Home / โรแมนติก / ข้างห้องคือคนข้างใจ / บทที่ 6 แซนด์วิชไข่ยามเช้า (2)

Share

บทที่ 6 แซนด์วิชไข่ยามเช้า (2)

last update Last Updated: 2025-11-06 18:13:45

เรากลับมาที่จานของตัวเอง ฉันกินคำที่สอง สาม แล้วหยุดตั้งใจชิมแบบคนจริงจัง “ฉันว่าถ้าราดน้ำผึ้งตรงขอบขนมปังบาง ๆ จะเพิ่มเลเยอร์หวานปลาย ๆ นะคะ แต่ต้องเบาสุด ๆ ไม่งั้นกลบรสไข่”

ภีมมองขวดน้ำผึ้งที่ฉันเอามา เขาพยักหน้า “ลองครับ แต่แค่ขอบ”

ฉันหยดน้ำผึ้งปลายช้อนตามขอบ แสงแดดสะท้อนหยดน้ำผึ้งเป็นสีทองเล็ก ๆ พอชิมพร้อมกัน เราหันมาสบตาโดยไม่ได้นัด เหมือนเข้าใจคำตอบเดียวกัน “ดีขึ้นนิดหนึ่ง” เขาว่า

“ใช่ แค่พอให้ยิ้ม” ฉันสรุป แล้วบันทึกในหัวว่า “น้ำผึ้งดอกลำไย + ไข่ = เพื่อนกัน”

ระหว่างกิน ภีมหยิบสมุดเล็ก ๆ จากกระเป๋า เขียนอะไรสองสามบรรทัด ฉันชะโงกมอง เขาขีดคำว่า “ไข่: ไฟต่ำกว่าเดิม 10 วิ” และ “นม: อุ่น 60–62 ไม่เกิน” รวมถึง “น้ำผึ้ง—ขอบบาง” แล้วปิดสมุด

“คุณบันทึกทุกเช้าเลยเหรอคะ” ฉันถาม

“เกือบทุกครั้งที่ลองอะไรใหม่ ๆ” เขาว่า “บันทึกช่วยไม่ให้เราโกหกตัวเอง จำผิดเป็นถูก จำถูกเป็นผิด”

ฉันยิ้ม “ฉันก็เริ่มบันทึก ‘สิ่งดี ๆ ของวันนี้’ นะคะ ตั้งแต่ย้ายมา”

“วันนี้ลิสต์อะไรดี” เขาถามเหมือนอยากรู้จริง

ฉันมองแซนด์วิช มองแก้วลาเต้อุ่น มองหมากับแมวที่นอนเฝ้า แล้วหันกลับไปหาเขา “ข้อหนึ่ง แซนด์วิชไข่ของเพื่อนบ้าน ข้อสอง ลาเต้อุ่นที่ไม่ทำให้มือสั่น ข้อสาม…แสงเช้าที่ระเบียงชั้น 18 ข้อสี่—” ฉันชะงักไปเสี้ยววินาที “—มีคนจดจำรายละเอียดเล็ก ๆ เกี่ยวกับเราได้”

ภีมหยุดช้อนส้อม ครู่หนึ่งก่อนยิ้มบาง “ดีครับ”

ฉันเม้มปากกลั้นยิ้มเกินขนาดไว้ กลัวตัวเองจะกลายเป็นคนหัวเราะคนเดียวบนระเบียง

เรากินต่อจนหมดเกือบพร้อมกัน ฉันลูบท้องเบา ๆ “อิ่มแบบพอดี ไม่หนัก” พอพูดจบความเขินก็โผล่หัว ไม่คิดว่าประโยค “อิ่มแบบพอดี” จะทำให้แก้มร้อนขนาดนี้

ภีมวางจานซ้อนกันเตรียมเก็บ “คุณทำงานกี่โมงวันนี้”

“สิบโมงค่ะ แต่อยากออกก่อนเพื่อไปแวะร้านข้าวแกงเจ้าประจำ กลัวหมด” ฉันตอบจริงจัง “แล้วคุณล่ะ เปิดร้านกี่โมง”

“เก้าโมงครึ่ง” เขาว่า “เช้านี้คั่ว ‘เริ่มใหม่’ อีกล็อต แล้วอยากลองเบลนด์กับน่านเล็กน้อย ถ้าว่างตอนเย็น แวะชิมได้”

