สำหรับสกุลลู่แล้ว คือความจงรักภักดีต่อแผ่นดินและหน้าที่ นางจึงมิเคยรั้งบิดาไว้ ยามที่ต้องออกไปทำหน้าที่ และแม้ว่าบางครั้ง จะใช้เวลานานอยู่มากก็ตามที
“ใช่จ้ะคนดี พ่อมิอยู่...เจ้าต้องเชื่อฟังท่านปู่เกา กับท่านย่าชีเหนียงนะ เข้าใจหรือไม่”
ชายหนุ่มฉวยโอกาสนี้หอมแก้มบุตรสาว พร้อมเอ่ยกำชับสิ่งที่เขาห่วงกับนางอีกครั้ง
“เจ้าค่ะท่านพ่อ แต่สัญญากับหลันเอ๋อร์นะเจ้าคะ ว่าท่านพ่อจะกลับมา”
ชายหนุ่มยกมือลูบหัวลูกสาวก่อนจะ จับหัวทุยนั้นเข้าแนบอก ใช่แล้ว...เขาต้องมีชีวิตเพื่อนาง ไม่ว่าจะอย่างไรเขาต้องไม่ตาย หากไม่มีเขาอยู่นางอาจตกเป็นเครื่องมือ ของขุนนางผู้ไม่หวังดีบางสกุลก็เป็นได้
เพราะนางคือธิดาจากสกุลแม่ทัพใหญ่ ยากนักที่จะหลีกพ้นในบางเรื่อง แต่ตราบใดที่เขายังอยู่ ใครหน้าไหนก็แตะต้องนางมิได้
“พ่อเคยทอดทิ้งเจ้าหรือ”
เฉินเซียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขาไม่เอ่ยคำสัญญา แต่จะเป็นคำถามกลับไปเสียทุกครั้ง เขารู้กฎของคำสัญญาดี เขาจะไม่เอ่ยมัน ถ้ายังไม่มั่นใจว่าจะรักษามันได้ดีพอ
หลันฮวาส่ายหัวไปมาน้อยๆ ก่อนจะซบลงกับอกของผู้เป็นพ่ออีกครั้ง พร้อมรบเร้าให้คนที่อุ้มนางไว้บนตัก อ่านตำราพิชัยยุทธ์ให้ฟังเช่นทุกครั้ง ชีวิตของนาง รอบกายมีแต่ผู้ฝึกยุทธ์ และตัวนางเองในวัยเพียงเก้าขวบก็ต้องฝึกฝนเช่นกัน
ทุกครั้งที่บิดาเข้าห้องหนังสือ นางจะตามไปนั่งอยู่ข้างๆ จากที่แรกๆ แค่อยากอยู่กับบิดาให้นานๆ เท่านั้น แต่ทว่าเมื่อนานวันเข้า ทุกสิ่งอย่างเริ่มซึมซับเข้าไปในหัวของนางโดยมิรู้ตัว เมื่อนางเริ่มอ่านออกเขียนได้ นางจึงเริ่มอ่านทุกอย่างในห้องนั้น
ซึ่งมีแต่ตำราสงครามแทบทั้งหมด จึงมิใช่เรื่องแปลกอันใด หากว่านางจะฝึกฝนการต่อสู้ตั้งแต่ยังเล็ก สำหรับเด็กคนอื่น นางไม่รู้ว่าวัยนี้ต้องทำอันใดบ้าง
แต่สำหรับนางนั้น การฝึกฝนวิชาการต่อสู้คือสิ่งที่จำเป็น เกิดในสกุลทหารหากไร้ฝีมือด้านอาวุธ เท่ากับเป็นตัวถ่วงของพี่น้องอย่างแท้จริง ยิ่งตัวนางเป็นจุดศูนย์รวมของความรัก ก็เท่ากับเป็นจุดอ่อนของทุกคนในบ้านนั่นเอง
ทุกอย่างที่เด็กน้อยคิดนั้น คือคำพูด ที่นางได้รับการถ่ายทอดมาจากผู้เป็นอาหญิงลู่เยว่ฉีทั้งสิ้น นางต้องเก่งกาจ เช่นอาหญิงของนางให้จงได้ เพราะเหตุนี้นางจึงหมั่นฝึกฝนตนเองมาตลอด
‘เพราะเจ้าเป็นคนสกุลลู่ จึงทำให้เจ้าต้องลำบากเช่นนี้หลันเอ๋อร์’
ลู่เฉินเซียน ยังคงใช้มือลูบศีรษะของบุตรสาวเบา ๆ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าลู่เยว่ฉี คอยปลูกฝังสิ่งใดในหัวของบุตรสาว และมันมิใช่สิ่งที่ผิดอันใด เขาจึงไม่เคยห้ามปรามน้องสาว กับการสอนให้ลู่หลันฮวา
