ไยภรรยาเจ้าเมือง จึงเอาความคิดคร่ำครึนั่นมาทำร้ายลูกตัวเอง เรื่องนี้คงต้องจัดการเสียใหม่ หาไม่แล้วเด็กสาวอีกมาก ต้องตกที่นั่งลำบากไปจนวันตาย
“ลูกรัก เจ้ามิต้องทำเช่นนั้นเลย เข้าใจหรือไม่ ดูท่านอาเยว่ฉี ท่านย่าของเจ้าสิ มีผู้ใดทำแบบนั้นกัน สตรีที่จะมีค่า ต้องเป็นตัวของตัวเองดีที่สุด เพียงเจ้ามิเป็นคนเลว นั่นก็ดีมากแล้วรู้หรือไม่ ฮูหยินท่านเจ้าเมืองนางวิปลาสไปแล้ว หากเลี่ยงที่จะพบปะนางได้ ย่อมเป็นการดีเข้าใจหรือไม่”
เฉินเซียน ข่มกลั้นความไม่พอใจสตรีผู้นั้นเอาไว้ในใจ สักวันเขาจะสั่งสอนนางให้หลาบจำ ที่กล้ามาว่าบุตรสาวของเขาไร้ค่า เพราะเขารู้ดีอย่างไรเล่าว่าบุตรสาวในสกุลใหญ่จะต้องพบเจอสิ่งใดบ้าง
เขาจึงหอบลูกหนีมาอยู่ถึงชายแดน บิดามารดาของเขาเลี้ยงน้องสาวของเขาโดยให้อิสระแก่นาง เขาก็ทำเช่นเดียวกับบิดา ‘ไยลูกข้าต้องเหมือนผู้อื่น ต่อให้นางไร้สามีนางก็มิมีวันอดตาย’
“จริงนะเจ้าคะท่านพ่อ หลันเอ๋อร์มิต้องทรมานตนเองเช่นนั้นใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เด็กน้อยยังคงมีสีหน้ากังวลอยู่มาก นับตั้งแต่วันนั้น เมื่อนางกลับมาถึงบ้าน นางก็ได้สอบถามกับท่านย่าซีเหนียง ถึงสิ่งที่ได้รับรู้มา ซึ่งคำตอบก็มิได้กระจ่างชัดเท่าใดนัก ด้วยคำตอบของท่านย่านั้น บอกเพียงว่าทุกอย่างขึ้นที่คุณหนู จะเป็นผู้เลือกมันด้วยตนเองเท่านั้น
“เด็กดี ไม่ว่าเจ้าจะร่ายรำมิเป็น ทำอาหารไม่เก่ง หรือเล่นดนตรีไม่ได้ ขอแค่ลูกพ่อดูแลตัวเองได้ มิเป็นภาระของผู้ใดยามไร้บิดาผู้นี้ ไม่รังแกหรือดูหมิ่นคนที่ด้อยกว่าเจ้า แค่นี้ก็นับว่าดีมากแล้ว สำหรับเจ้าเข้าใจไหม”
เฉินเซียนยอมให้ลูกฝึกฝนการต่อสู้ แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาจะต้องบีบบังคับบุตรสาว ให้ทำทุกอย่างเช่นบุตรสาวตระกูลใหญ่ ที่หวังเพียง เป็นที่ต้องตาบุรุษผู้มีอำนาจ หรือเข้าวังเป็นสตรีของมังกร ดอกไม้ที่เบ่งบานในแจกัน หรือจะสู้ดอกไม้ ที่เบ่งบานอยู่บนกิ่งก้านของตนเอง
“หลันเอ๋อร์เชื่อฟังท่านพ่อเจ้าค่ะ”
เด็กน้อยใช้จมูกชนแก้มสากของผู้เป็นพ่อ ก่อนจะกอดรอบลำคอแกร่งของบิดาอีกครั้ง เสียงหัวเราะของสองพ่อลูก สร้างรอยยิ้มให้แก่ทุกคนภายในบ้านบนเขาหลังหลังเล็กนี้เสมอ
สองวันถัดมา ณ ค่ายทหารชายแดนใต้
ภายในกระโจมพักของแม่ทัพลู่ฉางเอิน เวลานี้เขากำลังนั่งจิบสุรากับรองแม่ทัพลู่ฉง ผู้เป็นบุตรชายคนรอง พร้อมนายกองทั้งสี่ และทั้งหมดกำลังต่างถกเถียงกัน เรื่องทำศึกกับแคว้นเหลียวอย่างออกรส
