เมื่อชะตานำพา ให้ผู้กุมหัวใจของเขา โคจรมาพบกันอีกครั้ง ทว่าเขาจะทำเช่นไรเล่า เมื่อคนผู้นั้นกลับจำเขาไม่ได้ กุนซือหนุ่มจะทำเช่นไร เพื่อให้ท่านอ๋องสิบแปดจดจำเขาได้ หรือว่าเขาจะยอมปล่อย ให้ทุกอย่างเลือนหายไปกับความทรงจำ ของอ๋องหนุ่มผู้กุมหัวใจเขามาเนิ่นนาน
Узнайте большеแคว้นหลี่ ณ ชายแดนใต้
ร่างสูงในชุดเกราะสีเงินยวง กำลังยืนเผชิญหน้าอยู่กับรองแม่ทัพแคว้นเหลียว หลังจากที่หลายวันก่อน สองแคว้นยกทัพเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด จนเมื่อแม่ทัพเหลียวได้รับบาดเจ็บสาหัส
แคว้นเหลียวจึงได้ถอยทัพกลับยังฐานที่ตั้งค่าย ทว่าผ่านไปได้เพียงสองวัน ก็มีสาสน์ขอเสนอการเจรจาเกิดขึ้น นี่เป็นเหตุให้เขาต้องมายืนอยู่ตรงนี้ จากสายตาที่เขาประเมินแล้ว อีกฝ่ายหาได้เต็มใจ ที่การเจรจากับเขาเท่าใดนัก
“รองแม่ทัพเหลียว ผยองใช่เล่นเลยนะขอรับ ท่านกุนซือ”
ทหารติดตามเอ่ยกับผู้เป็นนาย เมื่อเห็นใบหน้าบึ้งตึงของรองแม่ทัพแคว้นเหลียว
“นกเพิ่งได้บินเองครั้งแรก ย่อมต้องสร้างความน่าเกรงขาม โดยที่เขาไม่รู้เลย ว่ามันไม่เป็นผลต่อคนเช่นข้า”
ลู่เฉินเซียนรู้สึกขบขันอย่างที่พูดจริง เขาเติบโตมาท่ามกลางกองทัพ สกุลลู่ ซึ่งในทุกรุ่นล้วนเป็นนักรบทั้งสิ้น เขาย่อมต้องผ่านศัตรูมานับไม่ถ้วน ส่วนรองแม่ทัพเหลียวคนใหม่ ดูจะยังไม่คุ้นกับกองทัพสกุลลู่เท่าใดนัก
เพราะหากลูกนกเหล่านี้ รู้จักโบยบินในพื้นที่ของตนเอง คงไม่นำชีวิตของทหารและประชาชน มาสังเวยภายใต้คมดาบของสงคราม นับว่าฮ่องเต้เหลียวมองคนไม่ขาด เห็นแก่คำว่าพ่อลูก ย้ายอดีตแม่ทัพเปลี่ยนให้โอรสคนโปรดมาแทนที่ ผลถึงได้ออกมาเลวร้ายเช่นนี้
สงครามที่สงบมานานนับสิบปี ต้องเกิดขึ้นอีกครั้ง เพราะฮ่องเต้หวั่นไหว ไปกับคำยุยงของพระโอรส ที่ประกาศว่าจะยึดครองดินแดนฝั่งทิศใต้ของหลี่ คนที่ใช้ชีวิตโดยมีข้ารับใช้มาตั้งแต่เกิดจนโต มิเคยตรากตรำเช่นทหารที่อุทิศตน เพื่อปกป้องแผ่นดินมานานปี คิดว่าจับดาบเป็นก็จะคว้าชัยได้ เบาปัญญาสิ้นดี และการเจรจาในครั้งนี้ จะเป็นผลหรือไม่ ก็อยู่ที่คนตรงหน้าเขาแล้ว ว่าจะมีไหวพริบดีเพียงใด
“ไยแม่ทัพของเจ้าของเจ้า ไม่มาด้วยตนเองเล่า”
รองแม่ทัพแคว้นเหลียว เอ่ยถามกับชายในชุดเกราะเบื้องหน้า ช่างหยามกันเกินไปแล้ว ที่ส่งเพียงผู้ติดตามชั้นผู้น้อย มาเพื่อเจรจากับเขา
“การเจรจามิได้กำหนดว่าต้องเป็นผู้ใด อีกอย่างเรื่องนี้ ย่อมเป็นหน้าที่ของข้า หาใช่ท่านแม่ทัพไม่”
