LOGINเสียงปลุกดังครั้งแรกตอนเจ็ดโมงยี่สิบพร้อมสั่นจนโทรศัพท์สลัดตัวเองจากขอบหมอนกลิ้งลงไปกับพื้น ฉันคว้าแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นแล้วกดปิด ตามด้วยเสียงที่สองจากนาฬิกาตั้งโต๊ะใบเล็กที่ฉันเพิ่งซื้อมาวางบนโต๊ะใหม่เมื่อวาน (โต๊ะนั้นแหละ ฝีมือฮีโร่เล็ก ๆ ชั้น 18) วันนี้ต่างจากทุกวัน ฉันตื่นง่ายอย่างแปลกประหลาด ทั้งที่เมื่อคืนก็เข้านอนดึกพอ ๆ กับวันอื่น ความตื่นเต้นแบบบอกไม่ถูกคงเป็นคำตอบ
โมจิม้วนตัวเป็นโดนัทอยู่ปลายเตียง พอฉันขยับผ้าห่มมันก็ยืดเส้นยืดสาย ส่งเสียง “อูวว” คล้ายบ่นว่า “เช้าไป๊” ฉันหัวเราะเบา ๆ ลูบหัวนิ่ม ๆ “ตื่นเถอะคุณนาย วันนี้เรามีนัดใหญ่ นัดแซนด์วิชไข่ยามเช้า”
มันอ้าปากหาวอีกทีเหมือนไม่อิน แต่พอฉันลุกจริง ๆ ก็ลุกตาม ส่งตัวเองไปนั่งบนขอบหน้าต่างมองเมืองที่เพิ่งเปิดตา แสงแดดอ่อนมาก ราวกับคนใจดีที่ค่อย ๆ ดึงผ้าม่านชีวิตให้เปิดโดยไม่เร่งเร้า ลงลิ้นชักหยิบยางมัดผม เส้นเดิมที่เคยยืมจากข้างห้องวันแรก วันนี้มันกลายเป็น “ของโชคดี” ที่ฉันชอบใช้เวลาอยากให้วันทั้งวันราบรื่น
แปรงฟัน ล้างหน้า โปะแป้งเด็กนิดหน่อย (โทษทีนะผิวหน้า พรุ่งนี้จะบำรุงให้หนัก ๆ) แต่งตัวง่าย ๆ ด้วยเสื้อยืดสีครีมกับกางเกงผ้าสีเข้ม เอาผ้ากันเปื้อนลายเส้นขาวดำที่ซื้อมาจากตลาดนัดพาดไหล่ (จริง ๆ ไม่ได้จะทำครัว แค่ใส่แล้วรู้สึกเหมือนเป็นคนมีระเบียบ) ใส่นาฬิกาข้อมือที่หยุดเดินไปครึ่งนาที แต่ความจริงใจของเช้านี้ทำให้มันดูมีค่าอยู่ดี
ข้อความไลน์เด้งขึ้นพอดี
ภีม: “7:45 ที่ระเบียงนะครับ ลาเต้อุ่น + แซนด์วิชไข่พร้อม”
ตามด้วยรูปอีโมจิคอร์กี้ยิ้ม
ฉันไม่รู้ว่ารอยยิ้มจะกว้างได้ถึงไหน แต่ตอนนี้แก้มเหมือนจะยืดเกินมาตรฐาน “โอเค เดี๋ยวไปค่ะ” ฉันตอบ พร้อมสติ๊กเกอร์แมวถือช้อนส้อม
ก่อนออกจากห้อง ฉันหยิบผ้าเช็ดปากผืนเล็กสองผืนกับน้ำผึ้งดอกลำไยขวดจิ๋วที่เก็บไว้ (ตั้งใจจะเสนอให้ลองราดบนขอบขนมปัง เมนูประดิษฐ์สไตล์มือใหม่) แล้วบอกโมจิ “ไปเป็นกรรมการมั้ย” มันกระดิกหางหนึ่งที เดินตามฉันมาหยุดที่หน้าประตูเหมือนทหารตรวจแถว