แม้พวกเขาทุกคนจะเหมือนไม่อาทรร้อนใจ และพูดจากันโผงผางเสียงดัง ทว่านี่เป็นเพียงเปลือกนอก ซึ่งเป็นเช่นนี้อยู่ตลอด ในยามมีการประชุมกัน
ทำให้สายข่าวจากต่างแคว้น ไม่เคยล่วงรู้เนื้อหาที่แท้จริง เกี่ยวกับแผนการรบ ของกองทัพสกุลลู่เลยสักครั้ง เพราะครั้งใดผู้นำทั้งหลายก็จะทะเลาะกัน หรือไม่ก็ดื่มสุราจนเมามาย หาสาระและข้อสรุป เพื่อไปแจ้งแก่นายตนมิเคยได้เลย ถึงได้ไป...ก็มิใช่อย่างที่คาดเดาสักหน
“เรียนท่านแม่ทัพ มีสาสน์ด่วนจากวังหลวงขอรับ” เสียงรายงานของทหารด้านหน้ากระโจม ทำให้ทุกคนเงียบเสียงลง
“เข้ามา”
แม่ทัพใหญ่ลู่ฉางเอิน เอ่ยปากอนุญาตในทันที เมื่อได้ยินคำว่าวังหลวง เพียงครู่เดียว ม่านกระโจมได้ถูกเปิดออก ก่อนร่างสูงของทหารที่เป็นผู้นำสารได้ก้าวเข้ามา
นายทหารได้นำสาสน์ ไปยื่นส่งให้แก่ผู้นำของตน ลูกฉางเอินรีบยื่นมืออกไปรับอย่างร้อนใจ ถ้าเป็นสารจากที่อื่น เขาคงมิรู้สึกเช่นนี้เป็นแน่ แต่คำว่าวังหลวง ราวกับเปลวเพลิงที่รนก้นเขา ให้ร้อนอยู่ตลอดเวลา
เมื่อรับซองผ้าลวดลายคุ้นเคยมาไว้ในมือ แม่ทัพใหญ่ได้รีบเปิดออกดู ก่อนจะนำกระดาษชั้นดี ออกมาคลี่อ่านในทันที เพียงครู่เดียว ใบหน้าของแม่ทัพใหญ่ ถึงกับแปรเปลี่ยนไปหลากหลายอารมณ์ จนยากจะคาดเดา ว่าเขากำลังรู้สึกเช่นไรอยู่ในขณะนี้
“ท่านแม่ทัพใหญ่ มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือขอรับ”
นายกองเยว่หลี่ เอ่ยถามเป็นคนแรก หลังจากผู้นำของตนได้พับกระดาษในมือเอาไว้แล้ว แต่ยังคงเงียบงันอยู่มิเอ่ยสิ่งใดออกมา หรือว่าเรื่องนี้ พวกเขามิอาจล่วงรู้ได้กัน
หากเป็นเช่นนั้น ไยมิกล่าวสิ่งใดออกมาสักคำเล่า ลู่ฉางเอิน กวาดสายตามองทุกคน ด้วยความรู้สึกหนักใจ เรื่องนี้นับว่าสำคัญยิ่งนัก และบางครั้งความรู้สึก ก็สามารถอยู่เหนือหน้าที่ได้เช่นกัน
“แม่ทัพจ้าวตงชินบาดเจ็บสาหัส กุนชือหยางหม่าถูกสังหาร ฝ่าบาทต้องการกุนซือคนใหม่ เพื่อเดินทางไปยังชายแดนทิศเหนือ เพื่อช่วยเหลือท่านอ๋องสิบแปด เพื่อไปทำหน้าที่นำทัพต้าน ศัตรูแทนแม่ทัพจ้าวตงซิน”
ทุกคนมองผู้นำของตน ด้วยสายตามีคำถาม ยิ่งเห็นท่าทางลำบากใจของแม่ทัพผู้มีแต่รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะอยู่มิเคยขาด ยิ่งทำให้พวกเขาพลอยร้อนใจไปด้วย
“ต้องการกุนซือ เพื่อเดินทางไปพร้อมท่านอ๋องสิบแปด ในเมืองหลวงมีมากมาย ไยท่านแม่ทัพต้องทำท่าทางหนักใจปานนั้นเล่าขอรับ การแจ้งข่าวก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว นอกจากว่าคนที่ฝ่าบาทต้องการจะอยู่ที่นี่ หรือว่า...”
