Home / วาย / กุนซือจ้าวหัวใจ / บทที่2 ข้อเสนอ

Share

บทที่2 ข้อเสนอ

last update Last Updated: 2025-03-17 05:06:04

“อยากได้หัวข้า ก็เอาหัวเขามาแลก เจ้าว่าข้อเสนอสุดท้ายเพิ่มเติมแบบนี้ดีหรือไม่!”

          “บังอาจ!”

          “ฮึ! ในเมื่อนายเจ้าไม่รู้จักกฎของการทูต เช่นนี้แล้ว...ยังจะหาญกล้ามาเจรจาอยู่อีกหรือ อย่าคิดว่าตนเองเป็นองค์ชาย จะกระทำการเยี่ยงไรก็ได้ ไม่เคยมีใครสอนเขาบ้างเลยรึ! ว่าการอยู่เหนือคนที่แท้จริงต้องทำเช่นไร!

อยากรู้ไหม...ว่าทำไมอดีตแม่ทัพเหลียว ถึงได้รับความยำเกรงจากแคว้นหลี่เรา นั่นเพราะเขารู้จักการนอบน้อมต่อผู้อื่น เขาจึงได้รับสิ่งเดียวกันตอบแทน น่าเสียดายแทนองค์ชายของเจ้า หวังเพียงอยากสร้างผลงาน เพื่อก้าวสู่ตำแหน่งรัชทายาท จนลืมนึกไปว่านี่เป็นการฆ่าตัวตาย”

คำพูดของลู่เฉินเซียน เสมือนตบหน้ากองทัพเหลียว เปลี่ยนผู้บัญชาการได้เพียงครึ่งปีก็ก่อสงคราม ซ้ำยังนำความพ่ายแพ้กลับไปให้อับอายผู้คน ความสงบนับสิบปีสลายไปดั่งสายลมเลยก็ว่าได้  

          “เช่นนั้นข้อสุดท้าย ถือเสียว่าเป็นเรื่องเย้าเล่น จากท่านแม่ทัพของข้าเถิด”

เมื่อถูกสอนเสียจนไปไม่เป็น รองแม่ทัพจำต้องยอมอ่อนข้อ หากยังดึงดันต่อไป สงครามคงไม่จบเป็นแน่ ที่สำคัญคือแม่ทัพฝั่งเขา ไม่อาจทำสิ่งใดได้เลย นอกจากจะเป็นเพียงคนพิการไปตลอดชีวิต

          “นับว่าเจ้ายังมีไหวพริบที่ดีอยู่บ้าง ข้าไม่คิดที่จะสั่งสอนผู้ใดทั้งสิ้น แต่สิ่งที่แม่ทัพของเจ้ากระทำ มันส่งผลเสียมากมายต่อทุกฝ่าย โดยเฉพาะตัวเขาเอง”

          เอ่ยจบลู่เฉินเซียนได้ลงตราประทับ เพื่อให้การเจรจาสมบูรณ์ ก่อนจะยื่นส่งคืนให้แก่ทหารนำกลับไปให้แก่รองแม่ทัพเหลียว ทุกคำพูดของชายหนุ่ม ทำให้รองแม่ทัพไม่อาจสบตากับอีกฝ่ายได้เลย

          “อ่อ...สนามรบหาใช่ลานฝึก อาวุธไร้ดวงตา อย่าได้เที่ยววิ่งเล่นไปทั่ว หาไม่แล้วแม้แต่ชีวิตก็ยากที่จะรักษา”

          ลู่เฉินเซียนหมุนกายก้าวตรงไปยังม้าของตน ก่อนจะเหวี่ยงกายขึ้นบนหลังม้า ควบตรงไปยังเนินเขาเบื้องหน้า ซึ่งท่านแม่ทัพและทหารสกุลลู่ กำลังนั่งรอเขาอยู่

