หลังจากที่จ้าวเซินฝูได้ตัดขาดจากตระกูลเดิม กลายเป็นคนไม่มีแซ่ เซินฝูได้ผ่านบททดสอบเข้าสำนักเจี๋ยเอินได้สำเร็จอย่างที่เคยทำในชีวิตก่อน การกลับมาครั้งนี้ทำให้เซินฝูได้รู้ว่าแท้จริงแล้ว ตนได้ย้อนเวลากลับมาเป็นเพราะอะไร
더 보기การเดินทางข้ามแคว้นของเซินฝูและพรรคพวกเป็นไปอย่างราบรื่น ตอนนี้ก็เดินทางมาจนถึงตีนเขาที่เป็นที่ตั้งของสำนักเจี๋ยเอินแล้ว
เส้นทางที่จะต้องไปต่อเป็นการเดินขึ้นเขาด้วยเท้า ไม่สามารถให้รถม้าพาขึ้นไปส่งได้ เพราะหนทางรกชัฏและไม่มีเส้นทางสำหรับรถม้า หรือให้พูดคือนอกจากสำนักเจี๋ยเอินที่ตั้งอยู่บนยอดเขาแล้ว ไม่มีที่ใดสามารถเดินเหินได้อย่างสะดวกแม้แต่คืบเดียว
เซินฝูทำหน้าปลาตายเมื่อเห็นทางขึ้นสำนักที่ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ดูคล้ายกับครั้งสุดท้ายที่ลงเขาด้วยเส้นทางนี้เมื่อชาติก่อนไม่มีผิดเพี้ยน แต่ก็ไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าไม่พัฒนา เพราะครั้งนี้เป็นเซินฝูที่ย้อนกลับมา
ส่วนค่ายกลที่ใช้เดินทางไปยังสำนักนั้น ถูกติดตั้งไว้ที่เขตป่าชั้นกลาง และทุกครั้งที่มีการเปิดใช้ค่ายกลโดยคนนอก จะต้องเปลี่ยนที่ติดตั้งค่ายกล เพื่อปกป้องเหตุไม่คาดฝันต่างๆที่จะตามมา
ดังนั้นสถานที่ติดตั้งค่ายกลนั้นย่อมไม่แน่นอน และยังมีค่ายกลสำหรับหลอกล่อให้คนนอก หรือผู้ไม่ประสงค์ดีหลงทิศหลงทางอีกด้วย
"ต้องเดินอีกไกลหรือไม่ขอรับ"
เสี่ยวเมิ่งหอบจนลิ้นห้อย หลังจากที่เดินมากว่าครึ่งชั่วยามแล้ว สภาพของพ่อบ้านหยางก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่นัก ชายวัยกลางคนที่มีพลังเท่าๆกับเสี่ยวเมิ่งยืนพิงต้นไม้อย่างเหนื่อยอ่อน
เพราะการเดินขึ้นเขานั้นไม่เหมือนกับการเดินบนพื้นเรียบๆ พื้นที่มีความชัน และมีพลังที่คอยหน่วงเอาไว้ทำให้เหนื่อยมากกว่าปกติ เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้วเซินฝูจึงบอกให้หวังซิ่นเจียหยุดพักสักครู่หนึ่งก่อน
ทั้งหกคนพากันนั่งล้อมวงดื่มน้ำแก้กระหาย และทานอาหาร เสี่ยวเมิ่งที่บอกว่าเหน็ดเหนื่อยกว่าเพื่อนนั้นสวาปามอย่างไม่สนใจใคร หวังซิ่นเจียมองภาพตรงหน้าอย่างปลงตก ไม่รู้ว่าต้องสั่งสอนเรื่องมารยาทกันอีกเท่าไหร่
ในตอนที่อยู่กันเอง ไม่ว่าจะทำกริยามารยาทอย่างไรก็ไม่มีใครว่ากล่าว แต่หลังจากนี้ การที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในสำนักนั้นเป็นการเข้าสังคมกับผู้คนที่มาจากหลากหลายที่ หากไม่สั่งสอนกันเลย อาจเกิดปัญหาได้
ไม่เพียงแค่เสี่ยวเมิ่งที่เป็นปัญหา แต่เสี่ยวเล่อเองก็เช่นกัน ใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์เช่นนั้น หากใครสนทนาด้วยอาจจะเข้าใจผิดได้