เป็นรองแม่ทัพลู่ฉง ที่เอ่ยขึ้นบ้าง ก่อนจะหยุดคำพูดลง เมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ‘ไยข้าลืมเรื่องนี้ไปได้กัน หวังว่ามันจะมิใช่เรื่องจริง’
“อืม...รองแม่ทัพคิดถูกต้องแล้ว”
แม่ทัพใหญ่ จ้องมองเข้าไปในตาของบุตรชายคนรอง ที่รั้งตำแหน่งรองแม่ทัพข้างกาย อย่างรู้ใจซึ่งกันดี แม้ว่าลู่ฉงจะมิเอ่ยสิ่งที่คิดอยู่ออกมา แต่แม่ทัพใหญ่ลู่ฉางเอินรู้ดี ว่าคำต่อไปจะเอ่ยถึงผู้ใด
“ไม่นะ/ไม่จริงใช่หรือไม่”
สี่นายกองต่างเอ่ยประสานเสียงกัน โดยมิได้นัดหมาย หากเป็นเช่นนั้นจริง เท่ากับเมืองหลวง ต้องการตัดกำลังทางสมองของพวกเขา อย่างตั้งใจเลยทีเดียว ด้วยความที่อยู่ร่วมเป็นร่วมตายกันมานาน แค่คำพูดที่ขาดหาย ทุกคนยังรู้ว่าหมายถึงอะไร มีเพียงคนเดียว ที่ทำให้พวกเขาไม่ต้องเอ่ยชื่อ ก็รู้ว่าคือผู้ใด…
ครึ่งชั่วยามต่อมาเมื่อเข้าสู่เขตป่า ลู่ฉงได้รับหน้าที่พาทหารออกต้อนสัตว์ป่า ส่วนลู่เฉินเซียนทำหน้าที่ คอยอารักขาใกล้ชิดเจ้านายทั้งสาม พร้อมองครักษ์ส่วนพระองค์อีกบางส่วน รวมทั้งคนติดตามของคุณหนูลู่เยว่ฉี อีกสองคนลู่เฉินเซียนอดมิได้ ที่จะคอยชำเลืองมอง คนที่นั่งบนหลังม้าเคียงข้าเขาในตอนนี้ และแน่นอนว่าเขารู้สึกขุ่นเคือง กับความดื้อรั้นของอ๋องสิบแปดผู้นี้นัก ด้วยก่อนหน้าที่จะมาถึงตรงนี้ เขาได้เอ่ยทัดทานอีกฝ่าย ว่ามิควรอยู่ตรงนี้ เพราะอาจเป็นอันตรายได้ แต่คำตอบที่ได้รับ ทำให้เขาเองถึงกับพูดมิออกเช่นกัน‘เจ้ารู้จักข้าดีแล้วหรือ ถึงได้คิดว่าคนเช่นข้า อ่อนแอถึงเพียงนั้น’ใช่แล้ว...เขามิเคยรู้จักอ๋องสิบแปด เสวี่ยนเซียวเหยามาก่อนเลย จึงมิรู้ว่าเด็กหนุ่มหน้าหวานดุจสตรีเช่นนี้ จะหยิ่งผยองเกินกว่าที่คิดไปมากทีเดียว ‘สักวัน...เจ้าต้องเจอดีเข้าจนได้ ต่อให้เจ้าเป็นน้องชายฮ่องเต้ ก็มิได้หมายความว่าร่างกายเจ้า จะแข็งดุจเหล็กกล้าเสียเมื่อไหร่กัน’ ชายหนุ่มได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจใบหน้าหล่อเหลาที่ช่วงครึ่งบนของวงหน้า ที่ได้ปิดบังด้วยหน้ากากเสือดำ มองเห็นเพียงเรียวปากหยักที่ยังยกยิ
