LOGINช่วงบ่ายหลังประชุมเปิดเพจกับทีม ฉันแวะซูเปอร์มาร์เก็ตซื้อของใช้จำเป็น ที่ตากผ้า ไม้แขวน เทปผ้าใบ (ฉลาดขึ้นแล้ว) และขนมแมว ฉันตั้งใจจะทำอาหารเย็นง่าย ๆ ข้าวผัดทูน่า เมนูกู้ชีพของคนยังไม่ได้ซื้อหม้อใบใหญ่
พอกลับถึงชั้น 18 ฉันเจอภีมยืนคุยกับ รปภ. ของคอนโด รปภ. หัวเราะลั่นอยู่กับโตโตะที่กำลังเอาหน้าไปถูขาเขา พอเห็นฉัน โตโตะก็วิ่งมาเลียรองเท้าฉันเหมือนทักทาย
“วันนี้ระบบท่อโอเคไหมครับ” ภีมถาม
“โอเคค่ะ ฉันไม่กล้าลองอีกครั้งจนกว่าช่างจะมา” ฉันยิ้มรับ “เย็นนี้จะลองทำข้าวผัด ถ้าควันไฟเตือนดัง ฉันจะตีระฆังขอความช่วยเหลือนะคะ”
“ถ้าได้กลิ่นไหม้ ผมจะนำทีมดับเพลิง” ภีมแกล้งจริงจัง
เราหัวเราะ ทันใดนั้น ประตูห้องฉันดันเปิดออก โมจิ ดันมันจากข้างใน! ฉันแน่ใจว่าล็อกแล้วนะ แต่มันคงยังไม่ชินกับประตูใหม่ เลยอาศัยช่องว่างเล็ก ๆ หนีออกมาอีกครั้ง มันยืนจังก้า กลิ้งตัวหนึ่งรอบอย่างผู้ชนะ แล้วจู่ ๆ ก็วิ่งปุเลง ๆ ไปที่ห้อง 18B ตามโตโตะที่วิ่งนำไปก่อน
“เฮ้ เดี๋ยว!” ฉันร้อง ภีมหัวเราะ “ปล่อยเลยครับ เดี๋ยวผมเปิดให้มันเดินเล่นนิดหน่อย”
ฉันตามเข้าไป ห้องของภีมสะอาด เรียบง่าย มีชั้นวางหนังสือเกี่ยวกับกาแฟ การคั่ว เทคนิคสกัด และหนังสือภาพถ่ายภูเขาไฟ ฮาวาย โคลอมเบีย ไล่เรียงเป็นระเบียบ เหมือนเจ้าของห้อง
“ว้าว…” ฉันเผลอพูด “คุณนี่ทำอะไรก็เป็นระบบจริง ๆ”
“แค่ไม่อยากเสียเวลาหาของครับ” เขาตอบ แล้วหยิบของเล่นหมารูปโดนัทให้โตโตะ ส่วนโมจิขึ้นไปนั่งบนพนักโซฟาอย่างราชินี
“แล้วคุณชอบอ่านอะไร” ภีมหันมาถาม
“นิยายอบอุ่น ๆ ตลก ๆ ค่ะ ช่วยให้คิดงานได้ และอ่านก่อนนอนแล้วไม่ฝันร้าย” ฉันหยุดนิด “จริง ๆ ก็อยากเขียนด้วยนะ แต่ยังไม่มีวินัยพอ”
“ลองเริ่มวันละย่อหน้าดูไหมครับ” เขาพูดเหมือนเรื่องง่ายดาย “เหมือนชงกาแฟ วันแรกอาจไม่เข้าที่ แต่มือจะคุ้นขึ้นเรื่อย ๆ”
ฉันยิ้ม “นี่คุณเป็นบาริสต้าหรือโค้ชชีวิตคะ”
“ผสม ๆ กันครับ” เขาว่า แล้วหันไปเก็บโดนัทผ้าที่โตโตะทำหล่น “เดี๋ยวผมให้คอนโดส่งช่างขึ้นมาตรวจหัวก๊อกให้ พรุ่งนี้เช้าโอเคไหม”
“โอเคมาก ๆ ค่ะ ขอบคุณนะคะ” ฉันรู้สึกว่าพูดคำนี้กับเขาบ่อยจนกลัวว่าจะติดหนี้กรรม แต่ความจริงคือ ฉันรู้สึกปลอดภัย
ก่อนกลับห้อง ฉันชั่งใจนิดหนึ่งแล้วพูด “เอ่อ ถ้าคุณไม่รังเกียจ คืนนี้ฉันทำข้าวผัดทูน่า…อยากเอาไปฝากเป็นการขอบคุณ จะกินหรือจะโยนทิ้งก็แล้วแต่ชะตากรรม”