ลู่เฉินเซียน เดาความคิดของอีกฝ่ายออก แต่เขายังคงสนุกที่จะเห็น อาการพองขนของอีกฝ่ายต่ออีกสักหน่อย จึงมิได้บอกว่าแท้จริงตัวเขาคือใคร หากเป็นอดีตแม่ทัพคนเดิม และเหล่าขุนพลติดตาม ล้วนรู้จักตัวเขาเป็นอย่างดี
“แคว้นหลี่ ส่งเด็กหัดเดินมาเจรจา ช่างน่าขันนัก”
รองแม่ทัพเหลียว ยังคงพูดจาดูหมิ่นชายหนุ่มตรงหน้าต่อ โดยเขาไม่ได้เห็นสีหน้า ของทหารชั้นผู้น้อย ที่อยู่ชายแดนมาหลายปี ว่ามองชายหนุ่มในชุดเกราะสีเงิน ด้วยสายตาเช่นไร
“หึ ๆ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเพิ่งหัดเดิน มีสิ่งใดที่จะเสนอ ก็รีบพูดมาเถอะ ข้าไม่ได้มีเวลามายืนมองหน้าขี้ริ้วของเจ้า ทั้งวันหรอกนะ!”
ลู่เฉินเซียนไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ มีหรือเขาจะมองไม่ออกว่ารองแม่ทัพเหลียว กำลังรู้สึกเช่นไร ภายใต้ใบหน้าและน้ำเสียงอันเยาะหยัน มันซ่อนความหวาดหวั่นเอาไว้ไม่น้อยเลย
“ไยมิเผยใบหน้าของเจ้าเล่า ข้าจะได้รู้ว่าผู้ที่มาเจรจาคู่ควรหรือไม่”
รองแม่ทัพแคว้นเหลียว เรียกร้องที่จะเห็นใบหน้าของผู้มาเจรจา หากวันนี้การเจรจาล้มเหลว เขาจะได้รู้ว่าคนตรงหน้า เป็นผู้ใดกันแน่
“ไม่จำเป็นกระมัง! เพราะข้ามาเพื่อฟังข้อเสนอ ได้มาอวดโฉมให้ผู้ใดชื่นชม อ่อ...ส่วนตัวข้าคู่ควรหรือไม่ หาใช่สิ่งที่ต้องสาธยายให้เจ้าฟัง หากยังอยากเจรจาก็รีบพูดมา อย่าโยกโย้ให้เสียเวลา”
รอยยิ้มภายใต้หน้ากากสีเงิน ล้วนเต็มไปด้วยความขบขัน ในสนามรบหรือแม้แต่การพบปะระหว่างแคว้น ไม่เคยมีใครได้เห็นใบหน้าแท้จริงของเขา ยกเว้นคนในค่ายทหารสกุลลู่เท่านั้น เพราะถ้าวันไหนตัวตนของเขา ถูกเปิดเผยนั่นคือมีหนอนในกองทัพ และโทษเดียวที่คนผู้นั้นจะได้รับ คงมีเพียงความตายเท่านั้น
รองแม่ทัพเหลียว ทำได้เพียงข่มกลั้นความไม่พอใจเอาไว้ หากวันนี้เขาไม่สามารถ ทำให้อีกฝ่ายอมรับข้อเสนอได้ เห็นทีเขาคงไม่อาจรักษา แม้แต่ลมหายใจเอาไว้ได้เช่นกัน
“ข้อเสนอเป็นไปตามในสาสน์นี้”
รองแม่ทัพยื่นม้วนกระดาษ ให้แก่ทหารติดตาม เพื่อนำไปส่งมอบให้แก่ทูตจากแคว้นหลี่
ลู่เฉินเซียน เป็นผู้ก้าวออกไปรับมันด้วยตนเอง ชายหนุ่มคลี่ออกอ่านอย่างใจเย็น ก่อนจะยกยิ้มเล็กน้อย ข้อเสนอหลายอย่าง นับว่าเห็นแก่ส่วนรวม ยกเว้นว่าองค์ชายแห่งเหลียว ต้องการศีรษะของเขา ไปทดแทนขาที่ถูกตัดไปทั้งสองข้าง
“หากเจ้าอยากให้ข้าลงนาม ข้าคิดว่าข้อสุดท้าย ควรที่จะเพิ่มเติมสักหน่อย เจ้าเห็นว่าอย่างไร!”
