สิ่งที่พยาบาลบอกล้วนตรงกับอาการที่อิงดาวเป็นทั้งหมด มันตอกย้ำให้หญิงสาวยอมรับความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น
“โรคนี้เป็นโรคทางกายภาพไม่มีทางรักษาหาย ต้องใช้วิธีการฟอกเลือดล้างไตเพื่อต่อชีวิตไปเรื่อย ๆ สำหรับคนไข้เป็นระยะสุดท้ายแล้วต้องมาฟอกเลือดที่โรงพยาบาลสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 4 – 5 ชั่วโมง นะคะ”
พยาบาลอธิบายให้คนไข้ฟังจนครบ เพราะคนไข้โรคไตเป็นโรคเรื้อรังที่จะต้องรักษาตลอดชีวิต หากคนไข้เข้าใจโรคที่เกิดขึ้นและดูแลรักษาตนเองควบคู่กับการฟอกเลือดก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหลายปี ซึ่งขึ้นอยู่กับกำลังใจของคนไข้ด้วย
เมื่อคนไข้ยังคงนิ่งไม่มีคำถามเพิ่มเติม พยาบาลจึงหันไปเอ่ยกับญาติคนไข้ที่กำลังเช็ดน้ำตาออกจากแก้มทั้งสองข้างว่า
“รบกวนคุณแม่มาชำระค่าใช้จ่ายในการฟอกเลือดที่ห้องจ่ายเงินด้วยค่ะ”
“เท่าไหร่คะ”
เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของญาติคนไข้ แต่กลับเป็นคนไข้สาวบนเตียงที่รีบถามขึ้น
“ประมาณสามพันห้าร้อยบาทในครั้งแรกนี้ค่ะ แต่ครั้งต่อไปก็ประมาณ สองพันกว่าบาทจ้า ส่วนตัวเลขที่แน่ชัดต้องถามที่ห้องจ่ายเงินนะคะ”
พูดจบพยาบาลก็เดินออกไปดูคนไข้ที่เตียงอื่น ๆ ต่อไป จากนั้น ตะวันก็พยุงนางจันทร์ให้ลุกขึ้นไปยังห้องจ่ายเงิน ปล่อยให้อิงดาวนอนจมอยู่กับความคิดเพียงลำพัง
อิงดาวเม้มริมฝีปากแน่น ครุ่นคิดถึงค่ารักษาพยาบาล หากค่าฟอกเลือดแต่ละครั้งประมาณสองพันกว่า อาทิตย์หนึ่งฟอกสามครั้ง รวมค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่จะต้องมาที่โรงพยาบาลตกเดือนละประมาณสามหมื่นบาท เงินจำนวนนี้แม้แต่เงินเดือนของเธอและรายได้จากการขายข้าวแกงยังไม่พอสำหรับเงินที่ต้องสูญเสียไปเพื่อยื้อลมหายใจของหล่อนเอาไว้
หลังออกจากโรงพยาบาลอิงดาวนอนพักฟื้นที่บ้านหนึ่งวัน เมื่อรู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงพอที่จะเดินทางได้ เธอจึงมาที่สำนักงานวิจัยเพื่อยื่นใบลาออกอย่างเป็นทางการ
แม้หัวหน้าสำนักงานจะคัดค้าน เพราะเห็นว่าโรคไตวายเรื้อรังนี้หากฟอกเลือดล้างไตก็จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้เหมือนกับคนปกติ และทำงานให้กับสำนักงานได้เช่นเดิม แต่อิงดาวก็ให้เหตุผลที่หัวหน้าไม่อาจปฏิเสธได้ว่า สวัสดิการของมหาวิทยาลัยไม่ครอบคลุมเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ไม่สามารถเบิกได้ อีกทั้ง การที่ต้องไปฟอกเลือดอาทิตย์ละสามครั้ง จะทำให้รบกวนเวลาทำงานของสำนักงานด้วย ดังนั้น หัวหน้าสำนักงานจึงยินยอมลงนามในใบลาออกให้กับอิงดาวด้วยความเศร้าใจ