“ฮ่าๆ”สามพี่น้องแอบนินทาน้องสาวที่ตอนนี้ ได้นั่งในฐานะตัวแทนสกุลลู่ เด็กสาววัยสิบห้า นางเป็นลูกหลงของพ่อแม่ ด้วยอายุห่างจากพี่ชายคนเล็กถึงสิบปี ทำให้นางไม่เคยถูกขัดใจจากทั้งสามเลยลู่เยว่ฉีแอบชำเลืองมองชายหนุ่ม ที่สวมหน้ากากพยัคฆ์ทั้งสาม ด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ นางเมื่อยจะตายอยู่แล้ว ที่ต้องนั่งปั้นหน้าวางท่า เป็นบุตรีที่เพียบพร้อม ทั้งที่ความเป็นจริง นางอยากจะถอดชุดรุ่มร่ามสีหวานนี่ออกเต็มทีแล้วทุกคนเงียบเสียงลงในทันที เมื่อบุรุษในชุดมังกร ก้าวเข้ามาในลานพร้อมด้วยสตรีผู้เป็นคู่บารมี ทุกคนได้ยืนขึ้นทำความเคารพ กันอย่างพร้อมเพรียง การล่ากำลังจะเริ่มแล้ว“ทุกท่านเชิญตามสบาย วันนี้เป็นวันที่เราทุกคน มาเพื่อสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อย่าได้มากพิธีไป”ฮ่องเต้เอ่ยขึ้น หลังจากเข้านั่งประจำที่ของตนเองแล้ว สายตามังกรกวาดมองไปรอบบริเวณ เพื่อดูเหล่าผู้มาแข่งขันในครั้งนี้“ขอบพระทัยฝ่าบาท”ทุกคนเอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพียง โดยมิต้องมีการนัดหมายล่วงหน้า ถึงคำพูดใด ๆ เป็นที่รู้กันดี ว่าฮ่องเต้ชอบความเรียบง่าย ยิ่งเวลานี้ออกมาอยู่นอกเขตวังหลวง ยิ่งทรงสั่งห้ามพิธีการต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องยุ่งยาก การออกล่า
เจ็ดปีต่อมา ณ เมืองฉางกวง ในการแข่งขันล่าสัตว์ ของเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนาง ได้จัดขึ้นยังป่าในเขตเมืองฉางกวง ครั้งนี้แม่ทัพลู่ฉางเอินไม่ได้เข้าร่วม ในการอารักษ์ขาฮ่องเต้ แต่เขาได้ส่งบุตรชายทั้งสาม ให้มาทำหน้าที่แทนอย่างลับๆ ซึ่งมีเพียงฮ่องเต้ และองครักษ์คนสนิทเท่านั้นที่รู้ ว่าทั้งสามที่ซ่อนใบหน้าอยู่ภายใต้ หน้ากากพยัคฆ์ คือสามทายาท ของท่านแม่ทัพลู่ฉางเอิน สามองครักษ์ ผู้มีหนาม หยาง ฉง เฉิน นักรบผู้ไร้ที่มาในความเข้าใจของเหล่าเชื้อพระวงศ์ และขุนนางทั้งหลาย“น้องสามเจ้าเป็นอันใดไปเล่า ข้าเห็นเอาแต่จ้องมองท่านอ๋องสิบแปดมิวางตา”เป็นลู่ฉงที่เอ่ยถามออกมา เมื่อเขาสังเกตเห็นน้องชาย มองท่านอ๋องสิบแปดมิวางตาอยู่เป็นนานเฉินเซียนรู้สึกคุ้นหน้าอ๋องสิบแปดยิ่งนัก แต่เขาก็ไม่เคยที่จะได้พบปะ หรือทำความรู้จักกับชินอ๋องผู้นี้เลยสักครั้ง เพียงแค่รู้สึกเหมือนเคยพบกัน ที่ไหนมาก่อนก็เท่านั้น‘อ่า...