พอเปิดประตู เหมือนทุกเช้า กลิ่นกาแฟคั่วใหม่ลอยเข้าจมูกก่อนเห็นรูปคน มันเป็นกลิ่นที่ฉันเริ่มจำได้แล้ว สดชื่นแบบดอกไม้ขาว ๆ นิด ๆ กับหวานปลายแบบน้ำผึ้ง ความหอมที่ไม่ใช่แค่ “หอม” แต่มีกลิ่นของการเริ่มต้น
ทางเดินยาวของชั้น 18 เงียบมาก มีเพียงเสียงพรมถูกเท้าไถเบา ๆ ของโมจิที่เดินเคียงข้าง ฉันเลี้ยวซ้ายไปยังระเบียงส่วนกลางที่เราใช้ประชุมครั้งแรก เห็นภีมก่อน เขายืนอยู่ตรงโต๊ะหินอ่อนกลมเดิม แต่วันนี้เพิ่มผ้าปูโต๊ะลายทางเล็ก ๆ สีเทา-ขาว มีจานเซรามิกสองใบ แก้วเซรามิกอีกสองและกาเทอร์โมสสแตนเลสวางอยู่ ข้าง ๆ มีตะกร้าหวายใบจิ๋วใส่ผ้าเช็ดปาก (ลายคล้ายของฉันเลย) และ…เครื่องปิ้งขนมปังป๊อปอัพตัวเล็กสีครีมวางบนถาดกันร้อน
“อรุณสวัสดิ์ครับ” เขาหันมายิ้ม มุมปากยกขึ้นนิดเดียวจากปกติ แต่พอผนวกกับแสงเช้าที่ตีกลับจากกระจกอาคารฝั่งตรงข้าม มันกลายเป็นรอยยิ้มระดับทำให้คนข้างหน้าเผลอลืมหายใจ
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ฉันวางน้ำผึ้งลงบนโต๊ะ “ฉันเอานี่มาฝาก เผื่ออยากลองราดนิด ๆ”
“ขอบคุณครับ” เขารับไปวางอย่างดี แล้วชี้ไปที่เก้าอี้ “เชิญนั่งครับ เดี๋ยวผมอุ่นนมก่อน”
ฉันนั่งลง เห็นเขาเปิดเทอร์โมสน้ำร้อน เทลงในเหยือกสแตนเลสเล็ก ๆ แล้วเทนมตาม สักครู่เสียงฟู่เบา ๆ ดังที่ปลายเหยือก เขาใช้เครื่องตีฟองนมมือถือที่พกมาเอง ฟองนมหนานุ่มค่อย ๆ ขึ้นยอด เขาจับอุณหภูมินมด้วยหลังมือ ไม่เร่ง ไม่ช้า เหมือนคนที่ทำสิ่งนี้มานับไม่ถ้วนแต่นับครั้งที่ใส่ใจทุกครั้ง
“วันนี้ผมใช้ช็อตครึ่งนะครับ” เขาเอ่ยเหมือนอ่านใจฉันได้ “คาเฟอีนจะไม่แรงเกินไปสำหรับคุณ”
ฉันมองหน้าเขา ไม่ใช่แค่เพราะประโยคนั้น แต่เพราะเขาจำเรื่องเล็ก ๆ ที่ฉันเผลอพูดไว้เมื่อวันก่อน “ขอบคุณนะคะ ที่จำได้”
“เรื่องสำคัญสำหรับผู้ดื่มครับ” เขาวางแก้วลงตรงหน้าฉัน ลาเต้อุ่นมีฟองนมสีขาวนวลกับลายหัวใจเบี้ยว ๆ นิดหน่อย (อย่าบอกเขานะ ว่าฉันคิดว่ามันน่ารักมากกว่าเพอร์เฟกต์) กลิ่นกาแฟผสมนมอุ่นพุ่งขึ้นแตะจมูก เป็นกลิ่นที่ทำให้คิดถึงผ้าห่มที่ตากแดดแล้วดึงมาคลุมอีกครั้ง สะอาด อบอุ่น และปลอดภัย