“ได้ค่ะ” ฉันตอบเร็วอีกแล้ว จึงรีบเติม “ถ้างานไม่ยาวนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ แค่บอกไว้” เขาก้มลงเช็ดเศษขนมปังที่โต๊ะ ผ้าเช็ดปากยังอยู่ดีไม่มีรอยเปื้อน (ปาฏิหาริย์หลังพายุเมื่อครู่)

ฉันยกแก้วลาเต้ขึ้นดื่มคำสุดท้าย ฟองนมติดริมปาก—ภาวนาให้มันไม่เยอะ แต่ภาวนาช้าเกิน เลียไม่ทัน ภีมชี้เบา ๆ ที่มุมปากตัวเองเป็นสัญญาณ ฉันตามทันที “โอ๊ะ ขอบคุณค่ะ” เอานิ้วแตะเช็ด เผลอหัวเราะกับตัวเอง “พลาดหนวดนมทุกที”

“หนวดนมเป็นสัญลักษณ์ของความสุขครับ” เขาพูดเหมือนเรื่องจริงจัง “ใครดื่มนมแล้วไม่มีหนวด แปลว่ารีบเกินไป”

“โอ้ มีปรัชญาหนวดนมด้วย” ฉันพยักหน้า “จะบันทึกไว้ในสมุด”

โตโตะเหยียดตัวหลังจากนั่งดีเด่นมานาน แล้วเดินไปดมแก้วน้ำของตัวเองที่ภีมเตรียมไว้ (ใช่ มีถ้วยน้ำของสุนัขแยกต่างหากด้วย) ส่วนโมจิหมดภารกิจ นอนกลมเหมือนขนมปังโรลบนเก้าอี้ ฉันถ่ายรูปเงียบ ๆ เก็บไว้ สองตัวที่ไม่ทะเลาะกันในเช้านี้เป็นภาพหายากพอสมควร

“คุณอยากแพ็กแซนด์วิชไปกินตอนสาย ๆ ไหม” ภีมถามเหมือนนึกขึ้นได้ “ผมทำเพิ่มได้อีกชิ้น”

ฉันเงยหน้า หัวใจลอยขึ้นนิด ๆ “จริงเหรอคะ”

“ครับ” เขาหยิบขนมปังเพิ่ม ตอกไข่ใหม่ ทำซ้ำอย่างคล่อง ภายในไม่ถึงห้านาที แซนด์วิชห่อกระดาษไขสวยงามพร้อมสติกเกอร์ “ที่เดิม” ก็วางอยู่ตรงหน้า

“นี่…เกินกว่าความใจดีแล้วนะคะ” ฉันรับไว้ด้วยสองมือเหมือนรับถ้วยรางวัล “ขอบคุณมาก ๆ”

“เผื่อประชุมยืด” เขาบอกเรียบ ๆ แต่สายตาขำ

“คุณนี่รู้จักระบบประชุมมากกว่าฉันอีก” ฉันหัวเราะ “มีแผนที่ประชุมด้วยไหมคะ ว่าตรงไหนควรหลบพลังงานลบ”

“มีสิครับ” เขาทำท่าคิดจริงจัง “ตรงที่มีเครื่องชงกาแฟอยู่ใกล้ที่สุด”

“ฮ่า ๆ ๆ ตอบถูกที่สุดในโลก”

เวลาคล้อยไปเกือบแปดโมงครึ่ง แสงเริ่มสว่างขึ้น คนในชั้นเริ่มมีเสียงประตูเปิดปิดบ้าง เราช่วยกันเก็บจาน เก็บเครื่องปิ้ง เก็บเตา เขาจัดของลงในตะกร้าอย่างเป็นระเบียบเหมือนเดิม ฉันพับผ้าปูโต๊ะลายทาง พยายามพับให้เรียบเหมือนคนตรีน้อย (แต่ลึก ๆ ก็ยังมีรอยยับอยู่ดี)

ก่อนจะแยกย้าย ภีมหยิบโน้ตกระดาษแคบ ๆ ออกมา เขียนเลข “8:15” ลงไปแล้ววางบนโต๊ะ “สำหรับแสงถ่ายรูปโต๊ะของคุณ ที่ผมบอกไว้เมื่อวาน แสงจะเข้ามุมพอดีจากทิศนี้” เขาชี้ทิศเหนือ “ถ้าคุณว่างตอนเช้า หรือพรุ่งนี้ก็ได้”