“ตามที่เจ้าเห็นสมควร”
รองแม่ทัพเหลียวรู้ดี ว่าข้อสุดท้ายคือสิ่งใด แต่จะให้ทำอย่างไรได้เล่า ถ้าเกิดสงครามขึ้นอีกครั้ง เห็นทีเมืองหน้าด่าน ท่านแม่ทัพของเขาคงไม่อาจรักษาเอาไว้ได้
แล้วอดีตแม่ทัพที่เคยประจำอยู่ชายแดน เป็นคนเยี่ยงไรกันนะ ไยถึงได้ครองความสงบมาได้อย่างยาวนาน อีกทั้งแม่ทัพแคว้นหลี่ ยังให้ความยำเกรงอยู่มาก
ทว่าเมื่อองค์ชายรอง และตัวเขามาบัญชาการแทน ทุกอย่างไยจึงกลับตาลปัดได้ถึงเพียงนี้ เขาเคยคิดมาโดยตลอด ว่าแคว้นหลี่อ่อนแอจึงไม่กล้ากำแหงต่อเหลียว แต่การศึกเมื่อไม่กี่วันก่อน ทำให้เขาไม่อาจคิดเช่นนั้นได้อีกตอไป
ครึ่งชั่วยามต่อมาเมื่อเข้าสู่เขตป่า ลู่ฉงได้รับหน้าที่พาทหารออกต้อนสัตว์ป่า ส่วนลู่เฉินเซียนทำหน้าที่ คอยอารักขาใกล้ชิดเจ้านายทั้งสาม พร้อมองครักษ์ส่วนพระองค์อีกบางส่วน รวมทั้งคนติดตามของคุณหนูลู่เยว่ฉี อีกสองคนลู่เฉินเซียนอดมิได้ ที่จะคอยชำเลืองมอง คนที่นั่งบนหลังม้าเคียงข้าเขาในตอนนี้ และแน่นอนว่าเขารู้สึกขุ่นเคือง กับความดื้อรั้นของอ๋องสิบแปดผู้นี้นัก ด้วยก่อนหน้าที่จะมาถึงตรงนี้ เขาได้เอ่ยทัดทานอีกฝ่าย ว่ามิควรอยู่ตรงนี้ เพราะอาจเป็นอันตรายได้ แต่คำตอบที่ได้รับ ทำให้เขาเองถึงกับพูดมิออกเช่นกัน‘เจ้ารู้จักข้าดีแล้วหรือ ถึงได้คิดว่าคนเช่นข้า อ่อนแอถึงเพียงนั้น’ใช่แล้ว...เขามิเคยรู้จักอ๋องสิบแปด เสวี่ยนเซียวเหยามาก่อนเลย จึงมิรู้ว่าเด็กหนุ่มหน้าหวานดุจสตรีเช่นนี้ จะหยิ่งผยองเกินกว่าที่คิดไปมากทีเดียว ‘สักวัน...เจ้าต้องเจอดีเข้าจนได้ ต่อให้เจ้าเป็นน้องชายฮ่องเต้ ก็มิได้หมายความว่าร่างกายเจ้า จะแข็งดุจเหล็กกล้าเสียเมื่อไหร่กัน’ ชายหนุ่มได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจใบหน้าหล่อเหลาที่ช่วงครึ่งบนของวงหน้า ที่ได้ปิดบังด้วยหน้ากากเสือดำ มองเห็นเพียงเรียวปากหยักที่ยังยกยิ
