด ที่ช่วยให้เธอได้รักกับอาจารย์ธาวินเธอก็พร้อมที่จะทำ
ความจริงที่ซ่อนไว้ 8ฉันอาจจะเป็นผู้หญิงคนเดียวในโลกที่ Unlucky in love , Unlucky in gameเมื่อถึงรอบการประเมินเพื่อเลื่อนตำแหน่งจากพนักงานมหาวิทยาลัยระดับฝึกหัดเป็นระดับปฏิบัติการหากผ่านจะมีฐานเงินเดือนที่สูงขึ้น และมีความก้าวหน้าในสายงานอาชีพมากขึ้นปรากฏว่าฉันถูกประเมินว่า “ไม่ผ่าน” ซึ่งหัวหน้าสำนักงาน (พี่ณี) และท่านรองฯ ให้เหตุผลกับฉันว่า...เพราะเธอไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ (คงจะเป็นเมื่อครั้งที่ฉันรั้นจะจัดอบรมนอกมหาวิทยาลัย) มาสาย และบ่นลงเฟสบุ๊คเหตุผลแต่ละข้อที่กล่าวมา ทำให้ฉันหัวเราะทั้งน้ำตาการเลื่อนขั้นขึ้นเงินเดือนไม่ได้ดูที่ผลงานหรืองานที่พัฒนาขึ้น แต่วัดกันที่เหตุผลส่วนบุคคลของคนบางกลุ่ม จนบางครั้ง ฉันรู้สึกหมดแรงกับการทำงานตั้งใจทำงานเพื่ออะไร พัฒนางานไปเพื่ออะไรทำงานให้เสร็จเรียบร้อยเพื่ออะไรเพราะทำไปเงินเดือนก็ไม่ขึ้น ตำแหน่งก็ไม่ได้ สู้เอาแรงกายแรงใจไปนั่งเลียแข้งเลียขาเจ้านายดีกว่าไหมสุดท้าย....ฉันก็ต้องยอมรับกับผลการประเมินที่ไม่เป็นธรรมแต่จะให้เปลี่ยนตนเองเป็นคนเลียแข้งเลียขา หรือเช้าชามเย็นชามก็ไม่ไหวเพราะสิ่งที่ฉันยึดมั่นอยูในใจเสมอมา คือค่าของคนอยู
ความบังเอิญครั้งที่ 4วันนั้น ฉันจัดประชุมคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์กว่าการประชุมจะสิ้นสุดลง ก็กินเวลาจวนเจียนจะบ่ายข้าวเที่ยงยังไม่ตกถึงท้อง น้ำย่อยในกระเพาะมันร่ำร้องให้ฉันพาตนเองไปทานข้าวที่โรงอาหารกลางเมื่อกินข้าวเสร็จก็ลุกขึ้นเพื่อเอาจานไปวางไว้ที่อ่างสำหรับเตรียมล้างนึกไม่ถึงเลยว่าจะเจออาจารย์ A กำลังนั่งทานข้าวอยู่ที่ด้านหลังเขานั่งหันหลังให้ฉันแม้หัวใจมันร่ำร้องอยากจะเข้าไปทักแต่สถานะที่เป็นอยู่ทำให้ฉันต้องข่มใจ แล้วเดินผ่านอาจารย์ไปฉันเดินออกจากโรงอาหารไปด้วยหัวใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวรู้สึกว่ายังไม่พร้อมที่จะขึ้นสำนักงาน จึงแวะที่ร้านกาแฟก่อนระหว่างที่นั่งรอกาแฟนั้น นึกไม่ถึงเลยว่าอาจารย์ A จะมาที่ร้านกาแฟเหมือนกันอาจารย์ A เปิดประตูเข้ามา ใบหน้าเรียบเฉย มองฉันแค่แวบเดียวแล้วมองผ่านเลย เหมือนคนไม่เคยรู้จักกันฉันกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงคอในเมื่อเขาไม่อยากรู้จัก เราก็จะไม่ทักเขาให้ต้องระคายเคืองใจเมื่อได้กาแฟแล้ว ฉันก็รีบเดินออกจากร้านทันทีและสิ่งที่ทำให้ฉันตัดใจไม่ได้สักที คือผลจากแผนการที่วางเอาไว้ตั้งแต่ต้นที่ฉันเที่ยวไปประกาศปาว ๆ ว่างานอะไรที่เกี่ยวข้องก