“อิงจะลาออกจริง ๆ เหรอ”
ใหม่เดินเข้ามาหาเพื่อนสาว ที่กำลังเก็บของที่โต๊ะทำงาน ไม่ได้เจอกันเพียงแค่สองวัน นึกไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงที่มีพลังเต็มเปี่ยมจะดูผอมซูบและไร้เรี่ยวแรงได้ขนาดนี้ เธอรู้แค่ว่าหญิงสาวป่วยกะทันหันจึงต้องลาออก แต่ไม่รู้ว่าป่วยด้วยโรคอะไร
“อืม อิงไม่อยากเป็นภาระให้กับสำนักงานนะ”
อิงดาวตอบเสียงเบา พยายามยิ้มให้เพื่อนเพื่อให้เห็นว่าเธอยังเข้มแข็ง แต่รอยยิ้มของเธอช่างฝืนยิ่งนัก
“อิงไม่เคยเป็นภาระเลยนะ ในทางตรงกันข้าม อิงช่วยงานพวก พี่ ๆ ได้เยอะเลย เปลี่ยนใจไม่ได้เหรอ”
พี่มุตาเดินเข้ามาสมทบ เมื่อรู้ข่าวว่าอิงดาวยื่นหนังสือลาออกกับหัวหน้า เธอก็รู้สึกใจหายไม่น้อยที่ต้องสูญเสียพนักงานเก่ง ๆ และขยันขันแข็งอย่างอิงดาวไป
“ขอบคุณค่ะ พี่ตา ที่ชมหนูตลอดเลย แต่อิงคงอยู่ทำงานต่อไม่ได้แล้วจริง ๆ ค่ะ”
อิงดาวตอบได้เพียงเท่านั้น ก้อนแข็ง ๆ ก็วิ่งมาจุกที่ลำคอ น้ำใส ๆ ก็รื้อขึ้นมา ประโยคหลังที่เธอจะบอกกับทุกคนจึงไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้ เธอบอกกับทุกคนไม่ได้ว่า โรคที่เธอเป็นนั้นไม่มีทางรักษาหาย ต้องฟอกเลือดจึงจะมีลมหายใจอยู่ได้ แต่ค่าฟอกเลือดแต่ละครั้งนั้นแพงเหลือเกิน คนจน ๆ อย่างเธอจึงไม่มีเงินมากพอที่จะต่อชีวิตให้กับตนเอง
“อิงดาว”
ใหม่เรียกชื่อเพื่อนด้วยความสงสาร เพราะเห็นเพื่อนกลั้นน้ำตาเอาไว้ สุดท้ายมันก็หยดเผาะลงพื้นโต๊ะ
“อืม ถ้ามีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกนะ”
พี่มุตาเอ่ยเสียงเบา เบือนหน้าไปทางอื่น กลัวว่าตนเองจะร้องไห้ไปกับหญิงสาว
“ขอบคุณค่ะ พี่มุตา”
อิงดาวยกมือไหว้ขอบคุณพี่สาวที่เคยทำงานร่วมกันมาเป็นครั้งสุดท้าย เธอจะจำมิตรภาพดี ๆ ที่เกิดในสำนักงานแห่งนี้ไว้ในใจเสมอ
เมื่อร่ำลากับเพื่อน ๆ พี่ ๆ ในสำนักวิจัยเรียบร้อยแล้ว เธอจึงขอตัวออกมาเลย เพราะเกรงว่าหากอยู่ต่อ น้ำตาของเธออาจจะท่วมสำนักงานแน่ ๆ เธอไม่อยากทิ้งงานที่รัก ไม่อยากจากเพื่อน ๆ พี่ ๆ ไม่อยากไปจากสำนักงาน แต่โรคที่เธอเป็นบังคับให้เธอต้องละทิ้งทุกอย่างเพราะเวลาชีวิตของเธอเหลือน้อยเต็มที