ข้าลืมไปได้อย่างไร ว่าท่านอ๋องสิบแปด เป็นญาติกับเหยาเอ๋อร์ หากนางเติบโตมา ก็ต้องมีใบหน้าคล้ายคลึงกับท่านอ๋องอยู่มิน้อยสินะ’ สายตาเหยี่ยว สอดส่องหาใครบางคนไปทั่วทั้งลาน แต่ก็มิอาจพบ...‘แต่ทำไมนางม
แม้แต่คนที่กำลังตกอยู่ ในอ้อมแขนแกร่งของอีกฝ่าย ซึ่งได้ประกาศว่าเป็นคู่หมายของเขาเมื่อครู่ ด้วยความตกตะลึง และความที่ยังเยาว์วัยอยู่ ทำให้ได้แต่ยืนนิ่งมิได้ขยับกาย จนคนตัวโตกว่า ถอนริมฝีปากออกไปแล้ว นั่นเอง ต้วนเหยาจึงได้กลับมาหายใจเป็นปกติ“พี่ขอโทษเหยาเอ๋อ แต่พี่มิอยากได้ยินคำว่า ‘ไม่’ จากเจ้าเข้าใจไหม เวลานี้พี่ล่วงเกินเจ้าแล้ว นับจากนี้เจ้าคือคู่หมายของพี่อย่างแท้จริง พรุ่งนี้พี่จะให้ท่านพ่อ ทำการสู่ขอหมั้นหมายเจ้าเอาไว้ก่อน”ต้วนเหยาทั้งโกธรและอับอาย ก่อนจะผลักร่างแกร่งออกให้ห่างกาย แล้ววิ่งออกจากสวนไปอย่างรวดเร็ว แต่จะทำร้ายอีกฝ่าย ก็มิใช่สิ่งที่ควรทำ ในเมื่อเขาเป็นผู้เริ่ม ที่หลอกลวงเฉินเซียนก่อนเฉินเซียนกำลังจะพุ่งตามเด็กสาวไป แต่มีบุรุษในชุดองครักษ์ ออกมาขวางทางเขาเอาไว้เสียก่อน ทำให้ชายหนุ่มแสดงสีหน้างุนงงเล็กน้อย ว่าไยองครักษ์จากวังหลวง ถึงได้ตามติดคุณหนูสกุลต้วน แทนที่จะเป็นคนของสกุลต้วน“ได้โปรดคุณชายลู่ อย่าได้คิดตามเจ้านายพวกเราไปเลย มิเช่นนั้นเราจำเป็นต้องลงมือกับท่าน”เฉินเซียนได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ก่อนจะทรุดนั่งลงคุกเข่าด้วยความสับสน เมื่อเขายังคิดไม่ตก ถึงความเป
“ยังเจ้าค่ะ ท่านพี่เฉินเซียนถามทำไมหรือเจ้าคะ”เมื่อได้ยินคำตอบ เฉินเซียนคลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิม เขาไม่ได้ตอบคำถามของต้วนเหยา ทว่าเขากลับเอาแต่จ้องนางบรรเลงเพลงต่อไป จนเวลาล่วงเลยไปพอสมควร เสียงพิณได้เงียบเสียงลง จึงปลุกเฉินเซียนออกจากภวังค์...