LOGINทุกเช้าเวลา 7:50 น. เธอจะชงกาแฟแก้วเดิม... และเขาจะออกมาขอกินด้วยทุกครั้งจากระเบียงข้าง ๆ “ภีม” ชายข้างห้องที่ไม่เคยพูดคำหวาน แต่ทุกการกระทำกลับทำให้หัวใจของ “มะปราง” อุ่นขึ้นทุกวัน จนกระทั่ง... “นที” แฟนเก่าที่เคยทำให้เธอเจ็บ กลับมาพร้อมข้อเสนอทางงานที่เธอปฏิเสธไม่ได้ ระหว่างชายที่ “พูดมากไป” กับชายที่ “พูดน้อยแต่ทำให้รู้สึกทุกอย่าง” ใครกันแน่...คือคนที่อยู่ในจังหวะเดียวกับหัวใจเธอ
View Moreฉันกับชีวิตใหม่เริ่มต้นด้วยกล่องกระดาษยี่สิบหกใบ เทปกาวสามม้วน และแมวอ้วนหนึ่งตัวชื่อ “โมจิ” ที่กำลังพยายามหนีออกจากกล่องเหมือนมันเป็นนักมายากลระดับโลก
“โมจิ หยุด! ถ้าแกหายไปตั้งแต่วันแรก แม่ไม่รับผิดชอบนะ” ฉัน มะปราง พูดกับมันพลางคีบปีกกล่องให้แน่นขึ้น
ลิฟต์ของคอนโดใหม่แวะรับคนทุกชั้น พนักงานขนของหน้าตาร่าเริงยิ่งกว่าฉันที่เป็นเจ้าของของเสียอีก เขาถามว่า “พี่อยู่ห้องไหนครับ”
“18A ค่ะ” ฉันตอบ พร้อมชูสติ๊กเกอร์สีชมพูที่แปะเลขห้องเอาไว้ทุกกล่องกันหลง คิดในใจว่า วันนี้ทั้งวันคงได้ยินเสียงเทปกาวฉีกกับเสียงตัวเองบ่น—อันไหนจะดังมากกว่ากันยังไม่รู้
เมื่อถึงชั้น 18 ประตูทางเดินยาวขาวสะอาดเหมือนโรงพยาบาล พนักงานวางกล่องเป็นแนวเรียบร้อย ฉันไขกุญแจแล้วรู้สึกขนลุกเล็ก ๆ กับความว่างเปล่าของห้องผนังเปลือย พื้นไม้ยังเงาวาว กลิ่นสีเคลือบและแสงบ่ายเอนเข้ามาไล่เงาดำไปตามมุม
“โมจิ อยู่ดี ๆ นะลูก เรามีชีวิตใหม่แล้ว เข้าใจมั้ย” ฉันพูดกับเจ้านายอ้วนในกล่องที่อยากจะพาไปสมัครเรียนพูดรู้เรื่อง
ไม่ถึงห้านาทีถัดมา เสียงเคาะประตูดัง “ก๊อก ๆ”
ฉันเปิดออกไป เห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนพิงประตูห้องฝั่งตรงข้าม สวมเสื้อยืดสีดำ กางเกงสีกากี หน้าตาสุขุมแบบคนไม่ค่อยพูด มือถือไขควงกับถุงสกรูเล็ก ๆ เหมือนช่าง แต่รองเท้าผ้าใบสะอาดเกินกว่าจะเป็นช่างที่ออกไซต์งานทั้งวัน
“ย้ายมาใหม่เหรอครับ” เขาถามเสียงเรียบ
“ใช่ค่ะ” ฉันยิ้ม “ขอโทษนะคะ ถ้าดังไปนิด…คือกล่องมันร้องเอง” ฉันชี้ไปที่กองกล่อง ส่วนหนึ่งสั่นนิด ๆ เพราะโมจิกำลังทดสอบแรงโน้มถ่วงโลกอยู่ข้างใน
เขามองกล่อง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “ผมชื่อภีม อยู่ห้อง 18B ข้าง ๆ กัน ถ้ามีอะไรให้ช่วย บอกได้”
