จากความประทับใจแรกพบที่ยอดแย่ เพียงไม่กี่วันต่อมาที่คฤหาสน์ตระกูลจาง ดาวมีโอกาสได้รู้จักบรรดาคุณชายมาเฟียทั้งสามมากขึ้น แต่เป็นในแง่มุมที่เลวร้ายลงกว่าเดิม
เขาพบกับคนที่วันนั้้นใส่เชิ้ตขาวตัวใหญ่บนทางเดินจากห้องตัวเองไปห้องรับประทานอาหารโดยบังเอิญ ตอนนี้ดาวจำได้แล้วว่าคือจางเจียเหา เป็นพี่ชายคนโต
ทั้งคู่กำลังเดินสวนกัน ดาวิชไม่แน่ใจว่าจะทำตัวยังไงดี จึงหยุดแล้วได้แต่ทำตัวลีบกับผนังทางเดิน เพื่อเปิดโอกาสให้คนตัวใหญ่ไปก่อน
แต่พอเดินมาในรัศมีเอื้อมถึง นิ้วมือใหญ่ของเจียเหากลับยื่นมาจิ้มเบา ๆ ที่หัวไหล่คนตัวเล็ก
จึก ๆ
แม้จะแค่ทำเบา ๆ แต่ก็ทำให้โอเมก้าร่างกระจ้อยร่อยอุทาน “โอ้ะ” ด้วยความตกใจ จากนั้นก็คลำที่หัวไหล่ป้อย ๆ
เจียเหาตวาดใส่ทันที “ถอยไป เกะกะทางจริง ๆ นังโอเมก้าซื่อบื้อ”
“ขอ…ขอโทษครับ” ดาวว่าเขาก็หลีกทางให้แล้วนะ
แต่คุณชายใหญ่ยังไม่เลิกระราน
“ไม่รู้หรือไงว่าคนใช้น่ะ มีทางเดินของตัวเอง อย่ามาสะเออะใช้ทางร่วมกับเจ้านายเด็ดขาดนะ ต่อไปนี้ห้ามแกมาเดินเพ่นพ่านในเรือนใหญ่ให้ฉันเห็น!” ประโยคสุดท้ายนั้นแทบเรียกได้ว่าตะโกนทีเดียว
ดาวอยากเถียงใจจะขาดว่า เขาเองก็อยากอยู่ที่เรือนคนใช้เพื่อความสบายใจ แต่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อย่างหวานอมขมกลืนเพราะทนายสุเชาว์บอกว่าต้องอยู่ตามคำสั่งในพินัยกรรม แต่ยังไม่ทันพูด แค่อ้าปาก คนตัวใหญ่ก็กำราบอีกครั้งด้วยเสียงดังเหมือนฟ้าผ่า
“แล้วคิดเหรอว่าน้ำหน้าอย่างแกจะมาเป็นเมียของเราได้ โอเมก้าไร้สกุลรุนชาติ หน็อยแน่! หวังจะเป็นถึงเมีย เป็นแค่นายบำเรอชั่วครั้งชั่วคราวก็เกินฝันแล้ว!”
ทางเดินตรงนี้แสงน้อย ตอนนี้ร่างใหญ่ของเจียเหาบังแสงสว่างจนมิด ร่างของเขากลายเป็นโครงร่างสีดำดุจภูเขา สีขาวราง ๆ ที่เห็นคือตาขาวลุกวาวกับฟันของคุณชายที่แยกเขี้ยวใส่
ตอนนี้ดาว โอเมก้าผู้มาใหม่ เริ่มรู้สึกกลัวผู้ชายคนนี้ขึ้นมาจับใจ
“จะบอกอะไรให้เอาบุญนะ แกจะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร พวกฉันสามพี่น้องน่ะโคตรเกลียดโอเมก้าอย่างแกเข้าไส้ รังเกียจยิ่งกว่าขยะเปียกอีก โลกใบนี้คงน่าอยู่กว่านี้ถ้าไม่มีสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอย่างแก!”