“นี้ก็ดึกมากแล้ว เจ้ายังมิกลับจวนอีกหรือเหยาเอ๋อร์”เมื่อตื่นจากภวังค์ความคิด เฉินเซียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย แน่นอนว่าเวลานี้ สำหรับผู้ใหญ่นั้น ยังมิถือว่าดึกมากมายอันใด ทว่ากับเด็กแล้วย่อมต่างออกไป“ข้าเองก็กำลังจะบอกท่านอยู่ ว่าข้าง่วงแล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าต้องขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ”เวลาเพียงไม่นาน ที่เซียวเหยาได้พูดคุยกับคนตรงหน้า ทำให้เขาได้ยิ้มได้หัวเราะออกมาได้อย่างเต็มที่ และเป็นกันเอง มิเหมือนตอนอยู่ในวังที่ตัวเขามิอาจไว้ใจใครได้มากนัก มันเป็นครั้งแรก ที่เขาได้ยิ้มเต็มทีอย่างแท้จริง แม้จะรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย ที่หลอกลวงอีกฝ่าย ว่าตนเป็นหญิงก็ตาม ตัวเขาเองไม่คิดว่าอีกฝ่าย จะเชื่อตนสนิทใจขนาดนี้ อาจเพราะฤทธิ์สุราด้วยกระมัง ที่ทำให้คนตรงหน้ามิได้ทันจับผิดตัวเขาเฉินเซียนนั้นเรียกว่าตั้งแต่ก้าวเข้าสู่วัยสิบเจ็ดมานี้ เขามิเคยสนใจบุตรสาวบ้านใด
ซึ่งแน่นอนว่าในฐานะ หลานชายของพระชายานั้น น้อยคนที่รู้จักเขาจะอยากต่อกรด้วย แต่นี่มิใช่สิ่งที่เขาควรกระทำ ทว่าความด้วยอยากรู้ ทั้งมีความคึกคะนองในแบบของบุรุษที่กำลังจะเข้าวัยหนุ่มเต็มตัวในอีกไม่กี่ปี จึงทำให้เด็กหนุ่มก้าวตรงไปยังศาลา แทนที่จะหมุนกาย กลับเข้าไปด้านในของงานเลี้ยง หรือเลี่ยงไปยังที่อื่นภายในจวนแทน ยิ่งเข้าใกล้...หัวใจของเด็กหนุ่ม ก็ยิ่งเต้นรัวประหนึ่งกองศึกยิ่งเห็นเสี้ยวหน้าของคนที่นั่งดีดพิณอยู่ ภายใต้เงาสลัวของแสงจากคบไฟ ยิ่งทำให้เลือดในการสูบฉีด ดั่งม้าศึกกำลังห้อตะบึงสู่กลางสนามรบเลยทีเดียว“แม่นางน้อยเป็นกุลสตรี ไยจึงได้มานั่งอยู่ในที่แบบนี้ เพียงลำพังกันเล่า”คนที่ถูกเรียกขานว่าแม่นางน้อย เงยหน้าหันไปมองตามเสียง คราแรกตัวเขาคิดจะบอก ว่าตนเองมิใช่สตรี แต่ด้วยความนึกสนุก ทั้งยังเป็นความคิดในแบบของเด็ก จึงอยากรู้ว่าหากเขา แสร้งยอมรับว่าเป็นสตรี อย่างที่ผู้มาใหม่เรียกขาน เด็กหนุ่มผู้นี้จะจับได้หรือไม่ ว่าแท้จริงเขามิใช่สตรีอย่างที่อีกฝ่ายคิด“คือว่า...ข้าเบื่องานเลี้ยงเช่นนี้เจ้าค่ะคุณชาย”เด็กน้อยลอบยิ้มอยู่ภายในใจ และยังดีว่าตอนนี้ เสียงของเขายังมิแตกวัยหนุ่ม จึงคง