LOGINเช้าวันรุ่งขึ้น ฉันตื่นช้ากว่าที่ตั้งใจสิบเจ็ดนาที ความผิดทั้งหมดมอบให้กับเตียงลมที่นุ่มเกินคาดและแมวที่มานอนทับคอเป็นผ้าพันคอมีชีวิต ฉันดีดตัวขึ้นเหมือนสปริง แหกปากใส่ตัวเองในกระจก “วันนี้เราเริ่มงานใหม่ ห้ามเละ!”
งานใหม่ของฉันคือคอนเทนต์ดีไซเนอร์ของสตูดิโอเล็ก ๆ ที่อยู่ในซอยเดียวกับคอนโด เดินแค่ห้านาทีถึง ตอนสัมภาษณ์เจ้านายบอกว่า “ไม่ต้องทางการมาก แต่ต้องทำงานเป็นระบบ” คำว่าระบบสำหรับฉันคือโพสต์อิตห้าสี ปากกาเจ็ดแท่ง และเช็กลิสต์ยาวสามหน้า
ฉันลากเครื่องซักผ้าเข้าที่เมื่อคืนยังไม่ได้ติด ตั้งสายยางดูแล้ว “น่าจะได้” และนี่คือคำกล่าวที่ขึ้นต้นเรื่องราวหายนะส่วนใหญ่ของมนุษยชาติ
ฉันเปิดเครื่องทิ้งไว้ วิ่งไปอาบน้ำ กลับออกมาพื้นครัวแฉะ “อ๊าาา ตายแล้ว!” น้ำซึมต่อเนื่องเป็นทางจากหลังเครื่องซักผ้า มุดไปตามซอกกระเบื้องเหมือนงู
ฉันปิดวาล์ว น้ำยังไหล ฉันพยายามขันหัวก๊อก สายยางก็หลุด “ปิ๊ด!” น้ำพุ่งเป็นสาย ฉันกรีดร้องด้วยเสียงที่ถ้าประกวดคีตะมวยไทยคงไม่ได้รางวัล
“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ” เสียงหน้าประตูดังพร้อมเคาะสองครั้ง
ฉันยืนลุยน้ำอยู่ถึงข้อเท้า ทำหน้าระหว่างร้องไห้กับขำ “เอ่อ…คุณภีมคะ ฉัน…ฉันทำทะเลสาบจำลอง”
ประตูเปิด ภีมก้าวเข้ามาอย่างใจเย็น พร้อมผ้าเช็ดตัวหนึ่งผืนและกล่องเครื่องมือเล็ก ๆ (ผู้ชายคนนี้เตรียมพร้อมเหมือนชีวิตเป็นรายการวาไรตี้ซ่อมบ้าน) เขาหมอบลงดูก๊อกที่ฉันทำร้าย แล้วปิดจุกเช็คแรงดัน แค่ไม่กี่นาที น้ำก็ยอมแพ้
“สายยางไม่แน่นครับ แถมหัวก๊อกสึก คงเก่ามานาน” เขาสรุปสถานการณ์เรียบ ๆ
“ฉันขอโทษชั้น 18 ทั้งชั้น” ฉันถอนหายใจ “ค่าไฟวันแรกคงแพงเพราะเสียงกรีดร้องฉัน”
ภีมหัวเราะ “ยังเช้าอยู่ คนคงไม่ทันได้ยิน ผมมีอะไหล่สำรอง เดี๋ยวเปลี่ยนให้ก่อน แล้วค่อยเรียกช่างคอนโดมาตรวจอีกรอบ”
“คุณเป็นคนหรือเทวดาประจำชั้น” ฉันถามด้วยความจริงใจ
“เทวดาคงไม่ต้องใช้ไขควง” เขาตอบแล้วเริ่มเปลี่ยนหัวก๊อก มือเขานิ่งมาก ประโยคในหัวฉันก็เริ่มไม่แน่นเหมือนหัวก๊อกเก่าผู้ชายทำงานกับเครื่องมืออย่างชำนาญ มันมีเสน่ห์บางอย่าง…ช่วยด้วย
สิบห้านาทีถัดมา ครัวกลับมาแห้งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยกเว้นถังขยะที่เต็มไปด้วยทิชชูแฉะและฉันที่ผมหยิกเป็นบะหมี่
“ขอบคุณค่ะ” ฉันยกมือไหว้จริงจัง “ฉันติดหนี้บุญคุณคุณสองครั้งแล้วนะ ยางมัดผมกับความสงบของโลก”
“ไม่เป็นไรครับ” ภีมสะบัดมือ “เอ่อ…ผมกำลังจะลงไปที่ร้านกาแฟพอดี อยู่ตรงข้ามคอนโด ถ้าคุณมีเวลาแวะไป ผมเลี้ยงแก้วแรก ยินดีต้อนรับสู่ชั้น 18”
ฉันกะพริบตาปริบ ๆ “คุณมีร้านกาแฟ?”
