LOGINเมื่อพี่สาวสุดที่รักถูกหักอกจนเกือบกระโดดลงมาจากระเบียงชั้นสองหวังปลิดชีวิต? มีหรือที่น้องสาวแสนดีอย่างฉันจะอยู่เฉย... ไม่มีทาง! เพราะแบบนั้นแผนการที่เต็มไปด้วยเล่ห์ คำลวง และความรัก จึงเริ่มต้นขึ้น... "ฉันท้อง" "..." "ฉันบอกว่าท้อง ไม่ได้ยินหรือไง!" "แล้วไง?" "ถามมาได้ คุณก็ต้องรับผิดชอบสิ" "แล้วผมต้องรับผิดชอบผู้หญิงทุกคนที่มาบอกว่าท้องอย่างนั้นเหรอ" "..." "ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ป่านนี้ผมคงมีลูกสักสองโหลได้แล้วมั้ง!"
View More“ฉันท้อง”
“…”
“ฉันท้องกับคุณ”
“…”
“นี่ ไม่ได้ยินหรือไง” ฉันแหวใส่ชายในชุดสูทสีเบจดูสะอาดสะอ้านที่กำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาตัวยาวอย่างหมดความอดทน
ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรยังคงเฉยชาไม่ได้สะทกสะท้านกับคำพูดของฉันแม้แต่น้อย 'คิดว่าหล่อแล้วจะทำอะไรกับใครก็ได้สินะ'
แต่ดูเหมือนว่าน้ำเสียงที่ดังจนเกินไปทำให้มุมที่ฉันยืนอยู่ตกเป็นเป้าสายตาของลูกค้าซึ่งกำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศชวนผ่อนคลายภายในคาเฟ่อย่างไม่ต้องสงสัย ฉันจึงหันไปค้อมหัวเล็กน้อยเชิงขอโทษคนเหล่านั้นแล้วหันกลับมาสนใจชายหนุ่มสองคนที่นั่งอยู่อีกครั้ง
ชายผมดำที่ฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนคาดว่าน่าจะเป็นเพื่อนของเขาคนนั้นกำลังไล่สายตามองฉันตั้งแต่ปลายเท้าจรดศีรษะ หลังจากนั้นจึงเลิกให้ความสนใจแล้วยกแก้วขึ้นจิบราวกับว่ากาแฟถ้วยนั้นน่าสนใจกว่าเป็นไหนๆ
แต่ถึงอย่างนั้นฉันเองก็ไม่ได้สนใจเหมือนกัน เพราะเป้าหมายเดียวในวันนี้คือผู้ชายในชุดสูทที่กำลังใช้นิ้วชี้เกาปลายจมูกอยู่ต่างหาก ฉันจำเขาได้ขึ้นใจจากรูปถ่ายที่ดูแล้วดูอีกจนนับครั้งไม่ถ้วน
“ผมไม่รู้จักคุณ” ริมฝีปากหยักลึกสีชมพูธรรมชาติขยับตอบเสียงห้วน
“แหม~ อย่ามาตีมึนหน่อยเลย คนมันเคย ๆ กันอยู่” ฉันยกมือขึ้นอย่างมีจริตจะก้านพร้อมหัวเราะกลบเกลื่อน แต่สีหน้าของอีกฝ่ายกลับไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมจนรู้สึกได้ว่าเขากำลังด่าฉันทางสายตา ประมาณว่า คนอย่างผมนะเหรอ จะเอาคนอย่างคุณ
“ผมไม่คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยนอนกับคุณ”
“แต่ฉันไม่ได้นอนกับใครมั่ว ๆ นะ”
“ใคร ๆ ก็บอกว่าตัวเองไม่ได้มั่วกันทั้งนั้นแหละ” ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มนิ่วหน้าอย่างรำคาญ
ฉันที่ยืนอยู่ถึงกับจ้องมองเขม็งแล้วเม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างพยายามอดกลั้น ฉันรู้ดีว่าทุกอย่างมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดและเพราะแบบนั้นจึงต้องมีความอดทนในระดับหนึ่ง จึงลองเปลี่ยนอารมณ์พลิกบทบาทให้ดูจริงจังเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
“ที่ฉันตัดสินใจมาบอกคุณเรื่องนี้ เพราะคุณเองก็มีสิทธิ์ที่ต้องรับรู้ไว้”
“…”
“ว่าความเร่าร้อน ซี๊ดอ่าส์ ๆ ของเราในคืนนั้นได้สร้างเด็กคนหนึ่งขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ” พูดจบก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ฉันคิดว่าประโยคแรกมันก็ดูดีอยู่หรอก แต่ประโยคหลังกลับฟังทะแม่งชอบกล
เอ~ หรือบางทีฉันไม่เหมาะกับอะไรที่มันจริงจังวะ?