ฉันรับโน้ตเก็บลงกระเป๋า “รับทราบค่ะ ฉันจะทำเป็นโปสการ์ดให้ตัวเองเลย” แล้วนึกขึ้นได้ “เย็นนี้ถ้าคุณลองเบลนด์ใหม่…อยากให้ฉันช่วยชิมแบบจดโน้ตไหม ฉันเขียนศัพท์สวย ๆ ได้ เช่น ‘หอมแบบกลิ่นแสงแดดตกบนหลังคาสังกะสี’ อะไรทำนองนั้น”

เขาหัวเราะในลำคอแบบสะอาด “ยินดีครับ อยากได้คำที่ผมไม่มี”

ฉันยิ้ม “งั้นตกลงเย็นนี้”

เราเดินออกจากระเบียงพร้อมกัน ฉันอุ้มโมจิกลับห้อง—มันอ้วนและอุ่นเหมือนหมอนข้าง ผละจากกันตรงหน้าห้อง 18A กับ 18B ภีมชี้สายจูงโตโตะ “เราไปเดินรอบตึกแป๊บหนึ่งก่อนเปิดร้าน”

“สนุกนะคะ” ฉันโบกมือ “เจอกันตอนเย็น”

“เจอกันครับ” เขาพยักหน้า สั้น ๆ อย่างเคย แต่ครั้งนี้ฉันได้ยินอะไรบางอย่างนุ่ม ๆ ในคำว่าเจอกันนั้น

กลับเข้าห้อง โมจิกระโดดลงพื้นแล้วเดินไปนอนหน้าต่างต่อเหมือนเดิม ฉันหยิบกล่องข้าวไปวางใส่กระเป๋าผ้า—เปิดฝาแง้มดูแซนด์วิชที่แพ็กไว้แล้วก็ยิ้มไม่ยอมหุบ หยิบสมุดเล็ก ๆ ออกมาเขียน “สิ่งดี ๆ ของวันนี้” เพิ่มอีกสามข้อ

ได้รับแซนด์วิชไข่สำหรับสาย ๆ

หนวดนม = ความสุข (คำคมภีม)

มีเหตุผลใหม่ในการตื่นเช้า

ฉันแต่งตัวเสร็จ หวีผมมัดหางม้าด้วยยางเส้นเดิมของเขา เช็กกระจก โอเค คนทำงานที่ดูยิ้มมากกว่าปกติหนึ่งเท่า ปิดไฟ หยิบกุญแจ ออกไปทำงานด้วยหัวใจเบา ๆ

ในลิฟต์ ฉันถ่ายรูปกล่องแซนด์วิชส่งให้มิ้นท์

ฉัน “รายงานภารกิจ: แซนด์วิชไข่สำเร็จ”

มิ้นท์: “รายละเอียดรสชาติ 30 บรรทัดด่วน + เขาเขินไหม (สำคัญสุด)”

ฉัน “เขินหูแดง (ฉันคิดว่า) รสชาติ: นุ่มละมุน เนยดี ไข่ครีม พริกไทยพอดี ลาเต้อุ่นจริง ไม่มือสั่น”

มิ้นท์: “อ๊ายยยยยยย ชั้น 18 คือสวรรค์! P.S. แต่อย่าลืมทำงานนะคะคุณคนมีความรักกับแซนด์วิช”

ฉันหัวเราะกับหน้าจอ ลิฟต์เปิดที่ล็อบบี้ รปภ.เห็นฉันยิ้มเองก็ยิ้มให้ “วันนี้อารมณ์ดีนะครับคุณมะปราง”

“ดีมากค่ะพี่” ฉันตอบ “เพราะเช้านี้อร่อย”

นอกตึก ลมยังเย็นเล็ก ๆ ฉันเดินผ่านหน้าร้าน “ที่เดิม” เห็นภีมยืนหน้าเคาน์เตอร์ คุยกับพนักงาน ท่าทางสงบ มีโตโตะนั่งหน้าประตูราวกับพนักงานต้อนรับ ฉันยกมือไหว้จากนอกกระจก เขาเงยหน้ามายิ้ม…แค่ยิ้มหนึ่งวินาที ก็พอให้ทั้งเช้าเป็นประกายได้อีกครึ่งวัน