+++++
มีอยู่วันหนึ่ง ดาวตัดสินใจเลือกเดินออกทางประตูหลังของเรือนใหญ่ เขาเดาว่ามันน่าจะเป็นทางไปสู่สวน และการได้เดินเล่นในสวนคงทำให้เขาสบายใจขึ้น
หรืออย่างน้อยด้านหลังคฤหาสน์ก็คงมีโอกาสพบสามคุณชายเจ้าของคฤหาสน์น้อยลง
แต่เขาคิดผิด...
เนื่องจากที่กรอบประตูเพื่อออกไปข้างนอกนั่นเอง หนุ่มโอเมก้าสะดุดบางอย่าง ยังดีที่เอามือยันพื้นทัน ไม่งั้นได้หกล้มหน้าฟาดพื้น กระนั้นหัวเข่าก็ยังกระแทกพื้นจนเจ็บ
“โอ๊ย”
โอเมก้าขายตัวเงยหน้าขึ้นจากท่าจับกบ พอมองไปด้านขวาก็พบว่าประตูบานนี้นำไปสู่สวนด้านนอกจริง ๆ
แต่อีกประเดี๋ยวดาวิชก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากข้างซ้าย เป็นเสียงที่คุ้นเคย
พอหันไปมองก็พบหนึ่งในคู่แฝด ถ้าไม่จางหมิงก็จางฉวน หนึ่งในนั้นยืนตรงกรอบประตูพอที ส่วนอีกคนที่เป็นเจ้าของเสียงหัวเราะก็เปลี่ยนจากยืนพิงผนังมาสมทบกับคนที่กรอบประตู
คนที่เพิ่งมาเอามือมาวางบนหัวไหล่อีกคน ส่งบุหรี่ที่ตัวเองคีบอยู่ใส่ปากให้คนที่กรอบประตู แล้วจากนั้นทั้งคู่ก็หัวเราะให้กันอย่างครึกครื้น
ดาวกัดฟัน ที่แท้คนที่ยืนตรงกรอบประตูเมื่อกี้ได้ยื่นเท้ามาขัดทำให้เขาสะดุดนั่นเอง
ทั้งสองยังมีสีหน้าเย็นชาและปั้นปึ่งอย่างเคย ไม่ต่างจากที่ดาวจำได้ในวันแรกที่พบกัน
ฝาแฝดอมควันบุหรี่ค้างไว้แล้วถึงปล่อยออก แต่ที่น่าโมโหสำหรับคนถูกแกล้งคือพอตัวการขัดขาจนล้มแล้วก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น ราวกับดาวเป็นอากาศ
แล้วคนหนึ่งก็เริ่มพูด ซึ่งตอนนี้ดาวแยกได้ว่าเขาคือจางหมิง เพราะมีแผลเป็นเล็ก ๆ ที่หว่างคิ้ว
“ฉวน ได้กลิ่นโอเมก้าเหม็น ๆ ปะวะ”
“อืม” คู่แฝดจางฉวนแกล้งเอามือบีบจมูก “ก็ได้กลิ่นอยู่นะ เหมือนจะลอยขึ้นมาจากพื้น”
ดาวเหลืออดจนเผลอทำเสียงดังใส่สองคุณชายแฝด “คุณสองคนแกล้งผมทำไม!”
แต่จางฉวนทำเหมือนดาวิชเป็นอากาศ “หมิง ฉันได้ยินเสียงอะไรไม่รู้แว่ว ๆ ว่ะ”
“สงสัยจะหูฝาดไปละมั้ง”
สองคนกอดกันแล้วทำท่าจะหัวเราะอีก
จากนั้นจางหมิงก็ยื่นหน้ามาใกล้ ยกมือป้องหูคู่แฝดของตน ทำท่าคล้ายกระซิบแต่กลับออกเสียงดังเพื่อให้ดาวได้ยินว่า
“นายรู้ไหม มีสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งที่ฉันโคตรเกลียด”
จางฉวนรับลูก “อะไรเหรอวะหมิง”
“ก็โอเมก้าไง”
คนเป็นแฝดรีบตอบสนอง “ฉันก็ไม่ชอบเหมือนกัน”
จากนั้นทั้งคู่ก็เอ่ยขึ้นแทบพร้อมกัน ราวกับเป็นคนคนเดียว แม้จะเป็นการพูดลอย ๆ แต่มองออกว่าจงใจให้ดาวได้ยิน
“ดังนั้นไอ้โอเมก้าตัวไหนที่คิดจะมาเป็นนายบำเรอของเราละก็...เร็วไปร้อยชาติ”
“เพราะกูสองคนเกลียดโอเมก้าอย่างกับอะไรดี แค่ได้กลิ่นก็จะอ้วกแล้ว เหม็นฉิบหาย!”