ยิ่งโดยปกติแล้วเด็กทั้งสองเป็นคนเก่งกาจ หากทำตัวเช่นนี้คงได้โดนเขม่นเอา หวังซิ่นเจียขบคิดหาวิธีเปลี่ยนลิงให้เป็นคนอยู่คนเดียวเงียบๆ
"คุณชายขอรับ หากเข้าสำนักแล้ว พวกข้ายังได้อยู่กับคุณชายใช่หรือไม่ขอรับ"
เสี่ยวเล่อถามด้วยความสงสัย เพราะดูเหมือนว่าเซินฝูนั้นจะไม่ได้เป็นศิษย์ของหวังซิ่นเจียดังเช่นพวกตน เซินฝูส่ายหน้าปฏิเสธ
แม้ว่าเสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อนั้นเดิมทีจะมีศักดิ์เป็นบ่าวของเซินฝู แต่เด็กทั้งคู่เข้าสำนักมาในฐานะลูกศิษย์ของหวังซิ่นเจีย ดังนั้นเด็กทั้งสองคนต้องติดสอยห้อยตามไปอยู่กับหวังซิ่นเจีย
พ่อบ้านหยางเองก็ติดตามมาในฐานะผู้ติดตามของหวังซิ่นเจียเช่นเดียวกัน ในภายหลังจึงจะมีการเปลี่ยนให้เป็นผู้ติดตามของโจวหมิงเพื่อคอยดูแลเซินฝูแทน แต่ในระหว่างนี้ต้องไปอยู่กับหวังซิ่นเจียก่อนสักพัก พ่อบ้านหยางในตอนแรกที่รู้ว่ายังต้องเจอเจ้าลูกลิงทั้งสามก็ทำหน้าเหมือนถูกบังคับให้กลืนเข็มพันเล่มโดยไม่ได้ทำความผิด
ต่างกับสามแสบที่เมื่อรู้ว่าพ่อบ้านหยางยังต้องติดอยู่กับพวกตนอีกเป็นเดือน เสี่ยวเมิ่งลอบทำหน้าชั่วร้าย สบตากับเสี่ยวซื่อและเสี่ยวสุ่ยอย่างมีเลศนัย
เซินฝูไว้อาลัยให้พ่อบ้านหยางสามวินาที
"ข้าต้องไปอยู่กับอาจารย์ของข้า"
"อาจารย์ของคุณชาย?"
"ไว้ไปถึงสำนักก็คงจะรู้เอง หายเหนื่อยหรือยัง"
เสี่ยวเมิ่งพยักหน้า พ่อบ้านหยางเองก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้วจึงได้พยักหน้าพร้อมออกเดินทางต่อ
ทั้งห้าคนเดินฝ่าป่าชั้นต้นเข้าไปเรื่อยๆ เสี่ยวซื่อและเสี่ยวสุ่ยที่เห็นสมุนไพรมากมายอยู่รายทางก็พากันไล่กินไล่เก็บไปด้วยตลอดทาง หวังซิ่นเจียจนใจจะห้ามปราม
กระทั่งเข้าใกล้ป่าชั้นกลางมากขึ้นเรื่อยๆ รอบข้างยิ่งมีไม้รกมากกว่าเดิม เซินฝูเดินฝ่ามันไปพรอมกับถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน หากเป็นชาติก่อนเซินฝูคงยอมขึ้นมาโดยไม่คิดอะไร
แต่ในชาติก่อน ตอนที่เซินฝูได้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์หลักแล้วนั้น สามารถขี่กระบี่กลับสำนักได้ แทบจะลืมไปแล้วว่าป่าชั้นต้นนั้นรกชัฏถึงเพียงนี้
"อีกไกลหรือไม่ขอรับ"
"สักเกือบๆชั่วยาม"
หวังซิ่นเจียตอบคำถามโดยไม่หันกลับไปมองเสี่ยวเมิ่งที่ทำหน้าเหมือนจะขาดใจแม้แต่เสี้ยววินาที
"เหตุใดจึงไกลนักล่ะขอรับ"
"เหตุใดเจ้าจึงบ่นมากนัก"
"ก็เหนื่อยนี่ขอรับ"
ที่จริงแล้วสามารถใช้วิชาฝ่าเท้าได้ แต่หวังซิ่นเจียไม่ยอมให้ใช้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ดังนั้นจึงมีสองเด็กหนึ่งชายวัยกลางคนบ่นกระปอดกระแปดมาตลอดทาง
