“เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วยามก่อนผู้ดูแลจะพาชายงามมาให้ข้าเลือกเพิ่ม คราวนี้ข้าขอเปลี่ยนท่านั่งพวกเจ้าใหม่” สตรีในคราบบุรุษกล่าวก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปใกล้ทั้งสามคน
จางชิงหนี่ว์จัดบุรุษคนหนึ่งให้นอนเอนหลังลงกับพื้น ส่วนบุรุษอีกคนคุกเข่านั่งคร่อมขาข้างหนึ่งของคนที่นอนอยู่ มือใหญ่ของคนที่อยู่ด้านบนวางลงตรงแผ่นอก ส่วนแขนอีกข้างยันพื้นเอาไว้
ชายอีกหนึ่งคนที่เหลือ นางให้นอนคว่ำแล้วซบใบหน้าลงตรงต้นขาที่ไม่มีอาภรณ์ปกปิด มือใหญ่ข้างหนึ่งเอื้อมไปวางลงบนหน้าท้อง
“อู่เจ๋อ ท่าทางเจ้ายังไม่ได้ มานี่ประเดี๋ยวข้าทำให้ดู” นางดันตัวเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายหลบ
“เจ้าต้องทำเช่นนี้ อืม โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้เช่นนี้ดีกว่า” นางขึ้นคร่อมขาข้างหนึ่งของชายงามที่นอนอยู่ก่อนจะใช้มือยันพื้นไว้ ส่วนมืออีกข้างที่ว่างแตะลงบนยอดอกบุรุษแล้วโน้มดวงหน้าหวานเข้าใกล้จนเหลือช่องว่างห่างเพียงหนึ่งฝ่ามือ
แกร๊ก เสียงเปิดประตูดังขึ้นก่อนที่ชายในอาภรณ์สีครามจะเดินเข้ามาภายในห้อง นัยน์ตาดำที่มองลอดหน้ากากหนังจับจ้องไปนอกห้องอยู่ตลอดราวกับกำลังหลบซ่อนตัวจากใครอยู่
หนึ่งสตรีสามชายงามต่างจ้องมองผู้บุกรุกเป็นตาเดียวและนิ่งค้างอยู่ในท่านั้น
แต่เมื่อบุรุษที่เข้ามาหันกลับมามอง ตาสบตาแม่นางน้อยยิ่งค้างแข็งอยู่ในท่าเดิม
‘เหตุใดเป็นชายผู้นี้อีกแล้ว’
“...” นัยน์ตาบุรุษแข็งกร้าวขึ้นมาฉับพลันก่อนที่เขาจะก้าวเดินเข้าไปหาทั้งสี่คน มือใหญ่รั้งตัวสตรีเพียงหนึ่งเดียวให้ถอยออกห่างจากบุรุษทั้งสามที่อาภรณ์หลุดลุ่ย เนื่องจากไม่ทันได้ตั้งตัวร่างบอบบางจึงเซถลาเข้าไปซบอกแกร่งอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ขออภัยท่านจอมยุทธ์ผู้แปลกหน้า” จางชิงหนี่ว์กล่าวพร้อมกับรีบถอยห่าง
“ช้าก่อน” เขาบอกแล้วใช้มือใหญ่รั้งเอวคอดให้เข้ามาใกล้ มืออีกข้างบีบคางนางเอาไว้ไม่ให้หันไปมา
“นี่ท่าน! ปล่อยข้านะเจ้าคะ” นางส่งเสียงอู้อี้
“พวกเจ้าสามคนสวมใส่อาภรณ์ให้เรียบร้อย”
“ขอรับ” เมื่อเห็นท่าทางเกรี้ยวกราดและสายตาที่เต็มไปด้วยโทสะ ชายงามทั้งสามคนจึงทราบได้ทันทีว่าบุรุษผู้นี้คงเป็นคนรักไม่ก็สามีของแม่นางน้อยผู้นี้
“รอก่อน พวกท่านค้างอยู่ในท่านั้นแหละ ข้ายังวาดภาพไม่เสร็จ”
“นี่เจ้า!” ดวงตาของเขาวาววับราวกับพ่นไฟออกมาได้
“ปล่อยข้าได้แล้วเจ้าค่ะ”
“...” เมื่อได้ยินว่าสตรีตรงหน้าเพียงมาวาดภาพในสถานที่แห่งนี้ เจ้าของร่างสูงจึงยอมปล่อยนางแต่โดยดี
“นี่ท่านโมโหเรื่องใดมาเจ้าคะ หรือฮูหยินของท่านหนีมาเที่ยวในหอชายงามแห่งนี้จึงได้เกรี้ยวกราดเช่นนี้” นางกล่าวพลางใช้มือลูบบริเวณแก้มที่ถูกบีบเมื่อครู่