“ฮ่าๆ”สามพี่น้องแอบนินทาน้องสาวที่ตอนนี้ ได้นั่งในฐานะตัวแทนสกุลลู่ เด็กสาววัยสิบห้า นางเป็นลูกหลงของพ่อแม่ ด้วยอายุห่างจากพี่ชายคนเล็กถึงสิบปี ทำให้นางไม่เคยถูกขัดใจจากทั้งสามเลยลู่เยว่ฉีแอบชำเลืองมองชายหนุ่ม ที่สวมหน้ากากพยัคฆ์ทั้งสาม ด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ นางเมื่อยจะตายอยู่แล้ว ที่ต้องนั่งปั้นหน้าวางท่า เป็นบุตรีที่เพียบพร้อม ทั้งที่ความเป็นจริง นางอยากจะถอดชุดรุ่มร่ามสีหวานนี่ออกเต็มทีแล้วทุกคนเงียบเสียงลงในทันที เมื่อบุรุษในชุดมังกร ก้าวเข้ามาในลานพร้อมด้วยสตรีผู้เป็นคู่บารมี ทุกคนได้ยืนขึ้นทำความเคารพ กันอย่างพร้อมเพรียง การล่ากำลังจะเริ่มแล้ว“ทุกท่านเชิญตามสบาย วันนี้เป็นวันที่เราทุกคน มาเพื่อสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อย่าได้มากพิธีไป”ฮ่องเต้เอ่ยขึ้น หลังจากเข้านั่งประจำที่ของตนเองแล้ว สายตามังกรกวาดมองไปรอบบริเวณ เพื่อดูเหล่าผู้มาแข่งขันในครั้งนี้“ขอบพระทัยฝ่าบาท”ทุกคนเอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพียง โดยมิต้องมีการนัดหมายล่วงหน้า ถึงคำพูดใด ๆ เป็นที่รู้กันดี ว่าฮ่องเต้ชอบความเรียบง่าย ยิ่งเวลานี้ออกมาอยู่นอกเขตวังหลวง ยิ่งทรงสั่งห้ามพิธีการต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องยุ่งยาก การออกล่า
เจ็ดปีต่อมา ณ เมืองฉางกวง ในการแข่งขันล่าสัตว์ ของเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนาง ได้จัดขึ้นยังป่าในเขตเมืองฉางกวง ครั้งนี้แม่ทัพลู่ฉางเอินไม่ได้เข้าร่วม ในการอารักษ์ขาฮ่องเต้ แต่เขาได้ส่งบุตรชายทั้งสาม ให้มาทำหน้าที่แทนอย่างลับๆ ซึ่งมีเพียงฮ่องเต้ และองครักษ์คนสนิทเท่านั้นที่รู้ ว่าทั้งสามที่ซ่อนใบหน้าอยู่ภายใต้ หน้ากากพยัคฆ์ คือสามทายาท ของท่านแม่ทัพลู่ฉางเอิน สามองครักษ์ ผู้มีหนาม หยาง ฉง เฉิน นักรบผู้ไร้ที่มาในความเข้าใจของเหล่าเชื้อพระวงศ์ และขุนนางทั้งหลาย“น้องสามเจ้าเป็นอันใดไปเล่า ข้าเห็นเอาแต่จ้องมองท่านอ๋องสิบแปดมิวางตา”เป็นลู่ฉงที่เอ่ยถามออกมา เมื่อเขาสังเกตเห็นน้องชาย มองท่านอ๋องสิบแปดมิวางตาอยู่เป็นนานเฉินเซียนรู้สึกคุ้นหน้าอ๋องสิบแปดยิ่งนัก แต่เขาก็ไม่เคยที่จะได้พบปะ หรือทำความรู้จักกับชินอ๋องผู้นี้เลยสักครั้ง เพียงแค่รู้สึกเหมือนเคยพบกัน ที่ไหนมาก่อนก็เท่านั้น‘อ่า...ข้าลืมไปได้อย่างไร ว่าท่านอ๋องสิบแปด เป็นญาติกับเหยาเอ๋อร์ หากนางเติบโตมา ก็ต้องมีใบหน้าคล้ายคลึงกับท่านอ๋องอยู่มิน้อยสินะ’ สายตาเหยี่ยว สอดส่องหาใครบางคนไปทั่วทั้งลาน แต่ก็มิอาจพบ...‘แต่ทำไมนางม
