เมื่อพูดจบร่างสูง มิคิดรั้งรอคำพูดใด ๆ จากบิดา เขารีบก้าวยาว ๆ กลับไปที่ม้าของตน ก่อนจะเหวี่ยงกายขึ้นม้า แล้วควบออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนคนที่กำลังไล่เรียงคำพูดของบุตรชาย ได้แต่ทำปากขมุบขมิบ เพราะรู้แล้วว่าตนเอง ถูกบุตรชายกลั่นแกล้งเข้าอีกแล้ว
“พวกเจ้าเป็นทหารที่ดี ต่างมากด้วยความสามารถนัก ไหน ๆ ก็อาจเกิดสงครามขึ้นอย่างที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ข้าเลยอยากเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่พวกเจ้าอีกสักหน่อย พวกเจ้าว่าดีหรือไม่ ข้ามั่นใจว่ารองแม่ทัพลู่ฉงสามารถทำให้พวกเจ้าเก่งกาจกว่าทหารอื่น ๆ อีกหลายเท่าตัว”
แม่ทัพใหญ่ลู่ฉางเอิน กล่าวกับทหารติดตามที่ไปเจรจาเมื่อครู่ ก่อนจะก้าวเดินจากไป พร้อมเสียงก่นด่าบุตรชายอย่างไม่จริงจังนัก และคงมีเสียงหัวเราะเบาๆ จากบุตรชายคนรอง และบรรดาแม่ทัพนายกอง ไล่หลังมาให้ได้ยิน
ลู่ฉง หยุดหัวเราะในทันมี เมื่อเห็นทิศทางที่บิดากำลังเดินไป มันมิใช่ทางกลับค่ายทหาร แต่มันคือภูเขาที่อยู่ถัดไปอีกลูกต่างหาก ชายหนุ่มสั่งให้คนไปนำม้าของเขาและบิดามาให้ ส่วนคนอื่นๆ กลับค่ายไปพร้อมแม่ทัพที่เหลือได้เลย
“ตาเฒ่า! คิดที่จะไปหาหลันเอ๋อร์คนเดียวเช่นนั้นรึ! ฝันไปเถอะ!”
ชายหนุ่มยิ้มกว้าง เมื่อนึกถึงใบหน้าหวานละมุน ของหลานสาวเพียงคนเดียว สิ่งที่รั้งน้องชายของเขามิให้ออกเดินทาง ไปทั่วแผ่นดินเช่นในอดีต คือลู่หลันฮวา หลานสาวกำพร้ามารดาของเขานั่นเอง
เด็กน้อยผู้เป็นหัวใจของคนทั้งบ้าน ป่านนี้จะคิดถึงลุงรองแค่ไหนกันนะ เขาเองก็ติดพันเรื่องในกองทัพ ไม่ได้ไปหาหลานสาวนานแล้วเช่นกัน เจ้าน้องชายตัวดีก็หวงลูก จนไม่ยอมให้ลงจากเขามาพักในจวนแม่ทัพ
ชายหนุ่มเดินตามหลังบิดาไปห่างๆ เขารู้ดีว่าชายชรา เริ่มที่จะเหน็ดเหนื่อยจากหน้าที่อันหนักอึ้งนี้แล้ว และการที่เขายังไม่ยอมรับตำแหน่งแม่ทัพ ก็เพราะไม่อยากให้เกิดรอยร้าวในกองทัพ
เพราะเขาจะมิใช้ฐานะบุตรชาย มาสานต่ออำนาจบิดา แต่เขาจะสร้างผลงาน ให้ประจักษ์ต่อสายตา เหล่าแม่ทัพนายกองคนอื่นๆ เสียก่อน ค่อยก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งของบิดาก็มิสาย
ครึ่งชั่วยามต่อมา ณ กระท่อมบนเขาอี้หลิง
อาชาตัวใหญ่ ได้หยุดลงยังลานกว้าง หน้าทางเข้ากระท่อมหลังหนึ่ง ที่ตลอดสองข้างทาง เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ ร่างสูงกระโดดลงจากหลังคู่ใจ ก่อนจะปลดสิ่งของมากมาย ที่ห้อยไว้ยังอานม้ามาถือเอาไว้ จนเต็มสองมือ ทุกอย่างล้วนขนมและของกิน สำหรับคนในกระท่อม
“ท่านพ่อ”