“ช่างเปรียบเปรย แล้วเจ้ามาทำอันใดที่นี่ รู้หรือไม่ที่นี่ไม่เหมาะที่คุณหนูในห้องหออย่างเจ้าจะมาเที่ยวเล่นได้”
“ข้ามาวาดภาพไปขายเพื่อหาเงิน ไม่ได้มาเที่ยวเล่น หากไม่เพราะถูกท่านข่มขู่จนไม่กล้าไปลานฝึกยุทธ์ ข้าคงไม่มาที่นี่” นางกล่าวเสียงเบา
เหตุใดเมื่อครู่เขาถึงได้เกรี้ยวกราดถึงเพียงนี้ อย่าบอกนะว่าบุรุษผู้นี้หลงใหลข้าเข้าให้แล้ว แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อตั้งแต่ต้นจนจบที่ได้รู้จักกันไม่เคยมีเรื่องราวอันใดน่าประทับใจเลยสักนิด
“จวนเจ้าไม่ได้ขัดสนอันใด อีกทั้งจวนท่านปู่เจ้าก็ร่ำรวย แล้วเจ้าจะมาลำบากวาดภาพหาเงินด้วยเหตุอันใด”
รู้แม้กระทั่งเรื่องราวของคนรอบตัวนาง ฐานะของจวนจาง แต่เอาเถิดนางไม่สงสัยหรอกเพราะเรื่องราวเหล่านี้เพียงแค่เอ่ยถามชาวบ้านร้านตลาดก็ทราบแล้ว
“เงินทอง ความร่ำรวยของผู้อื่นจะเทียบเท่ากับเงินที่หามาด้วยตนเองได้อย่างไรเจ้าคะ”
“แต่การที่คุณหนูอย่างเจ้ามาวาดภาพบุรุษขายเพื่อหาเงินเช่นนี้มันก็ไม่เหมาะสม”
“ไม่เหมาะสมอย่างไรเจ้าคะ ในเมื่อข้าก็ใช้ฝีมือข้าทำงานเพื่อแลกเงินเช่นผู้อื่น”
“เอ่อ...ท่านทั้งสองขอรับ พวกข้าขอนั่งก่อนได้หรือไม่ขอรับ”
“อย่าเพิ่ง ข้าจะรีบวาดเดี๋ยวนี้” นางกล่าวก่อนจะเดินกลับไปนั่งวาดภาพดังเดิม
“เจ้า...” เขาเดินตามตั้งใจจะพูดคุยต่อ
“อย่าเพิ่งเอ่ยวาจารบกวนข้าเจ้าค่ะ” คุณหนูจางกล่าวก่อนจะลงมือวาดภาพต่อ
ใช้เวลาเพียงสองเค่อภาพชายงามทั้งสามคนก็ปรากฏอยู่ตรงหน้านาง
“พวกท่านรีบใส่อาภรณ์เถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอาได้” นางเอ่ยพลางส่งยิ้มให้กับชายงามทั้งสามที่ช่วยให้งานของนางลุล่วงไปได้
การแต่งฮูหยินที่เร่งรีบของท่านราชครู มีคนมากมายที่อาจจะสงสัยว่าเหตุใดท่านราชครูจางเหว่ยถึงได้เร่งรีบตบแต่งเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดซือซือเข้าจวนจาง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีข่าวลือว่าคบหากัน หรืออาจจะเป็นเพราะได้เห็นบทเรียนจากการเล่าลือเรื่องของคุณหนูสวี่ ที่จู่ๆ คนเหล่านั้นบังเอิญลิ้นขาดกลายเป็นคนพูดไม่ได้ แต่โชคดีหนึ่งในนั้นมีคนเขียนอักษรได้ จึงได้เขียนเตือนคนรอบตัวไม่ให้เล่าลือเรื่องราวเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์หรือตระกูลที่ใกล้ชิดราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าเล่าลือหรือสงสัยถึงความเร่งรีบของท่านราชครู “พี่เหว่ย ท่านจะไม่เสียใจทีหลังห