แล้วสองคนนั้นก็บีบจมูกล้อเลียนอีกรอบก่อนจะหัวเราะร่วนเป็นชุด จากนั้นก็ทิ้งก้นบุหรี่ลงกับพื้น แล้วเดินกอดคอกันกลับเข้าไปในคฤหาสน์อย่างสบายใจ
ดาวยังอยู่บนพื้นในท่าเดิม สองแฝดจึงเดินอ้อมตัวเขาเข้าไปในคฤหาสน์ ท่าทางเต็มไปด้วยความรังเกียจ ราวกับดาวิชเป็นตัวเชื้อโรค
พอสองคนนั้นเดินหายลับไป ดาวจึงค่อย ๆ พยุงตัวเองขึ้นมา
จู่ ๆ เขารู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาในฉับพลัน
แต่แล้วมีเสียงเรียกชื่อเขาเบา ๆ จากด้านหลัง หนุ่มโอเมก้าหันหลังไปหา
“คุณหนูดาว”
พอดาวเห็นแล้วจำได้ว่าคือเดช ที่จริงชายคนนี้อยู่ในห้องรับแขกไข่มุกตั้งแต่วันแรกที่ดาวมาที่นี่ เขารู้ว่าเดชคือผู้ช่วยส่วนตัวของสามมาเฟีย
เดชก้มหลังนิดหน่อย ก่อนจะดึงกระดาษออกจากซองพลาสติก “ผมเอาทิชชูเปียกมาให้เช็ดหัวเข่าน่ะครับ มันเปื้อนอยู่” ตาของเดชมองไปยังจุดที่ว่า
ดาวแปลกใจที่ผู้ช่วยคนนี้เตรียมพร้อมถึงขนาดพกทิชชูเปียกติดตัวตลอดเวลาในคฤหาสน์ด้วยเนี่ยนะ
เดชพูดเบา ๆ ราวกับกลัวคนอื่นได้ยินในขณะที่ดาวทำความสะอาดกางเกงที่หัวเข่า
“คือคุณชายทั้งสามเป็นอย่างนี้เองน่ะครับ ปกตินายท่านไม่ใช่พวกชอบแกล้งหรือระรานคนอื่น แต่สำหรับคุณดาว เหมือนพวกท่านจะมีปมฝังใจอะไรสักอย่าง”
ดาวเงยหน้าขึ้นมาถาม “ปมอะไรครับ”
“เพราะความเป็นโอเมก้าของคุณ”
“ฮะ? การที่ผมเป็นโอเมก้าเกี่ยวอะไรกับปมของพวกเขาครับ” ดาวเองก็สงสัยตั้งแต่วันแรกจนถึงเดี๋ยวนี้ บางทีนายเดชคนนี้อาจให้คำตอบได้
“อ้า เอ่อ เรื่องนั้นคือว่า…” เดชตะกุกตะกักขึ้นมา เหมือนผู้ช่วยเพิ่งตระหนักว่าไม่ควรเปิดเผยเรื่องส่วนตัวของนายจ้างมากไป แต่ยังหาคำพูดเลี่ยงที่เหมาะสมไม่ได้
ดังนั้นเดชจึงทำเป็นตีมึนด้วยการไม่พูดต่อเอาดื้อ ๆ
ซึ่งคนไม่โง่อย่างดาวิชมองปราดเดียวก็รู้ว่านายเดชรู้ แต่เพราะเมียที่ถูกจ้างมาแต่งงานคือคนใหม่ของคฤหาสน์จึงไม่อยากคาดคั้นคำตอบ
‘ผูกมิตรไว้ดีกว่าสร้างศัตรู’ นี่คือความคิดของโอเมก้าที่มาเป็นเมียที่สามีไม่ยอมรับ
“เอาเป็นว่าสิ่งที่ผมอยากบอกคืออยากให้คุณหนูอย่าเพิ่งยอมแพ้นะครับ แค่เจอกันครั้งแรกผมก็รู้สึกถูกชะตากับคุณหนู และอยากเป็นกำลังใจให้ อยากให้อยู่บ้านหลังนี้อย่างมีความสุขไปด้วยกัน”