“แต่หลังจากนี้ ฉันเองก็คงตัดสินใจง่ายหน่อยเรื่อง...” ฉันลองเว้นจังหวะการพูดเพื่อกระตุ้นความอยากรู้ของอีกฝ่าย และมันเป็นไปอย่างที่คิดไว้จริง ๆ ด้วย
“เรื่องอะไร”
“ฉันว่าจะเอาเด็กออก” ว่าพลางก้มหน้าก้มตาแล้วเริ่มใช้ความสามารถพิเศษทันที ไม่ถึงห้าวินาทีหยาดน้ำตาของฉันก็ไหลลงมาเป็นทาง นี่ถ้าไม่ติดว่าที่บ้านค้านหัวชนฝาเรื่องไปเป็นนักแสดง ฉันว่าจะลองไปแคสติ้งดูสักครั้งอยู่หรอก
"..."
“ขอโทษที่ต้องมารบกวนเวลาอันแสนมีค่าของคุณด้วย” บอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแล้วค่อยๆ เงยใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตาขึ้น ก็เห็นว่าไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นที่จ้องเขม็งมายังฉันเพราะเพื่อนของเขาก็กำลังเอียงคอมองมาทางนี้ไม่ต่างกัน
“ฉันไปก่อนนะ”
“เดี๋ยว”
“คะ?”
“ผมจะมั่นใจได้ยังไงว่าเด็กเป็นลูกของผมจริง ๆ ”
“คุณก็ต้องรอจนกว่าเด็กจะคลอดออกมา” เพราะกว่าจะถึงตอนนั้นภารกิจทุกอย่างคงสำเร็จไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“แล้วถ้าเด็กที่คลอดออกมาไม่ใช่ลูกของผมล่ะ” เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจังจนฉันรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
“ไม่มีทาง ฉันมั่นใจว่าเด็กเป็นลูกของคุณ” เพราะฉันจ่อหัวไว้แล้วว่าเด็กในท้องของฉันต้องเป็นลูกของคุณ ของคุณคนเดียวเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นผมจะพาคุณไปตรวจการตั้งครรภ์ที่โรงบาล แล้วค่อยปรึกษาหมออีกทีเรื่องตรวจดีเอ็นเอ” จัดแจงทุกอย่างเสร็จสรรพแล้วเน้นย้ำประโยคหลัง มิหนำซ้ำยังยกยิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจ
“แต่ฉันกำลังท้องอ่อน ๆ เองนะ จะตรวจดีเอ็นเอได้ยังไงเล่า”
“ไอ้หมอ พอจะมีวิธีไหนบ้าง ที่สามารถรู้ผลได้เร็วที่สุด”