ภีมมองหน้าฉัน แววตาเป็นประกายขัน ๆ “รับครับ ผมกับโตโตะยินดีเป็นหนูทดลอง”
“ดีค่ะ ถ้าโมจิไม่กิน ฉันจะถือว่าสอบผ่าน” ฉันยกมือไหว้แบบขำ ๆ แล้วลากแมวตัวอ้วนกลับห้อง มันหันมามองภีมกับโตโตะเหมือนจะบอกว่า “ประชุมครั้งหน้าเจอกัน”
ตอนค่ำ ข้าวผัดทูน่าจานแรกของคอนโดใหม่ออกมาหน้าตาพอได้ (ฉันเปิดหน้าต่างกับดูดควันไว้พร้อม—ขอตบไหล่ตัวเอง) ฉันตักใส่กล่องสองกล่อง เดินไปเคาะประตู 18B
ภีมเปิดประตูพร้อมกลิ่นกาแฟหอมจาง ๆ และเสียงคลอเพลงแจ๊สเบา ๆ “โอ้ มีแพ็กเกจจากครัวชั้น 18”
“จ้าาา” ฉันยื่นกล่องให้ “ห้ามดมก่อน ต้องชิมแล้วค่อยวิจารณ์”
เขาหยิบช้อนมาลองคำหนึ่ง ทำหน้าตรวงตังเมเล็กน้อย แล้วพยักหน้า “รสชาติซื่อสัตย์ วัตถุดิบขยัน ข้าวเม็ดร่วนดี”
“แปลว่าอะไรคะ”
“แปลว่าอร่อยครับ แต่ถ้าผัดในกระทะเหล็กจะหอมกว่านี้นิดหนึ่ง” เขาพูดตรง ๆ แต่เป็นโทนที่ไม่ทำให้ฉันอยากร้องไห้กลับบ้านเก่า
“รับทราบค่ะ เดี๋ยวไปซื้อกระทะใหม่” ฉันหัวเราะ “อ้อ แล้วนี่คุกกี้ปลาอบกรอบของโมจิ ใช้รายจ่ายหลอกล่อมันให้อยู่บ้าน”
“ขอบคุณแทนโตโตะด้วยครับ” ภีมชี้ถุงคุกกี้หมาที่วางบนโต๊ะ “เรามีการทูตระหว่างเผ่าพันธุ์แล้ว”
บรรยากาศเงียบสบายไปชั่วครู่ เรายืนหัวเราะน้อย ๆ โดยไม่ต้องมีเรื่องใหญ่โตพูดถึง ฉันคิดว่า ถ้าให้บรรยายความรู้สึกตอนนี้ คงเป็นคำว่า “อบอุ่นแบบไม่ต้องพิสูจน์”
“คืนนี้พักผ่อนนะครับ” ภีมพูดในที่สุด “พรุ่งนี้เช้าถ้าคุณผ่านร้าน ผมทำแซนด์วิชไข่ให้ อร่อยกว่าเครื่องซักผ้ารั่วแน่นอน”
“ดีลค่ะ” ฉันชูกำปั้นเล็ก ๆ แบบคนเพิ่งชนะเกมด่านแรก “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะ”
ฉันกลับห้อง ปิดประตู พิงกับบานประตูแล้วปล่อยลมหายใจยาว ๆ โมจิเดินมาถูขา ถูจนฉันเกือบล้ม ฉันก้มลงอุ้มมันขึ้น “โมจิจ๋า เราเริ่มชอบชั้น 18 แล้วนะ”
บนโต๊ะ มีสมุดโน้ตเล่มเล็กที่ฉันพกติดตัวเสมอ ฉันเปิดหน้าใหม่ เขียนบรรทัดแรกของนิยายที่อยากเขียนมานาน “วันแรกของฉันในคอนโดใหม่เริ่มด้วยประตูเอี๊ยด เครื่องซักผ้าดื้อ และข้างห้องชื่อภีมที่ชงกาแฟเก่งกว่าที่ฉันคิดว่าคนธรรมดาจะเก่งได้”
ฉันวางปากกา ยิ้มกับตัวเอง และคิดว่า บางที การเริ่มต้นใหม่ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าเพื่อนบ้านที่ช่วยขันหัวก๊อก กาแฟหนึ่งแก้ว และการยอมสัญญากับตัวเองว่าจะเขียนวันละย่อหน้า
เสียงแจ้งเตือนไลน์ดัง “พรุ่งนี้ 8.30 นัดช่างนะครับ ภีม” ตามด้วยอีโมจิรูปไขควงและรูปถ้วยกาแฟ