ความจริงที่ซ่อนไว้ 7ยิ่งคุยกัน.....ระยะห่างระหว่างเรายิ่งสั้นลงเรื่อย ๆไม่รู้ทำไม...ทุกครั้งที่จบการสนทนาในแชทบล็อกเราต้องนั่งอมยิ้มคนเดียวแล้วในหัวก็จะมีเรื่องของเขาวนเวียนอยู่ในหัวทันทีที่เริ่มรู้สึกรัก ฉันก็เริ่มรู้สึกเจ็บปวดอกหักทันทีที่รัก เพราะรู้ดีแก่ใจว่า รักครั้งนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ฉันตั้งใจขุดหลุมล่อหลอกอาจารย์ให้ตกลงไปเพื่อใช้อาจารย์เป็นเครื่องมือในการแก้แค้นหัวหน้ากลับกลายเป็นฉันที่ตกลงไปในหลุมเสียเองจนอยากที่จะปีนขึ้นไปในขณะที่ฉันเริ่มรู้ตัวว่าหลงรักอาจารย์จนยากจะตัดใจอาจารย์ก็เริ่มรู้ตัวว่าถูกฉันตามจีบการสนทนากันในแชทจึงเริ่มน้อยลง อาจารย์ A ถามคำตอบคำจนฉันเริ่มรู้ถึงการรักษาระยะห่างของเขาฉันจึงพยายามตัดใจจากเขา เพราะเข้าใจดีว่า ผู้ชายที่เพียบพร้อมทุกอย่าง ไม่มีทางมองผู้หญิงระดับต่ำกว่าแน่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา การศึกษา หรือฐานะดังนั้น ฉันจึงห้ามใจไม่ทักแชทไปอีก และหักดิบโดยการเลิกเป็นเพื่อนกับเขาทาง F******k เพื่อที่จะไม่ต้องรับรู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับเขาอีกแต่ดูเหมือนฟ้าจะยังคงสนุกกับการทรมานหัวใจของฉันยิ่งอยากตัดใจ ก็ยิ่งให้ฉันต้องบังเอิญ
จนกระทั่งรถวิ่งผ่านสวนป่าข้างหนองน้ำ...“ ด้านซ้ายมือ... จะเห็นเครื่องออกกำลังกาย... สำหรับออกกำลังกายตอนเย็นๆ รอบหนองน้ำเป็นทางวิ่ง เขาเรียกกันว่า.... หนอง... หนอง....”อาจารย์ A หันมาสบตาฉันเพื่อขอความช่วยเหลือ...“หนองอิเจมค่ะ”ฉันตอบทันทีอย่างรู้งาน“ทำไมถึงชื่อ หนองอิเจมหรือครับ”วิทยากรสงสัย.......และแล้วอาจารย์ A ก็ได้รับอีก 1 หน้าที่ นั่นคือ นักเล่าประวัติศาสตร์หนองอิเจมของมหาวิทยาลัยจนกระทั่งในที่สุดรถก็เลี้ยวเข้าตึกสำนักงานอธิการบดีที่รถอาจารย์ A จอดไว้เครื่องมือแก้แค้นหัวหน้ากำลังจะลงจากรถแล้ว !ฉันเหลือบมองกระเป๋าอาจารย์ A ที่วางอยู่บนเบาะข้าง ๆสวรรค์ช่างเข้าข้างนัก !ฉันจึงถือกระเป๋าใบนั้นขึ้นมา ในขณะที่อาจารย์ A กำลังไหว้ลาวิทยากร แล้วเปิดประตูลงจากรถ“อาจารย์คะ กระเป๋าค่ะ !”ฉันตะโกนเรียกอาจารย์ พร้อมกับชูกระเป๋าให้ดู“อ๋อ... ขอบคุณครับ”ฉันยื่นกระเป๋าให้.....มือหนึ่งจับด้านข้าง.... อีกมือสอดไว้ใต้กระเป๋าอย่างจงใจ...อาจารย์ A ยื่นมือมารับกระเป๋า...มือนุ่มๆ ยาวเรียวของเขาประกบกับมือเล็ก ๆ ที่ฉันจงใจสอดไว้ใต้กระเป๋าหนังใบโต...Yes !เป็นไปตามแผน !... ฉันลิงโลดในใจ
