Mag-log in“มู่เหริน” คืออัจฉริยะที่เกิดขึ้นในรอบร้อยปี ทว่าแท้จริงแล้วดวงวิญญาณที่อยู่ในร่างเป็นถึงศาสตราจารย์สอนประวัติศาสตร์ผู้รอบรู้ ที่กลับชาติมาเกิดใหม่พร้อมความทรงจำเดิม การแย่งชิงอัจฉริยะจึงเกิดขึ้น! ความรัก ความผูกพัน จะผูกมัดจอมคนอัจฉริยะผู้นี้ได้หรือไม่... 7 แคว้นที่มีอำนาจแข็งแกร่ง ยามนี้กลับกระสับกระส่ายกับข่าวลือที่ดังกระส่อนไปทั่วทั้ง7แคว้น ทุกแคว้นต่างหมายแย่งชิงจอมคนอัจฉริยะเพื่อความเป็นใหญ่ที่สุดใน7แผ่นดิน ทว่าความฉลาดลึกล้ำของมู่เหริน กลับวางแผนพาตนเองออกจากตระกูลเพื่อไม่ให้ผู้ใดเดือดร้อนเพราะตน การเดินทางจึงเริ่มขึ้น พร้อมความรักและความผูกพันที่เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างไม่รู้ตัว... โดยที่ชะตาดอกท้อเริ่มผลิบานจนยากจะถอยกลับ ในที่สุดก็หลีกหนีบ่วงเสน่ห์องครักษ์เงาไม่พ้น ขณะเดียวกันสงครามแย่งชิงเริ่มรุนแรงมากขึ้น จน “หลิงหวาง” องครักษ์เงาที่หลบซ่อนตัวตนต้องดิ้นรนไขว่คว้าอำนาจเพื่อปกป้องคนที่รัก หมายสยบแคว้นทั้ง7 ไว้ในกำมือ มิให้ผู้ใดมาทำร้ายมู่เหรินได้อีก หนทางเบื้องหน้าจะลงเอยเช่นไรนั้น แล้วแต่จอมคนจะเลือกเดิน... และความรัก ความผูกพัน จะผูกมัดจอมคนอัจฉริยะผู้นี้ได้หรือไม่!
view more“นายน้อยคุณชายเหวินฉินมาขอพบขอรับ”
คำรายงานของบ่าวรับใช้ทำให้ร่างโปร่งบางชะงักงันไปชั่วครู่ ใบหน้างดงามที่ยังคงเยาว์วัยนิ่งเรียบทว่าในใจกำลังหวนนึกไปถึงเจ้าของนามเหวินฉินบุตรชายคนรองของตระกูลเหวินซึ่งเรืองชื่อในเรื่องการค้าขาย “พาเขาไปรอข้าที่เดิม” น้ำเสียงนุ่มทุ้มตอบกลับมาโดยไม่ได้ละสายตาจากหนังสือในมือ บ่าวรับใช้ก้มหัวให้พร้อมถอยหลังกลับออกไปจากห้องหนังสือทำหน้าที่ของตนต่อไป มู่เหรินเหลือบตามองบ่าวรับใช้ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายกับคนที่มาขอพบ เขาเป็นบุตรสุดท้องของตระกูลมู่ที่รับใช้ราชวงศ์มาหลายชั่วอายุคน ทว่าแท้จริงแล้วเคยมีอีกนามที่เริ่มจะลืมเลือนไปคือนายศิลา เป็นอาจารย์สอนประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศไทย ตายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ในช่วงฤดูฝน เขายังจำช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดีเนื่องจากยืนเฝ้ามองร่างของตัวเองซึ่งตกลงไปในหุบเหวจังหวัดเชียงใหม่เป็นเวลาสามวันโดยที่ไม่อาจไปไหนได้ก่อนจะถูกนำตัวมาเกิดในที่แห่งนี้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมความทรงจำเดิมยังคงอยู่ ผ่านไปหนึ่งชั่วยามมู่เหรินจึงวางหนังสือลงพร้อมลุกขึ้นยืนเดินไปเก็บไว้ที่ชั้นอย่างเป็นระเบียบเช่นเดิม สายตาเหลือบมองเงาร่างหนึ่งที่ยืนอยู่มุมห้องมืด ๆ เล็กน้อยก่อนจะเดินไปยังห้องตอบปริศนาทางปีกซ้ายของจวนมู่ ร่างโปร่งบางซึ่งมีความสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดเซ็นติเมตรทว่าใบหน้ากลับงดงามปานล่มบ้านล่มเมืองเป็นสิ่งที่เขาไม่พึงพอใจแม้แต่น้อย บุรุษใดเล่าจะชื่นชอบที่ตัวเองงดงามกว่าอิสตรีเช่นนี้ มันเปรียบเสมือนปมด้อยภายในใจเขาเสียมากกว่า แม้จะยังเยาว์วัยด้วยสิบหกปีแต่ความงดงามกลับเด่นชัดอย่างน่าใจหาย มู่เหรินเดินผ่านห้องต่าง ๆ ภายในจวนอย่างไม่เร่งรีบ กิริยาดูสูงส่งสง่างามชวนให้คนมองหลงใหล อาภรณ์สีขาวขลิบเงินขับผิวขาวผ่องให้ดูเฉิดฉายยิ่งขึ้น ร่างสูงโปร่งเดินมาหยุดที่ห้องตอบปริศนาที่ผู้คนทั่วแคว้นต่างแวะเวียนมาประลองปัญญากับเขา ใช่ คนที่นี่คิดว่าเขาเป็นเด็กอัจฉริยะในรอบร้อยปี ที่เผลอแสดงปัญญาออกไปเมื่อสองปีก่อนในวันไหว้พระจันทร์ซึ่งมีกิจกรรมให้ตอบปัญหา ไม่คิดว่าการนึกสนุกในวันนั้นจะนำความยุ่งยากมาให้ถึงทุกวันนี้ ทันทีที่ประตูกั้นฉากเปิดออกเจ้าของใบหน้าคมคายแลดูชายหนุ่มเจ้าสำราญก็เงยหน้ามามองมู่เหรินทันที อาภรณ์สีเขียวอ่อนทำให้เจ้าตัวสดใสยิ่งขึ้น แม้จะปล่อยให้ทุกคนที่ต้องการมาประลองปัญญารอนานกว่าหนึ่งชั่วยามก็มิมีใครกล้าติติง อาจเป็นเพราะเขามิได้โอ้อวดอีกทั้งแค่ยอมออกมาพบก็นับว่าดีแค่ไหนแล้ว “ข้าคิดว่าจะได้รอเจ้านานกว่านี้เสียอีก” น้ำเสียงอ่อนโยนและใบหน้ายิ้มแย้มทำให้มู่เหรินเหลือบตามองเล็กน้อยก่อนจะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม “วันนี้เจ้ามีสิ่งใดมาถาม” มู่เหรินเอ่ยถามอย่างเป็นการเป็นงานโดยไม่ได้สนใจสายตาเคลิบเคลิ้มของเหวินฉิน “เจ้านี่ช่างใจร้อนจริง” น้ำเสียงผิดหวังและดวงตาสลดลงไม่ได้ทำให้มู่เหรินรู้สึกสะทกสะท้าน แต่มองตามอย่างเอือมระอาคล้ายมองเด็กน้อยที่ดื้อดึงจะอยู่คุยกับเขาให้นานกว่านี้ หากคุณชายเหวินฉินมองเขาเพียงแค่สหายผู้หนึ่งคงอาจจะรับไมตรี แต่นี่มองด้วยสายตาน่าขนลุก แค่เห็นก็อยากจะส่งแขกเร็ว ๆ คุณชายเหวินฉินเป็นอีกหนึ่งคนที่ชอบหาปริศนามาให้เขาตอบ ทว่าแท้จริงแล้วเจ้าตัวเพียงแค่อยากเห็นหน้าเขาเท่านั้น ความพยายามของคุณชายเหวินฉินนั้นมีมากจนอดนับถือไม่ได้ หากไปทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่การหาเรื่องมาพบเขากิจการคงรุ่งเรืองมากกว่านี้ เขาเปิดรับตอบคำถามปริศนาหรือไม่ก็ถามกลับไปวันละหนึ่งคนเท่านั้น ซึ่งคนที่จะเข้าพบต้องมีบัตรคิวโดยที่ไม่สนใจว่าจะใหญ่โตมาจากไหน อ่อ ยกเว้นฮ่องเต้เพราะเขาคงไม่มีปัญญาไปขัดราชโองการหรอก “มีม้าอยู่สองตัวปรากฏว่ามีขนาดสัดส่วนเท่ากันหมด จะรู้ได้อย่างไรว่าม้าตัวไหนเป็นแม่ ม้าตัวไหนเป็นลูก” เหวินฉินเอ่ยถามปริศนาออกมาอย่างจนใจเมื่อไม่ได้รับความสนใจเหมือนที่ผ่านมา ไม่ว่าอย่างไรคนตรงหน้าเขานี้ก็เย็นชาไม่เปลี่ยนแปลง มู่เหรินจิบชาที่จิ่นกวางบ่าวรับใช้คนสนิทรินให้อย่างใจเย็น