"จะไม่ให้ข้ามีปัญหาได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าเอาเด็กที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาเป็นว่าที่จักรพรรดินีองค์ต่อไปได้อย่างไรกัน" หัวหน้าตระกูลริคไม่มีทีท่าว่าจะถอยให้กับผู้เป็นน้องสาวของเขาเลยแม้แต่ก้าวเดียว เรื่องราชวงศ์เป็นสิ่งสำคัญ ไหนจะเรื่องการมีทายาทอีก
"หม่อมฉันรู้จักแม้กระทั่งตาของเด็กคนนี้ ท่านลุงยังมีปัญญาอะไรอีกหรือไม่ขอรับ" รัชทายาทเองก็ทนฟังไม่ไหวแล้วเหมือนกัน จะว่าใครก็ได้แต่ไม่ใช่กับกระรอกน้อยของเขา
"หมายความว่ายังไงกันแน่"
แกร๊ก!
"หม่อมฉันขอเชิญดยุคริค ท่านจักรพรรดินี รัชทายาท คุณชายไวท์ ไปที่ห้องทำงานของท่านจักรพรรดิด้วย" มีเทนมาได้จังหวะสงบศึกสงครามน้ำลายของทั้งสามได้ทันเวลาพอดี
จำเป็นที่จะต้องถกเถียงกันขนาดนี้ไหม บางทีถ้ายอมฟังกันก่อนเรื่องราวมันไม่น่าจะอลหม่านขนาดนี้นะ จักรพรรดินีหัวแข็งไม่ฟังใคร ดยุคริคก็ไม่ยอมอ่อนข้อ รัชทายาทก็ให้ท้ายจนไม่ลืมหูลืมตา จะบอกว่าเหมาะสมสำหรับการทะเลาะกันก็คงไม่แปลกเลยจริงๆ ถ้ามีเทนไม่มาห้ามไว้มีหวังได้มีสงครามมากกว่าน้ำลายแน่นอน แค่คิดก็ปวดหัวขึ้นมาแล้ว ถึงมีคำกล่าวไว้ว่าถ้าเลี่ยงได้จงอย่าเข้าวังหลวง อยู่เป็นคนธรรมดาดีแล้ว
"หม่อมฉันเรียกทั้งสามท่านมาพบแล้วพะยะค่ะ ท่านจักรพรรดิ"
"อืม นั่งลงสิ" ทั้งสามนั่งลงอย่างว่าง่ายตามลำดับชั้นที่ถูกต้องแม้กระทั่งไวท์ที่มาอยู่ที่นี่ไม่กี่วันก็สามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดาย ความจริงต้องขอบคุณที่บ้านของเขาเคยเป็นตระกูลผู้ดีเก่ามาก่อนเลยรู้ขนบทำเนียมประเพณีบ้างเท่านั้นเอง ไม่ได้เก่งกาจอะไร
"ทั้งคู่ไปพักผ่อนได้ เรื่องทางนี้ให้ผู้ใหญ่จัดการเอง" จักรพรรดิสั่งเสียงเรียบแต่ทรงพลังอีกทั้งยังมีรังสีอำมหิตแผ่ออกมาด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างมาก งานนี้ไม่รู้ว่าจะจบลงอย่างไร ไม่อยากจะคิดถึงมันเลย
"พะยะค่ะ ท่านจักรพรรดิ / พะยะค่ะ ท่านพ่อ"
ผมคิดว่าท่านพ่อน่าจะมีวิธีการที่จะจัดการกับท่านลุงให้ยอมจำนนเรื่องของจีนแล้วเปลี่ยนมาเป็นไวท์ที่อยู่ในเชื้อพระวงศ์แทน เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อร้อยปีก่อนสมัยที่ตาของไวท์เดินทางมาที่นี่ด้วยวิธีอะไรก็ไม่อาจรับรู้ได้ แต่ไม่คิดว่าหลานชายของเขาจะเผชิญชะตากรรมเดียวกันแบบนี้