ความจริงที่ซ่อนไว้ 5และแล้ววันอบรมก็มาถึง !ฉันต้องดีดตัวเองลุกจากที่นอนตั้งแต่ไก่โห่ !แล้วแจ้นไปรับวิทยากรที่สนามบิน !….ส่วนอีกทีมหนึ่งฝากให้น้องนก กับพี่เกด คอยต้อนและรับเหล่าอาจารย์ ที่เข้าร่วมอบรมให้ขึ้นรถบัส แล้วไปสมทบกันที่ รีสอร์ต The best orchid….เริ่มต้นการอบรม เป็นไปอย่างสวยงาม ผู้เข้าร่วมอบรมต่างประทับใจวิทยากรกันยกใหญ่...ทึ่งกับความคิดที่ไม่เหมือนใครทึ่งกับแนวทางการก้าวสู่ “ตำแหน่งศาสตราจารย์” ที่อายุยังน้อยและทึ่งกับฉันที่สามารถขุดค้นศาสตราจารย์ท่านนี้มาได้น้อง ๆ พี่ทีมงานที่มาช่วยจัดอบรมต่างรู้กันดีว่า ฉันกำลังวางแผนจีบอาจารย์ A เพื่อแก้แค้นหัวหน้า ดังนั้น ทุกคนต่างสนับสนุนช่วยเหลือฉันอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็น ช่วยถ่ายรูปอาจารย์ A เอาไว้แทบจะทุกช็อตในระหว่างที่นั่งอบรมกันในห้องประชุมนั้นอาจารย์ A ขอน้ำดื่มเพิ่ม พี่เกดก็มาสะกิดฉันให้ยกน้ำดื่มไปเสิร์ฟอาจารย์แม้กระทั่งตอนพักเที่ยง....ฉันแอบชำเลืองมองไปที่โต๊ะอาหารที่กลุ่มอาจารย์คณะวิศวะฯ นั่งอยู่ เมื่อเห็นว่า กลุ่มอาจารย์กำลังลุกออกจากโต๊ะฉันจึงรวบช้อน รีบกลืนข้าวที่ยังเคี้ยวไม่ละเอียดให้ลงคอ แล้วตามด้วยน้ำ“หนู
ความจริงที่ซ่อนไว้ 41 สัปดาห์ผ่านไป !อาจารย์ท่านอื่นๆ สมัครมาเกือบจะเต็มจำนวนที่เปิดรับแล้วอาจารย์ A ยังไม่ตอบรับมาเลย >เอาไงดี ๆ -ฉันกระวนกระวายในใจ“พี่เกด !” (นามสมมุติ)ฉันร้องเสียงหลง... ทันทีที่เห็นพี่เกดเดินเข้ามาในออฟฟิศ....ยังเช้าตรู่ ทั้งออฟฟิศมีแค่ฉันกับพี่เกด ดังนั้น ฉันจึงโหวกเหวกได้ตามใจ“แวะ ๆ แวะ โต๊ะหนูก่อน”ฉันลากพี่เกดมาที่โต๊ะ“พี่เกด หนูจะเชิญอาจารย์ A ไปอบรมกับหนูแบบเนียน ๆ”“หือ....”พี่เกดลากเสียง ตาวาว เพราะไม่มีใคร ไม่รู้จักความฮอต ของอาจารย์ผู้นั้น“หนูอยากจะทำความรู้จักกับอาจารย์ A ค่ะ”ฉันรีบบอกความต้องการของตนเองไปอย่างตรงไปตรงมา เพราะตอนนี้ความอยากแก้แค้น และเอาคืน มันมีมากกว่าความรู้สึกกระดากอาย“เอาจริง”“จริงแท้ แน่นอน”“เปลี่ยนเป้าหมายใหม่เถอะ ! เขาเป็นถึงตัวท๊อปของคณะวิศวะเลยนะ ! เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์เลยนะคะ”พี่เกดพูดพร้อมกับจะขยับตัวลุกขึ้น แต่คนมือไวคว้าหมับ รั้งไว้“ไม่เปลี่ยนใจค่ะ ! ให้หนูลองดูสักตั้งนะคะ”วินาทีนี้ ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนความตั้งใจของฉันได้ !สุดที่รักของหัวหน้าใช่ไหม ! คอยดู ! แล้วฉันจะสอยลงมาอยู่ในกำมือ