ฉันพิมพ์ตอบ “รับทราบค่ะ มะปราง” แล้วเติมอีโมจิรูปแมวหนึ่งตัว
ไฟในห้องสลัวลง ฉันปิดม่าน พร้อมความคิดง่าย ๆ ในหัวพรุ่งนี้เช้า ฉันจะเริ่มที่แซนด์วิชไข่หนึ่งชิ้น ลาเต้อุ่นหนึ่งแก้ว และย่อหน้าแรกของวันที่สอง
ทุกอย่างดูเหมือนกำลังเข้าที่…แน่นกว่าเดิม ไม่เหมือนหัวก๊อกเมื่อเช้าแล้วล่ะ
“บางความเงียบอบอุ่นกว่าคำขอโอกาส” เสียงกาน้ำเดือดดังแผ่วในห้องครัวเล็ก ๆ ของคอนโด มะปรางเทกาแฟลงแก้ว กลิ่นหอมลอยปะทะจมูกพร้อมความรู้สึกที่ทั้งคุ้นและสั่นเบา ๆ ที่หน้าอก โมจิเดินมาคลอเคลียขา ส่งเสียง “เมี้ยว—” เหมือนรู้ว่าเจ้าของกำลังมีเรื่องกังวล “วันนี้แม่ต้องเจอคนเก่านะ” เธอก้มลงลูบหัวมันเบา ๆ “อย่าให้แม่ใจสั่นมากเลยนะโมจิ” เจ้าแมวตัวกลมตอบกลับด้วยเสียงเบา ๆ แล้วเดินไปนอนบนกระเป๋าผ้า เหมือนจะกันไม่ให้เธอออกจากห้อง โทรศัพท์สั่นเตือนบนโต๊ะภีม: วันนี้ทีมคุณมากี่คนครับ จะได้เตรียมโต๊ะ โตโตะจะได้ไม่เห่าใส่มะปรางเผลอยิ้ม ก่อนพิมพ์ตอบมะปราง: ห้าคนค่ะ รวมลูกค้าด้วย ขอบคุณมากนะคะ ยังไม่ทันวางโทรศัพท์ เสียงโทรเข้าดังขึ้น “มิ้นท์” โผล่มาเต็มจอ “ตื่นยัง ยัยโมจิใหญ่” น้ำเสียงคุ้นเคยดังสดใสแต่แฝงความห่วง “ตื่นแล้วสิ แต่ใจยังไม่พร้อมเจออดีตเท่าไร” “อย่าบอกนะว่ายังใจเต้นอยู่” “เต้นค่ะ...แต่เต้นเพราะกลัวจะทำหน้าตาไม่ถูก” “ดีแล้ว อย่างน้อยเธอก็ยังมีความรู้สึก แปลว่ายังไม่ด้าน” มะ
เสียงพิมพ์คีย์บอร์ดดังสลับกับเสียงเครื่องปรับอากาศที่เป่าลมเบา ๆ ทั่วออฟฟิศ มะปรางนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวเดิม ข้าง ๆ มีกองแฟ้มเอกสารและถ้วยกาแฟเย็นที่ละลายไปครึ่งแก้ว เธอจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจ แต่สายตากลับพร่าเพราะใจลอยไปถึงวันปิดกอง ภาพคนที่ยื่นแก้วกาแฟให้เธอด้วยรอยยิ้มเรียบง่ายยังคงวนเวียนในหัวไม่จาง เสียงแจ้งเตือนเมลเด้งขึ้นมาในจังหวะเดียวกับที่เธอถอนหายใจFrom: Natee S.Subject: Debrief Meeting – ขอเวลาคุยงานเพิ่มเติมครับ เธอมองชื่อผู้ส่งอยู่นาน มือที่จับเมาส์นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะกดเปิดอย่างระมัดระวัง “ปรางครับ มีไอเดียอยากต่อยอดจากแคมเปญนี้นิดหน่อย พอมีเวลาคุยไหมครับ?” ถ้อยคำดูสุภาพ แต่ในใจของเธอกลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยในแบบเดียวกับเมื่อสองปีก่อน ตอนที่เขาใช้เสียงเดียวกันพูดว่า “ไว้ค่อยคุยกันนะ” ก่อนหายไปจากชีวิตเธอ มะปรางพิมพ์ตอบในโทนที่เป็นทางการที่สุด “ได้ค่ะ ถ้าเป็นเรื่องงาน รบกวนแจ้งเวลาล่วงหน้า จะได้จัดตารางประชุมให้ค่ะ” ส่งเสร็จเธอรีบปิดเมล แล้วพยายามฝืนทำงานต่อ แต่สมาธิกลับหล่นหายไป