เขาหันไปถามเพื่อนตัวเองท่าทางสบาย ๆ จะมีก็แต่ฉันนี่แหละที่ยืนอ้าปากค้างพร้อมกะพริบตาปริบอย่างคนไม่รู้เรื่องราว ก็ไม่รู้จริง ๆ นี่นาว่าเขามีเพื่อนเป็นหมอ ในเมื่อพี่สาวตัวดีไม่เห็นบอก
“ตอนนี้เครื่องมือทางการแพทย์ล้ำสมัยกว่าแต่ก่อนมาก มึงไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก”
ซวยแล้วมั้ยล่ะ! เพราะฉันดันลืมเรื่องนั้นเสียสนิทว่าสมัยนี้นวัตกรรมต่าง ๆ มันไปไกลมากแล้ว
“เยี่ยม งั้นเดี๋ยวกูไปโรงบาลที่มึงทำงานอยู่ก็แล้วกัน รบกวนติดต่อหมอสูติให้หน่อยนะ”
“เดี๋ยวกูโทรนัดให้เลยก็ได้”
“ยัง ๆ ยังไม่ต้องดีกว่า”
เขายกมือขึ้นปรามเพื่อนที่กำลังจะเอื้อมหยิบสมาร์ตโฟนบนโต๊ะ ซึ่งในตอนนั้น ฉันรู้สึกเบาใจขึ้นบ้าง แต่ก็ดูเหมือนว่าสมองอยากจะยอมแพ้ภารกิจนี้ให้มันจบ ๆ ทั้ง ๆ ที่มันเพิ่งเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
“ถ้าคุณต้องทำถึงขนาดนั้น ไม่ต้องมารับผิดชอบอะไรฉันกับลูกก็ได้”
“ทำไม กลัวความจริงจะปรากฏหรือไง”
“เปล่า แต่รู้สึกเหมือนโดนดูถูกว่าฉันเป็นผู้หญิง มั่ว ร่าน อะไรเทือก ๆ นั้นต่างหาก”
“คุณกำลังด่าตัวเองอยู่นะ”
“ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ คุณลืมเรื่องในวันนี้ไปก็แล้วกัน”
ฉันพูดเพียงเท่านั้นแล้วรีบหมุนตัวเร่งฝีเท้าออกไปจากร้าน เพราะจู่ ๆ ก็รู้สึกปอดแหกขึ้นมาอีกครั้ง แต่กลับถูกมือของคนที่ฉันเพิ่งหนีมาคว้าตรงแขนกึ่งลากไปอีกทาง
“คุณจะทำอะไร ปล่อยฉันนะ”
“ก็พาคุณไปตรวจที่โรงบาลไง”
“ไหนตะกี้คุณยังปฏิเสธไม่ให้เพื่อนติดต่อหมออยู่เลย” ฉันพยายามดึงแขนให้หลุดจากการเกาะกุมของเขา แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมปล่อยง่าย ๆ
“ก็เพราะว่าผมจะพาคุณไปตอนนี้เลยยังไงละ”
"แต่ยังไง ยังไงก็ต้องนัดหมอไว้ล่วงหน้า" ลิ้นเริ่มพันกันเพราะความกดดัน
"เชื่อเถอะ ว่าผมจัดการได้”
"..."