เสียงเล็กใส ของเด็กหญิงร่างจ้ำม่ำในชุดผ้าเนื้อดีสีชมพู ที่กำลังวิ่งออกมาจากกระท่อมหลังงาม เพื่อออกมารับบิดา ที่ไปทำงานด้วยความคิดถึง ชายหนุ่มย่อตัวลง พร้อมอ่าแขนออกรอรับร่างกลม ที่วิ่งโถมเข้าใส่เขาอย่างเต็มแรง
ลู่หลันฮวากระโดดกอดคอบิดาเอาไว้แน่น ชายหนุ่มรวบร่างลูกสาวแล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาร่างกลม หมุนไปมาอยู่หลายรอบ เสียงหัวเราะร่าของเด็กน้อย ทำให้หัวใจที่แข็งกร้าวพลันอ่อนยวบในทันที นางคือทั้งชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้
“หลันเอ๋อร์เจ้าเด็กอ้วน มาให้พ่อหอมเจ้าเสียดี ๆ”
หลันฮวาซุกใบหน้ากับซอกคอของบิดา มิยอมให้อีกฝ่ายได้หอมแก้มยุ้ยของตน สองพ่อลูกหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน ก่อนร่างสูงจะอุ้มบุตรสาวเดินเข้าไปภายในตัวบ้าน
“นายท่านกลับมาแล้ว วันนี้ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่ขอรับ”
เกาจิ้งอดีตหัวหน้าพ่อบ้านสกุลลู่ ได้ผันตัวมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้กับนายน้อยของบ้าน ด้วยรอบกายของสกุลลู่ ล้วนเต็มไปด้วยภัยอันตราย ทายาทคนล่าสุดที่กำเนิดเป็นหญิง จำต้องมีคนที่วางใจได้คอยปกป้องในยามบิดาไม่อยู่
“ไม่เลยขอรับท่านอา ข้าคงต้องไปช่วยตาเฒ่านั่น ทำงานอยู่อีกมากทีเดียว ช่วงที่ข้าไม่อยู่ อย่าได้พาหลันเอ๋อไปไหนลำพังเข้าใจหรือไม่”
ชายหนุ่มเอ่ยปากกำชับพ่อบ้านสูงวัย ซึ่งเป็นที่รู้กันดี ว่าคนที่เกิดในสกุลแม่ทัพเช่นเขา ยากที่จะหลีกเลี่ยงศัตรู ทั้งภายในและภายนอกแคว้น ยิ่งตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ทัพสองแคว้น หาได้ลงรอยกันอย่างในอดีต ยากนักที่จะบอกได้ว่า ทุกอย่างสงบสุขเช่นวันวาน
“ขอรับนายท่าน เดี๋ยวข้าไปบอกชีเหนียง เตรียมอาหารให้นะขอรับ”
เกาจิ้งตอบรับคำสั่งของผู้เป็นนาย พร้อมขอตัวไปบอกภรรยาให้จัดเตรียมอาหารให้เจ้านายทั้งสอง ส่วนตัวเขาต้องเร่งไปจัดเตรียมความเรียบร้อยด้านอื่นอีก
เพราะเมื่อใดก็ตาม ที่มีการกำชับเช่นนี้เกิดขึ้น นั่นหมายความว่า ต้องมีเรื่องอันตราย คืบคลานเข้ามาใกล้ครอบครัวสกุลลู่ เขาในฐานะผู้ดูแล จำต้องตรวจสอบให้แน่ใจ ว่าไร้ข้อบกพร่องต่อหน้าที่
“นี่คือขนมของกินใช้ของพวกเรา รบกวนท่านอานำไปให้ท่านอาหญิงช่วยจัดการด้วยขอรับ”
ชายหนุ่มยื่นสิ่งของให้แก่พ่อบ้านเกา เขามิรู้จะขอบคุณสองสามีภรรยาคู่นี้อย่างไร ที่สละเวลาของตนเอง มาอยู่ดูแลเด็กคนหนึ่ง แทนที่จะใช้ชีวิตบันปลายอย่างสุขสบายที่บ้านเกิด
“ขอรับ”
ลับหลังพ่อบ้านไปแล้ว ลู่เฉินเซียนหันกลับมาสนใจบุตรสาวตัวแสบต่อ
“ท่านพ่อจะมิอยู่อีกหลายวันหรือเจ้าคะ”