สายหน่อยที่ออฟฟิศ ฉันวางกล่องแซนด์วิชลงบนโต๊ะ ทีมงานเดินผ่านยังแซว “โอ้ ของแพงเหรอ” ฉันส่ายหน้า “ของมีค่าต่างหาก” แล้วเปิดกินตอนประชุมยืดถึงสิบเอ็ดโมงครึ่ง พี่นนท์ชี้ “ขอชิมคำหนึ่ง” ฉันยื่นให้ตามมารยาท เขากัด…แล้วทำหน้าทึ่ง “เฮ้ย ร้านไหน บอกพิกัด” ฉันยิ้ม “ที่เดิมค่ะ” แล้วก็หัวใจเต้นติ๊ก ๆ แบบที่อยากส่งรูปให้คนทำทันทีว่ามีผู้ชื่นชม

ตอนพักเที่ยง ฉันส่งข้อความไป

ฉัน: “รีวิวจากหัวหน้าทีม: ‘เฮ้ย ร้านไหน บอกพิกัด’ ได้คะแนนความภูมิใจเพิ่ม 10 แต้ม”

ไม่กี่นาทีถัดมา

ภีม: “ขอบคุณครับ :) เย็นนี้ผมจะชงให้เข้มขึ้นนิด อาจมีโน้ตดอกไม้  รบกวนชิม”

ฉันตอบ “ค่ะ ผู้ชิมประจำชั้น 18 รายงานตัว”

ช่วงบ่ายฉันทำงานแบบติดปีกแปลก ๆ ไอเดียไหลลื่นเกินคาด บางทีแค่แซนด์วิชไข่กับลาเต้อุ่นก็เป็นเชื้อไฟอย่างดีให้สมอง หรือจริง ๆ เป็นคนทำกันแน่ ฉันไม่กล้าคิดลึก เดี๋ยวหลงตัวละครเอกเกินเหตุ

ก่อนจบบ่าย ฉันเปิดสมุดอีกครั้ง เขียนโน้ตสั้น ๆ เพิ่ม “ฉันเริ่มชอบความเงียบตอนเช้า แบบที่มีเสียงขูดไม้ของตะหลิว เสียงปิ้งขนมปัง และเสียงลมหายใจของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม” พอเขียนจบก็ปิดสมุดแน่น ๆ ราวกับเก็บความลับไว้ในกล่องดนตรี

เย็นใกล้หกโมง แดดเริ่มอ่อนอีกครั้ง ฉันเดินกลับคอนโดอย่างใจเต้นคล้ายตอนเช้า แต่คราวนี้เพิ่มกลิ่นสนธยาเข้ามา ฉันแวะขึ้นไปที่ระเบียงก่อนชั่วครู่ ตั้งใจมองมุมที่เขาเขียนโน้ต “8:15” ไว้จินตนาการแสงพาดโต๊ะไม้โอ๊คของฉันพรุ่งนี้เช้า แล้วก็ยิ้มคนเดียว

“ที่เดิม” ฉันพึมพำคำนี้เบา ๆ คำง่าย ๆ ที่ทำให้บทหนึ่งของชีวิตเริ่มมีจังหวะ มีมือจับเวลาตอนเช้า มีที่วางถ้วย มีที่วางใจ

นั่นล่ะ เช้าวันนี้สอนฉันว่า การตื่นเช้ามีเหตุผลใหม่ ไม่ใช่แค่เพื่อไปประชุม ไม่ใช่แค่เพื่อให้เช็กอินงานทัน แต่เพื่อได้นั่งที่ระเบียงชั้น 18 สูดกลิ่นกาแฟที่ไม่แรงเกินใจ กินแซนด์วิชไข่ครีม ๆ ที่ปิดด้วยขนมปังนุ่ม ๆ ฟังเสียงเฟิร์นสีกับลม ดูหมากับแมวสลับกันทำหน้าที่กรรมการ และเผลอยิ้มให้คนที่จำเรื่องเล็ก ๆ เกี่ยวกับเราได้เสมอ

และถ้าคุณถามว่าเช้านี้พิเศษตรงไหน ฉันคงตอบแบบไม่ต้องคิดเลยว่า พิเศษตรงที่มันเรียบง่ายจนอยากทำซ้ำ พิเศษตรงที่เราสองคนไม่ได้ตกลงทำพิธีอะไรใหญ่โต แต่กลับเริ่ม “กิจวัตร” เล็ก ๆ ร่วมกันโดยไม่รู้ตัว

กิจวัตรที่ชื่อว่า แซนด์วิชไข่ยามเช้า

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ข้างห้องคือคนข้างใจ   บทที่ 16 พื้นที่ที่ไม่เหมือนเดิม