"กระรอกน้อย ข้าว่าเดี๋ยวจะหาคนรับใช้มาอยู่ข้างกายของเจ้านะ ข้าเลือกเอาไว้ให้แล้ว" สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือต้องการคนที่ไว้ใจได้มาคอยดูแลกระรอกน้อยยามที่เขาไม่อยู่ด้วย จักรวรรดิเต็มไปด้วยอันตราย ไหนจะเลือดที่หอมหวานนั่นอีก มันช่างเป็นตัวล่อโดยแท้
"ให้ใครมาเป็นคนรับใช้หม่อมฉันหรือพะยะค่ะ ท่านพี่" ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาอยู่ในจุดที่ต้องมีคนรับใช้กับเขาด้วย ลำพังดูแลพนักงานในร้านแทนแม่บางครั้งก็แทบแย่แล้ว ไม่สิ! จะมามัวคิดถึงเรื่องของโลกที่เคยอยู่ไม่ได้ ตอนนี้ต้องสนใจโลกที่ตนเองอาศัยอยู่ก่อน
"ตอนแรกข้าว่าจะให้ตระกูลโฟลช์มาดูแลกระรอกน้อยแต่ว่ากฎเยอะมาก ส่วนตระกูลรุคที่คอยดูแลเชื้อพระวงศ์อย่างตระกูลริคก็ยุ่งยากเกินไป ไม่มีใครยอมรับเจ้าที่เป็นมนุษย์สักคน" ความจริงแล้วทันทีที่คีย์เสนอความคิดหาคนมาดูแลไวท์ ไม่มีใครตอบรับเลยสักคนเพราะทุกคนรู้สึกเสียเกียรติในการดูแลมนุษย์ พวกเขายินดีรับใช้แวมไพร์ที่มีพลังมากกว่าตนเองด้วยความเต็มใจมากกว่า
"ข้าจึงได้เดินทางไปเลือกกลุ่มที่เป็นประเภทเดียวกับกระรอกน้อยมาแทน"
"หมายความว่ายังไงเหรอครับ" เสียงหวานเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย คนประเภทเดียวกับเขามันหมายความว่ายังไงกันแน่ นิสัย หน้าตา หรือการกระทำ
"ข้าเดินทางไปหมู่บ้านเลือดผสมระหว่างมนุษย์กับแวมไพร์เพราะว่าเจ้าเองก็เป็นลูกครึ่งเทพ การเลือกคนประเภทเดียวกันมาดูแลย่อมง่ายกว่า และเมื่อข้าถามว่ามีใครต้องการมาดูแลเจ้าที่เป็นลูกครึ่งเทพไหม กระรอกน้อยรู้ไหมว่าพวกเขาตอบว่าอะไร"
"ตอบว่าอะไรเหรอครับ"
"ทุกคนตอบตกลงทั้งหมดไม่มีใครปฏิเสธแม้แต่คนเดียว หมายความว่าจากนี้ไปคนของหมู่บ้านนั้นทั้งหมดก็คือคนรับใช้ของกระรอกน้อย คนกลุ่มนี้ไม่มีหัวหน้าแถมยังถูกรังเกียจจากมนุษย์และแวมไพร์ด้วยกัน หากได้เจ้ามาเป็นเสาหลักของพวกเขา ข้ารับรองว่าพวกเขาจะต้องรู้สึกดีอย่างแน่นอน" คีย์คาดหวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยและสงบมากขึ้น ส่วนทางท่านพ่อท่านแม่นั้นน่าจะเป็นการจัดการท่านลุงมากกว่าพูดคุยธรรมดาอย่างแน่นอน
ที่นี่เหมือนจะทำทุกอย่างเป็นความลับไปเสียหมด จะบอกแต่สิ่งที่อยากให้รับรู้เท่านั้น ไวท์ไม่มีทางรู้สิ่งอื่นได้เลยถ้าไม่มีการบอกกล่าว ในเมื่อไม่ยอมบอก...ก็ต้องค้นหาคำตอบกันเอาเองสินะ หวังพึ่งตัวเองได้อย่างเดียวแน่นอน