แม้แต่คนที่กำลังตกอยู่ ในอ้อมแขนแกร่งของอีกฝ่าย ซึ่งได้ประกาศว่าเป็นคู่หมายของเขาเมื่อครู่ ด้วยความตกตะลึง และความที่ยังเยาว์วัยอยู่ ทำให้ได้แต่ยืนนิ่งมิได้ขยับกาย จนคนตัวโตกว่า ถอนริมฝีปากออกไปแล้ว นั่นเอง ต้วนเหยาจึงได้กลับมาหายใจเป็นปกติ“พี่ขอโทษเหยาเอ๋อ แต่พี่มิอยากได้ยินคำว่า ‘ไม่’ จากเจ้าเข้าใจไหม เวลานี้พี่ล่วงเกินเจ้าแล้ว นับจากนี้เจ้าคือคู่หมายของพี่อย่างแท้จริง พรุ่งนี้พี่จะให้ท่านพ่อ ทำการสู่ขอหมั้นหมายเจ้าเอาไว้ก่อน”ต้วนเหยาทั้งโกธรและอับอาย ก่อนจะผลักร่างแกร่งออกให้ห่างกาย แล้ววิ่งออกจากสวนไปอย่างรวดเร็ว แต่จะทำร้ายอีกฝ่าย ก็มิใช่สิ่งที่ควรทำ ในเมื่อเขาเป็นผู้เริ่ม ที่หลอกลวงเฉินเซียนก่อนเฉินเซียนกำลังจะพุ่งตามเด็กสาวไป แต่มีบุรุษในชุดองครักษ์ ออกมาขวางทางเขาเอาไว้เสียก่อน ทำให้ชายหนุ่มแสดงสีหน้างุนงงเล็กน้อย ว่าไยองครักษ์จากวังหลวง ถึงได้ตามติดคุณหนูสกุลต้วน แทนที่จะเป็นคนของสกุลต้วน“ได้โปรดคุณชายลู่ อย่าได้คิดตามเจ้านายพวกเราไปเลย มิเช่นนั้นเราจำเป็นต้องลงมือกับท่าน”เฉินเซียนได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ก่อนจะทรุดนั่งลงคุกเข่าด้วยความสับสน เมื่อเขายังคิดไม่ตก ถึงความเป
“ยังเจ้าค่ะ ท่านพี่เฉินเซียนถามทำไมหรือเจ้าคะ”เมื่อได้ยินคำตอบ เฉินเซียนคลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิม เขาไม่ได้ตอบคำถามของต้วนเหยา ทว่าเขากลับเอาแต่จ้องนางบรรเลงเพลงต่อไป จนเวลาล่วงเลยไปพอสมควร เสียงพิณได้เงียบเสียงลง จึงปลุกเฉินเซียนออกจากภวังค์...