เหลือบตามองคนที่เอ่ยคำถามอย่างครุ่นคิดกับปริศนาของวันนี้ นับวันเหวินฉินชอบหาคำถามแปลก ๆ มาให้เขาตอบ บางครั้งก็เป็นเรื่องง่าย ๆ อย่างเช่นในเวลานี้ “ข้ามีม้าสองตัวที่ว่ามาให้เจ้าดูด้วย หากเจ้าตอบได้ข้าจะยอมยกม้าศึกสองแม่ลูกนี้ให้กับเจ้า” “เช่นนั้นนำทางไปเถิด” มู่เหรินบอกเสียงเรียบพร้อมวางถ้วยชา ลุกขึ้นก้าวเดินตามคุณชายเหวินฉินไปทางโรงม้าที่ฝากไว้ก่อนจะเข้ามาที่ห้องปริศนา มู่เหรินเดินตามไปเงียบ ๆ เขาไม่ได้อยากได้ม้าศึกดังที่กล่าวมา เพียงแค่อยากกลับไปอ่านหนังสือต่อให้จบจึงไม่อยากเสียเวลาไปกับเรื่องไร้ประโยชน์เช่นนี้ ดวงตาเรียวมองม้าพันธุ์ดีสองตัวที่มีสัดส่วนเท่ากันอย่างที่กล่าวมาและเป็นตัวเมียด้วยกันทั้งคู่“หยุนซีข้าจะลาออกจากเป็นฮ่องเต้!” เสี้ยวเหวินหวางตะโกนบอกองครักษ์คู่พระทัยอย่างหงุดหงิด นึกว่าจะหลุดพ้นวังวนของวังหลวงแล้ว แต่ต้องมาดำรงตำแหน่งฮ่องเต้แคว้นเว่ยอย่างจำใจ ถ้าไม่ใช่ตนเองเป็นเหตุทำให้เรื่องวุ่นวายคงไม่อยู่ในถูกบังคับเช่นนี้ และเขาต้องครองตำแหน่งนี้มาสิบปีแล้ว! ร่างสูงเดินไปเดินมาเพื่อหาวิธีออกไปท่องเที่ยวข้างนอก แม้ไม่ได้เป็นอิสระอย่างที่ปรารถนา แต่ได้หนีเที่ยวสักเล็กน้อยก็ยังดี “ฝ่าบาทองค์ชายน้อยเพิ่งสิบสี่ปี ยังไม่สามารถครองบัลลังก์แทนได้พ่ะย่ะค่ะ” คำพูดของหยุ่นซีทำให้เสี้ยวเหวินหวางชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจอย่างปลดปลง เขาไม่ได้มีบุตรจริงๆ เพียงแต่เด็กน้อยก้อนแป้งนั้นเขาเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่สามสี่ขวบซึ่งครอบครัวที่แท้จริงถูกสังหารยกครัวด้วยสาเหตุอันใดไม่ทราบ แต่เขาไปเจอช่วงที่หนีออกไปเที่ยวพอดี จึงทันได้ช่วยชีวิตไว้ได้จากนั้นจึงเอากลับมาด้วยหมายมั่นจะให้เป็นคนสืบทอดบัลลังก์ต่อไป แม้ไม่ใช่สายโลหิตกษัตริย์ แต่ทุกคนที่นี่ต่างเข้าใจว่าเป็นบุตรของเขาโดยที่ไม่ทราบว่ามารดาคือผู้ใด จะใช่สายโลหิตหรือไม่เขาไม่สนใจหรอกขอเพียงได้ไปจากวังหลวงนี่เสียที ทว่าน่าเสี
“เจ้าไม่สบาย” คำตอบของเฟิ่งเซียนทำให้กวยเตียวน้ำนิ่งอึ้ง หวนคิดไปถึงครั้งแรกแต่เขาไม่สบายก็เป็นเรื่องปกติเพราะนั่นมันครั้งแรกของเขา ส่วนครั้งที่สองเขาลองกินยาของมู่ซูหยวนด้วยความอยากรู้อยากเห็น สุดท้ายก็เรียกร้องเอาแต่ใจจากเฟิ่งเซียนจนตัวเองไม่สบาย ส่วนครั้งที่สาม ฝันไปเถอะ เพราะมันยังไม่มี! “เอ่อ นั่นมันครั้งแรกของข้าไม่สบายไม่น่าแปลกใจ แต่ว่าครั้งที่สองข้าเผลอไปกินยาของมู่ซูหยวนเข้ามันก็เลยเป็นอย่างที่เห็น แต่สาบานได้ว่าครั้งนี้ข้าไม่ได้กินยาอะไรมาเลยนะ” กวยเตียวน้ำพูดตอบอย่างละอายใจหน่อยๆ แต่ก็ยังเบียดร่างกายเข้าร่างหนาอย่างออดอ้อน มองเห็นคนตรงหน้าขบกรามแน่น “เจ้าร่วมรักกับข้าจำเป็นต้องใช้ยาเซียวหรือ” น้ำเสียงเย็นยะเยือกบ่งบอกว่ากำลังโกรธ ทำให้กวยเตียวน้ำส่ายหน้าไปมาแล้วก้มลงจูบริมฝีปากอย่างเอาอกเอาใจ “เปล่า ข้าไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย วันนี้ให้ข้าปรนนิบัติเจ้านะ” ดวงตาออดอ้อนไม่ได้ทำให้เฟิ่งเซียนใจอ่อน เขาดันอีกฝ่ายลงจากตัก ก่อนจะลุกขึ้นจากไปอย่างไร้เยื่อใย กวยเตียวมองตามร่างสง่างามด้วย