เมื่อทุกอย่างดูเข้าที่ เหตุการณ์ทดสอบเล็ก ๆ ก็โผล่มาอีกครั้ง ขณะตั้งไฟสองดวงไขว้กันเพื่อให้เงาแก้วดูมีมิติ อยู่ ๆ ไฟในโซนบาร์ก็กะพริบ “แป๊ะ” แล้วดับเงียบทั้งแถบ “อ่าว เบรกเกอร์ไปแล้วเหรอ” พีทร้อง ฉันหันขวับมองนาฬิกา เวลาเริ่มบีบ เพราะเรายังต้องเก็บช็อตสุดท้ายช่วงแสงเย็น ภีมถือไฟฉายเล็กออกมาทันทีเหมือนเตรียมไว้สำหรับเหตุการณ์นี้อยู่แล้ว “ตรงนี้คงรับกำลังไฟของเครื่องชงกับไฟชุดหนึ่งตัวไม่ไหวครับ เดี๋ยวผมย้ายปลั๊กชุดไฟไปที่อื่นแทน แล้วใช้รีเฟล็กซ์แทนไฟหนึ่งดวง จะได้ไม่ดึงกระแสเกิน” เขาพูดจบก็ลงมือทันที จัดปลั๊กพ่วง เสียบ–ดึง–ลองสวิตช์อย่างใจเย็น ทีมงานที่เหลือช่วยจับรีเฟล็กซ์ขนาดกลาง ภายในห้านาทีไฟกลับมาสว่างแต่ไม่จ้าเกิน ได้ภาพในจออย่างที่อยากได้ “โห…เจ้าของร้านนี่แหละแก้ปัญหาเก่งกว่าช่างไฟอีก” พีทยกนิ้วให้ ฉันยืนมองภาพในจอแล้วหันไปมองเจ้าของร้านตัวจริง คนนั้นยืนเช็ดมือกับผ้าเช็ดบาร์เหมือนเดิม สีหน้าสงบเหมือนตอนชงกาแฟ นาทีนั้นหัวใจฉันนิ่งแบบที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นในกองถ่าย เร่งแค่ไหนก็มักจะมีความลนอยู่ในอากาศ แต่เขากลับทำให้ห้องนี้ห
เช้าวันถัดจากทริปเล็ก ๆ ฉันตื่นก่อนนาฬิกาอีกครั้ง เหมือนร่างกายจำสัญญาเงียบ ๆ ระหว่างฉันกับเช้าว่าเราจะเริ่มวันด้วยความอุ่น ไม่ใช่ความรีบ ฉันชงดริปด้วยเมล็ด “ทุ่งหญ้ารุ่นพิเศษ ทริปเล็ก ๆ” ที่ภีมยื่นให้เมื่อคืนก่อน กลิ่นดอกไม้จาง ๆ ลอยขึ้น ปลายรสหวานเหมือนเสียงหัวเราะที่ยังค้างอยู่ในคอจากเมื่อวาน ฉันยกแก้วไปยืนที่ระเบียง เห็นประตูฝั่งตรงข้ามเลื่อนเปิดในเวลาแทบจะตรงกัน ภีมยกแก้วของเขาขึ้นนิด ๆ เราสองคนยิ้มให้กันอย่างไม่ต้องพูดอะไรมาก “วันนี้สู้ ๆ นะครับ” เขาพูดเบา ๆ แต่ได้ยินชัด “คุณด้วยค่ะ” ฉันตอบ ทั้งที่ในหัวเริ่มเรียงงานแบบผู้จัดการกองถ่ายฉบับเร่งด่วน เพราะวันนี้คือวันสำคัญ ทีมฉันต้องถ่ายทำคอนเทนต์ชุด “Warm is a Place” สำหรับลูกค้า และโลเกชันที่เลือกคือร้านของภีม…ที่เดิม หลังอาบน้ำแต่งตัว ฉันเปิดงานในโทรศัพท์ ไลน์กรุ๊ป “กองอุ่นจริง” (ตั้งชื่อตามคีย์เวิร์ด) เด้งข้อความจากพี่นนท์: “คอนเฟิร์ม 10:00 เริ่มเซ็ต ซีนแรกเปิดหน้าร้าน ซีนสองบาร์ ซีนสามโต๊ะไม้ ใครถึงก่อนช่วยแจ้ง” ฉันพิมพ์ตอบ “ฉันถึงก่อน 9:30 ไปเช็กลิสต์พร็อพกับเจ้าของร้านค่ะ” แล้