"ระหว่างที่ยังไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการเรื่องบุตรบุญธรรม กระรอกน้อยต้องอยู่ที่วังหลวงกับท่านพ่อและท่านแม่ไปก่อนนะ ส่วนเรื่องคนรับใช้ของเจ้าน่าจะอีกสามวันกว่าจะเดินทางมาถึง มีอะไรอยากถามไหม" เสียงทุ้มต่ำอธิบายข้อมูลละเอียดครบถ้วน สายตาคมมองด้วยความห่วงใยอย่างไม่มีปิดบัง ทุกการกระทำล้วนสื่อความหมายทั้งหมด ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะไม่รู้อย่างแน่นอน
"ไม่มีแล้วครับ ผมว่าจะอาบน้ำนอนเลย" เสียงหวานตอบพลางส่ายหัวไปมา ช่างน่ารักเสียจริง ว่าที่คู่หมั้นใครเนี่ย
"ราตรีสวัสดิ์ กระรอกน้อย" มือหนาลูบกลุ่มผมนิ่มด้วยความเอ็นดู
"ราตรีสวัสดิ์ครับ พี่คีย์"
ร่างสูงเดินกลับไปทางห้องทำงานของท่านพ่อแทนห้องนอนเพราะเขาคิดว่าป่านนี้เรื่องดังกล่าวไม่น่าจะจบลงโดยง่าย คนที่ดื้อร้นอย่างท่านลุงต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน และคีย์ก็อยากจะรู้ว่าท่านพ่อที่ได้รับฉายาว่าท่านจักรพรรดิช่างเจรจาจะเป็นอย่างไร เหมือนกับที่เขาลือกันหรือไม่ ถึงจะเป็นรัชทายาทมานานแต่ก็ออกไปทำงานนอกเมืองหลวงตั้งแต่เข้าสู่วัยผู้ใหญ่ด้วยวัยเพียงสิบหกปี
การจะเดินทางเข้าวังหลวงมีเพียงการเรียกเข้าพบตามกำหนดการหรืองานเลี้ยงประจำเดือนเท่านั้น หากไม่มีเรื่องอะไรสำคัญก็ไม่สามารถเดินทางมาเมืองหลวงได้ เพราะเขาได้รับมอบหมายให้ดูแลเมืองทางตะวันออกมานานหลายร้อยปี สาเหตุในการกระจายลูกชายขององค์จักรพรรดิไปยังดินแดนต่างๆ ในจักรวรรดิ ก็เพื่อสกัดกั้นการโกงของเหล่าขุนนางที่จะแอบทำลับหลังหากราชวงศ์อยู่ในเมืองหลวงกันหมด
จึงได้มีคำสั่งให้เหล่าเจ้าชายหลังอายุครบเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ไปประจำการตามดินแดนหัวเมืองใหญ่ทั้งหมด เพื่อควบคุมขุนนางตามเมืองเหล่านั้น ส่วนในเมืองหลวงมีขุนนางราชวงศ์นั้นจักรพรรดิจะเป็นคนคอยควบคุมเอง ถือเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิเป็นอย่างมากเกี่ยวกับแผนการเมืองการปกครองของจักรพรรดิองค์ที่ 16 ถึงแม้ว่าแวมไพร์จะมีช่วงอายุที่ยาวนาน
แต่อายุในการปกครองในฐานะจักรพรรดินั้นก็มีช่วงเวลาจำกัดเช่นกัน หลังจากปกครองครบช่วงเวลาดังกล่าวจะต้องก้าวเข้ารับตำแหน่งสมาพันธ์ผู้อาวุธโสผู้อยู่เบื้องหลังในการช่วยเหลือจักรพรรดิในการจัดการกับเหล่าขุนนางที่หวังจะแย่งชิงราชบัลลังค์ไม่ให้สั่นคลอนลงอย่างง่ายดายนั่นเอง นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเหล่าจักรพรรดิที่ปกครองดินแดนจักรวรรดิไม่มีใครเสียชีวิตก่อนวัยอันควรสักคน เพราะเหล่าคนที่หวังจะมาทำร้ายได้ถูกทำลายก่อนแล้วนั่นเอง