หนุ่มดาวิชคิดว่าถ้อยคำเหล่านั้นฟังแล้วดีเกินจริง จึงอดสงสัยไม่ได้ว่านี่คือหนึ่งในแผนของสามคุณชายหรือไม่ พวกเขาอาจส่งผู้ช่วยส่วนตัวคนนี้มาตีสนิท เพื่อหาทางกลั่นแกล้งเขาอีกด้วยวิธีอื่นหรือเปล่า
แต่แววตาของเดชคู่ที่มองมาทางสะใภ้ไร้ศักดินานั้นดูซื่อและจริงใจอย่างยิ่ง
ที่ห้องส่วนตัวของดาว หนุ่มโอเมก้าเดินกลับมาหาสามอัลฟ่าคุณชายที่แทบนั่งไม่ติดด้วยความกระวนกระวายพอเห็นหน้าเจ้าของห้องก็รีบถามทันที“เป็นไง เธอเข้าใจพวกเราแล้วใช่ไหม”ดาวพยักหน้าเร็ว ๆ “ครับ”ภรรยาเดินมานั่งเก้าอี้ที่หนึ่งในแฝดรีบสละให้ทันที พอนั่งลงดาวเขาก็ยังก้มหน้านิ่ง ไร้คำพูดคำจาสามคุณชายทนไม่ไหว รีบผลัดกันถามภรรยาของพวกเขา“เป็นยังไงบ้างล่ะดาว ท่านปู่ว่าอย่างไรบ้าง”“เธอรู้เรื่องราวทั้งหมดจากปากคุณปู่แล้วใช่ไหม”“ถ้าเธอได้รู้จะได้เข้าใจที่มาที่ไปของพวกเราทั้งหมด…ว่าทำไมเราถึงไม่ชอบเธอในตอนแรก”เมียที่กลายเป็นของเล่นตอบแต่ไม่เงยหน้า “สำหรับเรื่องนั้นท่านปู่จางอี้เทาเล่าให้ผมฟังแล้วเหมือนกันครับ”ดาวทราบแล้วและเข้าใจเหตุผลว่าทำไมทั้งสามถึงอาละวาดและตามมาข่มเหงเขาแทบแย่เมื่อรู้ว่าเมียแต่งของพวกตนเป็นโอเมก้า แต่ถ้าพูดอย่างยุติธรรม การกลั่นแกล้งก็คือการกลั่นแกล้ง ไม่อาจซักฟอกให้เป็นสิ่งถูกต้องได้นั่นคือสิ่งที่ดาวคิด แต่แล้วก็ถอ
สามคุณชายยอมให้ดาวใช้เวลาส่วนตัวคุยกับท่านปู่จางอี้เทาโดยพวกเขาไม่เข้ามารบกวนสองแฝดออกตัวว่า‘เผื่อเมียของเราอาจมีเรื่องลับ ๆ อยากคุยกับท่านปู่’‘หรือในทางกลับกันท่านปู่ก็อาจมีอะไรลับ ๆ อยากบอกหลานสะใภ้ก็ได้’‘เอ๊ะ คุณสองคนพูดอย่างนี้แปลว่าอะไรแน่!’ ดาวทำเสียงดุใส่ เขาแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่สถานะระหว่างเขากับสามคุณชายดูจะสลับบทกันอย่างไรบอกไม่ถูกส่วนเจียเหาได้แต่ยิ้มบาง ๆ ก้มหน้าแล้วกอดไหล่น้องชายแฝดเดินหลบมุมไปเงียบ ๆดาวรู้ว่า ก่อนหน้านั้นคุณชายใหญ่เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้อี้เทาฟังคร่าว ๆ แล้วว่า ที่คฤหาสน์หลานสะใภ้ได้ยินเรื่องที่ปู่เล่าให้พวกหลาน ๆ ฟัง และไม่พอใจอย่างรุนแรงจนหนีกลับบ้านดาวได้ยินแล้วทำท่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน อยากชูกำปั้นใส่ด้วยที่คุณชายยังใช้คำว่าหนีกลับบ้านไม่เลิก มันฟังเหมือนดาวเป็นแค่เด็กเอาแต่ใจไม่มีผิดตอนนี้ในโทรศัพท์ของเจียเหามีหน้าคุณปู่อยู่ในนั้น ใบหน้าของท่านยังใจดีอย่างเคย[หนูดาวสบายดีไหม][สบายดีครับ แล้วท่านปู่ละครับ]หนุ่มน้อยโอเมก้าว่าที