“ร้านเล็ก ๆ ครับ Roastery นิดหน่อย ทดลองคั่วเอง สนุก ๆ” เขาพูดคำว่า “สนุก ๆ” ในแบบที่บอกว่า จริง ๆ แล้วทำอย่างจริงจังมาก
“โอเคค่ะ ให้เวลาฉันสู้กับผมอีกสิบห้านาที แล้วจะตามไป” ฉันชี้หัวยุ่ง ๆ ของตัวเอง
เขายิ้ม “รับทราบครับ” แล้วก็กลับห้องไปอย่างเงียบ ๆ
ฉันยืนอยู่กลางครัว หัวใจเต้นไม่เป็นระบบสักครู่ ก่อนจะตะโกนบอกตัวเองอีกครั้ง “ตั้งสติ โอเค มะปราง! เราจะไปทำความรู้จักร้านกาแฟของข้างห้อง…โดยไม่ทำอะไรหกใส่ใคร”
ร้านชื่อ “ที่เดิม” ป้ายไม้เรียบ ๆ ตัวอักษรสีขาว หน้าร้านมีต้นยี่หร่าในกระถางเล็ก ๆ เรียงเป็นแนว กลิ่นคั่วกาแฟลอยออกมาปะทะจมูก เป็นกลิ่นที่บอกว่า “ตื่นเถอะ โลกไม่ได้รอเธอคนเดียว”
ภายในร้านอบอุ่น โต๊ะไม้สี่ห้าตัว คนยังไม่เยอะเพราะเช้า ภีมยืนหลังบาร์ เครื่องชงสแตนเลสเงาวับเหมือนหุ่นยนต์จากอนาคต เขาพยักหน้าให้ฉัน “สวัสดีครับ แขก VIP ชั้น 18”
“ขอเมนูที่ทำให้คนเพิ่งกรีดร้องกับเครื่องซักผ้ารู้สึกว่าชีวิตยังมีความหวังค่ะ” ฉันพิงบาร์อย่างหมดแรงแต่ยังเล่นมุกต่อเนื่อง
“อเมริกาโน่เย็นกับช็อตเอสเปรสโซ่เพิ่มความมั่นใจ…หรือจะเป็นลาเต้อุ่น ๆ ลดความตื่นตระหนก” ภีมเสนอด้วยทีท่าสงบ
ฉันคิดหนึ่งวินาที “ลาเต้อุ่นค่ะ ขอความนิ่มนวลในถ้วย”
ระหว่างเขาเริ่มชงกาแฟ ฉันมองรอบร้าน พนักงานหญิงอีกคนกำลังจัดขนมปังอบใหม่ เธอยิ้มให้ฉัน “พี่ภีมเพิ่งพูดถึงคุณเลยค่ะ เพื่อนบ้านใหม่ชั้น 18”
ฉันเขิน “ค่ะ…คนทำห้องน้ำท่วมเมื่อเช้า”
ภีมเงยหน้าขึ้น “ไม่ถึงกับท่วมครับ แค่ทดลองระบบชลประทานส่วนบุคคล”
ฉันหัวเราะ ก้มดูโทรศัพท์ เห็นไลน์จากเจ้านายใหม่ “10.30 น. คุยไอเดียเปิดเพจนะ” พร้อมอีโมจิยิ้ม ฉันมองนาฬิกา 9.42 น. ยังพอมีเวลา
กาแฟมาในแก้วเซรามิกสีครีม ฟองนมเนียน ภีมวางตรงหน้า “เติมน้ำตาลไหมครับ”
“ไม่ค่ะ ขอรสชาติจริงใจ” ฉันตอบ แล้วจิบความอุ่นและกลิ่นหอมทำให้ไหล่ที่เกร็งผ่อนคลาย “อร่อย…แบบที่ทำให้รู้สึกว่าคนชงตั้งใจมาก”
“ขอบคุณครับ” เขาพยักหน้า
ฉันมองเมล็ดในโหลแก้ว มีป้ายเขียนด้วยลายมือ “เชียงราย Medium” “น่าน Light” และ “โคลอมเบีย House Blend” “คั่วเองจริง ๆ เหรอคะ”
“ครับ ผมมีมุมคั่วเล็ก ๆ ด้านหลัง เริ่มจากงานอดิเรก ตอนนี้กลายเป็นทำทุกวัน” น้ำเสียงเขาอ่อนโยนแบบคนรักในสิ่งที่ทำ