          บนเนินเขา

         ท่านแม่ทัพลู่มองไปยังบุตรชาย ที่กำลังควบม้าตรงมาหาเขาและทุกคน เขาไม่ต้องคาดเดาให้เสียเวลา ว่าผลจะออกมาแบบไหน เพราะคนเช่นลู่เฉินเซียนมากด้วยวาจา

          เรื่องราวที่ว่าใหญ่โต มักจะจบลงได้โดยง่าย ด้วยกลยุทธ์ในการพูดของบุตรชายคนเล็ก สมกับตำแหน่งกุนซือยิ่งนัก ต่างจากเขาและบุตรชายคนรอง ที่เน้นการใช้กำลังมากกว่าคำพูด จึงไม่เคยออกหน้าเจรจาเองเท่าใดนัก

          “สำเร็จแบบอีกฝ่ายจำใจกระมังขอรับ” ลู่ฉงเอ่ยกับบิดา โดยที่สายตาของเขา จับจ้องอยู่ที่น้องชาย

          “ฮึ! พวกปากมิสิ้นกลิ่นน้ำนม จองหองได้สักเพียงใดกัน”

ท่านแม่ทัพลู่ฉางเอิน ตบฉาดลงบนเข่า เขาไม่อยากจะเชื่อว่าฮ่องเต้เหลียวจะไร้สติปัญญาถึงเพียงนี้ ปล่อยโอรสที่กระหายผลงาน ทำให้เขาที่ชรามากแล้ว ต้องควบม้าออกศึก เหนื่อยจนแทบสิ้นใจ แต่เพราะคำว่าแม่ทัพใหญ่ค้ำคออยู่ ทำให้เขาต้องตบอกประกาศก้องว่ายังไหว

“ท่านแม่ทัพเป็นอันใดไปขอรับ”

เพียงก้าวแรกที่มาถึง ลู่เฉินเซียนก็เริ่มยียวนบิดา เมื่อเห็นท่าทางของผู้เป็นพ่อ ชายหนุ่มจึงยกยิ้มร้ายขึ้นในทันที

“พวกนั้นเสนอสิ่งใดมาบ้างเล่า เจ้าลงนามโดยที่ดูรายละเอียดดีหรือไม่”

          “ย่อมต้องดีสิขอรับ เสียแต่ข้อสุดท้ายมันน่าเจ็บใจนัก”

          ชายหนุ่มเริ่มการกลั่นแกล้งบิดา ซึ่งมันคือความบันเทิงของครอบครัวโดยแท้ เพราะไม่กี่วันก่อน เขาเพิ่งถูกคนเป็นพ่อ กลั่นแกล้งเสียจนยับเยิน ครานี้เขาขอหยอกคืนสักเล็กน้อย พอให้คนแก่กระชุ่มกระชวย

“คือสิ่งใด!”

“ขอสุดท้าย พวกมันขอศีรษะท่านแม่ทัพขอรับ”

“แล้วพวกมันบอกหรือไม่ ว่าเป็นแม่ทัพคนใด กองทัพเรามีแม่ทัพตั้งห้าคนเชียวนะ มันระบุชื่อมาหรือไม่เล่า ข้าจะได้ตัดไปส่งให้มันเสีย จะได้ไม่เกิดสงครามอีก”

สิ้นคำพูดของท่านแม่ทัพลู่ เหล่าแม่ทัพที่เหลือถึงกับอ้าปากค้าง แม้จะรู้ดีว่านี้คือคำหยอกเย้า แต่ทั้งหมดก็ร่วมใจกัน ทำตาโตเหลือกค้าง จนลู่เฉินเซียนรู้สึกหมั้นไส้คนของบิดายิ่งนัก ที่รู้ทันเขาเสียทุกเรื่อง

“ของท่านแม่ทัพใหญ่ แซ่ลู่ขอรับ”

“เจ้าพูดจริงหรือล้อข้าเล่นอยู่ ห๊ะ!”