หลันฮวาเอ่ยถามบิดาด้วยน้ำเสียงสดใส เด็กน้อยได้รับการสั่งสอนมาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะหน้าที่ของคนสกุลลู่ ว่าต้องทำสิ่งใดบ้าง มิว่าบุรุษหรือสตรี
ครึ่งชั่วยามต่อมาเมื่อเข้าสู่เขตป่า ลู่ฉงได้รับหน้าที่พาทหารออกต้อนสัตว์ป่า ส่วนลู่เฉินเซียนทำหน้าที่ คอยอารักขาใกล้ชิดเจ้านายทั้งสาม พร้อมองครักษ์ส่วนพระองค์อีกบางส่วน รวมทั้งคนติดตามของคุณหนูลู่เยว่ฉี อีกสองคนลู่เฉินเซียนอดมิได้ ที่จะคอยชำเลืองมอง คนที่นั่งบนหลังม้าเคียงข้าเขาในตอนนี้ และแน่นอนว่าเขารู้สึกขุ่นเคือง กับความดื้อรั้นของอ๋องสิบแปดผู้นี้นัก ด้วยก่อนหน้าที่จะมาถึงตรงนี้ เขาได้เอ่ยทัดทานอีกฝ่าย ว่ามิควรอยู่ตรงนี้ เพราะอาจเป็นอันตรายได้ แต่คำตอบที่ได้รับ ทำให้เขาเองถึงกับพูดมิออกเช่นกัน‘เจ้ารู้จักข้าดีแล้วหรือ ถึงได้คิดว่าคนเช่นข้า อ่อนแอถึงเพียงนั้น’ใช่แล้ว...เขามิเคยรู้จักอ๋องสิบแปด เสวี่ยนเซียวเหยามาก่อนเลย จึงมิรู้ว่าเด็กหนุ่มหน้าหวานดุจสตรีเช่นนี้ จะหยิ่งผยองเกินกว่าที่คิดไปมากทีเดียว ‘สักวัน...เจ้าต้องเจอดีเข้าจนได้ ต่อให้เจ้าเป็นน้องชายฮ่องเต้ ก็มิได้หมายความว่าร่างกายเจ้า จะแข็งดุจเหล็กกล้าเสียเมื่อไหร่กัน’ ชายหนุ่มได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจใบหน้าหล่อเหลาที่ช่วงครึ่งบนของวงหน้า ที่ได้ปิดบังด้วยหน้ากากเสือดำ มองเห็นเพียงเรียวปากหยักที่ยังยกยิ
“ฮ่าๆ”สามพี่น้องแอบนินทาน้องสาวที่ตอนนี้ ได้นั่งในฐานะตัวแทนสกุลลู่ เด็กสาววัยสิบห้า นางเป็นลูกหลงของพ่อแม่ ด้วยอายุห่างจากพี่ชายคนเล็กถึงสิบปี ทำให้นางไม่เคยถูกขัดใจจากทั้งสามเลยลู่เยว่ฉีแอบชำเลืองมองชายหนุ่ม ที่สวมหน้ากากพยัคฆ์ทั้งสาม ด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ นางเมื่อยจะตายอยู่แล้ว ที่ต้องนั่งปั้นหน้าวางท่า เป็นบุตรีที่เพียบพร้อม ทั้งที่ความเป็นจริง นางอยากจะถอดชุดรุ่มร่ามสีหวานนี่ออกเต็มทีแล้วทุกคนเงียบเสียงลงในทันที เมื่อบุรุษในชุดมังกร ก้าวเข้ามาในลานพร้อมด้วยสตรีผู้เป็นคู่บารมี ทุกคนได้ยืนขึ้นทำความเคารพ กันอย่างพร้อมเพรียง การล่ากำลังจะเริ่มแล้ว“ทุกท่านเชิญตามสบาย วันนี้เป็นวันที่เราทุกคน มาเพื่อสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อย่าได้มากพิธีไป”ฮ่องเต้เอ่ยขึ้น หลังจากเข้านั่งประจำที่ของตนเองแล้ว สายตามังกรกวาดมองไปรอบบริเวณ เพื่อดูเหล่าผู้มาแข่งขันในครั้งนี้“ขอบพระทัยฝ่าบาท”ทุกคนเอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพียง โดยมิต้องมีการนัดหมายล่วงหน้า ถึงคำพูดใด ๆ เป็นที่รู้กันดี ว่าฮ่องเต้ชอบความเรียบง่าย ยิ่งเวลานี้ออกมาอยู่นอกเขตวังหลวง ยิ่งทรงสั่งห้ามพิธีการต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องยุ่งยาก การออกล่า