“สายน้ำวันนี้อาจไหลไปทางทิศตะวันตก แต่อีกไม่นานมันจะไหลไปทางทิศตะวันออก จะเลือกสิ่งใดให้ใช้หัวใจไตร่ตรองเถิด” กวยเตียวน้ำทอดถอนหายอยู่ริมหน้าต่างภายในตำหนัก หวนคิดไปถึงคำทำนายของท่านเจ้าสำนักอารามเมฆขาวซึ่งบัดนี้เหลือเพียงแค่นามให้ผู้คนได้จดจำเท่านั้น คำทำนายในวันนั้นทำให้เขากลับมานั่งกินนอนกินอยู่ในตำหนักของเฟิ่งเซียน รัชทายาทแคว้นเยียนที่ทำให้เขาเข้าใจผิดไปไกลโข คิดว่าอีกฝ่ายคิดหลอกใช้ตนและมีคนใหม่จึงได้หันหลังจากแคว้นเยียนด้วยหัวใจเจ็บปวด ทว่าที่ผ่านมากลับกลายเป็นเขาที่ฟูมฟายไปเองฝ่ายเดียว เพราะที่จริงตัวรัชทายาทกลับติดตามเขาเป็นเงาอยู่เบื้องหลังโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว และคนที่เขาเห็นมาโดยตลอดกลับเป็นเพียงตัวแทนพระองค์เท่านั้น แม้ช่วงแรกๆ เขาจะแยกไม่ออก ทว่าเมื่อนานวันเข้าจึงสามารถแยกออกได้เพราะตัวแทนไม่กล้าแม้นจะแตะต้องตัวและชอบทิ้งระยะห่างเสมอ เมื่อครั้งนั้นที่เขาได้เข้าใจผิด เพราะตัวแทนได้พูดคุยสนิทสนมกับฮุ่ยจื่อบุตรีคนสำคัญของเสนบดีฝ่ายซ้ายอีกทั้งเอ่ยปากบอกว่าเขาเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น การเล่นละครในค
“ไม่หนีแล้วหรือ” เสียงเอ่ยถามจากทางด้านหลังทำให้เหวินฉินสะดุ้ง เขาวิ่งมาจนเหงื่อโทรมกายทว่าคนตรงหน้ากลับไม่มีเหงื่อสักหยดเดียว แต่เมื่อคิดถึงคืนนั้นเขาได้แต่หน้าแดงด้วยความอับอาย ทั้งอึดและทนจริงๆ ฮือออ เขาอยากจะดึงภาพลักษณ์ของพี่ชายฝาแฝดมาใช้เหลือเกิน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ามู่เหรินกับคนนี้เขากลับหลุดความเป็นตัวเองมาเสียตลอด จนบางครั้งแทบทำให้เสียแผน แม้จะเพียงเล็กน้อยเขาก็ยังดีใจที่มีอิสระแม้เวลาเพียงน้อยนิดก็ตาม “ไม่หนีแล้ว ข้าเหนื่อยจะเอาอย่างไรว่ามา” เหวินฉินกอดอกตอบกลับอย่างหงุดหงิด ใช่ว่าเขาจะหนีอีกฝ่ายครั้งแรกเสียเมื่อไร นี่หนีมาสามปีแล้วแต่ก็ยังหนีไม่พ้น! “แต่งงานกับข้านะ” แค่ก ๆ ๆ เหวินฉินสำลักน้ำลายตนเองมองคนที่ขอแต่งงานอย่างไม่ดูสภาพอากาศเลยสักนิด ความโรแมนติกนะมีไหม! ไม่สินี่มันใช่เวลาไหม เขามองคนตรงหน้าอย่างมึนงง “ข้าว่าข้ากำลังฝัน” เหวินฉินพึมพำหันหลังกลับเดินต่อไป ทว่าร่างสูงที่พุ่งเข้ามากอดทำให้ไม่สามารถก้าวเดินต่อไปได้ “ถ้าเจ้าอยากท่องเที่ยวข้าจะพาเจ้าไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ถ้าเจ้าอยากมีครอบ