“ไยข้าต้องล้อเล่นด้วยเล่าขอรับ องค์ชายเหลียวเป็นพวกไม่ยอมแพ้ท่านแม่ทัพน่าจะรู้แก่ใจดี”

สายตาของท่านแม่ทัพใหญ่หรี่เล็ก ก่อนจะกวาดมองไปยังทหารติดตามบุตรชายไปเจรจาเมื่อครู่ ทุกคนต่างลดสายตา ลงมองยังปลายเท้าตนเองเสีย จริงอยู่เรื่องขอศีรษะจากเหลียว หาใช่เรื่องโกหก แต่มันมิใช่หัวของท่านแม่ทัพใหญ่ อย่างที่ท่านกุนซือกล่าวมา

เรื่องที่ท่านกุนซือพูด ล้วนใส่สีตีไข่ทั้งสิ้น แต่จะทำอย่างไรได้ เมื่อสกุลลู่ขึ้นชื่อ เรื่องการกลั่นแกล้งกันเอง จนเป็นที่เลื่องลือ แต่กระนั้นท่านแม่ทัพใหญ่ก็ไม่เคยจดจำ ว่าบุตรชายคนที่สามเป็นคนเช่นไร

          “เจ้าพวกลูกสุนัข มันช่างกล้าท้าทายข้านัก เจ้ามิได้ใส่สีตีไข่แน่หรือเฉินเซียน”

ท่านแม่ทัพลู่ยังมีข้อกังขา ในคำบอกเล่าของบุตรชายอยู่มิน้อย มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าลู่เฉินเซียน มักจะเพิ่มเติมคำพูดให้เกินจริงอยู่เสมอ โดยเฉพาะอะไรที่เกี่ยวกับเขา และเป็นเขาอีกนั่นล่ะ ที่มักหลงเข้าไปในกับดักของบุตรชายอยู่เสมอ

          “ท่านแม่ทัพ เห็นสีในมือข้าหรือไม่เล่าขอรับ ส่วนไข่ที่ข้าติดตัวไปคงให้ผู้ใดมิได้ท่านก็รู้ดี”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • กุนซือจ้าวหัวใจ   บทที่16 ขุ่นเคือง

    ครึ่งชั่วยามต่อมาเมื่อเข้าสู่เขตป่า ลู่ฉงได้รับหน้าที่​พาทหารออกต้อนสัตว์ป่า​ ส่วนลู่เฉินเซียนทำหน้าที่ คอยอารักขาใกล้ชิด​เจ้านายทั้งสาม พร้อมองครักษ์ส่วนพระองค์อีกบางส่วน​ รวมทั้งคนติดตามของคุณหนูลู่เยว่ฉี อีกสองคนลู่เฉินเซียนอดมิได้ ที่จะคอยชำเลืองมอง คนที่นั่งบนหลังม้าเคียงข้าเขาในตอนนี้ และแน่นอนว่าเขารู้สึกขุ่นเคือง กับความดื้อรั้นของอ๋องสิบแปดผู้นี้นัก ​ด้วยก่อนหน้าที่จะมาถึงตรงนี้ เขาได้เอ่ยทัดทานอีกฝ่าย ว่ามิควรอยู่ตรงนี้​ เพราะอาจเป็นอันตรายได้​ แต่คำตอบที่ได้รับ ทำให้เขาเองถึงกับพูดมิออกเช่นกัน​‘เจ้ารู้จักข้าดีแล้วหรือ ถึงได้คิดว่า​คนเช่นข้า อ่อนแอถึงเพียงนั้น’ใช่แล้ว...เขามิเคยรู้จักอ๋องสิบแปด เสวี่ยนเซียวเหยามาก่อนเลย ​จึงมิรู้ว่าเด็กหนุ่มหน้าหวานดุจสตรีเช่นนี้ จะหยิ่งผยองเกินกว่าที่คิดไปมากทีเดียว ‘สักวัน...เจ้าต้องเจอดีเข้าจนได้ ​ต่อให้เจ้าเป็นน้องชายฮ่องเต้ ก็มิได้หมายความว่าร่างกายเจ้า จะแข็งดุจเหล็กกล้าเสียเมื่อไหร่กัน’ ชายหนุ่มได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจ​ใบหน้าหล่อเหลาที่ช่วงครึ่งบนของวงหน้า​ ที่ได้ปิดบังด้วยหน้ากากเสือดำ​ มองเห็นเพียงเรียวปากหยักที่ยังยกยิ