ให้รู้ถึงสถานะของตนเอง เพราะสิ่งที่เยว่ฉีพูดนั้น มันคือความจริง สกุลลู่ถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา เพราะบุตรชายของสกุลลู่ทั้งสามครอบครองตำแหน่งสำคัญเอาไว้แทบทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่น้องสาวเพียงคนเดียวของพวกเขาก็เช่นกัน
ย่อมมิแปลก ที่จะมีคนคอยล้มพวกเขาทุกทาง ทำลายสกุลลู่ได้ก็เท่ากับตัดพระเศียรของฮ่องเต้ได้เลยทีเดียว ความลับของมังกรอยู่ในมือของพวกเขา ที่ผ่านการทดสอบมาอย่างหนักหน่วง เพื่อเป็นหูตามือเท้าให้แก่ราชบัลลังก์
“ท่านพ่อ หลันเอ๋อร์จะมิทำให้ท่านพ่อผิดหวังนะเจ้าคะ”
อยู่ ๆ เด็กน้อยก็ได้เอ่ยขึ้นมากับอกของบิดา ทำให้ชายหนุ่มหลุดออกจากภวัค์ ก่อนจะคิ้วขมวดเป็นปม ชายหนุ่มขยับกายบุตรสาวออกห่างเล็กน้อย เพื่อที่จะมองหน้าของนางให้ชัด พร้อมทั้งค้นหาคำตอบจากแววตาของหลันฮวา
“มีสิ่งใดกัน ที่เจ้าจะทำให้พ่อผิดหวังได้ หืม!”
เฉินเซียนเอ่ยถามออกไปด้วยความใคร่รู้ ช่วงไม่กี่วันมานี้ ใครกันเอาความคิดเช่นนี้ มาใส่ในหัวของบุตรสาวของเขาอีกเล่า หรือยัยตัวแสบจะแอบหนีท่านแม่มายังชายแดนอีกแล้ว
ชายหนุ่มนึกไปถึงน้องสาวคนเล็ก ที่ชอบแอบมาหาบุตรสาวของเขาอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งทุกครั้ง! ก็มักหาเรื่องให้เขา และบิดาปวดหัวได้ตลอด ทว่ายัยตัวร้ายมีหรือจะย่อท้อ ต่อการมาเยือนแบบไม่บอกใคร
“ทุกเรื่องเจ้าค่ะท่านพ่อ หลันเอ๋อร์รู้มาจาก มูมู่บุตรสาวท่านเจ้าเมือง ตอนที่ท่านปู่มารับไปเที่ยวในตลาดครั้งก่อนเจ้าค่ะ ท่านปู่ได้ไปที่บ้านท่านเจ้าเมือง หลันเอ๋อร์ได้เห็นสิ่งที่มูมู่ต้องทำ เลยถามนางไปว่าไยต้องทรมานตนเองมากมายเช่นนี้”
“ทรมานตนเองอย่างไรกัน คุณหนูมูมู่เป็นอันใดรึ”
เฉินเซียน เริ่มที่อยากจะรู้แล้ว ว่าบุตรสาวของเขาไปพบเห็นสิ่งใดมากันแน่
“ก็นางต้องเอาผ้ารัดเท้าตนเองจนแน่น เดินก็ต้องมีคนพยุง ไหนจะต้องร่ายรำให้งดงาม หากทำมิได้นางก็ถูกดุและลงโทษ อาหารก็มิอาจกินได้เต็มอิ่ม เพราะเกรงจะอ้วนเช่นข้า วาดเขียนก็ต้องเป็นเลิศ มิเช่นนั้นจะหาสามีมิได้ นางเป็นพี่ข้าแค่เพียงปีเดียว ไยถึงต้องทำสิ่งเหล่านั้นมากมายนัก ฮูหยินท่านเจ้าเมืองบอกว่า สตรีในสกุลใหญ่ทุกคนต้องทำสิ่งนี้ เพื่อมิให้ผู้ใดมาหยามเหยียดได้ หากมิทำตัวให้สมชาติตระกูล ก็ไม่ต่างจากสตรีไร้ค่า หลันเอ๋อร์ก็มิอยากให้ผู้ใด มาหยามเหยียดท่านพ่อ ว่ามีบุตรสาวไร้ค่าเจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มถึงกับขนลุกซู่ เมื่อนึกถึงภาพที่บุตรสาว ต้องทรมานตนเองแบบนั้น เพื่อเพียงมีสามี บ้าบอกันเกินไปแล้ว การรัดเท้าหาได้มีในยุคสมัยนี้ไปนานนับร้อยปี