“ขอบคุณค่ะ” ฉันประกบมือกับแก้ว อุณหภูมิพอดีมือพอดีใจ “อุ่นจริงด้วย”
เขาหันไปสนใจเครื่องปิ้งขนมปัง หยิบขนมปังนมสไลซ์หนา (น่าจะเป็นฮอกไกโดหรืออะไรใกล้ ๆ) ใส่สองแผ่น “แป๊บเดียวครับ ระหว่างนี้ทำไข่ก่อน” เขาหยิบกระทะเทฟล่อนเล็กจิ๋วแบบพกพาวางบนเตาไฟฟ้าจานร้อนตามด้วยเนยก้อนเล็ก ๆ เนยละลายช้า ๆ จนหอม เขาตอกไข่สองฟองใส่ถ้วย ตีเบา ๆ เติมนมนิด ๆ เกลือพริกไทยปลายช้อน แล้วเทใส่กระทะ ใช้ตะหลิวไม้ขยับจากขอบเข้ากลาง ช้าแต่มั่นคง ไข่ค่อย ๆ กลายเป็นสแครมเบิลเนื้อครีม ๆ สีเหลืองอ่อน ฉันกลืนน้ำลายโดยอัตโนมัติ
เครื่องปิ้งดีด “ติ๊ง!” เขาหยิบขนมปังออก ทาเนยบาง ๆ ให้เงาวับ จากนั้นปาดมายองเนสสูตรเขาเองเบา ๆ วางผักสลัดใบกรอบหนึ่งชั้น ตามด้วยไข่สแครมเบิลนุ่ม ๆ โรยพริกไทยดำบดใหม่อีกหน่อย แล้วปิดด้วยขนมปังอีกแผ่น ใช้มีดฟันเลื่อยตัดเฉียง เผยชั้นไข่ที่ยังฉ่ำตรงกลางเล็กน้อย
“พร้อมครับ” เขาวางจานตรงหน้า แล้วผลักจานอีกใบของตัวเองเข้าที่
ฉันเพิ่งตระหนักว่าโตโตะนั่งอยู่ใต้เก้าอี้ฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ หูตั้ง ตาใส กล้ามเนื้อทุกส่วนเขียนคำว่า “ขอชิม” เป็นภาษาโลก ส่วนโมจิเข้าประจำการบนเก้าอี้ตัวที่สามฝั่งตรงข้าม นั่งตัวตรง หางพันรอบขา ดวงตาถือวิสาสะเป็นกรรมการ “มิชลิน” ประจำชั้น 18
“วันนี้มีกรรมการสองสำนักนะครับ” ภีมยิ้มหันไปมองทั้งคู่ “สายอ้อนกับสายจ้อง”
“สายอ้อนนี่ชัดเจนเลยค่ะ” ฉันก้มมองโตโตะ “แต่ขอประกาศกติกา…อาหารคนห้ามให้สุนัข” ฉันทำเสียงโฆษก ส่วนโตโตะทำตาละห้อยจนใจอ่อนเกือบหัก เขาหัวเราะแล้วหยิบถุงขนมสุนัขออกมาจากตะกร้า “เตรียมไว้แล้วครับ สูตรปลอดเกลือ”
“ว้าว คุณเตรียมพร้อม” ฉันพูดทั้งยิ้มทั้งชื่นชมในใจแบบเปิดเผย เขาเทขนมสองสามชิ้นลงในฝ่ามือให้โตโตะ “รอ…นั่ง…เก่ง” จากนั้นยอมให้กินตามคำสั่ง มันกินอย่างเรียบร้อยเหมือนนักเรียนตัวอย่าง
“แล้วฝั่งกรรมการสายจ้องล่ะคะ” ฉันเหลือบไปทางโมจิที่ยังคงนั่งท่าประธานบริษัท
“อันนี้มีเครื่องบรรณาการ” ภีมพูดหน้าตาเรียบแล้วหยิบปลาทูน่าแมวซองเล็กจากตะกร้า ฉันตาโต “คุณเตรียมของโมจิด้วย?”