“ขอบคุณค่ะ ฉันมะปรางค่ะ” ฉันยกมือไหว้แบบไทย ๆ พยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่ที่ควบคุมชีวิตได้ ทั้งที่จริง ๆ น่าจะเริ่มจากควบคุมแมวก่อน
“แล้ว…อันนี้กำลังจะทำอะไร ซ่อมหรือคะ” ฉันชี้ไขควง
“ประตูผมมันเอี๊ยด ๆ นิดหน่อย” เขาตอบสั้น ๆ
“อ๋อ…ดีจังค่ะ ข้างห้องเป็นช่าง” ฉันเผลอพูดออกไป
เขาหัวเราะในลำคอ “ไม่ใช่ช่างครับ แค่ชอบซ่อมของเอง” น้ำเสียงฟังดูใจดี ไม่รีบ ไม่ช้า
คุยนิดหน่อยแล้วเขากลับไป ฉันปิดประตู หันกลับมาหากล่องลูกชายแล้วใจหายวาบ “โมจิ?” กล่องเปิดแง้ม ฝาตั้งขึ้นเหมือนธงประกาศชัยชนะของฝ่ายศัตรู
แมวหาย
ฉันวิ่งไปทั่วห้อง เช็คใต้เคาน์เตอร์ในครัว ใต้เตียงที่ยังไม่มีเตียง ตามซอกไม้บัว แล้วก็รู้สึกภูมิใจในความไร้ระเบียบของตัวเองที่ทำให้หาแมวไม่เจอ
ระหว่างที่กำลังจะร้องไห้ เสียงเล็บขูดพื้น “สก๊อบ ๆ” ดังมาจากด้านนอก ฉันวิ่งไปเปิดประตู—ภาพที่เห็นคือ โมจินั่งตาปรืออยู่หน้าห้อง 18B และข้าง ๆ กันมีหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์หูนอนสีน้ำตาลหนึ่งตัวนั่งเฝ้า มันยิ้ม เหมือนจะบอกว่า “ผมช่วยดูแลแมวให้ก่อนนะครับ”
ภีมเปิดประตูตามเสียง เขามองฉัน มองแมว มองหมา แล้วพูดสั้น ๆ “ของคุณใช่ไหม”
ฉันยืนหอบ “ใช่ค่ะ ขอโทษนะคะ โมจิมัน…มันมีวิญญาณเสรีภาพ” ฉันก้มลงจะอุ้ม แต่โกลเด้นรีทรีฟเวอร์หันมามองตาใส ๆ เหมือนกำลังขอคะแนนบุญ
“นี่โตโตะครับ” ภีมลูบหัวหมา “มันชอบนั่งเฝ้าประตูเหมือนเป็น รปภ. ประจำชั้น”
“สวัสดีโตโตะ ขอบคุณนะที่คุมตัวประกันไว้ให้” ฉันอุ้มโมจิที่ทำหน้าเหมือนฉันเป็นลูกหนี้
“ยินดีต้อนรับครับ” ภีมยิ้มบาง ๆ “ถ้าต้องยืมค้อน ไขควง หรือที่ยึดความสงบของชีวิต บอกได้”
ฉันหัวเราะ พูดไปทั้งที่แก้มร้อนนิด ๆ “งั้นยืมสิ่งสุดท้ายก่อนค่ะ”
วันแรกของฉันเลยจบลงด้วยการยืมยางมัดผมจากข้างห้อง (เพราะเหงื่อท่วมจนผมรุงรัง) กับการรู้ว่า ประตูห้อง 18B มี “ช่างสมัครเล่น” ใจดีที่เลี้ยงหมา และยิ้มน้อย ๆ เป็นนิสัย
โมจินอนกลิ้งบนพื้นเหมือนแพนเค้ก ฉันทิ้งตัวลงนั่งข้างกองกล่อง คิดว่าชีวิตใหม่ของฉันอาจเริ่มด้วยเสียงดังนิดหน่อย แต่น่าจะอบอุ่นกว่าที่คิด
อย่างน้อยก็มี รปภ. สี่ขา และข้างห้องที่ยืมยางมัดผมได้
โตโตะนั่งอยู่บนพรมหนานุ่มในมุมห้องที่อบอุ่นของภีม มันชอบที่นี่ที่ไม่เคยมีอะไรยุ่งยาก หรือวุ่นวาย แต่กลับเต็มไปด้วยความสงบและความสุขที่ไม่อาจอธิบายได้ มันรู้สึกว่าเวลาที่ได้อยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะยืน หรือนั่งอยู่ตรงไหน มันก็คือบ้านที่อบอุ่นที่สุด วันนี้ก็เหมือนทุกวัน ภีมกลับบ้านตอนเย็น เขาเดินเข้ามาด้วยท่าทางเหนื่อยล้าจากการทำงานเป็นเจ้าของร้านกาแฟที่ชื่อร้านผมฟังแล้วมันก็แปลก ภีมตั้งชื่อร้านว่า ร้านที่เดิม เหมือนจะรู้ว่ามะปรางรอเขาอยู่ ภีมมักจะทำกาแฟให้มะปรางทุกครั้งที่กลับมาจากทำงาน แม้เขาจะไม่ได้พูดออกมาโดยตรง แต่โตโตะเห็นในท่าทางของเขา ภีมอยากให้มะปรางรู้สึกดี รู้สึกผ่อนคลาย และอบอุ่น โตโตะกระดิกหางไปมา มองไปที่ภีมที่ทำกาแฟให้มะปรางที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะกาแฟ หญิงสาวที่ดูนุ่มนวลและใจดี เขามักจะเห็นภีมมองมะปรางด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน แม้จะเงียบ ไม่พูดอะไรออกมา แต่โตโตะรู้ดีว่าแววตาของภีมเต็มไปด้วยความรักและห่วงใยในทุกการกระทำ ผมมักจะชอบอยู่ข้าง ๆ มะปรางในทุกวัน ตอนที่เธอนั่งอยู่ตรงโซฟา ก้มหน้าก้มตาทำอะไรไปบ้าง โตโตะแอบยิ้มให้ตัวเองท
ฉันคือโมจิ แมวที่หน้าตาดุร้ายที่สุดในร้านขายสัตว์เลี้ยง และเชื่อเถอะว่าเมื่อก่อนฉันไม่คิดเลยว่าจะมีชีวิตที่ดีแบบนี้ ย้อนกลับไปตอนนั้น...ตอนที่ยังไม่รู้จักมะปรางเลย ตอนนั้นแหละที่ฉันรู้สึกถึงความโหดร้ายที่สุดในชีวิต แม้ว่าฉันจะเป็นแมวที่มีขนฟูเหมือนกับแมวธรรมดาทั่วไป แต่ว่าฉันกลับมีหน้าตาแปลก ๆ ที่ทำให้ทุกคนในร้านไม่อยากจะรับฉันไปเลี้ยงสักคน บางทีฉันก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแมวที่ไม่มีใครรัก ฉันไม่เคยเข้าใจว่าทำไมเจ้าของร้านถึงไม่พยายามหาคนรับฉันไปเลี้ยงสักคน ฉันไม่ได้ดุขนาดนั้นนะ ฉันแค่มีหน้าตาโหดเกินไปนิดหน่อย ลองคิดดูสิ! แมวหน้าตาน่ากลัวกับคนทั่วไปมันจะน่ารักตรงไหน? ตอนนั้น ฉันจำได้ว่าเคยคิดในใจว่า “ทำไมฉันถึงต้องมาอยู่ที่นี่?” ทุกครั้งที่มีคนเดินเข้ามาในร้าน ฉันจะมองเขาอย่างหวังว่าเขาจะเห็นฉันและรับฉันไป แต่ไม่เคยมีใครหันมาสนใจฉันเลย ทุกวันฉันก็แค่ยืนอยู่ในกรง รอเวลาที่จะมีใครสักคนมองเห็นฉันที่ไม่ใช่แค่ในฐานะแมวที่หน้าตาดุ แต่เป็นสัตว์เลี้ยงที่สามารถมอบความรักให้กับใครสักคนได้ วันหนึ่ง มิ้นท์พามะปรางมาที่ร้านขายสัตว์เลี้ยง