“สุดยอดค่ะ” ฉันสบตาเขาแล้วรีบหลบสายตาตัวเอง “เอ่อ…คือ ฉันเป็นคอนเทนต์ดีไซเนอร์ เพิ่งย้ายมา เพราะอยากลดเวลาเดินทาง แล้วก็อยากเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ”
“ดีเลยครับ” เขายิ้มบาง ๆ “เริ่มต้นใหม่มันสนุก เวลาได้จัดของใหม่ ๆ วางระบบใหม่ ๆ เหมือนทำให้สมองหายฝุ่น”
“ใช่เลยค่ะ ยกเว้นระบบท่อของฉัน” ฉันยักคิ้วให้ตัวเอง
ภีมหัวเราะ พนักงานหญิงแอบยิ้มแล้วแกล้งถาม “พี่ภีมคะ โตโตะล่ะคะ วันนี้ไม่มาเป็นพนักงานต้อนรับเหรอ”
“มันอยู่คอนโดครับ วันนี้ผมลงมาเร็ว เดี๋ยวสาย ๆ จะขึ้นไปพามาเดิน” เขาหันมาหาฉัน “ถ้าคุณชอบหมา มันเป็นมิตรเกินไปหน่อย”
“ฉันชอบค่ะ แต่โมจิไม่แน่ใจ” ฉันตอบ “เมื่อวานมันทำหน้าตาเหมือนเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ตอนเจอโตโตะ”
บทสนทนาต่อไปไหลลื่นอย่างประหลาด เราคุยเรื่องคอนโด ร้านอาหารแถวนี้ ร้านก๋วยเตี๋ยวปากซอย (ภีมบอกว่าอร่อยแต่ต้องใส่พริกเผานิดเดียว) และเรื่องร้านกรอบรูปข้างร้านกาแฟที่เลี้ยงนกแก้ว พอฉันหัวเราะ ภีมจะยิ้มบาง ๆ เหมือนคนฟังเก่งมากกว่าพูดเก่ง
ฉันจิบกาแฟจนหมด ความกังวลเรื่องงานใหม่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด “ขอบคุณสำหรับกาแฟและตอนเช้าที่ช่วยชีวิตนะคะ ฉันไปทำงานก่อน เดี๋ยวเย็น ๆ แวะมาใหม่ค่ะ”
“ได้ครับ ขอให้วันแรกผ่านไปด้วยดี” เขาพูดง่าย ๆ แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนมีใครส่งพลัง +10 ความกล้าในเกมให้
ก่อนออกจากร้าน ฉันหยุดหันกลับ “แล้ว…ฉันต้องจ่ายเท่าไหร่คะ แก้วนี้”
“ยินดีต้อนรับชั้น 18” เขาชี้ป้ายเล็ก ๆ หน้าบาร์ที่เขียนว่า “First cup on us” พร้อมรูปคาแรกเตอร์โตโตะยิ้มกว้าง
ฉันยิ้มจนตาโค้ง “โอเค งั้นฉันเป็นหนี้แก้วหน้า”
“ไม่ใช่หนี้ครับ เรียกว่า ‘นัดหมายกับกาแฟ’ มากกว่า” เขาพูดหน้าตาเรียบ แต่คำว่า “นัดหมาย” ไปกระทบหัวใจฉันดัง ‘ตึง’ แบบไม่ได้เตรียมตัว
ฉันโบกมือแล้วเดินออกมา สูดอากาศยาว ๆ คิดกับตัวเองว่า—ถ้าเริ่มต้นใหม่มีสูตร ก็อาจเป็นอย่างนี้: หายใจลึก ๆ หนึ่งครั้ง กาแฟอุ่นหนึ่งแก้ว และการคุยเล็ก ๆ ที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนปกติที่เริ่มต้นได้