“ครั้งก่อนโดนจ้องแบบจะขุดไส้ ก็เลยไม่อยากโดนซ้ำครับ” เขาพูดเหมือนเรื่องงาน “วันนี้เลยเตรียมให้มันด้วย จะได้ประชุมราบรื่น”
ฉันหัวเราะออกมาจริงจังครั้งแรกของเช้านี้ หัวเราะที่มาจากความปลื้มใจมากกว่าความตลก “ขอบคุณแทนโมจิด้วยค่ะท่านประธาน” ฉันฉีกซองเทลงถ้วยเล็ก วางให้บนเก้าอี้ โมจิใช้จมูกดมหนึ่งที ก่อนก้มกินอย่างราชินีที่ยอมกรุณา
กลับมาที่แซนด์วิช ฉันยกขึ้นกัดคำแรก ขนมปังกรอบนอกนิด ๆ แต่ยังนุ่มใน เนยหอมพาไข่ครีม ๆ เข้าปาก ละมุนจนฉันไม่อยากเคี้ยวให้จบเร็ว พอเคี้ยวเสร็จกลิ่นพริกไทยดำขึ้นปลายจมูก ตบท้ายด้วยไขมันอุ่น ๆ ของมายองเนสที่ไม่เลี่ยน “โอ้โห…” ฉันเผลอพูดเสียงยาว “นี่มัน…เกินคำว่าอร่อย”
ภีมก้มหน้าหัวเราะเบา ๆ เหมือนเขิน—ฉันสังเกตเห็นปลายหูแดงเล็ก ๆ (ใช่ ฉันสังเกตหูเขาอยู่) “ดีใจที่ชอบครับ”
“ชอบมากค่ะ แบบมาก ๆ” ฉันวางช้อน สองมือทำท่ากลม ๆ เหมือนอยากให้รู้ว่า ‘มาก’ ขนาดไหน “มันนุ่ม แต่ไม่แฉะ กลิ่นกำลังดี แล้วขนมปัง…คุณไปเอามาจากไหนคะ”
“มีสหายร้านเบเกอรี่ส่งให้ทุกเช้า” เขาตอบ “ผมเลือกแป้งที่มีนมมากหน่อย จะเข้ากับไข่”
“แล้วมายองเนส…สูตรคุณหรือเปล่า”
“ใช่ครับ ใส่มัสตาร์ดนิดเดียวกับน้ำมะนาวปลายช้อน” เขาบอกแบบไม่หวงสูตร “แต่ถ้าวันไหนคุณอยากลองทำ ผมเขียนสัดส่วนให้ได้”
“โอ้ย ฉันกลัวทำแล้วกลายเป็นไข่สับกับมายองเละ” ฉันหัวเราะตัวเอง “แต่…ลองก็ได้นะคะ ถ้ามีคนคอยดูอยู่ข้าง ๆ”
เขามองฉันนิ่งครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “มีครับ”
คำสองพยางค์ธรรมดาทำให้ใจฉันสะดุดจังหวะไปวินาทีหนึ่ง ฉันรีบยกลาเต้ขึ้นจิบ ฟองนมนุ่มลื่นแตะริมฝีปาก กลิ่นกาแฟไม่แรง เฉดรสอยู่ตรงกลางระหว่างคาราเมลกับน้ำนม “อื้มม อุ่นพอดีเลย” ฉันยิ้ม “นี่คือ ‘ลาเต้อุ่น’ ที่แท้จริง”
“หมายถึงร้อนน้อย กับคาเฟอีนน้อยด้วยครับ” เขาหยอกนิด ๆ “อยากให้เช้าวันนี้ไม่สั่น”
“หัวใจฉันสั่นอยู่ดี” ฉันอยากพูด แต่เปลี่ยนเป็น “มือฉันไม่สั่นเลยค่ะ เก่งนะเนี่ย” แล้วหัวเราะกลบเกลื่อนตัวเอง
ลมเช้าพัดเฟิร์นบนราวระเบียงให้ไหวไปมา แสงอาทิตย์ขึ้นสูงขึ้นนิดเดียวจนเส้นผมฉันเป็นสีทองบาง ๆ ฉันนึกอยากหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายภาพ แต่กลัวพังความนิ่งของเช้านี้ จึงเก็บไว้ในตาแทน