อันที่จริงเขตของสำนักเจี๋ยเอินนั้นคือเขาทั้งลูกนี้ เพียงแค่ก้าวเท้าเข้ามาก็เข้าเขตสำนักเจี๋ยเอินเป็นที่เรียบร้อย แต่ว่าทางขึ้นที่แตกต่างกันจะนำพาไปยังประตูทางเข้าที่แตกต่างกัน แต่การเข้าประตูที่แตกต่างกันไม่ได้มีผลอะไร เพียงแค่ทำทางเข้าไว้หลายทางเท่านั้น
ส่วนใหญ่แล้ว ทางขึ้นที่รกชัฏและลำบากลำบนเช่นนี้ มีไว้เพื่อทรมานศิษย์ใหม่เล่นๆเท่านั้น และคนในสำนักส่วนใหญ่มักจะใช้วิธีอื่นในการขึ้นเขา
หวังซิ่นเจียเองก็ไม่ได้เหน็ดเหนื่อยเพราะแอบใช้วิชาฝ่าเท้าอยู่ตลอดๆ เช่นเดียวกันกับเซินฝูและหยางฉี
แต่หากเป็นคนนอกสำนักนั้น มักจะไม่รู้ความจริงข้อนี้
คนนอกที่ต้องการขึ้นมาที่ยอดเขานั้นมีด้วยกันสองประเภท หากไม่นับรวมคนในสำนัก
ประเภทแรก คือคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ถ้าหากว่าสายลับที่คอยเฝ้าอยู่ในป่าแห่งนี้ เมื่อเห็นเจตนาของผู้มาเยือนแล้วก็จะส่งขึ้นไปโดยง่าย
และประเภทที่สอง คือประเภทที่มาร้าย โดยประเภทนี้ส่วนมากจะโดนกำจัดออกจากพื้นที่โดยการเชื่อมค่ายกลที่ทำให้หลงป่า และสุดท้ายก็ไม่สามารถขึ้นไปบนยอดเขาได้
หลายครั้งหลายคราที่สำนักเจี๋ยเอินนั้นต้องรับมือกับเหล่านักฆ่าที่ถูกจ้างวานมาเพื่อกำจัดบุคคลสำคัญในสำนัก แต่สายลับของเจี๋ยเอินนั้นก็เก่งกาจหากไม่ส่งกลับไปดีๆ ก็สามารถส่งกลับไปแบบไร้ลมหายใจ หรือส่งกลับไปแบบแยกชิ้นส่วนได้เช่นกัน อย่างเลวร้ายที่สุดคือไม่ส่งกลับไปให้ฝังด้วยซ้ำ
ดังนั้นแล้ว แม้จะกล่าวว่าเผชิญหน้าอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่บ่อยขนาดนั้น เพราะเมื่อมีคนเห็นแบบอย่างแล้วจึงไม่มีใครกล้าเสี่ยงเสียเท่าไหร่
การที่มือสังหารถูกว่าจ้างให้มาจัดการคนของสำนักเจี๋ยเอินจึงไม่ต่างกับการว่าจ้างให้มาตาย ดังนั้นค่าจ้างของการจัดการคนของสำนักเจี๋ยเอินจึงสูงลิบลิ่ว ยิ่งเป็นบุคคลสำคัญมากเพียงใด ยิ่งค่าจ้างสูงเท่านั้น แม้ว่าค่าจ้างที่ต้องเสียนั้นจะไม่ได้การันตีความสำเร็จก็ตาม
ระหว่างที่เดินทางมายังสำนัก หวังซิ่นเจียรับรู้ว่ามีคนไล่ตามมาโดยตลอด เช่นเดียวกันกับเซินฝู ทั้งคู่จึงลอบสบตากันอยู่บ่อยครั้ง
เสี่ยวซื่อและเสี่ยวสุ่ยเองก็พอรู้เพราะได้ยินเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มใหญ่ไล่ตามมา ดังนั้นตลอดการเดินทางโดยรถม้าเมื่อครู่ พวมันจึงนั่งอยู่บนหลังคารถม้าเพื่อระวังภัย
แต่จนแล้วจนรอด กลุ่มคนเหล่านั้นก็ไม่ปรากฏตัวเสียที กระทั่งจะเข้าเขตป่าชั้นกลางอยู่แล้ว
"ที่ตั้งเอาไว้ลึกถึงเพียงนี้ก็เพื่อระวังภัยอย่างไรล่ะ"
"ระวังภัย?"