เช้าวันทำงานที่มะปรางคิดว่าจะเป็นวันธรรมดา กลับกลายเป็นวันที่วุ่นวายมากที่สุดในสัปดาห์ เพราะหลังจากที่มะปรางตัดสินใจบอกมิ้นท์เกี่ยวกับข่าวดีที่เธอและภีมได้ตัดสินใจคบกันเป็นแฟนแล้ว ก็เป็นวันที่ทุกคนแซวจนเธอแทบจะไม่รู้จะตอบยังไง เมื่อมิ้นท์เดินเข้ามาหามะปรางที่โต๊ะทำงานในช่วงพักเที่ยง มะปรางก็ไม่รอช้าที่จะบอกข่าวดี “มิ้นท์... ฉันมีเรื่องจะบอก” มะปรางพูดเสียงเบา ๆ แต่ก็รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย มิ้นท์มองมาที่เธออย่างสงสัย “อะไรเหรอ? ทำไมหน้าตาดูตื่นเต้นขนาดนั้น?” มะปรางยิ้มเขิน ๆ ก่อนจะตอบออกไป “ภีม... เราเป็นแฟนกันแล้วค่ะ” มิ้นท์ตาโตและอ้าปากค้าง “จริงเหรอ?! โอ้ยยย ในที่สุดก็ได้คบกันแล้วนะ! ฉันรู้แล้วล่ะว่าภีมต้องเป็นคนพิเศษของเธอแน่ ๆ!” มิ้นท์พูดเสียงดังจนคนในออฟฟิศหันมามอง มะปรางรีบก้มหน้าหลบสายตา ไม่รู้จะทำยังไงดี “มิ้นท์... ดังไปนะ ทุกคนได้ยินหมดแล้ว” เธอพูดเสียงต่ำ แต่ไม่สามารถปิดรอยยิ้มได้เลย มิ้นท์หัวเราะขำ ๆ “โอ๊ยยย ขอโทษนะ ขอโทษจริง ๆ แต่นี่มันข่าวดีนี่นา!” แล้วก็ยิ้มแหย ๆ “บอกมาเร็ว ๆ สิ ยั
เช้าวันใหม่ในช่วงต้นฤดูหนาว ภายในคอนโดของมะปราง ทุกอย่างเงียบสงบและอบอุ่น ราวกับว่าโลกภายนอกนั้นไม่มีความวุ่นวายที่สามารถเข้ามากวนใจได้ วันนี้มะปรางตื่นขึ้นมาช้ากว่าปกติเล็กน้อย แต่ความรู้สึกของเธอไม่เคยเบาหรือสับสนเหมือนเมื่อก่อน ทุกอย่างในชีวิตตอนนี้มันชัดเจนขึ้น และในความเงียบของเช้านี้ เธอได้เห็นภาพชีวิตที่เต็มไปด้วยความหวังและการเริ่มต้นใหม่ มะปรางลุกจากเตียงและเดินไปที่ระเบียงห้อง ก้มมองไปยังท้องฟ้าที่ค่อย ๆ เปลี่ยนสีเป็นสีส้มอบอุ่นจากแสงแรกของวัน เธอได้ยินเสียงในใจที่บอกว่า ทุกอย่างมันจะดีขึ้น นับจากวันนี้เป็นต้นไป วันนี้ไม่เหมือนทุกวันก่อนหน้านี้ มันเป็นวันที่มะปรางและภีมจะเริ่มต้นชีวิตร่วมกันอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ในแง่ของความรู้สึกหรือการที่ทั้งสองอยู่ในสถานะที่ดีขึ้น แต่เป็นการที่พวกเขาจะเริ่มทำกิจวัตรประจำวันร่วมกัน เหมือนคู่รักที่ได้เริ่มต้นชีวิตคู่ “ภีมคะ” มะปรางพูดเบา ๆ ขณะเปิดประตูระเบียงให้ลมเย็นจากนอกบ้านพัดเข้ามา ภีมที่กำลังยืนรอดื่มกาแฟอยู่ตรงมุมห้องหันมามองเธอแล้วยิ้มให้ “อรุณสวัสดิ์ครับ วันนี้มีแผนอะไรหรือเปล่า?”