และคนที่หล่อนอยากเจอมากที่สุด ก่อนที่จะไม่ได้กลับมาที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้อีกแล้วคือ รองศาสตราจารย์ ดร.ธาวิน ไตรสุวรรณ เพื่อนที่สำนักงานบอกกับเธอว่า เมื่อสองวันก่อน มีข่าวลือว่ารถของอาจารย์ธาวิน ถูกนักศึกษาตัดเบรก โชคดีที่ ดร.ประชา โทรไปเตือนทัน จึงทำให้อาจารย์ธาวินประคองรถไว้ได้ และไม่เกิดอุบัติเหตุแต่อย่างใด ในเหตุการณ์ครั้งนั้น เธอถูกกล่าวถึงว่าเป็นเพียง “เจ้าหน้าที่คนหนึ่ง” เท่านั้น
แม้จะไม่มีใครรู้ว่าเธอคือคนที่ช่วยอาจารย์ธาวินเอาไว้ แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่อาจารย์ธาวินปลอดภัย เพียงเท่านี้หล่อนก็ดีใจมากแล้ว
สองเท้าของอิงดาวก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ ตอนนี้จวนเจียนจะเที่ยงแล้ว ถ้าเธอไปถึงที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ในช่วงเวลาที่อาจารย์ธาวินพักเที่ยงพอดี บางทีเธออาจจะได้มีโอกาสเจออาจารย์เป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ และเธอก็จะได้คืนผ้าเช็ดหน้าพร้อมกับบอกขอบคุณกับเขา เสียที
“เอ๊ะ”
อิงดาวชะงักฝีเท้าลง เพราะเห็นรถยุโรปสีเงินวาวคันหนึ่งกำลังแล่นออกมาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ เธอไม่แน่ใจว่าใช่รถของอาจารย์ ธาวินหรือไม่ เธอจึงหยุดมองรถคันนั้น และเมื่อมันแล่นเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น จึงมองเห็นอาจารย์ธาวินเป็นคนขับ ด้านข้างมีอาจารย์สาวสวยคนที่เธอเห็นเดินคู่กันกับอาจารย์ธาวินเมื่อหลายวันก่อน
“อาจารย์ธาวินคะ”
อิงดาวตะโกนเรียกพลางโบกมือให้รถหยุด วันนี้เธอจะต้องคืนผ้าเช็ดหน้าให้เขาให้ได้ แต่คนในรถดูเหมือนว่าจะไม่สนใจสิ่งรอบข้างแม้แต่น้อย ทั้งคู่พูดคุยและยิ้มให้กันและกัน
“อาจารย์คะ หยุดก่อนค่ะ อาจารย์ธาวิน”
อิงดาววิ่งตามรถจนสุดกำลัง วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่เธอจะได้เจอเขา หากพลาดโอกาสนี้ไป ทั้งชีวิตนี้หล่อนก็คงไม่มีโอกาสบอกความในใจกับเขาอีกแล้ว
ตึก ตึก ตึก