“หึ! จะได้รู้กันไปเลย ว่าชีวิตหลังจากนี้ของคุณจะได้ทำหน้าที่แม่คน หรือเป็นวิญญาณเฝ้ารากมะม่วงกันแน่”
"ใช่ ใช่จริง ๆ ด้วย""...""แต่เดี๋ยวก่อนนะ"เมื่อพี่สาวของฉันลองสังเกตดี ๆ เธอก็ถึงกับชะงักไปอีกครั้ง ซึ่งฉันเองก็ไม่ได้แตกต่างกันนักกับภาพที่เห็น ชายหนุ่มสองคนที่หน้าเหมือนกันจนแยกไม่ออกได้พาตัวเองลงมาจากรถหรูลคันนั้น แล้วกดออดหน้าบ้านของเราอย่างไม่ลังเล"มันจะมาด้วยทำไม"สีหน้าของพี่พราวเครียดขึงทันที เห็นได้ชัดว่าเธอโกรธจนถึงขีดสุดเมื่อพบคนที่เธอไม่อยากพบเจอ นั่นก็คือพี่ชายฝาแฝดของครินทร์ส่วนฉันได้แต่ยืนตัวแข็ง หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกอึดอัด ทำอะไรแทบไม่ถูกเลยสักอย่างกระทั่งไม่นานนัก แม่ก็เดินออกไปที่หน้าบ้าน ฉันเห็นเธอคุยกับผู้ชายสองคนนั้นอยู่พักหนึ่ง สีหน้าของแม่อ่านไม่ออกเลยว่ารู้สึกยังไง แต่สุดท้ายก็เอื้อมมือเปิดประตูเชิญพวกเขาเข้ามา“พวกเขามาทำอะไรกัน” มือทั้งสองข้างของฉันเย็นเฉียบ ความตื่นเต้นแผ่ซ่านอยู่ในอก“ไปน้อง เห็นทีเราต้องไปจัดการด้วยตัวเองแล้วละ” พี่พราวถอนหายใจฮึดฮัดฉันพยักหน้ารับ ทั้งที่หัวใจยังเต้นระส่ำ ก่อนจะก้าวตามพี่สาวไปข้างล่าง พี่พราวจูงมือฉันลงบันไดแทบจะลากกันอยู่แล้ว พอเท้าเหยียบพื้นชั้นล่างและเห็นหน้าคนที่เธอเกลียดที่สุดในโลก ก็ตะโกนลั่นอย่างไม่ไว้หน้า“ม
หลายวันมานี้ ฉันเอาแต่ขลุกตัวอยู่ในห้องนอนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพื้นที่ปลอดภัย ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงกรงแคบ ๆ ที่ชวนให้รู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ทั่วท้อง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังดีกว่าการที่ฉันลากสังขารตัวเองออกไปข้างนอกผ้าม่านสีครีมถูกปิดสนิทไว้ตลอดเวลา ปล่อยให้ความมืดมิดปกคลุมไปทั่วทั้งห้องจนแยกไม่ออกว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืนเศษกระดาษทิชชูที่ใช้ซับน้ำตาถูกกองทิ้งไว้เป็นหย่อม ๆ ส่วนโต๊ะหัวเตียงก็เต็มไปด้วยขวดน้ำซึ่งถูกดื่มไปเพียงไม่กี่อึก และจานข้าวที่แม่เอามาวางไว้ให้ยังคงอยู่ที่เดิม ฉันไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรทั้งนั้น นอกจากนอนนิ่ง ปลดปล่อยอารมณ์ให้ตัวเองจมอยู่กับความเศร้าหลังจากตัดสินใจกลับมาบ้านแล้วสารภาพทุกอย่าง พ่อกับแม่ก็แสดงความผิดหวังอย่างที่คาดไว้ และฉันก็ยอมรับความผิดพลาดของตัวเองอย่างเจ็บปวดแต่ผ่านไปไม่กี่วัน ท่านทั้งคู่ก็ค่อย ๆ กลับมาเป็นเหมือนเดิม ไม่มีใครถามถึงพ่อของเด็กอีก อันที่จริงการที่ครอบครัวยอมรับเรื่องนี้ได้ มันควรทำให้ฉันสบายใจ แต่ไม่รู้ทำไม ความโล่งใจนั้นกลับไม่เคยเกิดขึ้นเลยกลับกัน ความเศร้า ความผิดหวังในตัวเอง รวมถึงความสูญเสียบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก กลับค