“บางความเงียบอบอุ่นกว่าคำขอโอกาส” เสียงกาน้ำเดือดดังแผ่วในห้องครัวเล็ก ๆ ของคอนโด มะปรางเทกาแฟลงแก้ว กลิ่นหอมลอยปะทะจมูกพร้อมความรู้สึกที่ทั้งคุ้นและสั่นเบา ๆ ที่หน้าอก โมจิเดินมาคลอเคลียขา ส่งเสียง “เมี้ยว—” เหมือนรู้ว่าเจ้าของกำลังมีเรื่องกังวล “วันนี้แม่ต้องเจอคนเก่านะ” เธอก้มลงลูบหัวมันเบา ๆ “อย่าให้แม่ใจสั่นมากเลยนะโมจิ” เจ้าแมวตัวกลมตอบกลับด้วยเสียงเบา ๆ แล้วเดินไปนอนบนกระเป๋าผ้า เหมือนจะกันไม่ให้เธอออกจากห้อง โทรศัพท์สั่นเตือนบนโต๊ะภีม: วันนี้ทีมคุณมากี่คนครับ จะได้เตรียมโต๊ะ โตโตะจะได้ไม่เห่าใส่มะปรางเผลอยิ้ม ก่อนพิมพ์ตอบมะปราง: ห้าคนค่ะ รวมลูกค้าด้วย ขอบคุณมากนะคะ ยังไม่ทันวางโทรศัพท์ เสียงโทรเข้าดังขึ้น “มิ้นท์” โผล่มาเต็มจอ “ตื่นยัง ยัยโมจิใหญ่” น้ำเสียงคุ้นเคยดังสดใสแต่แฝงความห่วง “ตื่นแล้วสิ แต่ใจยังไม่พร้อมเจออดีตเท่าไร” “อย่าบอกนะว่ายังใจเต้นอยู่” “เต้นค่ะ...แต่เต้นเพราะกลัวจะทำหน้าตาไม่ถูก” “ดีแล้ว อย่างน้อยเธอก็ยังมีความรู้สึก แปลว่ายังไม่ด้าน” มะ
เสียงพิมพ์คีย์บอร์ดดังสลับกับเสียงเครื่องปรับอากาศที่เป่าลมเบา ๆ ทั่วออฟฟิศ มะปรางนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวเดิม ข้าง ๆ มีกองแฟ้มเอกสารและถ้วยกาแฟเย็นที่ละลายไปครึ่งแก้ว เธอจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจ แต่สายตากลับพร่าเพราะใจลอยไปถึงวันปิดกอง ภาพคนที่ยื่นแก้วกาแฟให้เธอด้วยรอยยิ้มเรียบง่ายยังคงวนเวียนในหัวไม่จาง เสียงแจ้งเตือนเมลเด้งขึ้นมาในจังหวะเดียวกับที่เธอถอนหายใจFrom: Natee S.Subject: Debrief Meeting – ขอเวลาคุยงานเพิ่มเติมครับ เธอมองชื่อผู้ส่งอยู่นาน มือที่จับเมาส์นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะกดเปิดอย่างระมัดระวัง “ปรางครับ มีไอเดียอยากต่อยอดจากแคมเปญนี้นิดหน่อย พอมีเวลาคุยไหมครับ?” ถ้อยคำดูสุภาพ แต่ในใจของเธอกลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยในแบบเดียวกับเมื่อสองปีก่อน ตอนที่เขาใช้เสียงเดียวกันพูดว่า “ไว้ค่อยคุยกันนะ” ก่อนหายไปจากชีวิตเธอ มะปรางพิมพ์ตอบในโทนที่เป็นทางการที่สุด “ได้ค่ะ ถ้าเป็นเรื่องงาน รบกวนแจ้งเวลาล่วงหน้า จะได้จัดตารางประชุมให้ค่ะ” ส่งเสร็จเธอรีบปิดเมล แล้วพยายามฝืนทำงานต่อ แต่สมาธิกลับหล่นหายไป