  • กุนซือจ้าวหัวใจ   บทที่15 องครักษ์พิเศษ

    “ฮ่าๆ”สามพี่น้องแอบนินทาน้องสาวที่ตอนนี้ ได้นั่งในฐานะตัวแทนสกุลลู่ เด็กสาววัยสิบห้า นางเป็นลูกหลงของพ่อแม่ ด้วยอายุห่างจากพี่ชายคนเล็กถึงสิบปี ทำให้นางไม่เคยถูกขัดใจจากทั้งสามเลยลู่เยว่ฉีแอบชำเลืองมองชายหนุ่ม ที่สวมหน้ากากพยัคฆ์ทั้งสาม ด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ นางเมื่อยจะตายอยู่แล้ว ที่ต้องนั่งปั้นหน้าวางท่า เป็นบุตรีที่เพียบพร้อม ทั้งที่ความเป็นจริง นางอยากจะถอดชุดรุ่มร่ามสีหวานนี่ออกเต็มทีแล้วทุกคนเงียบเสียงลงในทันที เมื่อบุรุษในชุดมังกร ก้าวเข้ามาในลานพร้อมด้วยสตรีผู้เป็นคู่บารมี ทุกคนได้ยืนขึ้นทำความเคารพ กันอย่างพร้อมเพรียง การล่ากำลังจะเริ่มแล้ว“ทุกท่านเชิญตามสบาย วันนี้เป็นวันที่เราทุกคน มาเพื่อสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อย่าได้มากพิธีไป”ฮ่องเต้เอ่ยขึ้น หลังจากเข้านั่งประจำที่ของตนเองแล้ว สายตามังกรกวาดมองไปรอบบริเวณ เพื่อดูเหล่าผู้มาแข่งขันในครั้งนี้“ขอบพระทัยฝ่าบาท”ทุกคนเอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพียง โดยมิต้องมีการนัดหมายล่วงหน้า ถึงคำพูดใด ๆ เป็นที่รู้กันดี ว่าฮ่องเต้ชอบความเรียบง่าย ยิ่งเวลานี้ออกมาอยู่นอกเขตวังหลวง ยิ่งทรงสั่งห้ามพิธีการต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องยุ่งยาก การออกล่า

  • กุนซือจ้าวหัวใจ   บทที่14 มิเห็นนาง

    เจ็ดปีต่อมา ณ เมืองฉางกวง ในการแข่งขันล่าสัตว์ ของเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนาง ได้จัดขึ้นยังป่าในเขตเมืองฉางกวง ครั้งนี้แม่ทัพลู่ฉางเอินไม่ได้เข้าร่วม ในการอารักษ์ขาฮ่องเต้ แต่เขาได้ส่งบุตรชายทั้งสาม ให้มาทำหน้าที่แทนอย่างลับๆ ซึ่งมีเพียงฮ่องเต้ และองครักษ์คนสนิทเท่านั้นที่รู้ ว่าทั้งสามที่ซ่อนใบหน้าอยู่ภายใต้ หน้ากากพยัคฆ์ คือสามทายาท ของท่านแม่ทัพลู่ฉางเอิน สามองครักษ์ ผู้มีหนาม หยาง ฉง เฉิน นักรบผู้ไร้ที่มาในความเข้าใจของเหล่าเชื้อพระวงศ์ และขุนนางทั้งหลาย“น้องสามเจ้าเป็นอันใดไปเล่า ข้าเห็นเอาแต่จ้องมองท่านอ๋องสิบแปดมิวางตา”เป็นลู่ฉงที่เอ่ยถามออกมา เมื่อเขาสังเกตเห็นน้องชาย มองท่านอ๋องสิบแปดมิวางตาอยู่เป็นนานเฉินเซียนรู้สึกคุ้นหน้าอ๋องสิบแปดยิ่งนัก แต่เขาก็ไม่เคยที่จะได้พบปะ หรือทำความรู้จักกับชินอ๋องผู้นี้เลยสักครั้ง เพียงแค่รู้สึกเหมือนเคยพบกัน ที่ไหนมาก่อนก็เท่านั้น‘อ่า...ข้าลืมไปได้อย่างไร ว่าท่านอ๋องสิบแปด เป็นญาติกับเหยาเอ๋อร์ หากนางเติบโตมา ก็ต้องมีใบหน้าคล้ายคลึงกับท่านอ๋องอยู่มิน้อยสินะ’ สายตาเหยี่ยว สอดส่องหาใครบางคนไปทั่วทั้งลาน แต่ก็มิอาจพบ...‘แต่ทำไมนางม