ความจริงที่ซ่อนไว้ 8ฉันอาจจะเป็นผู้หญิงคนเดียวในโลกที่ Unlucky in love , Unlucky in gameเมื่อถึงรอบการประเมินเพื่อเลื่อนตำแหน่งจากพนักงานมหาวิทยาลัยระดับฝึกหัดเป็นระดับปฏิบัติการหากผ่านจะมีฐานเงินเดือนที่สูงขึ้น และมีความก้าวหน้าในสายงานอาชีพมากขึ้นปรากฏว่าฉันถูกประเมินว่า “ไม่ผ่าน” ซึ่งหัวหน้าสำนักงาน (พี่ณี) และท่านรองฯ ให้เหตุผลกับฉันว่า...เพราะเธอไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ (คงจะเป็นเมื่อครั้งที่ฉันรั้นจะจัดอบรมนอกมหาวิทยาลัย) มาสาย และบ่นลงเฟสบุ๊คเหตุผลแต่ละข้อที่กล่าวมา ทำให้ฉันหัวเราะทั้งน้ำตาการเลื่อนขั้นขึ้นเงินเดือนไม่ได้ดูที่ผลงานหรืองานที่พัฒนาขึ้น แต่วัดกันที่เหตุผลส่วนบุคคลของคนบางกลุ่ม จนบางครั้ง ฉันรู้สึกหมดแรงกับการทำงานตั้งใจทำงานเพื่ออะไร พัฒนางานไปเพื่ออะไรทำงานให้เสร็จเรียบร้อยเพื่ออะไรเพราะทำไปเงินเดือนก็ไม่ขึ้น ตำแหน่งก็ไม่ได้ สู้เอาแรงกายแรงใจไปนั่งเลียแข้งเลียขาเจ้านายดีกว่าไหมสุดท้าย....ฉันก็ต้องยอมรับกับผลการประเมินที่ไม่เป็นธรรมแต่จะให้เปลี่ยนตนเองเป็นคนเลียแข้งเลียขา หรือเช้าชามเย็นชามก็ไม่ไหวเพราะสิ่งที่ฉันยึดมั่นอยูในใจเสมอมา คือค่าของคนอยู
ความบังเอิญครั้งที่ 4วันนั้น ฉันจัดประชุมคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์กว่าการประชุมจะสิ้นสุดลง ก็กินเวลาจวนเจียนจะบ่ายข้าวเที่ยงยังไม่ตกถึงท้อง น้ำย่อยในกระเพาะมันร่ำร้องให้ฉันพาตนเองไปทานข้าวที่โรงอาหารกลางเมื่อกินข้าวเสร็จก็ลุกขึ้นเพื่อเอาจานไปวางไว้ที่อ่างสำหรับเตรียมล้างนึกไม่ถึงเลยว่าจะเจออาจารย์ A กำลังนั่งทานข้าวอยู่ที่ด้านหลังเขานั่งหันหลังให้ฉันแม้หัวใจมันร่ำร้องอยากจะเข้าไปทักแต่สถานะที่เป็นอยู่ทำให้ฉันต้องข่มใจ แล้วเดินผ่านอาจารย์ไปฉันเดินออกจากโรงอาหารไปด้วยหัวใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวรู้สึกว่ายังไม่พร้อมที่จะขึ้นสำนักงาน จึงแวะที่ร้านกาแฟก่อนระหว่างที่นั่งรอกาแฟนั้น นึกไม่ถึงเลยว่าอาจารย์ A จะมาที่ร้านกาแฟเหมือนกันอาจารย์ A เปิดประตูเข้ามา ใบหน้าเรียบเฉย มองฉันแค่แวบเดียวแล้วมองผ่านเลย เหมือนคนไม่เคยรู้จักกันฉันกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงคอในเมื่อเขาไม่อยากรู้จัก เราก็จะไม่ทักเขาให้ต้องระคายเคืองใจเมื่อได้กาแฟแล้ว ฉันก็รีบเดินออกจากร้านทันทีและสิ่งที่ทำให้ฉันตัดใจไม่ได้สักที คือผลจากแผนการที่วางเอาไว้ตั้งแต่ต้นที่ฉันเที่ยวไปประกาศปาว ๆ ว่างานอะไรที่เกี่ยวข้องก