เรากินไปคุยไป เขาถามเรื่องงานของฉันว่าช่วงนี้เป็นยังไง ฉันเล่าถึงลูกค้าคาเฟ่รายใหม่ที่อยากได้โทนอุ่น (ฉันไม่ได้บอกว่าได้รับแรงบันดาลใจจากที่นี่มากแค่ไหน) เขาฟังตั้งใจ เห็นได้จากสายตาที่ไม่วิ่งไปไหนและการพยักหน้าเป็นจังหวะ
“ถ้าคุณอยากลองทำโปสเตอร์เวิร์กช็อปเล็ก ๆ วันหยุด ผมมีไอเดียอยู่” เขาว่า “สอนบดกาแฟมือหมุนให้เด็ก ๆ กับผู้ปกครอง อารมณ์สนุก ๆ ไม่จริงจังมาก”
“โอ้ น่ารักมาก!” ฉันตื่นเต้น “คุณรู้ไหมว่าคอนเทนต์แบบ ‘ครอบครัวเล็ก ๆ’ ติดง่าย ถ่ายรูปโตโตะยืนข้างโม่มือหมุน…ไวรัล” ฉันทำมือประกอบภาพ “เดี๋ยวฉันสเก็ตช์แบบให้คืนนี้”
ภีมยิ้ม “ขอบคุณครับ” แล้วเสริม “ถ้าคุณสะดวกนะครับ”
“สะดวกสิคะ สบายมาก” ฉันตอบเร็วเกินไปนิด คิดได้ก็หัวเราะ “โอเค ฉันจะไม่สนองนี้ดตัวเองเกินไป”
เราหัวเราะพร้อมกัน ความเงียบถัดมาเป็นความเงียบสบาย ๆ ที่มีเสียงเฟิร์น สายลม และการเคี้ยวเบา ๆ ของสัตว์สองตัวเป็นดนตรีประกอบ
จังหวะนั้นเอง ชิ้นไข่เล็ก ๆ จากมุมแซนด์วิชฉันหล่นลงที่ตัก—โตโตะเงยหน้าขึ้นเหมือนมีเรดาร์จับ—ภายใน 0.3 วินาทีมันโผล่มาใกล้เกินพิกัด ฉันชูนิ้ว “ห้าม!” อย่างที่เห็นในวิดีโอฝึกสุนัข มันหยุดจริงด้วย กะพริบตา ‘ปริบ’ เหมือนถาม “แน่ใจนะครับว่าห้าม”
ภีมยิ้มขำ “มันฟังคุณมากกว่าผมบางที”
“จริงเหรอคะ” ฉันแอบภูมิใจ “งั้นให้รางวัลนะ…แต่รางวัลเป็นขนมของคุณ ไม่ใช่ไข่ของฉัน” ฉันหยิบขนมจากถุงให้มันหนึ่งชิ้น โตโตะรับอย่างนุ่มนวล แล้วนั่งลงเหมือนนักเรียนต้นแบบ
ฉันเหลือบไปอีกฝั่ง โมจิหยุดกินชั่วคราว มองฉันด้วยสายตาว่า “ช่วยรักษาความยุติธรรมด้วย” ฉันหัวเราะแล้วแตะหัวมัน “ของคุณหมดแล้วค่ะท่านผู้กำกับ เมื่อกี้ก็กินเกือบครึ่งซองนะ” มันหรี่ตาแบบบุ๋น ๆ แล้วหันกลับไปเลียอุ้งเท้า แปลว่า “ก็ได้”
ลมแรงขึ้นฉับพลัน ผ้าเช็ดปากบนโต๊ะปลิว ภีมเอื้อมมือคว้าได้ทันหนึ่งผืน ส่วนอีกผืนปลิวผ่านหน้าโตโตะ สัญชาตญาณนักไล่จับตื่น! มันพุ่งตาม ผ้าเช็ดปากปลิวทิศทางเข้าใกล้กระถางเฟิร์น ฉันอุทาน “ว้าย ระวัง!” โมจิก็ลุกฮือส่งเสียง “เหมียว” เสริมเหมือนกรรมการสนาม ภีมหมุนตัวขยับเก้าอี้กันกระถางล้มได้พอดี ผ้าเช็ดปากจบลงที่หน้าตักฉันอย่างสมศักดิ์ศรี ผู้ชมทั้งสาม (คนหนึ่งหมาหนึ่งแมว) หันมามองหน้ากันแล้ว…หัวเราะ
“สนามซ้อมความคล่องตัวตอนเช้า” ฉันว่า
“ได้วอร์มอัพก่อนเปิดร้านพอดี” เขาพยักหน้า พูดจบก็เอื้อมมือหยิบผ้าเช็ดปากจากตักฉัน—นิ้วเราแตะกันเสี้ยววินาที ความร้อนเล็ก ๆ วิ่งผ่านเหมือนไฟสถิตแบบไม่เจ็บ แต่ทิ้งรอยยิ้มไว้เฉย ๆ