"สำนักเจี๋ยเอินเป็นหนึ่งในเจ็ดสำนักที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียง ย่อมมีคนคิดจะทำลายเพื่อแทนที่เป็นเรื่องปกติ ดังนั้นจึงต้องระวังให้มากหน่อย"
"แต่คนในสำนักก็เก่งกาจมากไม่ใช่หรือขอรับ"
เสี่ยวเล่อถามหน้าซื่อ เสี่ยวเมิ่งพยักหน้ารับเป็นลูกคู่
"เจ้าเด็กโง่ เก่งกาจแล้วอย่างไร จะให้เตรียมรับมือกันสิบสองชั่วยามเลยหรือ"
หวังซิ่นเจียขมวดคิ้วตอบ หากไม่ติดว่าเด็กทั้งสองคนนี้ยังต้องใช้เรี่ยวแรงอีกมาก เพราะไม่อาจผ่านจุดนี้ไปอย่างราบรื่นแล้วล่ะก็ หวังซิ่นเจียจะจับเขกหัวให้ปูดทั้งคู่
ก่อนที่จะได้เดินไปไกลกว่านี้เสี่ยวซื่อก็กลับร่างเดิม อีกทั้งยังขู่คำรามในลำคอ เสี่ยวเล่อหันมองสัตว์อสูรของตนเองที่อยู่ๆก็เปลี่ยนท่าทีด้วยความประหลาดใจ
เสี่ยวสุ่ยรีบวิ่งไปเกาะที่ไหล่ของเสี่ยวเมิ่ง มองซ้ายมองขวา ดูเหมือนว่าสัตว์อสูรทั้งคู่จะจับสังเกตได้ถึงความผิดปกติ
"เกิดอะไรขึ้น..."
เสี่ยวเล่อที่ทำท่าจะเดินเข้าไปใกล้เสี่ยวซื่อแต่เซินฝูยกแขนกันไม่ให้เดินเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า
"ระวังตัว"
แม้จะไม่รู้ว่ากลุ่มคนที่สะกดรอยตามกันตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ขึ้นเขา จู่ๆเหตุใดถึงนึกอยากจะโจมตีกันตอนที่กำลังจะเดินเข้าค่ายกลแล้วก็ตาม แต่ทั้งเซินฝูและหวังซิ่นเจียก็เตรียมพร้อมจะจัดการแล้ว
หวังซิ่นเจียเหลือบมองเสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อที่ดูงงๆยังไม่เข้าใจสถานการณ์เท่าไหร่นัก และมีท่าทีหวาดกลัวให้เห็น
แม้ว่าเด็กทั้งสองคนจะผ่านการทดสอบในม่านมิติมาแล้ว แต่เหตุการณ์จำลองนั้นไม่เหมือนกับเหตุการณ์จริง อีกทั้งเด็กทั้งสองคนยังไม่มีอาวุธที่สามารถใช้ป้องกันตัวได้เลย
จากฝีเท้าจำนวนมือสังหารคงไม่น้อกว่าสิบคน และแถวนี้ก็ไม่มีสายลับของสำนักแม้แต่คนเดียว คงเป็นเพราะว่าไว้ใจในฝีมือของหวังซิ่นเจียที่เป็นถึงหนึ่งในผู้อาวุโสของสำนักเดินทางมาด้วย จึงไม่ได้ติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด และตอนนี้ก็ได้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นแล้ว
หรืออีกอย่างก็คือที่มือสังหารเหล่านี้ผ่านเข้ามาง่ายดายปานนี้เป็นเพราะว่าสายลับของสำนักนั้นถูกจัดการไปแล้ว
"ทุ่มเสียจริง มาจากฝั่งไหนกันนะ"
หวังซิ่นเจียพูดพลางถอนหายใจ ในวันที่ทดสอบทุกคนต่างก็รู้ดีว่ามีหลายสำนักที่ต้องการตัวของเซินฝู กระทั่งราชวงศ์เองก็ยังอยากได้ตัวของเซินฝูไปด้วย
"ข้าว่าคงเป็นคนแซ่เจิ้ง"