ความจริงที่ซ่อนไว้ 7ยิ่งคุยกัน.....ระยะห่างระหว่างเรายิ่งสั้นลงเรื่อย ๆไม่รู้ทำไม...ทุกครั้งที่จบการสนทนาในแชทบล็อกเราต้องนั่งอมยิ้มคนเดียวแล้วในหัวก็จะมีเรื่องของเขาวนเวียนอยู่ในหัวทันทีที่เริ่มรู้สึกรัก ฉันก็เริ่มรู้สึกเจ็บปวดอกหักทันทีที่รัก เพราะรู้ดีแก่ใจว่า รักครั้งนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ฉันตั้งใจขุดหลุมล่อหลอกอาจารย์ให้ตกลงไปเพื่อใช้อาจารย์เป็นเครื่องมือในการแก้แค้นหัวหน้ากลับกลายเป็นฉันที่ตกลงไปในหลุมเสียเองจนอยากที่จะปีนขึ้นไปในขณะที่ฉันเริ่มรู้ตัวว่าหลงรักอาจารย์จนยากจะตัดใจอาจารย์ก็เริ่มรู้ตัวว่าถูกฉันตามจีบการสนทนากันในแชทจึงเริ่มน้อยลง อาจารย์ A ถามคำตอบคำจนฉันเริ่มรู้ถึงการรักษาระยะห่างของเขาฉันจึงพยายามตัดใจจากเขา เพราะเข้าใจดีว่า ผู้ชายที่เพียบพร้อมทุกอย่าง ไม่มีทางมองผู้หญิงระดับต่ำกว่าแน่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา การศึกษา หรือฐานะดังนั้น ฉันจึงห้ามใจไม่ทักแชทไปอีก และหักดิบโดยการเลิกเป็นเพื่อนกับเขาทาง F******k เพื่อที่จะไม่ต้องรับรู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับเขาอีกแต่ดูเหมือนฟ้าจะยังคงสนุกกับการทรมานหัวใจของฉันยิ่งอยากตัดใจ ก็ยิ่งให้ฉันต้องบังเอิญ
จนกระทั่งรถวิ่งผ่านสวนป่าข้างหนองน้ำ...“ ด้านซ้ายมือ... จะเห็นเครื่องออกกำลังกาย... สำหรับออกกำลังกายตอนเย็นๆ รอบหนองน้ำเป็นทางวิ่ง เขาเรียกกันว่า.... หนอง... หนอง....”อาจารย์ A หันมาสบตาฉันเพื่อขอความช่วยเหลือ...“หนองอิเจมค่ะ”ฉันตอบทันทีอย่างรู้งาน“ทำไมถึงชื่อ หนองอิเจมหรือครับ”วิทยากรสงสัย.......และแล้วอาจารย์ A ก็ได้รับอีก 1 หน้าที่ นั่นคือ นักเล่าประวัติศาสตร์หนองอิเจมของมหาวิทยาลัยจนกระทั่งในที่สุดรถก็เลี้ยวเข้าตึกสำนักงานอธิการบดีที่รถอาจารย์ A จอดไว้เครื่องมือแก้แค้นหัวหน้ากำลังจะลงจากรถแล้ว !ฉันเหลือบมองกระเป๋าอาจารย์ A ที่วางอยู่บนเบาะข้าง ๆสวรรค์ช่างเข้าข้างนัก !ฉันจึงถือกระเป๋าใบนั้นขึ้นมา ในขณะที่อาจารย์ A กำลังไหว้ลาวิทยากร แล้วเปิดประตูลงจากรถ“อาจารย์คะ กระเป๋าค่ะ !”ฉันตะโกนเรียกอาจารย์ พร้อมกับชูกระเป๋าให้ดู“อ๋อ... ขอบคุณครับ”ฉันยื่นกระเป๋าให้.....มือหนึ่งจับด้านข้าง.... อีกมือสอดไว้ใต้กระเป๋าอย่างจงใจ...อาจารย์ A ยื่นมือมารับกระเป๋า...มือนุ่มๆ ยาวเรียวของเขาประกบกับมือเล็ก ๆ ที่ฉันจงใจสอดไว้ใต้กระเป๋าหนังใบโต...Yes !เป็นไปตามแผน !... ฉันลิงโลดในใจ