“บางความเงียบอบอุ่นกว่าคำขอโอกาส” เสียงกาน้ำเดือดดังแผ่วในห้องครัวเล็ก ๆ ของคอนโด มะปรางเทกาแฟลงแก้ว กลิ่นหอมลอยปะทะจมูกพร้อมความรู้สึกที่ทั้งคุ้นและสั่นเบา ๆ ที่หน้าอก โมจิเดินมาคลอเคลียขา ส่งเสียง “เมี้ยว—” เหมือนรู้ว่าเจ้าของกำลังมีเรื่องกังวล “วันนี้แม่ต้องเจอคนเก่านะ” เธอก้มลงลูบหัวมันเบา ๆ “อย่าให้แม่ใจสั่นมากเลยนะโมจิ” เจ้าแมวตัวกลมตอบกลับด้วยเสียงเบา ๆ แล้วเดินไปนอนบนกระเป๋าผ้า เหมือนจะกันไม่ให้เธอออกจากห้อง โทรศัพท์สั่นเตือนบนโต๊ะภีม: วันนี้ทีมคุณมากี่คนครับ จะได้เตรียมโต๊ะ โตโตะจะได้ไม่เห่าใส่มะปรางเผลอยิ้ม ก่อนพิมพ์ตอบมะปราง: ห้าคนค่ะ รวมลูกค้าด้วย ขอบคุณมากนะคะ ยังไม่ทันวางโทรศัพท์ เสียงโทรเข้าดังขึ้น “มิ้นท์” โผล่มาเต็มจอ “ตื่นยัง ยัยโมจิใหญ่” น้ำเสียงคุ้นเคยดังสดใสแต่แฝงความห่วง “ตื่นแล้วสิ แต่ใจยังไม่พร้อมเจออดีตเท่าไร” “อย่าบอกนะว่ายังใจเต้นอยู่” “เต้นค่ะ...แต่เต้นเพราะกลัวจะทำหน้าตาไม่ถูก” “ดีแล้ว อย่างน้อยเธอก็ยังมีความรู้สึก แปลว่ายังไม่ด้าน” มะ
เสียงพิมพ์คีย์บอร์ดดังสลับกับเสียงเครื่องปรับอากาศที่เป่าลมเบา ๆ ทั่วออฟฟิศ มะปรางนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวเดิม ข้าง ๆ มีกองแฟ้มเอกสารและถ้วยกาแฟเย็นที่ละลายไปครึ่งแก้ว เธอจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจ แต่สายตากลับพร่าเพราะใจลอยไปถึงวันปิดกอง ภาพคนที่ยื่นแก้วกาแฟให้เธอด้วยรอยยิ้มเรียบง่ายยังคงวนเวียนในหัวไม่จาง เสียงแจ้งเตือนเมลเด้งขึ้นมาในจังหวะเดียวกับที่เธอถอนหายใจFrom: Natee S.Subject: Debrief Meeting – ขอเวลาคุยงานเพิ่มเติมครับ เธอมองชื่อผู้ส่งอยู่นาน มือที่จับเมาส์นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะกดเปิดอย่างระมัดระวัง “ปรางครับ มีไอเดียอยากต่อยอดจากแคมเปญนี้นิดหน่อย พอมีเวลาคุยไหมครับ?” ถ้อยคำดูสุภาพ แต่ในใจของเธอกลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยในแบบเดียวกับเมื่อสองปีก่อน ตอนที่เขาใช้เสียงเดียวกันพูดว่า “ไว้ค่อยคุยกันนะ” ก่อนหายไปจากชีวิตเธอ มะปรางพิมพ์ตอบในโทนที่เป็นทางการที่สุด “ได้ค่ะ ถ้าเป็นเรื่องงาน รบกวนแจ้งเวลาล่วงหน้า จะได้จัดตารางประชุมให้ค่ะ” ส่งเสร็จเธอรีบปิดเมล แล้วพยายามฝืนทำงานต่อ แต่สมาธิกลับหล่นหายไป