    “บางความเงียบอบอุ่นกว่าคำขอโอกาส” เสียงกาน้ำเดือดดังแผ่วในห้องครัวเล็ก ๆ ของคอนโด มะปรางเทกาแฟลงแก้ว กลิ่นหอมลอยปะทะจมูกพร้อมความรู้สึกที่ทั้งคุ้นและสั่นเบา ๆ ที่หน้าอก โมจิเดินมาคลอเคลียขา ส่งเสียง “เมี้ยว—” เหมือนรู้ว่าเจ้าของกำลังมีเรื่องกังวล “วันนี้แม่ต้องเจอคนเก่านะ” เธอก้มลงลูบหัวมันเบา ๆ “อย่าให้แม่ใจสั่นมากเลยนะโมจิ” เจ้าแมวตัวกลมตอบกลับด้วยเสียงเบา ๆ แล้วเดินไปนอนบนกระเป๋าผ้า เหมือนจะกันไม่ให้เธอออกจากห้อง โทรศัพท์สั่นเตือนบนโต๊ะภีม: วันนี้ทีมคุณมากี่คนครับ จะได้เตรียมโต๊ะ โตโตะจะได้ไม่เห่าใส่มะปรางเผลอยิ้ม ก่อนพิมพ์ตอบมะปราง: ห้าคนค่ะ รวมลูกค้าด้วย ขอบคุณมากนะคะ ยังไม่ทันวางโทรศัพท์ เสียงโทรเข้าดังขึ้น “มิ้นท์” โผล่มาเต็มจอ “ตื่นยัง ยัยโมจิใหญ่” น้ำเสียงคุ้นเคยดังสดใสแต่แฝงความห่วง “ตื่นแล้วสิ แต่ใจยังไม่พร้อมเจออดีตเท่าไร” “อย่าบอกนะว่ายังใจเต้นอยู่” “เต้นค่ะ...แต่เต้นเพราะกลัวจะทำหน้าตาไม่ถูก” “ดีแล้ว อย่างน้อยเธอก็ยังมีความรู้สึก แปลว่ายังไม่ด้าน” มะ

  • ข้างห้องคือคนข้างใจ   บทที่ 15 คุยงาน…หรือคุยเรา

    เสียงพิมพ์คีย์บอร์ดดังสลับกับเสียงเครื่องปรับอากาศที่เป่าลมเบา ๆ ทั่วออฟฟิศ มะปรางนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวเดิม ข้าง ๆ มีกองแฟ้มเอกสารและถ้วยกาแฟเย็นที่ละลายไปครึ่งแก้ว เธอจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจ แต่สายตากลับพร่าเพราะใจลอยไปถึงวันปิดกอง ภาพคนที่ยื่นแก้วกาแฟให้เธอด้วยรอยยิ้มเรียบง่ายยังคงวนเวียนในหัวไม่จาง เสียงแจ้งเตือนเมลเด้งขึ้นมาในจังหวะเดียวกับที่เธอถอนหายใจFrom: Natee S.Subject: Debrief Meeting – ขอเวลาคุยงานเพิ่มเติมครับ เธอมองชื่อผู้ส่งอยู่นาน มือที่จับเมาส์นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะกดเปิดอย่างระมัดระวัง “ปรางครับ มีไอเดียอยากต่อยอดจากแคมเปญนี้นิดหน่อย พอมีเวลาคุยไหมครับ?” ถ้อยคำดูสุภาพ แต่ในใจของเธอกลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยในแบบเดียวกับเมื่อสองปีก่อน ตอนที่เขาใช้เสียงเดียวกันพูดว่า “ไว้ค่อยคุยกันนะ” ก่อนหายไปจากชีวิตเธอ มะปรางพิมพ์ตอบในโทนที่เป็นทางการที่สุด “ได้ค่ะ ถ้าเป็นเรื่องงาน รบกวนแจ้งเวลาล่วงหน้า จะได้จัดตารางประชุมให้ค่ะ” ส่งเสร็จเธอรีบปิดเมล แล้วพยายามฝืนทำงานต่อ แต่สมาธิกลับหล่นหายไป

  • ข้างห้องคือคนข้างใจ   บทที่ 14 ทำงานด้วยกัน (2)