ความจริงที่ซ่อนไว้ 5และแล้ววันอบรมก็มาถึง !ฉันต้องดีดตัวเองลุกจากที่นอนตั้งแต่ไก่โห่ !แล้วแจ้นไปรับวิทยากรที่สนามบิน !….ส่วนอีกทีมหนึ่งฝากให้น้องนก กับพี่เกด คอยต้อนและรับเหล่าอาจารย์ ที่เข้าร่วมอบรมให้ขึ้นรถบัส แล้วไปสมทบกันที่ รีสอร์ต The best orchid….เริ่มต้นการอบรม เป็นไปอย่างสวยงาม ผู้เข้าร่วมอบรมต่างประทับใจวิทยากรกันยกใหญ่...ทึ่งกับความคิดที่ไม่เหมือนใครทึ่งกับแนวทางการก้าวสู่ “ตำแหน่งศาสตราจารย์” ที่อายุยังน้อยและทึ่งกับฉันที่สามารถขุดค้นศาสตราจารย์ท่านนี้มาได้น้อง ๆ พี่ทีมงานที่มาช่วยจัดอบรมต่างรู้กันดีว่า ฉันกำลังวางแผนจีบอาจารย์ A เพื่อแก้แค้นหัวหน้า ดังนั้น ทุกคนต่างสนับสนุนช่วยเหลือฉันอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็น ช่วยถ่ายรูปอาจารย์ A เอาไว้แทบจะทุกช็อตในระหว่างที่นั่งอบรมกันในห้องประชุมนั้นอาจารย์ A ขอน้ำดื่มเพิ่ม พี่เกดก็มาสะกิดฉันให้ยกน้ำดื่มไปเสิร์ฟอาจารย์แม้กระทั่งตอนพักเที่ยง....ฉันแอบชำเลืองมองไปที่โต๊ะอาหารที่กลุ่มอาจารย์คณะวิศวะฯ นั่งอยู่ เมื่อเห็นว่า กลุ่มอาจารย์กำลังลุกออกจากโต๊ะฉันจึงรวบช้อน รีบกลืนข้าวที่ยังเคี้ยวไม่ละเอียดให้ลงคอ แล้วตามด้วยน้ำ“หนู
ความจริงที่ซ่อนไว้ 41 สัปดาห์ผ่านไป !อาจารย์ท่านอื่นๆ สมัครมาเกือบจะเต็มจำนวนที่เปิดรับแล้วอาจารย์ A ยังไม่ตอบรับมาเลย >เอาไงดี ๆ -ฉันกระวนกระวายในใจ“พี่เกด !” (นามสมมุติ)ฉันร้องเสียงหลง... ทันทีที่เห็นพี่เกดเดินเข้ามาในออฟฟิศ....ยังเช้าตรู่ ทั้งออฟฟิศมีแค่ฉันกับพี่เกด ดังนั้น ฉันจึงโหวกเหวกได้ตามใจ“แวะ ๆ แวะ โต๊ะหนูก่อน”ฉันลากพี่เกดมาที่โต๊ะ“พี่เกด หนูจะเชิญอาจารย์ A ไปอบรมกับหนูแบบเนียน ๆ”“หือ....”พี่เกดลากเสียง ตาวาว เพราะไม่มีใคร ไม่รู้จักความฮอต ของอาจารย์ผู้นั้น“หนูอยากจะทำความรู้จักกับอาจารย์ A ค่ะ”ฉันรีบบอกความต้องการของตนเองไปอย่างตรงไปตรงมา เพราะตอนนี้ความอยากแก้แค้น และเอาคืน มันมีมากกว่าความรู้สึกกระดากอาย“เอาจริง”“จริงแท้ แน่นอน”“เปลี่ยนเป้าหมายใหม่เถอะ ! เขาเป็นถึงตัวท๊อปของคณะวิศวะเลยนะ ! เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์เลยนะคะ”พี่เกดพูดพร้อมกับจะขยับตัวลุกขึ้น แต่คนมือไวคว้าหมับ รั้งไว้“ไม่เปลี่ยนใจค่ะ ! ให้หนูลองดูสักตั้งนะคะ”วินาทีนี้ ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนความตั้งใจของฉันได้ !สุดที่รักของหัวหน้าใช่ไหม ! คอยดู ! แล้วฉันจะสอยลงมาอยู่ในกำมือ