สามคุณชายเอ่ยเสียงลั่นเกือบพร้อมกันว่า “แล้วเราต้องขอโทษยังไงเธอถึงจะเชื่อล่ะ”แล้ว ณ ตอนนั้นสะใภ้จากสงขลาไม่รู้นึกอย่างไร เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วโพล่งไปว่า“ตามธรรมเนียมคนบ้านผม ถ้าเราอยากให้คนที่เราตั้งใจขอโทษรู้ว่าเราสำนึกผิดจริง ๆ จากใจ ไม่มีทางอื่นเว้นแต่เราต้องกราบขอโทษแทบเท้าคนสำคัญของเขา”สามอัลฟ่าได้ยินแล้วถึงกับทำตาเบิกโพลง “ฮะ?! นั่นหมายถึง…”ดาวิชพยักหน้าแล้วเม้มปากล่าง “หมายถึงเท้าพ่อกับแม่ของผม”คราวนี้ถึงตาสามคุณชายไฮโซถึงกับอึ้งไปนานเลยแต่แล้วก็มีเสียงขัดจังหวะ เมื่อพ่อกับแม่ร้องบอกอย่างร่าเริงว่า“อาหารเย็นพร้อมแล้วมากินข้าวกันเถอะ”+++++อีกไม่นานอาหารง่าย ๆ ข้าวสวยร้อน ๆ น้ำพริกกับผัก และกับข้าวอีกสามสี่จาน–ยำกุ้งหวาน ปลาเล็กปลาน้อยทอดกรอบ กับไข่เจียวใบโหระพาฟูนุ่มก็พร้อมเสิร์ฟ“กินสิขรับคุณ ๆ อาจไม่ถูกปากนัก เพราะของสดที่เอามาทำก็ของพื้น ๆ ชาวประมงแถวนี้ พวกเราจับเอง เหลือก็เอาแบ่งกันกิน
ดาวกลับมาอยู่ที่อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา บ้านเกิดของเขาได้เกือบหนึ่งเดือนแล้วการตัดสินใจแค่ไม่กี่นาทีส่งผลให้ชีวิตของดาวเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ความเป็นอยู่ที่นี่สงบเงียบเรียบร้อย จนหนุ่มโอเมก้าไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือชีวิตเดียวกับตอนที่เป็นของเล่นของสามคุณชายที่คฤหาสน์และวันธรรมดาวันหนึ่ง ระหว่างที่พ่อกับแม่นั่งกินข้าวกลางวัน ส่วนดาวล้างจาน พ่อกับแม่ถามคำถามกับลูกเพราะเพิ่งนึกได้“ดาวเอ๊ย ตกลงแกไม่ได้ทำงานที่กรุงเทพฯ แล้วเหรอ”ลูกชายหรี่ก๊อกน้ำแล้วหันมาตอบ “เปล่าแล้วจ้ะแม่”พ่อกับแม่มองด้วยสีหน้านิ่งอย่างสงสัย แต่ไม่ถามอะไรที่กดดันอย่างเช่น ‘แล้วจะทำอะไรต่อ’ ทั้งคู่รู้ดีกว่าลูกชายของพวกตนไม่ใช่คนหลักลอยเหลวไหลคราวนี้เป็นตาพ่อถามบ้าง “เอ้อ พ่อว่าจะถามเรื่องค่ารักษาของพ่อ หนูไปเอาเงินมาจากไหน”“อ๋อ” ดาวชะงัก แต่ก็รีบแก้ตัวว่า “หนูไปคุยกับหมอและเจ้าหน้าที่ที่โรงพยาบาลมาแล้วจ้ะ ใช้สิทธิบัตรทองได้ ของแม่ก็เหมือนกันนะ ไม่ต้องกังวล”พ่อกับแม่กลืนอาหา