ฮองเฮาพบปะสหาย ภายในจวนท่านราชเลขาฯจาง วุ่นวายไม่น้อยเมื่อมีผู้สูงศักดิ์มาเยือนโดยได้นัดหมายกันล่วงหน้า “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ชินอ๋องที่เพิ่งลงจากรถม้าแสดงความเคารพโอรสสวรรค์และฮองเฮา “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” พระชายาสกุลจางที่ลงรถม้ามาภายหลังทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นกัน “ตามสบายเถิด พวกเจ้าเป็นสหายของเราใช้คำธรรมดาสามัญเถิด”
“เจ้าโอบอุ้มบุตรชายของเราให้แน่นๆ ส่วนเจ้าพี่จะจับให้แน่นๆ เอง” กล่าวจบเขาก็ใช้วิชาตัวเบาโอบอุ้มพานางและบุตรชายกลับตำหนัก ทันทีที่ถึงตำหนักโจวหลี่หมิงถูกส่งตัวให้ซานจี สาวใช้ประจำตัวคนใหม่ของนางที่ทางพระสวามีหามาให้ แน่นอนว่านางมิใช่สาวใช้ธรรมดา เพราะสตรีผู้นี้คือองครักษ์เงาที่ถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อดูแลดวงใจของท่านอ๋อง “นำไปซื่อจื่อไปมอบให้แม่นมแล้วเจ้าไปพัก ข้าจะดูแลพระชายาเอง” บุรุษที่ชื่นชอบการปรนนิบัติฮูหยินกล่าว “แงๆ” แม้จะดีดดิ้นเพียงใด แต่บุตรชายมีหรือจะต่อต้านบิดาได้ “ท่านพี่ หากลูกไม่อยากไป...” ไม่มีมาร
เรื่องเล่าหลังเป็นพระชายาของชิงหนี่ว์ ดวงตาเมล็ดซิ่งทอดมองผืนดินที่เขียวชอุ่มไปด้วยพืชผัก ที่ดินผืนนี้นางใช้เงินที่ได้จากการวาดภาพขายมาซื้อเก็บไว้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับบ่าวรับใช้ผู้ภักดีทั้งสอง ก่อนหน้าที่นางจะแต่งเข้าตำหนักอ๋องไม่นาน นางก็จัดการให้จื่อรั่วและจื่อเป่าที่ความสัมพันธ์คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกันก่อนจะคืนสัญญาทาสแล้วให้ทั้งสองคนย้ายมาปลูกจวนอยู่บนที่ผืนนี้ “พระชายาท่านนั่งพักดื่มน้ำก่อนเถิดเพคะ รอแดดร่มลมตกค่อยออกไปเดินดูด้านนอก”&
“เช่นนั้นก่อนจะลงโทษน้อง ท่านพี่กินข้าวก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” “มิต้อง” กล่าวจบเขาก็รั้งนางเข้าไปแนบชิด มือใหญ่จับยึดคางเรียวเอาไว้ริมฝีปากร้อนกดลงบนกลีบปากบาง ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนางอย่างเอาแต่ใจ ในขณะที่มือช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ให้นางอย่างรวดเร็ว ช่างใจร้อนเสียจริง... ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย เมื่อพระสวามีของตนที่เพิ่งถอนจุมพิตเร่าร้อนเมื่อครู่ จับจ้องนางราวกับหมาป่าหิวกระหาย “น้องหญิงของพี่เลิศรสกว่าอาหารใดๆ” กล่าวจบเขาก็ช้อนเรือนร่างเปลือยเปล่าเข้าหลังฉากกั้น ว่ากันว่าฮองเฮาชื่นชอบการแช่น้ำร้อน ภายในตำหนักจึงมีบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่อยู่ติดห้องบรรทม 
ฮ่องเต้ผู้เด็ดขาดกับฮองเฮา (แค่บนเตียง) นัยน์ตาดำของบุรุษสูงศักดิ์จับจ้องใบหน้าของสตรีที่ตนรักอย่างไม่ละสายตา มือใหญ่ช่วยคีบอาหารใส่ชามให้นางอย่างเอาใจ “ท่านพี่กินบ้างเถิดเจ้าค่ะ อย่ามัวแต่คีบให้ข้าเลยเจ้าค่ะ” แม้ยามนี้ทั้งสอ