เมื่อทุกอย่างดูเข้าที่ เหตุการณ์ทดสอบเล็ก ๆ ก็โผล่มาอีกครั้ง ขณะตั้งไฟสองดวงไขว้กันเพื่อให้เงาแก้วดูมีมิติ อยู่ ๆ ไฟในโซนบาร์ก็กะพริบ “แป๊ะ” แล้วดับเงียบทั้งแถบ “อ่าว เบรกเกอร์ไปแล้วเหรอ” พีทร้อง ฉันหันขวับมองนาฬิกา เวลาเริ่มบีบ เพราะเรายังต้องเก็บช็อตสุดท้ายช่วงแสงเย็น ภีมถือไฟฉายเล็กออกมาทันทีเหมือนเตรียมไว้สำหรับเหตุการณ์นี้อยู่แล้ว “ตรงนี้คงรับกำลังไฟของเครื่องชงกับไฟชุดหนึ่งตัวไม่ไหวครับ เดี๋ยวผมย้ายปลั๊กชุดไฟไปที่อื่นแทน แล้วใช้รีเฟล็กซ์แทนไฟหนึ่งดวง จะได้ไม่ดึงกระแสเกิน” เขาพูดจบก็ลงมือทันที จัดปลั๊กพ่วง เสียบ–ดึง–ลองสวิตช์อย่างใจเย็น ทีมงานที่เหลือช่วยจับรีเฟล็กซ์ขนาดกลาง ภายในห้านาทีไฟกลับมาสว่างแต่ไม่จ้าเกิน ได้ภาพในจออย่างที่อยากได้ “โห…เจ้าของร้านนี่แหละแก้ปัญหาเก่งกว่าช่างไฟอีก” พีทยกนิ้วให้ ฉันยืนมองภาพในจอแล้วหันไปมองเจ้าของร้านตัวจริง คนนั้นยืนเช็ดมือกับผ้าเช็ดบาร์เหมือนเดิม สีหน้าสงบเหมือนตอนชงกาแฟ นาทีนั้นหัวใจฉันนิ่งแบบที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นในกองถ่าย เร่งแค่ไหนก็มักจะมีความลนอยู่ในอากาศ แต่เขากลับทำให้ห้องนี้ห
เช้าวันถัดจากทริปเล็ก ๆ ฉันตื่นก่อนนาฬิกาอีกครั้ง เหมือนร่างกายจำสัญญาเงียบ ๆ ระหว่างฉันกับเช้าว่าเราจะเริ่มวันด้วยความอุ่น ไม่ใช่ความรีบ ฉันชงดริปด้วยเมล็ด “ทุ่งหญ้ารุ่นพิเศษ ทริปเล็ก ๆ” ที่ภีมยื่นให้เมื่อคืนก่อน กลิ่นดอกไม้จาง ๆ ลอยขึ้น ปลายรสหวานเหมือนเสียงหัวเราะที่ยังค้างอยู่ในคอจากเมื่อวาน ฉันยกแก้วไปยืนที่ระเบียง เห็นประตูฝั่งตรงข้ามเลื่อนเปิดในเวลาแทบจะตรงกัน ภีมยกแก้วของเขาขึ้นนิด ๆ เราสองคนยิ้มให้กันอย่างไม่ต้องพูดอะไรมาก “วันนี้สู้ ๆ นะครับ” เขาพูดเบา ๆ แต่ได้ยินชัด “คุณด้วยค่ะ” ฉันตอบ ทั้งที่ในหัวเริ่มเรียงงานแบบผู้จัดการกองถ่ายฉบับเร่งด่วน เพราะวันนี้คือวันสำคัญ ทีมฉันต้องถ่ายทำคอนเทนต์ชุด “Warm is a Place” สำหรับลูกค้า และโลเกชันที่เลือกคือร้านของภีม…ที่เดิม หลังอาบน้ำแต่งตัว ฉันเปิดงานในโทรศัพท์ ไลน์กรุ๊ป “กองอุ่นจริง” (ตั้งชื่อตามคีย์เวิร์ด) เด้งข้อความจากพี่นนท์: “คอนเฟิร์ม 10:00 เริ่มเซ็ต ซีนแรกเปิดหน้าร้าน ซีนสองบาร์ ซีนสามโต๊ะไม้ ใครถึงก่อนช่วยแจ้ง” ฉันพิมพ์ตอบ “ฉันถึงก่อน 9:30 ไปเช็กลิสต์พร็อพกับเจ้าของร้านค่ะ” แล้