"มาแล้วรึ รัชทายาท" จักรพรรดิเอ่ยถามหลังใช้สายตาสื่อสารกันก่อนว่าจะให้ว่าที่ลูกสะใภ้เข้านอน แล้วพวกเขาจะมาคุยกันต่อเรื่องหลังจากนั้น
"ท่านลุงยอมรับเงื่อนไขของท่านพ่อกับท่านแม่หรือยังขอรับ" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามนั้นไม่ใช่ประโยคคำถามแต่เป็นประโยคคำสั่งให้ยอมรับแต่โดยดีมากกว่าการต่อต้าน
"หากเด็กคนนั้นจะมาทำให้การนองเลือดหายไปได้ หม่อมฉันก็ไม่มีปัญหาหรอก รัชทายาท" ดยุคริคตอบรับอย่างเสียไม่ได้ ตั้งแต่เข้าห้องทำงานมาก็โดนทั้งจักรพรรดิและจักรพรรดินีข่มขู่สารพัดอย่างและเชิญท่านโหราจารย์มาบอกด้วยตัวเอง มิหนำซ้ำยังถูกรัชทายาทมากดดันอีก ใครจะกล้าต่อต้านกันล่ะ! เขาเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเด็กคนนี้จะสามารถทำอะไรได้บ้าง
"ในเมื่อทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ข้าขอเชิญท่านลุงพักผ่อนอยู่ที่วังหลวงสักสามสี่วัน แล้วจะพบความจริงบางอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิตอันยาวนานของท่าน"
ณ วังหลวงส่วนจัดงานเลี้ยงบรรยากาศในงานออกมาแนวธีมสีอ่อนเพื่อให้เข้ากับภาพลักษณ์และนิสัยเจ้าของวันเกิด อาหารถูกนำมาเสริฟ์ด้วยเมนูรสชาติจืดแล้วค่อยไล่ระดับไปเผ็ด ขนมหวานและอาหารว่างที่ดูแปลกตาทั้งหมดถูกนำมาจัดวางภายในงาน แน่นอนว่าบุคคลผู้สอนการทำทั้งหมดเป็นฝีมือของไวท์นอกจากมีตำแหน่งเป็นบุตรบุญธรรมของตระกูลริค รวมถึงได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ดูแลการจัดการอาหารว่างอย่างเป็นทางการของวังหลวง และยังเป็นคู่หมั้นขององค์รัชทายาทอีกด้วย ถึงตำแหน่งในฐานะนักดาบยังไม่ได้มากมายแต่ตำแหน่งอื่นถือว่ามากพอที่จะสั่นคลอนจักรวรรดิได้มากทีเดียวองค์รัชทายาทและเจ้าชายฝาแฝดทั้งสองถูกเชิญกลับมายังเมืองหลวงอย่างถาวร มารับตำแหน่งและจัดการงานภายในวังหลวงแทนการดูแลเมืองในเขตปกครองห่างไกล เพื่อช่วยกันจัดระเบียบรวมถึงการให้ความสำคัญกับลำดับของทายาท และความมั่นคงของวงศ์ตระกูลแวมไพร์สายเลือดบริสุทธิ์“จัดเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วใช่หรือไม่ ยังขาดเหลืออะไรอีกหรือเปล่า&