หยางฉีหันหน้ามาทำตาเหลือกใส่เซินฝูที่พูดออกมาราวกับเป็นเรื่องง่ายดาย การเอ่ยถึงราชวงศ์อย่างน้อยๆควรให้เกียรติมากกว่าคนทั่วๆไป แต่การเรียกคนในราชวงศ์ว่าคนแซ่เจิ้งนั้น ต่อให้เป็นแค่องค์ชายปลายแถวก็อาจโดนโทษประหารได้
"คนแซ่เจิ้ง ไม่ว่ากี่ชาติต่อกี่ชาติก็ไม่ลดราวาศอกสินะ"
"หน้าด้านเสมอต้นเสมอปลาย"
หวังซิ่นเจียและเซินฝูกล่าวกันเหมือนเป็นเรื่องตลก ในขณะที่หยางฉีแทบจะน้ำลายฟูมปากตายตรงนั้น หากตนเองยังเป็นองครักษ์อย่างก่อนหน้านี้ล่ะก็ เกรงว่าจะได้ปะทะกันสักรอบ
เซินฝูหันมามองหยางฉีที่ทำหน้าไม่ถูก ก่อนจะเอ่ยปลอบใจ
"อีกหน่อยก็คงชิน"
เซินฝูสนใจหยางฉีเพียงแค่ชั่วครู่ ก่อนจะหันไปทางต้นทางที่เกิดเสียง อีกไม่กี่อึดใจต่อไป ที่ตรงนี้คงเรียกได้ว่าเป็นสงครามขนาดย่อมๆ
"กรรรร"
เสี่ยวซื่อคำรามดังขึ้น พยายามเอาตัวบังเสี่ยวเล่อที่ยืนอยู่ด้านหลังของมัน ในหัวของมันตอนนี้คิดแต่เรื่องที่จะต้องปกป้องลูกน้อยของมันให้ดีมากที่สุด
เช่นเดียวกันกับเสี่ยวสุ่ย แต่น่าเสียดายที่เสี่ยวสุ่ยคงไม่โตไปมากกว่านี้แล้ว...
พ่อบ้านหยางถอยไปอยู่กองหลังตามคำสั่งของหวังซิ่นเจีย หากกองหน้าอย่างหวังซิ่นเจียและเซินฝูไม่ตึงมือจริงๆ กองหลังอย่างพ่อบ้านหยางก็ไม่ต้องเหนื่อยอย่างแน่นอน
ไม่นานมือสังหารหลายคนก็ประจัญหน้ากับกองหน้าของกลุ่ม กระบี่ของหัวหน้ากลุ่มมือสังหารนั้นถูกยกขึ้นชี้มาทางเซินฝู
"ไปกับเรา แล้วคนอื่นจะไม่ต้องเจ็บตัว"
เซินฝูยกพัดขึ้นมาปิดใบหน้าช่วงล่าง ใช้สายตาเฉยชามองไปยังกลุ่มของมือสังหารอย่างไม่แยแสอะไรนัก
เพียงแค่อ้าปากก็รู้แล้วว่าเป้าหมายคืออะไร
ทางกลุ่มของมือสังหารเองก็รู้ดีว่าหากปะทะกันจริงๆคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างไรแล้วหากเซินฝูยอมไปด้วยกันแต่โดยดีจะได้ไม่มีฝั่งไหนต้องเสียเลือด แต่ดูเหมือนว่าเซินฝูไม่ใช่คนสุขนิยมเช่นนั้น
ตั้งแต่ตอนที่ได้รับงานนี้มา ทางกลุ่มมือสังหารเองก็มีเตรียมใจไว้บ้างแล้วว่างานนี้คงไม่ได้ราบรื่นนัก อย่างน้อยก็อาจสูญเสียพวกพ้องไปสักคนสองคน หรืออย่างที่เลวร้ายที่สุดก็คือไม่มีใครรอดไปเลย
แต่งานนี้จะปฏิเสธก็ไม่ง่าย เพราะผู้ว่าจ้างเป็นคนใหญ่คนโต อีกทั้งกลุ่มของตนเองก็มีแต่คนที่มีพลังระดับสูงๆ คิดเข้าข้างตนเองว่าอาจมีโอกาสที่จะทำสำเร็จอยู่
กระทั่งเห็นเซินฝูยกมือกรีดกรายกับอากาศราวกับร่ายรำ ในตอนนี้กลุ่มมือสังหารคิดว่าตนเองประมาทเกินไปแล้ว
แม้ว่าคนตรงหน้าจะเป็นเพียงแค่เด็กอายุสิบห้าหนาว แต่ก็เป็นผู้ครอบครองพลังระดับนภา อีกทั้งยังเป็นผู้ใช้สองปราณธาตุ