เมื่อทุกอย่างดูเข้าที่ เหตุการณ์ทดสอบเล็ก ๆ ก็โผล่มาอีกครั้ง ขณะตั้งไฟสองดวงไขว้กันเพื่อให้เงาแก้วดูมีมิติ อยู่ ๆ ไฟในโซนบาร์ก็กะพริบ “แป๊ะ” แล้วดับเงียบทั้งแถบ “อ่าว เบรกเกอร์ไปแล้วเหรอ” พีทร้อง ฉันหันขวับมองนาฬิกา เวลาเริ่มบีบ เพราะเรายังต้องเก็บช็อตสุดท้ายช่วงแสงเย็น ภีมถือไฟฉายเล็กออกมาทันทีเหมือนเตรียมไว้สำหรับเหตุการณ์นี้อยู่แล้ว “ตรงนี้คงรับกำลังไฟของเครื่องชงกับไฟชุดหนึ่งตัวไม่ไหวครับ เดี๋ยวผมย้ายปลั๊กชุดไฟไปที่อื่นแทน แล้วใช้รีเฟล็กซ์แทนไฟหนึ่งดวง จะได้ไม่ดึงกระแสเกิน” เขาพูดจบก็ลงมือทันที จัดปลั๊กพ่วง เสียบ–ดึง–ลองสวิตช์อย่างใจเย็น ทีมงานที่เหลือช่วยจับรีเฟล็กซ์ขนาดกลาง ภายในห้านาทีไฟกลับมาสว่างแต่ไม่จ้าเกิน ได้ภาพในจออย่างที่อยากได้ “โห…เจ้าของร้านนี่แหละแก้ปัญหาเก่งกว่าช่างไฟอีก” พีทยกนิ้วให้ ฉันยืนมองภาพในจอแล้วหันไปมองเจ้าของร้านตัวจริง คนนั้นยืนเช็ดมือกับผ้าเช็ดบาร์เหมือนเดิม สีหน้าสงบเหมือนตอนชงกาแฟ นาทีนั้นหัวใจฉันนิ่งแบบที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นในกองถ่าย เร่งแค่ไหนก็มักจะมีความลนอยู่ในอากาศ แต่เขากลับทำให้ห้องนี้ห
เช้าวันถัดจากทริปเล็ก ๆ ฉันตื่นก่อนนาฬิกาอีกครั้ง เหมือนร่างกายจำสัญญาเงียบ ๆ ระหว่างฉันกับเช้าว่าเราจะเริ่มวันด้วยความอุ่น ไม่ใช่ความรีบ ฉันชงดริปด้วยเมล็ด “ทุ่งหญ้ารุ่นพิเศษ ทริปเล็ก ๆ” ที่ภีมยื่นให้เมื่อคืนก่อน กลิ่นดอกไม้จาง ๆ ลอยขึ้น ปลายรสหวานเหมือนเสียงหัวเราะที่ยังค้างอยู่ในคอจากเมื่อวาน ฉันยกแก้วไปยืนที่ระเบียง เห็นประตูฝั่งตรงข้ามเลื่อนเปิดในเวลาแทบจะตรงกัน ภีมยกแก้วของเขาขึ้นนิด ๆ เราสองคนยิ้มให้กันอย่างไม่ต้องพูดอะไรมาก “วันนี้สู้ ๆ นะครับ” เขาพูดเบา ๆ แต่ได้ยินชัด “คุณด้วยค่ะ” ฉันตอบ ทั้งที่ในหัวเริ่มเรียงงานแบบผู้จัดการกองถ่ายฉบับเร่งด่วน เพราะวันนี้คือวันสำคัญ ทีมฉันต้องถ่ายทำคอนเทนต์ชุด “Warm is a Place” สำหรับลูกค้า และโลเกชันที่เลือกคือร้านของภีม…ที่เดิม หลังอาบน้ำแต่งตัว ฉันเปิดงานในโทรศัพท์ ไลน์กรุ๊ป “กองอุ่นจริง” (ตั้งชื่อตามคีย์เวิร์ด) เด้งข้อความจากพี่นนท์: “คอนเฟิร์ม 10:00 เริ่มเซ็ต ซีนแรกเปิดหน้าร้าน ซีนสองบาร์ ซีนสามโต๊ะไม้ ใครถึงก่อนช่วยแจ้ง” ฉันพิมพ์ตอบ “ฉันถึงก่อน 9:30 ไปเช็กลิสต์พร็อพกับเจ้าของร้านค่ะ” แล้