“เก่งมากคุณหนูลู่ ฝีมือดีมิแพ้บิดาเจ้าเลยสักนิด”ท่านอ๋องสิบแปดเอ่ยชมเด็กสาว ที่ตอนนี้ยิ้มแต้ส่งให้แก่ทุกคน ก่อนจะหันไปไหวไหล่ให้แก่คู่ปรับของตนเอง ซึ่งองค์ชายเสวี่ยนหรงเทียน ทำเพียงเบะปากตอบนางเท่านั้น โดยที่หญิงสาวมิทันสังเกตเห็นแววตาเป็นประกาย ที่พาดผ่านดวงตาขององค์ชาย ทว่ามันกลับไม่รอดสายตาของพี่ชายทั้งสองของนางไปได้“ขอบพระทัยเพคะท่านอ๋อง หม่อมฉันเผอิญโชคช่วยมากกว่าเพคะ”ลู่เยว่ฉีกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส และยังคงมีท่าทางเสมือนเด็กได้ของเล่นที่ถูกใจ ซึ่งสำหรับทุกคนนั้นช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก ยกเว้น...เขาองค์ชายผู้เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่ยังเยาว์ จนถึงทุกวันนี้“มันโชคดีจนน่าแปลกใจมากกว่า เสด็จอาว่าจริงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”ในที่สุดองค์ชายหลงเทียนก็ได้เอ่ยขึ้น เมื่อเขารู้สึกคลางแคลงใจกับเรื่องนี้ เขามั่นใจว่าอย่างไรก็ต้องมีสิ่งผิดปกติ มิเช่นนั้นแล้ว...กวางตัวนี้ต้องเป็นของเขาอย่างแน่นอน“อย่างไรรึหรงเทียน อามิเห็นว่าจะมีอันใดที่ดูผิดปกติสักอย่าง เจ้าเป็นบุรุษ จงมีน้ำใจของนักกีฬาให้มาก ยังมีสัตว์ป่าอีกหลายตัวที่รอให้เจ้าพิสูจน์ฝีมือ ครั้งนี้เจ้าอาจพลาด แต่ทว่ามันยังมีครั้งหน้าอยู่อีก อย
เสวี่ยนเซียวเหยาตำหนิชายหนุ่มอยู่ในใจ ยิ่งมองหน้าสาวน้อยเยว่ฉีที่อมยิ้มน้อย ๆ กับชายคนนั้น เขาก็อดคิดถึงใครบางคน เมื่อหลายปีก่อนมิได้ มือเรียวจะเลื่อนไปลูบตรงอกเสื้อ เพื่อสัมผัสบางอย่างที่เขาพกติดตัวตลอดเวลา มิเคยให้ห่างกายเลยสักครั้ง‘ไยท่านหายไปเลย หรือท่านรู้แล้วว่าข้าคือผู้ใด’ความรู้สึกที่แอบซ้อนมาตลอดนั้น บางครั้งก็ทำให้เขาอึดอัดมิน้อย แต่จะทำอย่างไรได้ เมื่อใจของเขานั้น ได้ถวิลหาเพียงคนที่มอบจูบแรกให้แก่เขาเมื่อหลายปีก่อนยิ่งนานวันเข้า เขายิ่งมิคิดที่จะยุ่งเกี่ยวกับหญิงงาม ที่พระเชษฐาทรงแนะนำให้ ในตำหนักอ๋องไร้ซึ่งสนมนางใน ทรงรักการอยู่แบบสงบ มิฝักใฝ่เรื่องเช่นนั้นเพราะใจของเขานั้น รอใครบางคนอยู่ และเขาเองก็อยากจะพิสูจน์เช่นกัน ว่าแท้ที่จริงแล้ว เขาคิดกับคนผู้นั้นอย่างไร แล้วอีกฝ่ายจะคิดเช่นไรกับเขา เมื่อรู้ว่าแท้ที่จริงเขาคือใคร เสวี่ยนเซียวเหยารู้สึกเจ็บแปลบอยู่กลางอก เมื่อนึกถึงว่าหากเจ้าของหยกม่วงลืมเลือนเขาไปแล้วจริง ๆ มันรู้สึกจุกจนหายใจแทบไม่ออก เลยทีเดียว...ลู่เฉินเซียนชักม้ากลับไปหาผู้นำกลุ่ม ด้วยใบหน้าเรียบตึง พอ ๆ กับคนที่หันหน้ากลับไปยังป่า ที่จะทำการล่าต่อ โดยที