อัจฉริยะในรอบพันปีที่อยู่ในร่างของเด็กอายุสิบห้าเท่านั้น จริงๆแล้วคงเก่งกว่ามือสังหารที่ทำงานแบบหมาลอบกัดอย่างพวกตนด้วยซ้ำไป
หัวหน้ามือสังหารเมื่อเห็นท่าไม่ดีจึงลอบส่งสัญญาณให้เปลี่ยนแผนทันที
ในเมื่อเซินฝูไม่ยอมไปด้วยกันโดยง่าย เช่นนั้นก็ต้องหาวิธีอื่นที่จะทำให้เซินฝูยอมไปกับพวกตนให้ได้
"กรรรรร"
ทันทีที่สายตาของมือสังหารคนหนึ่งมองตรงมายังเสี่ยวเล่อที่ดูเหมือนว่าจะมีพลังต่ำที่สุดในกลุ่ม เสี่ยวซื่อที่ยืนขวางอยู่ก็คำรามออกมาเสียงดัง
หมาป่าตัวใหญ่หมอบลงต่ำในท่าเตรียมโจมตี
เซินฝูเห็นอย่างนั้นก็เข้าใจจุดประสงค์
ในเมื่อเซินฝูเป็นคนที่โค่นได้ยาก เช่นนั้นก็ต้องจับตัวประกันเพื่อใช้เป็นการต่อรอง พวกมันคงได้ข้อมูลมาว่าในกลุ่มของเซินฝูมีบ่าวตัวน้อยคนหนึ่งที่มีระดับพลังต่ำกว่าใครเพื่อน ดังนั้นจึงได้เล็งไปที่เสี่ยวเล่อเป็นอันดับแรก
แต่ว่า...
"เสียใจด้วย เจ้าเด็กนั่นน่ะบิดาหวงน่าดู"
เล็งผิดคนแล้วล่ะ
"นี่มัน..." "ข้าเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องยากอะไรก็เลย..." หลังจากที่บอกเรื่องกระดานภารกิจให้บ่าวตัวน้อยทั้งสองรับรู้ไปแล้ว เซินฝูก็ไม่ได้ติดตามรับรู้อะไร เด็กทั้งสองคนก็ยังเข้าเรียนตามวิชาที่ทางสำนักกำหนดเอาไว้ไม่ขาด แม้ว่าทุกครั้งหลังจากเลิกเรียนแล้วจะชอบหายไปกันสองคนก็ตาม เซินฝูคิดว่าเด็กทั้งคู่คงจะคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในสำนักแล้ว จะไปหาประสบการณ์เล็กๆน้อยๆก็คงจะไม่เป็นไร กระทั่งเวลาผ่านพ้นไปหนึ่งสัปดาห์ ก่อนหน้านั้นประมาณสองวันเซินฝูกล่าวกับทั้งคู่ว่า สัปดาห์หน้าจะได้ออกไปข้างนอก เหมือนเป็นวันหยุดเพื่อให้ศิษย์นอกได้ออกไปเปิดหูเปิดตา เสี่ยวเมิ่งและเสี่ยวเล่อมองหน้ากันด้วยสายตาที่บ่งบอกว่ามีแผน แต่ในตอนนั้นเซินฝูไม่ได้มีความคิดแบบนี้แม้แต่น้อย สาบานเลยว่าไม่ได้คิดว่าบ่าวตัวน้อยทั้งคู่จะทำสิ่งที่เรียกว่าเป็นการสร้างเรื่องเช่นนี้ "บอกข้าทีว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของพวกเจ้า" "คุณชาย บางภารกิจถูกทิ้งไว้เป็นเดือนแล้วนะขอรับ"
"ทำได้หมดนี่เลยหรือขอรับ?" หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ในสำนักเจี๋ยเอินสักพัก นอกจากการลงไปเรียนรวมแล้ว ก็มีภารกิจต่างๆให้เลือกทำเพื่อเก็บแต้มในยามว่าง และตอนนี้เซินฝูพร้อมทั้งบ่าวได้มายืนอยู่หน้ากระดานของกองกิจการเรียบร้อย "ทำเท่าที่ทำได้เถอะ อันไหนเกินความสามารถก็ไม่ต้องฝืน" "มีแต่งานง่ายๆทั้งนั้นเลยนะขอรับ" "หยิบไปทีละใบเล่า" แต้มที่จะได้รับนั้น ผกผันตามระดับของภารกิจ ซึ่งแต้มจะถูกบันทึกเอาไว้ในหยกพกของแต่ละคน หากภารกิจไหนง่ายๆ อย่างเก็บสมุนไพร หรือช่วยเก็บของเล็กๆน้อยๆก็จะได้ไม่เกินสิบแต้ม หรือหากเป็นการเข้าร่วมภารกิจเล็กๆน้อยๆของสำนักอย่างช่วยถือของ หรือกำลังเสริมก็จะได้แต้มขึ้นมามากหน่อย แต่หากเป็นภารกิจที่ต้องใช้ระยะเวลานานหน่อย หรือเป็นภารกิจต่อเนื่อง ก็จะได้แต้มมากขึ้นไปอีก อย่างในชาติก่อน เซินฝูดึงภารกิจปราบสัตว์อสูรที่ระรานไร่สวนของชาวบ้านได้แต้มมาตั้งสองร้อยแต้ม "แต่ดูเหมือนว่างานที่เป็นภารกิจของสำนักจะรับแค่คนมีประสบการณ์เท่านั้น..."
"เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้" เซินฝูนิ่งไปกับสิ่งที่ได้ยิน เรื่องราวหลังจากที่ตนเองตายไปแล้วเซินฝูไม่ได้รับรู้ ในความรู้สึกของเซินฝูนั้น เมื่อได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเป็นเพียงแค่ฝันตื่นหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาเพียงชั่วครู่ที่เซินฝูรู้สึกนั้น แท้จริงแล้วยาวนานถึงสิบปีในโลกแห่งความเป็นจริง อีกทั้งยังมีคนต้องจมอยู่กับความทุกข์เพราะการตายของตนเองเป็นเหตุ "แต่มันก็ผ่านไปแล้ว เจ้าได้กลับมาเช่นนี้ก็ดีแล้ว" โจวหมิงหันมายิ้มให้ลูกศิษย์ของตนเองที่นั่งไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไรดีด้วยความจริงใจ เซินฝูในตอนที่กลับมาในร่างของตนเองตอนอายุสิบสองหนาวนั้น คิดเพียงว่าเพราะตนเป็นลูกรักสวรรค์ เป็นเพราะสวรรค์เสียดายผู้มากความสามารถเช่นตนมีวาสนายิ่งใหญ่ได้ไม่นานจึงนึกเสียดาย ส่งตนกลับมาในร่างเดิมพร้อมกับความทรงจำในชีวิตก่อน เพื่อจะได้เปลี่ยนเส้นทางชีวิตตนเองได้ ไม่ได้รู้เลยว่าแท้จริงแล้ว เป็นเพราะโจวหมิงที่ยอมแลกทั้งระดับพลังและอายุขัยไม่รู้เท่าไหร่ของตนเพื่อพาเซินฝูกลับมา
'หินเจ้าพังแน่นอน!' โจวหมิงไม่อาจรับได้ที่พลังของตนเองลดลงมามากกว่าครึ่ง พลังเท่านี้พอๆกับตอนที่ได้เข้าเป็นศิษย์ในของสำนักเจี๋ยเอินใหม่ๆเมื่อหลายสิบปีก่อน และกว่าจะสั่งสมปราณให้ได้พลังระดับราชันย์ไม่ใช่เรื่องง่าย โจวหมิงเคี่ยวเข็ญฝึกฝนด้วยตนเองอย่างยากลำบาก จู่ๆต้องมาเสียไปเพราะคัมภีร์ประหลาดเล่มนั้น 'ฟังก่อนได้หรือไม่' 'เป็นเจ้าจะเย็นอยู่หรือ!?' โจวหมิงในตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าไร้พลัง ระดับพลังเท่านี้แค่ต้องสู้กับสัตว์อสูรขั้นนภาก็เต็มกลืนแล้ว 'นั่งลง ข้าจะอธิบายให้ฟัง' โจวหมิงหลังจากที่ได้รับรู้ว่าระดับพลังของตนเองลดลงถึงเพียงนั้นก็อยู่ไม่สุข พยายามขอให้หวังซิ่นเจียพากลับไปยังหอคัมภีร์ของสำนักอีกรอบ หวังซิ่นเจียเห็นท่าทางของโจวหมิงเช่นนั้นจึงได้คิดว่า โจวหมิงคงลืมไปแล้วว่าการประกอบพิธีกรรมนั้น ต้องแลกกับอะไรจึงจะสำเร็จ ซึ่งในตอนแรกเจ้าตัวก็ดูไม่ได้เสียดายระดับพลังอะไรนั่นแม้แต่น้อย แต่ที่โวยวายสติแตก ทำหน้า