เขาเงียบไปเล็กน้อยเหมือนเช็กหัวใจตัวเองก่อนพูด “เคยครับ แต่ภาพนั้นไม่ชัดเจนเท่าไหร่ รู้แค่ว่าถ้ามีมันคงเหมือนโต๊ะหนึ่งตัวที่คนในบ้านชอบกลับไปนั่งด้วยกัน มีเสียงหัวเราะของสัตว์เลี้ยง มีแก้วน้ำสองใบวางอยู่เสมอ” ฉันยิ้มกว้างกว่าคำถามที่ตั้งใจ “แก้วสองใบ…บนที่รองแก้วสองแผ่น” เขายิ้มกลับ “ครับ” เราลุกขึ้นไปเดินรอบบึงช้า ๆ หลังทานของว่าง ดอกหญ้าสีน้ำนมไหวตามลมเหมือนคนโบกมือทักทายจากสองฟากทาง ฉันเดินถือสายจูงโตโตะ ภีมสะพายตะกร้า ส่วนโมจิอย่างที่คาดขึ้นคานอนบนไหล่ภีมเหมือนราชินีบนราชรถ คนเดินสวนมาหลายคนอดทักไม่ได้ “น้องแมวเก่งจังเลยค่ะ” ภีมยิ้ม “จริง ๆ แล้วเก่งที่ยอมให้ผมแบกมากกว่าครับ” ฉันหัวเราะจนลืมว่าครู่หนึ่งก่อนหน้านี้ฉันเคยล้มกลิ้ง ความเขินจากเหตุการณ์เช้าแปรสภาพเป็นความจำที่น่ารักอย่างรวดเร็ว เมื่อเดินครบรอบ เรากลับมาที่ผ้าปิกนิก ฉันวางโมจิลง มันเดินตรงไปตรวจคุณภาพอาหารบนจานภีมแล้วนั่งทับรายการกินเหมือนจะปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง โตโตะหมดแรงนิด ๆ นอนแผ่พุงเหยียดขาตรง ทำหน้าฟินราวกับเพิ่งชนะ
เช้าวันหยุดหลังคืนดาดฟ้าที่ใจเราเหมือนตกลงสัญญาเงียบ ๆ ฉันตื่นเร็วกว่าปกติทั้งที่ไม่มีนาฬิกาปลุก ลมเช้าจากระเบียงพัดกลิ่นกาแฟที่บดไว้เมื่อคืนโชยเข้ามา โมจิเดินมาวนรอบขาเหมือนนาฬิกาปลุกมีขน ฉันลูบหัวมันแล้วพูดกับตัวเองว่า วันนี้อยากทำอะไรช้า ๆ แบบไม่ต้องชนะเวลา พอเปิดประตูระเบียงก็เจอภีมยืนพาโตโตะออกมารับแดดจาง ๆ เขาส่งยิ้มแบบที่เคยทำ ยิ้มที่ไม่รีบให้คำตอบ แต่บอกว่าอยู่ข้าง ๆ “อรุณสวัสดิ์ครับ” “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ฉันตอบพร้อมยกแก้วน้ำให้โมจิดมเล่น แดดเช้าตีกับราวระเบียงเป็นริ้ว ๆ จนฉันเผลอหยุดมอง ภีมเอ่ยขึ้นเหมือนคิดไปพร้อมกับลม “วันนี้อากาศดี อยากลองพาโตโตะไปสวนสาธารณะนอกเมือง…คุณกับโมจิสนใจไปด้วยไหมครับ” คำชวนฟังดูง่าย แต่หัวใจฉันกลับทำงานซับซ้อนขึ้นมาทันที มันไม่ใช่แค่ไปสวน มันคือการออกนอกพื้นที่ปลอดภัยที่เราเคยอยู่ร่วมกัน จากโถงชั้น 18 ระเบียง โต๊ะโอ๊ค ไปสู่โลกกว้างที่เราไม่เคยใช้เวลาเป็น “พวกเรา” จริง ๆ มาก่อน ฉันลังเลเพียงเสี้ยววินาที ก่อนพยักหน้า “ไปค่ะ” โมจิตอบแทนด้วยการตดเ