  • กุนซือจ้าวหัวใจ   บทที่13 คู่หมั้น

    แม้แต่คนที่กำลังตกอยู่ ในอ้อมแขนแกร่งของอีกฝ่าย ซึ่งได้ประกาศว่าเป็นคู่หมายของเขาเมื่อครู่ ด้วยความตกตะลึง และความที่ยังเยาว์วัยอยู่ ทำให้ได้แต่ยืนนิ่งมิได้ขยับกาย จนคนตัวโตกว่า ถอนริมฝีปากออกไปแล้ว นั่นเอง ต้วนเหยาจึงได้กลับมาหายใจเป็นปกติ“พี่ขอโทษเหยาเอ๋อ แต่พี่มิอยากได้ยินคำว่า ‘ไม่’ จากเจ้าเข้าใจไหม เวลานี้พี่ล่วงเกินเจ้าแล้ว นับจากนี้เจ้าคือคู่หมายของพี่อย่างแท้จริง พรุ่งนี้พี่จะให้ท่านพ่อ ทำการสู่ขอหมั้นหมายเจ้าเอาไว้ก่อน”ต้วนเหยาทั้งโกธรและอับอาย ก่อนจะผลักร่างแกร่งออกให้ห่างกาย แล้ววิ่งออกจากสวนไปอย่างรวดเร็ว แต่จะทำร้ายอีกฝ่าย ก็มิใช่สิ่งที่ควรทำ ในเมื่อเขาเป็นผู้เริ่ม ที่หลอกลวงเฉินเซียนก่อนเฉินเซียนกำลังจะพุ่งตามเด็กสาวไป แต่มีบุรุษในชุดองครักษ์ ออกมาขวางทางเขาเอาไว้เสียก่อน ทำให้ชายหนุ่มแสดงสีหน้างุนงงเล็กน้อย ว่าไยองครักษ์จากวังหลวง ถึงได้ตามติดคุณหนูสกุลต้วน แทนที่จะเป็นคนของสกุลต้วน“ได้โปรดคุณชายลู่ อย่าได้คิดตามเจ้านายพวกเราไปเลย มิเช่นนั้นเราจำเป็นต้องลงมือกับท่าน”เฉินเซียนได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ก่อนจะทรุดนั่งลงคุกเข่าด้วยความสับสน เมื่อเขายังคิดไม่ตก ถึงความเป