'หมายความว่าอย่างไร...' หลังจากที่ทำให้โจวหมิงสงบลงได้บ้างแล้ว หวังซิ่นเจียจึงได้เล่าเรื่องที่หลิ่วป๋ายซื่อและศิษย์คนอื่นๆนั้นไม่รู้จักจ้าวเซินฝูแม้แต่น้อย เรื่องที่หวังซิ่นเจียกล่าวนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องอื้อฉาวเมื่อสิบปีก่อนนั้นทุกคนในสำนักเจี๋ยเอินรับรู้เป็นอย่างดี และทุกคนย่อมต้องรู้จักจ้าวเซินฝูในฐานะตัวต้นเหตุอย่างแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่คนจะไม่รู้จัก โดยเฉพาะในยอดเขาที่สามแห่งนี้ โจวหมิงทำท่าไม่ยอมรับ หวังซิ่นเจียเองก็ได้ถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นัก ในทีแรกยังคิดว่าเป็นการกลั่นแกล้งเสียด้วยซ้ำ 'คัมภีร์นั่น.. เป็นคัมภีร์ชุบชีวิตจริงหรือ?' หวังซิ่นเจียเอ่ยถามด้วยความสงสัย ครั้งแรกที่โจวหมิงเอาคัมภีร์เล่มนั้นมาใหดูก็มีท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่ได้ใส่ใจ แต่ตอนนี้คัมภีร์เล่มนั้นกลายเป็นคัมภีร์เจ้าปัญหาไปเสียแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่พ่อบ้านหยางและจ้าวเซินฝูหายไปเฉยๆ แต่ดูเหมือนจะหายไปจากควา
โจวหมิงหนีกลับสำนักไปพร้อมกับร่างไร้วิญญาณของจ้าวเซินฝูหลังจากที่อาละวาดจนพอใจ ทิ้งปัญหามากมายเอาไว้ให้ผู้อาวุโสที่เหลือ โดยเฉพาะหลิ่วป๋ายซื่อผู้เป็นเจ้าสำนัก ความเสียหายที่โจวหมิงทิ้งเอาไว้นั้นมากมายเสียจนไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องใดก่อน ทั้งความเสียหายของราชวงศ์เจิ้ง ที่ต้องสูญเสียทั้งฮ่องเต้ ฮองเฮาคู่บัลลังก์ รวมถึงองค์รัชทายาท เรียกได้ว่าภายในวุ่นวายไม่แพ้ภายนอก หรือจะเป็นความเสียหายของตระกูลจ้าว ประมุขตระกูลคนปัจจุบันกลายเป็นคนพิการ อีกทั้งยังต้องสูญเสียฮูหยินรอง และบุตรสาวคนโตไปด้วย แน่นอนว่าในส่วนของสำนักเจี๋ยเอินก็เสียหายไม่แพ้กัน และเรื่องทั้งหมดนั้นเกิดจากการตายของคนเพียงคนเดียว เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่สามารถยอมความกันได้โดยง่าย ดังนั้นจึงได้มีตัวแทนของราชวงศ์มาเจรจาให้ส่งมอบตัวโจวหมิงเพื่อรับการลงโทษ ซึ่งหลิ่วป๋ายซื่อเองก็ไม่ได้ตอบปฏิเสธแต่อย่างใด สิ่งที่ตอบกลับไปมีเพียง... 'เอาสิ แต่พวกท่านต้องไปพาคนมาเอ
댓글