เจ็ดปีต่อมา ณ เมืองฉางกวง ในการแข่งขันล่าสัตว์ ของเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนาง ได้จัดขึ้นยังป่าในเขตเมืองฉางกวง ครั้งนี้แม่ทัพลู่ฉางเอินไม่ได้เข้าร่วม ในการอารักษ์ขาฮ่องเต้ แต่เขาได้ส่งบุตรชายทั้งสาม ให้มาทำหน้าที่แทนอย่างลับๆ ซึ่งมีเพียงฮ่องเต้ และองครักษ์คนสนิทเท่านั้นที่รู้ ว่าทั้งสามที่ซ่อนใบหน้าอยู่ภายใต้ หน้ากากพยัคฆ์ คือสามทายาท ของท่านแม่ทัพลู่ฉางเอิน สามองครักษ์ ผู้มีหนาม หยาง ฉง เฉิน นักรบผู้ไร้ที่มาในความเข้าใจของเหล่าเชื้อพระวงศ์ และขุนนางทั้งหลาย“น้องสามเจ้าเป็นอันใดไปเล่า ข้าเห็นเอาแต่จ้องมองท่านอ๋องสิบแปดมิวางตา”เป็นลู่ฉงที่เอ่ยถามออกมา เมื่อเขาสังเกตเห็นน้องชาย มองท่านอ๋องสิบแปดมิวางตาอยู่เป็นนานเฉินเซียนรู้สึกคุ้นหน้าอ๋องสิบแปดยิ่งนัก แต่เขาก็ไม่เคยที่จะได้พบปะ หรือทำความรู้จักกับชินอ๋องผู้นี้เลยสักครั้ง เพียงแค่รู้สึกเหมือนเคยพบกัน ที่ไหนมาก่อนก็เท่านั้น‘อ่า...ข้าลืมไปได้อย่างไร ว่าท่านอ๋องสิบแปด เป็นญาติกับเหยาเอ๋อร์ หากนางเติบโตมา ก็ต้องมีใบหน้าคล้ายคลึงกับท่านอ๋องอยู่มิน้อยสินะ’ สายตาเหยี่ยว สอดส่องหาใครบางคนไปทั่วทั้งลาน แต่ก็มิอาจพบ...‘แต่ทำไมนางม
แม้แต่คนที่กำลังตกอยู่ ในอ้อมแขนแกร่งของอีกฝ่าย ซึ่งได้ประกาศว่าเป็นคู่หมายของเขาเมื่อครู่ ด้วยความตกตะลึง และความที่ยังเยาว์วัยอยู่ ทำให้ได้แต่ยืนนิ่งมิได้ขยับกาย จนคนตัวโตกว่า ถอนริมฝีปากออกไปแล้ว นั่นเอง ต้วนเหยาจึงได้กลับมาหายใจเป็นปกติ“พี่ขอโทษเหยาเอ๋อ แต่พี่มิอยากได้ยินคำว่า ‘ไม่’ จากเจ้าเข้าใจไหม เวลานี้พี่ล่วงเกินเจ้าแล้ว นับจากนี้เจ้าคือคู่หมายของพี่อย่างแท้จริง พรุ่งนี้พี่จะให้ท่านพ่อ ทำการสู่ขอหมั้นหมายเจ้าเอาไว้ก่อน”ต้วนเหยาทั้งโกธรและอับอาย ก่อนจะผลักร่างแกร่งออกให้ห่างกาย แล้ววิ่งออกจากสวนไปอย่างรวดเร็ว แต่จะทำร้ายอีกฝ่าย ก็มิใช่สิ่งที่ควรทำ ในเมื่อเขาเป็นผู้เริ่ม ที่หลอกลวงเฉินเซียนก่อนเฉินเซียนกำลังจะพุ่งตามเด็กสาวไป แต่มีบุรุษในชุดองครักษ์ ออกมาขวางทางเขาเอาไว้เสียก่อน ทำให้ชายหนุ่มแสดงสีหน้างุนงงเล็กน้อย ว่าไยองครักษ์จากวังหลวง ถึงได้ตามติดคุณหนูสกุลต้วน แทนที่จะเป็นคนของสกุลต้วน“ได้โปรดคุณชายลู่ อย่าได้คิดตามเจ้านายพวกเราไปเลย มิเช่นนั้นเราจำเป็นต้องลงมือกับท่าน”เฉินเซียนได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ก่อนจะทรุดนั่งลงคุกเข่าด้วยความสับสน เมื่อเขายังคิดไม่ตก ถึงความเป