  • กุนซือจ้าวหัวใจ   บทที่12 จูบแรก

    “ยังเจ้าค่ะ ท่านพี่เฉินเซียนถามทำไมหรือเจ้าคะ”เมื่อได้ยินคำตอบ เฉินเซียนคลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิม เขาไม่ได้ตอบคำถามของต้วนเหยา ทว่าเขากลับเอาแต่จ้องนางบรรเลงเพลงต่อไป จนเวลาล่วงเลยไปพอสมควร เสียงพิณได้เงียบเสียงลง จึงปลุกเฉินเซียนออกจากภวังค์...“นี้ก็ดึกมากแล้ว เจ้ายังมิกลับจวนอีกหรือเหยาเอ๋อร์”เมื่อตื่นจากภวังค์ความคิด เฉินเซียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย แน่นอนว่าเวลานี้ สำหรับผู้ใหญ่นั้น ยังมิถือว่าดึกมากมายอันใด ทว่ากับเด็กแล้วย่อมต่างออกไป“ข้าเองก็กำลังจะบอกท่านอยู่ ว่าข้าง่วงแล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าต้องขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ”เวลาเพียงไม่นาน ที่เซียวเหยาได้พูดคุยกับคนตรงหน้า ทำให้เขาได้ยิ้มได้หัวเราะออกมาได้อย่างเต็มที่ และเป็นกันเอง มิเหมือนตอนอยู่ในวังที่ตัวเขามิอาจไว้ใจใครได้มากนัก มันเป็นครั้งแรก ที่เขาได้ยิ้มเต็มทีอย่างแท้จริง แม้จะรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย ที่หลอกลวงอีกฝ่าย ว่าตนเป็นหญิงก็ตาม ตัวเขาเองไม่คิดว่าอีกฝ่าย จะเชื่อตนสนิทใจขนาดนี้ อาจเพราะฤทธิ์สุราด้วยกระมัง ที่ทำให้คนตรงหน้ามิได้ทันจับผิดตัวเขาเฉินเซียนนั้นเรียกว่าตั้งแต่ก้าวเข้าสู่วัยสิบเจ็ดมานี้ เขามิเคยสนใจบุตรสาวบ้านใด

  • กุนซือจ้าวหัวใจ   บทที่11 ต้วนเหยา

    ซึ่งแน่นอนว่าในฐานะ หลานชายของพระชายานั้น น้อยคนที่รู้จักเขาจะอยากต่อกรด้วย แต่นี่มิใช่สิ่งที่เขาควรกระทำ ทว่าความด้วยอยากรู้ ทั้งมีความคึกคะนองในแบบของบุรุษที่กำลังจะเข้าวัยหนุ่มเต็มตัวในอีกไม่กี่ปี จึงทำให้เด็กหนุ่มก้าวตรงไปยังศาลา แทนที่จะหมุนกาย กลับเข้าไปด้านในของงานเลี้ยง หรือเลี่ยงไปยังที่อื่นภายในจวนแทน ยิ่งเข้าใกล้...หัวใจของเด็กหนุ่ม ก็ยิ่งเต้นรัวประหนึ่งกองศึกยิ่งเห็นเสี้ยวหน้าของคนที่นั่งดีดพิณอยู่ ภายใต้เงาสลัวของแสงจากคบไฟ ยิ่งทำให้เลือดในการสูบฉีด ดั่งม้าศึกกำลังห้อตะบึงสู่กลางสนามรบเลยทีเดียว“แม่นางน้อยเป็นกุลสตรี ไยจึงได้มานั่งอยู่ในที่แบบนี้ เพียงลำพังกันเล่า”คนที่ถูกเรียกขานว่าแม่นางน้อย เงยหน้าหันไปมองตามเสียง คราแรกตัวเขาคิดจะบอก ว่าตนเองมิใช่สตรี แต่ด้วยความนึกสนุก ทั้งยังเป็นความคิดในแบบของเด็ก จึงอยากรู้ว่าหากเขา แสร้งยอมรับว่าเป็นสตรี อย่างที่ผู้มาใหม่เรียกขาน เด็กหนุ่มผู้นี้จะจับได้หรือไม่ ว่าแท้จริงเขามิใช่สตรีอย่างที่อีกฝ่ายคิด“คือว่า...ข้าเบื่องานเลี้ยงเช่นนี้เจ้าค่ะคุณชาย”เด็กน้อยลอบยิ้มอยู่ภายในใจ และยังดีว่าตอนนี้ เสียงของเขายังมิแตกวัยหนุ่ม จึงคง

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status