ครึ่งชั่วยามต่อมาเมื่อเข้าสู่เขตป่า ลู่ฉงได้รับหน้าที่พาทหารออกต้อนสัตว์ป่า ส่วนลู่เฉินเซียนทำหน้าที่ คอยอารักขาใกล้ชิดเจ้านายทั้งสาม พร้อมองครักษ์ส่วนพระองค์อีกบางส่วน รวมทั้งคนติดตามของคุณหนูลู่เยว่ฉี อีกสองคนลู่เฉินเซียนอดมิได้ ที่จะคอยชำเลืองมอง คนที่นั่งบนหลังม้าเคียงข้าเขาในตอนนี้ และแน่นอนว่าเขารู้สึกขุ่นเคือง กับความดื้อรั้นของอ๋องสิบแปดผู้นี้นัก ด้วยก่อนหน้าที่จะมาถึงตรงนี้ เขาได้เอ่ยทัดทานอีกฝ่าย ว่ามิควรอยู่ตรงนี้ เพราะอาจเป็นอันตรายได้ แต่คำตอบที่ได้รับ ทำให้เขาเองถึงกับพูดมิออกเช่นกัน‘เจ้ารู้จักข้าดีแล้วหรือ ถึงได้คิดว่าคนเช่นข้า อ่อนแอถึงเพียงนั้น’ใช่แล้ว...เขามิเคยรู้จักอ๋องสิบแปด เสวี่ยนเซียวเหยามาก่อนเลย จึงมิรู้ว่าเด็กหนุ่มหน้าหวานดุจสตรีเช่นนี้ จะหยิ่งผยองเกินกว่าที่คิดไปมากทีเดียว ‘สักวัน...เจ้าต้องเจอดีเข้าจนได้ ต่อให้เจ้าเป็นน้องชายฮ่องเต้ ก็มิได้หมายความว่าร่างกายเจ้า จะแข็งดุจเหล็กกล้าเสียเมื่อไหร่กัน’ ชายหนุ่มได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจใบหน้าหล่อเหลาที่ช่วงครึ่งบนของวงหน้า ที่ได้ปิดบังด้วยหน้ากากเสือดำ มองเห็นเพียงเรียวปากหยักที่ยังยกยิ
“ฮ่าๆ”สามพี่น้องแอบนินทาน้องสาวที่ตอนนี้ ได้นั่งในฐานะตัวแทนสกุลลู่ เด็กสาววัยสิบห้า นางเป็นลูกหลงของพ่อแม่ ด้วยอายุห่างจากพี่ชายคนเล็กถึงสิบปี ทำให้นางไม่เคยถูกขัดใจจากทั้งสามเลยลู่เยว่ฉีแอบชำเลืองมองชายหนุ่ม ที่สวมหน้ากากพยัคฆ์ทั้งสาม ด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ นางเมื่อยจะตายอยู่แล้ว ที่ต้องนั่งปั้นหน้าวางท่า เป็นบุตรีที่เพียบพร้อม ทั้งที่ความเป็นจริง นางอยากจะถอดชุดรุ่มร่ามสีหวานนี่ออกเต็มทีแล้วทุกคนเงียบเสียงลงในทันที เมื่อบุรุษในชุดมังกร ก้าวเข้ามาในลานพร้อมด้วยสตรีผู้เป็นคู่บารมี ทุกคนได้ยืนขึ้นทำความเคารพ กันอย่างพร้อมเพรียง การล่ากำลังจะเริ่มแล้ว“ทุกท่านเชิญตามสบาย วันนี้เป็นวันที่เราทุกคน มาเพื่อสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อย่าได้มากพิธีไป”ฮ่องเต้เอ่ยขึ้น หลังจากเข้านั่งประจำที่ของตนเองแล้ว สายตามังกรกวาดมองไปรอบบริเวณ เพื่อดูเหล่าผู้มาแข่งขันในครั้งนี้“ขอบพระทัยฝ่าบาท”ทุกคนเอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพียง โดยมิต้องมีการนัดหมายล่วงหน้า ถึงคำพูดใด ๆ เป็นที่รู้กันดี ว่าฮ่องเต้ชอบความเรียบง่าย ยิ่งเวลานี้ออกมาอยู่นอกเขตวังหลวง ยิ่งทรงสั่งห้ามพิธีการต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องยุ่งยาก การออกล่า