“นี้ก็ดึกมากแล้ว เจ้ายังมิกลับจวนอีกหรือเหยาเอ๋อร์”เมื่อตื่นจากภวังค์ความคิด เฉินเซียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย แน่นอนว่าเวลานี้ สำหรับผู้ใหญ่นั้น ยังมิถือว่าดึกมากมายอันใด ทว่ากับเด็กแล้วย่อมต่างออกไป“ข้าเองก็กำลังจะบอกท่านอยู่ ว่าข้าง่วงแล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าต้องขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ”เวลาเพียงไม่นาน ที่เซียวเหยาได้พูดคุยกับคนตรงหน้า ทำให้เขาได้ยิ้มได้หัวเราะออกมาได้อย่างเต็มที่ และเป็นกันเอง มิเหมือนตอนอยู่ในวังที่ตัวเขามิอาจไว้ใจใครได้มากนัก มันเป็นครั้งแรก ที่เขาได้ยิ้มเต็มทีอย่างแท้จริง แม้จะรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย ที่หลอกลวงอีกฝ่าย ว่าตนเป็นหญิงก็ตาม ตัวเขาเองไม่คิดว่าอีกฝ่าย จะเชื่อตนสนิทใจขนาดนี้ อาจเพราะฤทธิ์สุราด้วยกระมัง ที่ทำให้คนตรงหน้ามิได้ทันจับผิดตัวเขาเฉินเซียนนั้นเรียกว่าตั้งแต่ก้าวเข้าสู่วัยสิบเจ็ดมานี้ เขามิเคยสนใจบุตรสาวบ้านใด
ซึ่งแน่นอนว่าในฐานะ หลานชายของพระชายานั้น น้อยคนที่รู้จักเขาจะอยากต่อกรด้วย แต่นี่มิใช่สิ่งที่เขาควรกระทำ ทว่าความด้วยอยากรู้ ทั้งมีความคึกคะนองในแบบของบุรุษที่กำลังจะเข้าวัยหนุ่มเต็มตัวในอีกไม่กี่ปี จึงทำให้เด็กหนุ่มก้าวตรงไปยังศาลา แทนที่จะหมุนกาย กลับเข้าไปด้านในของงานเลี้ยง หรือเลี่ยงไปยังที่อื่นภายในจวนแทน ยิ่งเข้าใกล้...หัวใจของเด็กหนุ่ม ก็ยิ่งเต้นรัวประหนึ่งกองศึกยิ่งเห็นเสี้ยวหน้าของคนที่นั่งดีดพิณอยู่ ภายใต้เงาสลัวของแสงจากคบไฟ ยิ่งทำให้เลือดในการสูบฉีด ดั่งม้าศึกกำลังห้อตะบึงสู่กลางสนามรบเลยทีเดียว“แม่นางน้อยเป็นกุลสตรี ไยจึงได้มานั่งอยู่ในที่แบบนี้ เพียงลำพังกันเล่า”คนที่ถูกเรียกขานว่าแม่นางน้อย เงยหน้าหันไปมองตามเสียง คราแรกตัวเขาคิดจะบอก ว่าตนเองมิใช่สตรี แต่ด้วยความนึกสนุก ทั้งยังเป็นความคิดในแบบของเด็ก จึงอยากรู้ว่าหากเขา แสร้งยอมรับว่าเป็นสตรี อย่างที่ผู้มาใหม่เรียกขาน เด็กหนุ่มผู้นี้จะจับได้หรือไม่ ว่าแท้จริงเขามิใช่สตรีอย่างที่อีกฝ่ายคิด“คือว่า...ข้าเบื่องานเลี้ยงเช่นนี้เจ้าค่ะคุณชาย”เด็กน้อยลอบยิ้มอยู่ภายในใจ และยังดีว่าตอนนี้ เสียงของเขายังมิแตกวัยหนุ่ม จึงคง
Комментарии