Krinth Talkทันทีที่ผมผลักประตูเข้ามาในห้องผู้ป่วย แล้วพบกับความเงียบสงัด และบนเตียงอันว่างเปล่าก็ทำเอาลมหายใจสะดุดไปชั่วขณะของกินหลายอย่างที่ตั้งใจแวะซื้อระหว่างทางถูกวางลงบนโต๊ะอย่างลวก ๆ เพราะความรู้สึกไม่สบายใจเริ่มก่อตัวขึ้นทีละนิดผมก้าวยาว ๆ ไปยังห้องน้ำ หวังว่าจะพบเธออยู่ภายในนั้น ทว่ากลับปราศจากคนที่กำลังตามหาลางสังหรณ์บางอย่างกดทับอกจนรู้สึกอึดอัด ผมจึงจ้ำอ้าวกลับมาที่ข้างเตียง ก่อนจะกวาดสายตาสำรวจทั่วห้องอย่างร้อนรน จนมาสะดุดกับกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งที่ถูกแจกันทับไว้หัวใจของผมกระตุกวูบทันทีที่เห็น แล้วคว้าขึ้นมาอย่างรีบร้อน นิ้วสั่นระริกขณะคลี่มันออกอ่าน“ขอโทษ”แค่คำแรกก็ทำให้คิ้วของผมขมวดเข้าหากัน ความไม่สบายใจขยายตัวทันที ผมรีบไล่อ่านประโยคถัดมาอย่างรวดเร็ว“ฉันขอโทษที่ต้องทำแบบนี้ ขอโทษที่หายไปโดยไม่กล่าวคำร่ำลา แต่ฉันอยากให้คุณรู้ว่าตลอดระยะเวลาที่ได้อยู่กับคุณ ฉันมีความสุขมาก มากที่สุด ฉันไม่เคยได้รับสิ่งเหล่านั้นจากผู้ชายคนไหนมาก่อน แต่ฉันกลับได้รับมันจากคุณทุกอย่าง”ผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น คำถามมากมายถาโถมเข้ามาพร้อมความสับสน ตัวอักษรพวกนั้นเรียบง่ายแต่บีบหัวใจของผมจน
ฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าห้องพักผู้ป่วยจะกลายเป็นสถานที่แสนอบอุ่นได้ถึงขนาดนี้จากฝีมือการเนรมิตของเขาภายในห้องถูกประดับประดาด้วยดวงไฟสีทองอร่ามที่พันไว้รอบราวแขวนผ้าม่านและขอบหน้าต่าง ส่องประกายสว่างไสวเสียงกรุ๊งกริ๊งเบา ๆ จากกระดิ่งขนาดเล็กที่แขวนไว้ปลายสายไฟทำให้เหมือนมีหิมะโปรยปรายลงมา ผืนผ้าห่มสีแดงลวดลายซานตาคลอสถูกคลุมทับผ้าปูเตียงสีขาวดูสะดุดตามิสเซิลโทกิ่งเล็ก ๆ สีเขียวเข้มที่มีผลเบอร์รีสีขาวใสติดอยู่ ถูกติดไว้เหนือหัวเตียงราวกับคำนวณตำแหน่งมาแล้วอย่างดี ภาพเหล่านั้นทำให้ฉันที่กำลังมองอดยิ้มตามไม่ได้“สุขสันต์วันคริสต์มาส”“สุขสันต์วันคริสต์มาสค่ะ” ฉันตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มกว้าง“เป็นไง ชอบมั้ย” เขาถามขณะวางถุงกระดาษสองสามใบลงบนโต๊ะข้างเตียง“แน่นอนว่าต้องชอบอยู่แล้วค่ะ ว่าแต่คุณทำทั้งหมดนี้คนเดียวเลยเหรอคะ” ก่อนหน้านี้ฉันต้องไปตรวจร่างกายซึ่งใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะทำทุกอย่างได้อย่างรวดเร็วจนน่าประหลาดใจ“ก็ต้องคนเดียวสิ”ริมฝีปากของเขาปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ พลางเดินไปยกถาดของหวานที่วางอยู่บนโต๊ะมาทางฉันกลิ่นหอมหวานของช็อกโกแลตและอบเชยลอยมาทันที ทำให้ฉันร