“นั่นเลยเป็นที่มาตั้งแต่ก่อนพ่อแกจะตาย เราถึงเฝ้าเพียรพยายามหาคนที่ใช่ และมันไม่ง่ายเลย เราใช้เวลานานหลายปี หลายคนที่คุณสมบัติใช่แต่เขาไม่ร้อนเงิน ไม่มีเหตุผลที่จะยอมลำบากมาแต่งงานเป็นสะใภ้ตระกูลจาง มีหนูดาวนี่ละลงตัวที่สุด เป็นดอกบัวขาวอย่างที่เรามองหา แถมฐานะที่บ้านยังขัดสน”ชายชราเว้นช่วงเพื่อให้ความจริงตกตะกอนในสมองทึบ ๆ ของสามหลายชาย ก่อนจะย้ำด้วยประโยคอันเด็ดขาดและเสียงดังว่า“แกคิดว่าจะหาโอเมก้าคุณสมบัติเพียบพร้อมอย่างนี้ได้ง่าย ๆ หรือไง!”สามคุณชายพูดอุบอิบ รู้สึกผิดหวังอะไรสักอย่างกับตัวผู้ให้กำเนิด “แล้วทำไมพ่อกับแม่ไม่เคยบอกพวกเราเรื่องนี้เลย”“พ่อแกเคยมาปรึกษาฉัน แล้วเราก็ตกลงว่า จะดีกว่าถ้าปล่อยให้เรื่องนี้เป็นความลับ”สามคนถามโดยพร้อมเพรียง “ทำไมล่ะครับ”“การรู้จุดด้อยของตัวเองเร็วเกินไปส่งผลไม่ดีต่อความมั่นใจ โดยเฉพาะในช่วงที่แกเปลี่ยนจากวัยรุ่นกลายเป็นวัยผู้ใหญ่เต็มตัว พ่อแกรู้ว่าสักวันตำแหน่งหลงโถวของเขาจะต้องถูกส่งต่อให้พวกแกคนใดคนหนึ่ง ดังนั้นย่อมไม่ดีแน่ถ้า
เจียเหาในฐานะพี่ใหญ่รวบรวมความกล้าเอ่ยถามท่านปู่ตรง ๆ“ดะ…ดาวเอาเรื่องนี้มาบอกคุณปู่เหรอครับ”“เปล่า ฉันรู้เอง ดังนั้นพวกแกอย่าเอาเรื่องนี้ไปโทษเขาล่ะ เขาไม่ได้เอามาฟ้องฉัน”ตอนแรกอี้เทากระหยิ่มในใจ แผนการโยนหินถามทางกับสามคุณชายปากแข็งน่าจะสำเร็จ ชายชราแค่ลองปะติดปะต่อเรื่องเอาเองแล้วเอ่ยโพล่งออกไป ซึ่งพอเห็นปฏิกิริยาของสามคุณชายเลยฟันธงว่าน่าจะเข้าใจถูกในประเด็นที่ทั้งสามคงตกลงอะไรบางอย่างกับดาวเกี่ยวกับสถานะความเป็นเมียแต่อี้เทาเป็นคนยุติธรรม เขาอยากให้ทั้งสามคุณชายเป็นผู้ใหญ่ เป็นลูกผู้ชายตัวจริงที่กล้ายอมรับเองว่าพวกตนทำอะไรไว้ทั้งสามนั่งตัวลีบแต่ยังปากแข็งไม่ยอมรับเวลาผ่านไป เข็มนาฬิกาของนาฬิกาคุณปู่ หรือนาฬิกาโบราณตั้งพื้นเรือนใหญ่ดังติ๊ก ๆ อย่างต่อเนื่องขนาดอี้เทาเป็นคนอารมณ์เย็นยังหมดความอดทน“ไอ้พวกหลานโง่ นี่ฉันทนพวกแกไม่ไหวแล้วนะ!”สามคนทำหน้าซีด แต่ยังปากแข็งไม่ยอมพูดสักคำท่านปู่จางอี้เทาทนไม่ไหวอีกจึงกระชากเสียงถามหลานชายจอมมึน“แกรู้ไหมว่า