เขาเงียบไปเล็กน้อยเหมือนเช็กหัวใจตัวเองก่อนพูด “เคยครับ แต่ภาพนั้นไม่ชัดเจนเท่าไหร่ รู้แค่ว่าถ้ามีมันคงเหมือนโต๊ะหนึ่งตัวที่คนในบ้านชอบกลับไปนั่งด้วยกัน มีเสียงหัวเราะของสัตว์เลี้ยง มีแก้วน้ำสองใบวางอยู่เสมอ” ฉันยิ้มกว้างกว่าคำถามที่ตั้งใจ “แก้วสองใบ…บนที่รองแก้วสองแผ่น” เขายิ้มกลับ “ครับ” เราลุกขึ้นไปเดินรอบบึงช้า ๆ หลังทานของว่าง ดอกหญ้าสีน้ำนมไหวตามลมเหมือนคนโบกมือทักทายจากสองฟากทาง ฉันเดินถือสายจูงโตโตะ ภีมสะพายตะกร้า ส่วนโมจิอย่างที่คาดขึ้นคานอนบนไหล่ภีมเหมือนราชินีบนราชรถ คนเดินสวนมาหลายคนอดทักไม่ได้ “น้องแมวเก่งจังเลยค่ะ” ภีมยิ้ม “จริง ๆ แล้วเก่งที่ยอมให้ผมแบกมากกว่าครับ” ฉันหัวเราะจนลืมว่าครู่หนึ่งก่อนหน้านี้ฉันเคยล้มกลิ้ง ความเขินจากเหตุการณ์เช้าแปรสภาพเป็นความจำที่น่ารักอย่างรวดเร็ว เมื่อเดินครบรอบ เรากลับมาที่ผ้าปิกนิก ฉันวางโมจิลง มันเดินตรงไปตรวจคุณภาพอาหารบนจานภีมแล้วนั่งทับรายการกินเหมือนจะปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง โตโตะหมดแรงนิด ๆ นอนแผ่พุงเหยียดขาตรง ทำหน้าฟินราวกับเพิ่งชนะ
เช้าวันหยุดหลังคืนดาดฟ้าที่ใจเราเหมือนตกลงสัญญาเงียบ ๆ ฉันตื่นเร็วกว่าปกติทั้งที่ไม่มีนาฬิกาปลุก ลมเช้าจากระเบียงพัดกลิ่นกาแฟที่บดไว้เมื่อคืนโชยเข้ามา โมจิเดินมาวนรอบขาเหมือนนาฬิกาปลุกมีขน ฉันลูบหัวมันแล้วพูดกับตัวเองว่า วันนี้อยากทำอะไรช้า ๆ แบบไม่ต้องชนะเวลา พอเปิดประตูระเบียงก็เจอภีมยืนพาโตโตะออกมารับแดดจาง ๆ เขาส่งยิ้มแบบที่เคยทำ ยิ้มที่ไม่รีบให้คำตอบ แต่บอกว่าอยู่ข้าง ๆ “อรุณสวัสดิ์ครับ” “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ฉันตอบพร้อมยกแก้วน้ำให้โมจิดมเล่น แดดเช้าตีกับราวระเบียงเป็นริ้ว ๆ จนฉันเผลอหยุดมอง ภีมเอ่ยขึ้นเหมือนคิดไปพร้อมกับลม “วันนี้อากาศดี อยากลองพาโตโตะไปสวนสาธารณะนอกเมือง…คุณกับโมจิสนใจไปด้วยไหมครับ” คำชวนฟังดูง่าย แต่หัวใจฉันกลับทำงานซับซ้อนขึ้นมาทันที มันไม่ใช่แค่ไปสวน มันคือการออกนอกพื้นที่ปลอดภัยที่เราเคยอยู่ร่วมกัน จากโถงชั้น 18 ระเบียง โต๊ะโอ๊ค ไปสู่โลกกว้างที่เราไม่เคยใช้เวลาเป็น “พวกเรา” จริง ๆ มาก่อน ฉันลังเลเพียงเสี้ยววินาที ก่อนพยักหน้า “ไปค่ะ” โมจิตอบแทนด้วยการตดเ