เจ็ดปีต่อมา ณ เมืองฉางกวง ในการแข่งขันล่าสัตว์ ของเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนาง ได้จัดขึ้นยังป่าในเขตเมืองฉางกวง ครั้งนี้แม่ทัพลู่ฉางเอินไม่ได้เข้าร่วม ในการอารักษ์ขาฮ่องเต้ แต่เขาได้ส่งบุตรชายทั้งสาม ให้มาทำหน้าที่แทนอย่างลับๆ ซึ่งมีเพียงฮ่องเต้ และองครักษ์คนสนิทเท่านั้นที่รู้ ว่าทั้งสามที่ซ่อนใบหน้าอยู่ภายใต้ หน้ากากพยัคฆ์ คือสามทายาท ของท่านแม่ทัพลู่ฉางเอิน สามองครักษ์ ผู้มีหนาม หยาง ฉง เฉิน นักรบผู้ไร้ที่มาในความเข้าใจของเหล่าเชื้อพระวงศ์ และขุนนางทั้งหลาย“น้องสามเจ้าเป็นอันใดไปเล่า ข้าเห็นเอาแต่จ้องมองท่านอ๋องสิบแปดมิวางตา”เป็นลู่ฉงที่เอ่ยถามออกมา เมื่อเขาสังเกตเห็นน้องชาย มองท่านอ๋องสิบแปดมิวางตาอยู่เป็นนานเฉินเซียนรู้สึกคุ้นหน้าอ๋องสิบแปดยิ่งนัก แต่เขาก็ไม่เคยที่จะได้พบปะ หรือทำความรู้จักกับชินอ๋องผู้นี้เลยสักครั้ง เพียงแค่รู้สึกเหมือนเคยพบกัน ที่ไหนมาก่อนก็เท่านั้น‘อ่า...ข้าลืมไปได้อย่างไร ว่าท่านอ๋องสิบแปด เป็นญาติกับเหยาเอ๋อร์ หากนางเติบโตมา ก็ต้องมีใบหน้าคล้ายคลึงกับท่านอ๋องอยู่มิน้อยสินะ’ สายตาเหยี่ยว สอดส่องหาใครบางคนไปทั่วทั้งลาน แต่ก็มิอาจพบ...‘แต่ทำไมนางม
แม้แต่คนที่กำลังตกอยู่ ในอ้อมแขนแกร่งของอีกฝ่าย ซึ่งได้ประกาศว่าเป็นคู่หมายของเขาเมื่อครู่ ด้วยความตกตะลึง และความที่ยังเยาว์วัยอยู่ ทำให้ได้แต่ยืนนิ่งมิได้ขยับกาย จนคนตัวโตกว่า ถอนริมฝีปากออกไปแล้ว นั่นเอง ต้วนเหยาจึงได้กลับมาหายใจเป็นปกติ“พี่ขอโทษเหยาเอ๋อ แต่พี่มิอยากได้ยินคำว่า ‘ไม่’ จากเจ้าเข้าใจไหม เวลานี้พี่ล่วงเกินเจ้าแล้ว นับจากนี้เจ้าคือคู่หมายของพี่อย่างแท้จริง พรุ่งนี้พี่จะให้ท่านพ่อ ทำการสู่ขอหมั้นหมายเจ้าเอาไว้ก่อน”ต้วนเหยาทั้งโกธรและอับอาย ก่อนจะผลักร่างแกร่งออกให้ห่างกาย แล้ววิ่งออกจากสวนไปอย่างรวดเร็ว แต่จะทำร้ายอีกฝ่าย ก็มิใช่สิ่งที่ควรทำ ในเมื่อเขาเป็นผู้เริ่ม ที่หลอกลวงเฉินเซียนก่อนเฉินเซียนกำลังจะพุ่งตามเด็กสาวไป แต่มีบุรุษในชุดองครักษ์ ออกมาขวางทางเขาเอาไว้เสียก่อน ทำให้ชายหนุ่มแสดงสีหน้างุนงงเล็กน้อย ว่าไยองครักษ์จากวังหลวง ถึงได้ตามติดคุณหนูสกุลต้วน แทนที่จะเป็นคนของสกุลต้วน“ได้โปรดคุณชายลู่ อย่าได้คิดตามเจ้านายพวกเราไปเลย มิเช่นนั้นเราจำเป็นต้องลงมือกับท่าน”เฉินเซียนได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ก่อนจะทรุดนั่งลงคุกเข่าด้วยความสับสน เมื่อเขายังคิดไม่ตก ถึงความเป