“ยังเจ้าค่ะ ท่านพี่เฉินเซียนถามทำไมหรือเจ้าคะ”เมื่อได้ยินคำตอบ เฉินเซียนคลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิม เขาไม่ได้ตอบคำถามของต้วนเหยา ทว่าเขากลับเอาแต่จ้องนางบรรเลงเพลงต่อไป จนเวลาล่วงเลยไปพอสมควร เสียงพิณได้เงียบเสียงลง จึงปลุกเฉินเซียนออกจากภวังค์...“นี้ก็ดึกมากแล้ว เจ้ายังมิกลับจวนอีกหรือเหยาเอ๋อร์”เมื่อตื่นจากภวังค์ความคิด เฉินเซียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย แน่นอนว่าเวลานี้ สำหรับผู้ใหญ่นั้น ยังมิถือว่าดึกมากมายอันใด ทว่ากับเด็กแล้วย่อมต่างออกไป“ข้าเองก็กำลังจะบอกท่านอยู่ ว่าข้าง่วงแล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าต้องขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ”เวลาเพียงไม่นาน ที่เซียวเหยาได้พูดคุยกับคนตรงหน้า ทำให้เขาได้ยิ้มได้หัวเราะออกมาได้อย่างเต็มที่ และเป็นกันเอง มิเหมือนตอนอยู่ในวังที่ตัวเขามิอาจไว้ใจใครได้มากนัก มันเป็นครั้งแรก ที่เขาได้ยิ้มเต็มทีอย่างแท้จริง แม้จะรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย ที่หลอกลวงอีกฝ่าย ว่าตนเป็นหญิงก็ตาม ตัวเขาเองไม่คิดว่าอีกฝ่าย จะเชื่อตนสนิทใจขนาดนี้ อาจเพราะฤทธิ์สุราด้วยกระมัง ที่ทำให้คนตรงหน้ามิได้ทันจับผิดตัวเขาเฉินเซียนนั้นเรียกว่าตั้งแต่ก้าวเข้าสู่วัยสิบเจ็ดมานี้ เขามิเคยสนใจบุตรสาวบ้านใด
ซึ่งแน่นอนว่าในฐานะ หลานชายของพระชายานั้น น้อยคนที่รู้จักเขาจะอยากต่อกรด้วย แต่นี่มิใช่สิ่งที่เขาควรกระทำ ทว่าความด้วยอยากรู้ ทั้งมีความคึกคะนองในแบบของบุรุษที่กำลังจะเข้าวัยหนุ่มเต็มตัวในอีกไม่กี่ปี จึงทำให้เด็กหนุ่มก้าวตรงไปยังศาลา แทนที่จะหมุนกาย กลับเข้าไปด้านในของงานเลี้ยง หรือเลี่ยงไปยังที่อื่นภายในจวนแทน ยิ่งเข้าใกล้...หัวใจของเด็กหนุ่ม ก็ยิ่งเต้นรัวประหนึ่งกองศึกยิ่งเห็นเสี้ยวหน้าของคนที่นั่งดีดพิณอยู่ ภายใต้เงาสลัวของแสงจากคบไฟ ยิ่งทำให้เลือดในการสูบฉีด ดั่งม้าศึกกำลังห้อตะบึงสู่กลางสนามรบเลยทีเดียว“แม่นางน้อยเป็นกุลสตรี ไยจึงได้มานั่งอยู่ในที่แบบนี้ เพียงลำพังกันเล่า”คนที่ถูกเรียกขานว่าแม่นางน้อย เงยหน้าหันไปมองตามเสียง คราแรกตัวเขาคิดจะบอก ว่าตนเองมิใช่สตรี แต่ด้วยความนึกสนุก ทั้งยังเป็นความคิดในแบบของเด็ก จึงอยากรู้ว่าหากเขา แสร้งยอมรับว่าเป็นสตรี อย่างที่ผู้มาใหม่เรียกขาน เด็กหนุ่มผู้นี้จะจับได้หรือไม่ ว่าแท้จริงเขามิใช่สตรีอย่างที่อีกฝ่ายคิด“คือว่า...ข้าเบื่องานเลี้ยงเช่นนี้เจ้าค่ะคุณชาย”เด็กน้อยลอบยิ้มอยู่ภายในใจ และยังดีว่าตอนนี้ เสียงของเขายังมิแตกวัยหนุ่ม จึงคง