    เมื่อทุกอย่างดูเข้าที่ เหตุการณ์ทดสอบเล็ก ๆ ก็โผล่มาอีกครั้ง ขณะตั้งไฟสองดวงไขว้กันเพื่อให้เงาแก้วดูมีมิติ อยู่ ๆ ไฟในโซนบาร์ก็กะพริบ “แป๊ะ” แล้วดับเงียบทั้งแถบ “อ่าว เบรกเกอร์ไปแล้วเหรอ” พีทร้อง ฉันหันขวับมองนาฬิกา เวลาเริ่มบีบ เพราะเรายังต้องเก็บช็อตสุดท้ายช่วงแสงเย็น ภีมถือไฟฉายเล็กออกมาทันทีเหมือนเตรียมไว้สำหรับเหตุการณ์นี้อยู่แล้ว “ตรงนี้คงรับกำลังไฟของเครื่องชงกับไฟชุดหนึ่งตัวไม่ไหวครับ เดี๋ยวผมย้ายปลั๊กชุดไฟไปที่อื่นแทน แล้วใช้รีเฟล็กซ์แทนไฟหนึ่งดวง จะได้ไม่ดึงกระแสเกิน” เขาพูดจบก็ลงมือทันที จัดปลั๊กพ่วง เสียบ–ดึง–ลองสวิตช์อย่างใจเย็น ทีมงานที่เหลือช่วยจับรีเฟล็กซ์ขนาดกลาง ภายในห้านาทีไฟกลับมาสว่างแต่ไม่จ้าเกิน ได้ภาพในจออย่างที่อยากได้ “โห…เจ้าของร้านนี่แหละแก้ปัญหาเก่งกว่าช่างไฟอีก” พีทยกนิ้วให้ ฉันยืนมองภาพในจอแล้วหันไปมองเจ้าของร้านตัวจริง คนนั้นยืนเช็ดมือกับผ้าเช็ดบาร์เหมือนเดิม สีหน้าสงบเหมือนตอนชงกาแฟ นาทีนั้นหัวใจฉันนิ่งแบบที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นในกองถ่าย เร่งแค่ไหนก็มักจะมีความลนอยู่ในอากาศ แต่เขากลับทำให้ห้องนี้ห

  • ข้างห้องคือคนข้างใจ   บทที่ 14 ทำงานด้วยกัน (1)

    เช้าวันถัดจากทริปเล็ก ๆ ฉันตื่นก่อนนาฬิกาอีกครั้ง เหมือนร่างกายจำสัญญาเงียบ ๆ ระหว่างฉันกับเช้าว่าเราจะเริ่มวันด้วยความอุ่น ไม่ใช่ความรีบ ฉันชงดริปด้วยเมล็ด “ทุ่งหญ้ารุ่นพิเศษ ทริปเล็ก ๆ” ที่ภีมยื่นให้เมื่อคืนก่อน กลิ่นดอกไม้จาง ๆ ลอยขึ้น ปลายรสหวานเหมือนเสียงหัวเราะที่ยังค้างอยู่ในคอจากเมื่อวาน ฉันยกแก้วไปยืนที่ระเบียง เห็นประตูฝั่งตรงข้ามเลื่อนเปิดในเวลาแทบจะตรงกัน ภีมยกแก้วของเขาขึ้นนิด ๆ เราสองคนยิ้มให้กันอย่างไม่ต้องพูดอะไรมาก “วันนี้สู้ ๆ นะครับ” เขาพูดเบา ๆ แต่ได้ยินชัด “คุณด้วยค่ะ” ฉันตอบ ทั้งที่ในหัวเริ่มเรียงงานแบบผู้จัดการกองถ่ายฉบับเร่งด่วน เพราะวันนี้คือวันสำคัญ ทีมฉันต้องถ่ายทำคอนเทนต์ชุด “Warm is a Place” สำหรับลูกค้า และโลเกชันที่เลือกคือร้านของภีม…ที่เดิม หลังอาบน้ำแต่งตัว ฉันเปิดงานในโทรศัพท์ ไลน์กรุ๊ป “กองอุ่นจริง” (ตั้งชื่อตามคีย์เวิร์ด) เด้งข้อความจากพี่นนท์: “คอนเฟิร์ม 10:00 เริ่มเซ็ต ซีนแรกเปิดหน้าร้าน ซีนสองบาร์ ซีนสามโต๊ะไม้ ใครถึงก่อนช่วยแจ้ง” ฉันพิมพ์ตอบ “ฉันถึงก่อน 9:30 ไปเช็กลิสต์พร็อพกับเจ้าของร้านค่ะ” แล้