ณ พระราชวังของจักรพรรดิ“จักรพรรดิพะยะค่ะ เซอร์เรเวลมาขอเข้าเฝ้า” มีเทนรายงานให้ผู้เป็นนายฟังเพราะดูเหมือนว่าจะมีสมาธิแต่การทำงานจนไม่ได้ฟังสิ่งที่คนภายนอกรายงานเข้ามาเลย“อะแฮ่ม...ข้ามัวแต่ทำงานเพลิน ให้เข้ามา”“พะยะค่ะ” มีเทนขานรับแล้วเดินไปเปิดประตู“ถวายความเคารพองค์จักรพรรดิ”“ไม่ต้องมากพิธี มีอะไรก็ว่ามา” จักรพรรดิเร่งเพราะยังมีงานค้างที่ต้องจัดการอีกมาก การมาเข้าเฝ้าอย่างเร่งด่วนและไม่มีการขอล่วงหน้าคงจะมีเรื่องด่วนพอสมควร แต่ถ้าไม่ด่วนขนาดนั้นจะสั่งขังสักสิบวันแล้วค่อยให้มาทำงาน เป็นทหารมานานแต่ดันไม่รู้จักระเบียบของวังบ้างเสียเลย“ข้าจะมารายงานความคืบหน้า เกี่ยวกับพลังของพระคู่หมั้นองค์รัชทายาทพะยะค่ะ” เรเวลตัดสินใจบอกออกไป เพราะอยากเลิกทำงานนี้เสียที เพราะต้องตามสืบคนเดียวมาตลอดหลายเดือน อยากให้มันสิ้นสุดเ
มือขวาดีดนิ้วทำให้วงเวทย์จำกัดการใช้พลังของพวกเราให้อยู่เพียงภายในวงเท่านั้น เพื่อไม่ให้คนอื่นได้รับผลกระทบไปด้วย เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าพลังของทั้งคู่มีมากน้อยแค่ไหน เขาจึงตัดสินใจใช้พลังของมังกรปิดกั้นมันไว้ทันทีก่อนจะออกตัวต่อสู้ผัวะ!แรงปะทะกันซึ่งหน้าทำให้ต่างคนต่างกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง ประสาทสัมผัสที่ดีเยี่ยมของมังกรได้เปิดใช้ทำงานเพื่อประเมินสถานการณ์แต่กลับพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใช้ความรู้สึกเป็นศัตรูเพื่อมาสู้กับเขา หมายความว่านี่คือการทดสอบความสามารถสินะ ถ้างั้นมาลองกันสักตั้งแล้วกัน ขอไม่เกรงใจกันแล้วผัวะ! พลั่ก! ตุ้บ!ไวท์เร่งความเร็วทั้งพละกำลังและการต่อสู้อย่างเต็มกำลังเพื่อวัดกันไปเลยว่าสารวัตรต้องการจะตรวจสอบอะไรกันแน่ มาตรวจกันให้มันจบวันนี้ไปเลย ทุกกระบวนท่าที่เคยร่ำเรียนมาทั้งหมดใส่ไปให้หมดไม่ต้องปกปิดความสามารถเอาไว้เพราะว่าบุคคลนี้จะต้องนำเรื่องนี้ไปแจ้งแก่องค์จักรพรรดิอย่างแน่นอนคีย์สังเกตเห็น
“เป็นอะไรกันหรือเปล่าครับ ทุกคนเหนื่อยเหรอ” ไวท์ถามพลางเอียงคอ ทำไมทำหน้าแบบนั้นกันหมด“จะเหนื่อยได้ยังไงขอรับ ในเมื่อคนออกแรงคือท่านไวท์ต่างหาก” เฟลิกซ์บอกพลางมองเหล่าแวมไพร์ผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายด้วยความเบื่อหน่าย มาทำให้เจ้านายของเขาสงสัยทำไม แค่พูดออกมามันจะยากตรงไหนกัน“ตั้งแต่ไปเป็นคนของไวท์ เดี๋ยวนี้ปากกล้าขึ้นนะ เฟลิกซ์” เสียงทุ้มต่ำพูดพลางสะกดอารมณ์ของตนเองไว้ไม่ให้พลังออกมา“ข้าเป็นคนของท่านไวท์นานแล้วพะยะค่ะ แต่เหมือนใครบางคนยังคงหลงลืมเพราะแก่แล้ว เลยคิดว่าตัวเองเป็นเจ้านายก็ได้”“หยุดทั้งคู่เลยครับ เข้าใจการต่อสู้ที่สาธิตให้ดูไหมครับ” ไวท์ยกมือห้ามทั้งสองไม่ให้สู้กันโดยเปล่าประโยชน์ ยังไงพลังเวทของแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์ก็มีมากกว่า ถึงจะสู้กันก็รู้ผลแพ้ชนะตั้งแต่แรก“มันเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์สำหรับข้า” ลอร์ดสวิตบอกพลางพยายามทำท่าทางตาม
“หึ ยังร้ายกาจเหมือนเดิม” เสียงทุ้มต่ำหัวเราะในลำคอเบา ๆ พลางส่ายหัวให้กับความเจ้าเล่ห์ของเพื่อนสนิท แต่พอเข้าใจเหตุผลแล้วจะยอมเปลี่ยนแปลงงบประมาณใหม่“ข้าเป็นเพื่อนเจ้ามานาน เรื่องแค่นี้ไม่มีปัญหาหรอก”คีย์เดินมาหาร่างสูงโปร่งที่ยืนดูพวกเขาสู้กันอย่างตั้งใจอยู่นอกสนาม ดวงตากลมโตมองเห็นคนอายุมากกว่ากำลังมา เลยปลดโล่ป้องกันออกเพราะการต่อสู้จบลง“มีอะไรหรือเปล่าครับ”“ไปเดินเล่นกัน”หมับ!รัชทายาทบอกพลางอุ้มอีกคนแล้วเดินออกไปทันที ตอนแรกเหมือนทุกคนจะตกใจกับพฤติกรรมของผู้เป็นนายแต่พอนานวันเข้าก็เริ่มเคยชินกับเรื่องแบบนี้ เพราะแวมไพร์อย่างคีย์หากอยากจะอุ้มคนรักตนเองก็ทำโดยไม่ได้สนใจใครอยู่แล้ว และเขาเป็นคนเย็นชาก่อนจะมาเจอเด็กคนนี้ นิสัยเดิมก็ยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง“จะพาไปไหนครับ”
“หวังว่าเรื่องนี้จะจบสักที เรื่องการพูดถึงการสืบทอดราชบัลลังค์”“มันจะจบแน่ถ้าพวกเราสองคนเขียนจดหมายส่งเข้าวังหลวง จะไม่มีใครอยากจะมาหาพวกเราเพื่อพูดเรื่องพวกนี้อีก”“ดี ถ้างั้นวันนี้มานอนด้วยกันสิ ไม่ได้นอนด้วยกันนานมากแล้ว”“เอาสิ นอนห้องเดียวกันก็ไม่เลว”ไม่กี่วันต่อมามีเอกสารของเจ้าชายฝาแฝดว่าจะไม่เข้าร่วมเป็นผู้สืบทอดของจักรพรรดิ จะดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าชายและเป็นทายาทลำดับถัดมาเท่านั้น ไม่มีเหตุผลอยากเป็นจักรพรรดิแทนพี่ชายตนเองที่มีตำแหน่งอยู่แต่เดิม ทำให้แผนของเหล่าขุนนางที่หวังจะเรืองอำนาจอีกครั้งหายไปในพริบตา“หึ คิดไว้อยู่แล้วว่าคลาสกับครอสจะต้องทำแบบนี้” เสียงทุ้มต่ำหัวเราะในลำคออย่างพึงพอใจหลังจากทราบข่าวเรื่องการสละตำแหน่งผู้สืบทอด“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ พี่คีย์”“มีจ