เขาเงียบไปเล็กน้อยเหมือนเช็กหัวใจตัวเองก่อนพูด “เคยครับ แต่ภาพนั้นไม่ชัดเจนเท่าไหร่ รู้แค่ว่าถ้ามีมันคงเหมือนโต๊ะหนึ่งตัวที่คนในบ้านชอบกลับไปนั่งด้วยกัน มีเสียงหัวเราะของสัตว์เลี้ยง มีแก้วน้ำสองใบวางอยู่เสมอ” ฉันยิ้มกว้างกว่าคำถามที่ตั้งใจ “แก้วสองใบ…บนที่รองแก้วสองแผ่น” เขายิ้มกลับ “ครับ” เราลุกขึ้นไปเดินรอบบึงช้า ๆ หลังทานของว่าง ดอกหญ้าสีน้ำนมไหวตามลมเหมือนคนโบกมือทักทายจากสองฟากทาง ฉันเดินถือสายจูงโตโตะ ภีมสะพายตะกร้า ส่วนโมจิอย่างที่คาดขึ้นคานอนบนไหล่ภีมเหมือนราชินีบนราชรถ คนเดินสวนมาหลายคนอดทักไม่ได้ “น้องแมวเก่งจังเลยค่ะ” ภีมยิ้ม “จริง ๆ แล้วเก่งที่ยอมให้ผมแบกมากกว่าครับ” ฉันหัวเราะจนลืมว่าครู่หนึ่งก่อนหน้านี้ฉันเคยล้มกลิ้ง ความเขินจากเหตุการณ์เช้าแปรสภาพเป็นความจำที่น่ารักอย่างรวดเร็ว เมื่อเดินครบรอบ เรากลับมาที่ผ้าปิกนิก ฉันวางโมจิลง มันเดินตรงไปตรวจคุณภาพอาหารบนจานภีมแล้วนั่งทับรายการกินเหมือนจะปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง โตโตะหมดแรงนิด ๆ นอนแผ่พุงเหยียดขาตรง ทำหน้าฟินราวกับเพิ่งชนะ
เช้าวันหยุดหลังคืนดาดฟ้าที่ใจเราเหมือนตกลงสัญญาเงียบ ๆ ฉันตื่นเร็วกว่าปกติทั้งที่ไม่มีนาฬิกาปลุก ลมเช้าจากระเบียงพัดกลิ่นกาแฟที่บดไว้เมื่อคืนโชยเข้ามา โมจิเดินมาวนรอบขาเหมือนนาฬิกาปลุกมีขน ฉันลูบหัวมันแล้วพูดกับตัวเองว่า วันนี้อยากทำอะไรช้า ๆ แบบไม่ต้องชนะเวลา พอเปิดประตูระเบียงก็เจอภีมยืนพาโตโตะออกมารับแดดจาง ๆ เขาส่งยิ้มแบบที่เคยทำ ยิ้มที่ไม่รีบให้คำตอบ แต่บอกว่าอยู่ข้าง ๆ “อรุณสวัสดิ์ครับ” “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ฉันตอบพร้อมยกแก้วน้ำให้โมจิดมเล่น แดดเช้าตีกับราวระเบียงเป็นริ้ว ๆ จนฉันเผลอหยุดมอง ภีมเอ่ยขึ้นเหมือนคิดไปพร้อมกับลม “วันนี้อากาศดี อยากลองพาโตโตะไปสวนสาธารณะนอกเมือง…คุณกับโมจิสนใจไปด้วยไหมครับ” คำชวนฟังดูง่าย แต่หัวใจฉันกลับทำงานซับซ้อนขึ้นมาทันที มันไม่ใช่แค่ไปสวน มันคือการออกนอกพื้นที่ปลอดภัยที่เราเคยอยู่ร่วมกัน จากโถงชั้น 18 ระเบียง โต๊ะโอ๊ค ไปสู่โลกกว้างที่เราไม่เคยใช้เวลาเป็น “พวกเรา” จริง ๆ มาก่อน ฉันลังเลเพียงเสี้ยววินาที ก่อนพยักหน้า “ไปค่ะ” โมจิตอบแทนด้วยการตดเ