  • ข้างห้องคือคนข้างใจ   บทที่ 13 ทริปเล็ก ๆ (2)

    เขาเงียบไปเล็กน้อยเหมือนเช็กหัวใจตัวเองก่อนพูด “เคยครับ แต่ภาพนั้นไม่ชัดเจนเท่าไหร่ รู้แค่ว่าถ้ามีมันคงเหมือนโต๊ะหนึ่งตัวที่คนในบ้านชอบกลับไปนั่งด้วยกัน มีเสียงหัวเราะของสัตว์เลี้ยง มีแก้วน้ำสองใบวางอยู่เสมอ” ฉันยิ้มกว้างกว่าคำถามที่ตั้งใจ “แก้วสองใบ…บนที่รองแก้วสองแผ่น” เขายิ้มกลับ “ครับ” เราลุกขึ้นไปเดินรอบบึงช้า ๆ หลังทานของว่าง ดอกหญ้าสีน้ำนมไหวตามลมเหมือนคนโบกมือทักทายจากสองฟากทาง ฉันเดินถือสายจูงโตโตะ ภีมสะพายตะกร้า ส่วนโมจิอย่างที่คาดขึ้นคานอนบนไหล่ภีมเหมือนราชินีบนราชรถ คนเดินสวนมาหลายคนอดทักไม่ได้ “น้องแมวเก่งจังเลยค่ะ” ภีมยิ้ม “จริง ๆ แล้วเก่งที่ยอมให้ผมแบกมากกว่าครับ” ฉันหัวเราะจนลืมว่าครู่หนึ่งก่อนหน้านี้ฉันเคยล้มกลิ้ง ความเขินจากเหตุการณ์เช้าแปรสภาพเป็นความจำที่น่ารักอย่างรวดเร็ว เมื่อเดินครบรอบ เรากลับมาที่ผ้าปิกนิก ฉันวางโมจิลง มันเดินตรงไปตรวจคุณภาพอาหารบนจานภีมแล้วนั่งทับรายการกินเหมือนจะปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง โตโตะหมดแรงนิด ๆ นอนแผ่พุงเหยียดขาตรง ทำหน้าฟินราวกับเพิ่งชนะ

  • ข้างห้องคือคนข้างใจ   บทที่ 13 ทริปเล็ก ๆ (1)

    เช้าวันหยุดหลังคืนดาดฟ้าที่ใจเราเหมือนตกลงสัญญาเงียบ ๆ ฉันตื่นเร็วกว่าปกติทั้งที่ไม่มีนาฬิกาปลุก ลมเช้าจากระเบียงพัดกลิ่นกาแฟที่บดไว้เมื่อคืนโชยเข้ามา โมจิเดินมาวนรอบขาเหมือนนาฬิกาปลุกมีขน ฉันลูบหัวมันแล้วพูดกับตัวเองว่า วันนี้อยากทำอะไรช้า ๆ แบบไม่ต้องชนะเวลา พอเปิดประตูระเบียงก็เจอภีมยืนพาโตโตะออกมารับแดดจาง ๆ เขาส่งยิ้มแบบที่เคยทำ ยิ้มที่ไม่รีบให้คำตอบ แต่บอกว่าอยู่ข้าง ๆ “อรุณสวัสดิ์ครับ” “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ฉันตอบพร้อมยกแก้วน้ำให้โมจิดมเล่น แดดเช้าตีกับราวระเบียงเป็นริ้ว ๆ จนฉันเผลอหยุดมอง ภีมเอ่ยขึ้นเหมือนคิดไปพร้อมกับลม “วันนี้อากาศดี อยากลองพาโตโตะไปสวนสาธารณะนอกเมือง…คุณกับโมจิสนใจไปด้วยไหมครับ” คำชวนฟังดูง่าย แต่หัวใจฉันกลับทำงานซับซ้อนขึ้นมาทันที มันไม่ใช่แค่ไปสวน มันคือการออกนอกพื้นที่ปลอดภัยที่เราเคยอยู่ร่วมกัน จากโถงชั้น 18 ระเบียง โต๊ะโอ๊ค ไปสู่โลกกว้างที่เราไม่เคยใช้เวลาเป็น “พวกเรา” จริง ๆ มาก่อน ฉันลังเลเพียงเสี้ยววินาที ก่อนพยักหน้า “ไปค่ะ” โมจิตอบแทนด้วยการตดเ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status