หลังจากพ่อแม่ทำแผลให้ด้วยความรู้สึกผิดแล้วก็ปล่อยให้เด็กสาวนั่งทื่ออยู่บนเตียงเพียงลำพัง เพราะพวกเขาต้องรีบไปขออาหารแบ่งมาให้บุตรสาวอีกครั้ง
จิงจิงจึงได้อยู่ในห้องเพียงลำพัง แต่ก็ดีเพราะตอนนี้หญิงสาวสับสนเหลือเกิน เธอยกมือขึ้นแตะที่หน้าผากก่อนจะร้องซี้ดออกมาด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย นี่มันเจ็บจริง ๆ แปลว่าเราไม่ได้ฝันไป แต่นี่คือความจริงงั้นเหรอ” จิงจิงไม่อยากจะเชื่อว่าทุกอย่างนี้จะเป็นความจริง
โลกใบนี้ ยุค 70 ที่แสนแร้นแค้น ชาวบ้านต้องทำงานในกลุ่มคอมมูนเพื่อแลกแต้ม หากแต้มไม่พอก็ไม่มีข้าวให้กิน
หญิงสาวจากยุคที่เทคโนโลยีเจริญรุ่งเรืองจะอดทนอยู่ในสภาพไร้เครื่องใช้ไฟฟ้าว่าแย่แล้ว แต่นี่ยังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง ผู้คนอดอยากหิวโหย แล้วเธอจะทนอยู่ได้อย่างไร
นอกจากนี้ร่างเด็กสาว ‘เว่ยซิ่วอิง’ ยังมีวาสนาชีวิตที่อาภัพยิ่งนัก
หากจะให้เปรียบก็ราวกับว่าเว่ยซิ่วอิงเป็นนางเอกที่ต้องโดนกดขี่ข่มเหงจนผงาดขึ้นในช่วงท้ายนั่นแหละ บังเอิญว่าจิงจิงผู้มาใหม่ต้องรับบทบาทนั้นแทนเสียแล้ว เพราะเว่ยซิ่วอิงคนเดิมทนแรงข่มเหงไม่ไหวจนจากไป ทิ้งไว้เพียงร่างให้อยู่กับวิญญาณหลงยุคคนหนึ่งเท่านั้น
หากทุกอย่างนี้เป็นความจริงไม่ใช่ความฝันละก็ ไม่อยากจะคิดเลยว่าจะมีชีวิตต่อไปอย่างไร ทุกอย่างตอนนี้ราวกับมืดแปดด้านไม่มีทางออกดี ๆ ให้เธอบ้างเลย
เว่ยจิงจิงรู้ดีว่าการต้องฟันฝ่าอุปสรรคกว่าชีวิตจะดีขึ้นนั้นลำบากแค่ไหน เธอเป็นคนทำงานหาเงินเรียนเองมาตั้งแต่ยังเด็กย่อมรู้ดี แต่ตอนนี้พอคิดว่าต้องมาสู้อีกรอบใจก็แป้วไปแล้วหลายส่วน
นอกจากนี้คนในบ้านหลังนี้ยังกดขี่ข่มเหงครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูกของเว่ยซิ่วอิงอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงลืมตาอ้าปากเลย แค่จะกินข้าวสักมื้อก็ยากแล้ว
เอาง่าย ๆ แค่การทำให้คนในบ้านไม่รังแกเว่ยซิ่วอิงต่อไปก็ยากแล้ว การรับมือกับปัญหาทางด้านศีลธรรมนี่แหละรับมือยากที่สุด
เพราะพวกผู้อาวุโสมักจะอ้างเรื่องศีลธรรม ความกตัญญู ซ่อนอยู่หลังคำนั้นแล้วใช้มันทำร้ายชนรุ่นหลังที่พวกเขาต้องการทำตัวเป็นปลิงเกาะทำให้คนรุ่นหลังเหล่านั้นต้องลำบาก
เช่นเดียวกับที่พ่อแม่ของเว่ยซิ่วอิงเจ้าของร่างโดนมาตลอดหลายปี
ดูอย่างร่างกายนี้สิ มือคู่นี้ทำงานอย่างหนักมาตั้งแต่เด็กจนหยาบกระด้างแตกระแหงราวกับมือของหญิงวัยกลางคน ร่างเล็กผอมแห้งจนเหลือแต่กระดูกเพราะขาดสารอาหาร ผิวขาวซีดเพราะดูแลเลือดลมไม่ดี เวลาเย็นจัดก็ป่วยร้อนจัดก็ป่วย
นอกจากนี้ดูเหมือนมีปัญหามากมายที่เกิดจากการอดอยากและทำงานหนักตั้งแต่เด็ก มีอาการปวดหลังหนักกว่าเป็นออฟฟิศซินโดรม เจ็บเข่าคงเพราะเคยโดนสั่งให้คุกเข่าเพื่อทำโทษบ่อยครั้ง
ยังมีรอยจ้ำบาดแผลทั่วตัวทั้งรอยช้ำเล็กใหญ่ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฝีมือของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นย่าของร่างนี้ทั้งสิ้น!
ไม่รู้เลยว่าเจ้าของร่างเดิมต้องทนความเจ็บปวดอย่างนี้มาแล้วกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง รอดตายมาได้จนมีอายุขนาดนี้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว
“มันเจ็บจริง ๆ ฮึก” จิงจิงน้ำตาไหลพรากเมื่อรับรู้ได้ว่าศีรษะของตนปวดหนึบ ยิ่งพอนึกถึงหญิงชราที่ทำให้ตนเองเจ็บปวดแบบนี้ก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้น
ในเมื่อมาอยู่ที่นี่แล้วก็ต้องแบกรับชะตากรรมของร่างกายนี้แทนเว่ยซิ่วอิงคนเดิมเท่านั้น มีแต่ต้องใช้ชีวิตให้ดี มีอายุยืนยาว
ดูเหมือนมีโชคดีหลายอย่าง เพราะขณะนี้ในเมืองเริ่มมีข่าวการปลดล็อกบางอย่างแล้ว อีกไม่นานก็จะมีเสรีการค้า แน่นอนว่านี่ถือเป็นโอกาสในการสร้างธุรกิจและกลายเป็นต้นตระกูลที่ร่ำรวย
จิงจิงเป็นคนจากยุคใหม่ ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านตามาบ้าง ยังมีความรู้หลากหลายจากนิสัยช่างสังเกตและชอบจดจำวิธีการต่าง ๆ เพื่อเอาอกเอาใจคนรวยพวกนั้น
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ถือเป็นต้นทุนของเธอ
นอกจากนี้ยังมีพ่อแม่ที่พร้อมสนับสนุน แม่อย่างนางเหม่ยฟางนั้นทำอาหารอร่อยจนโดนผู้เป็นย่าอย่างนางหวังซื่อใช้งานทำอาหารให้กินมาตลอดสิบกว่าปีจนเคยชินกับรสชาติหรูหรา
แน่นอนว่ารสชาติหรูหราเหล่านั้นได้ขึ้นเพียงโต๊ะใหญ่ของผู้ชายและคนสำคัญในบ้าน
นึกถึงตรงนี้ก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ ตอนแรกบ้านสกุลเว่ยยังแยกโต๊ะชายหญิง ต่อมาเมื่อเด็ก ๆ เริ่มเติบโตขึ้นก็เพิ่มคำว่า คนสำคัญในบ้านที่มีอนาคต อย่างเช่น เว่ยหนานและอาสะใภ้รองเข้าไปด้วย
นั่นทำให้โต๊ะเล็กที่ได้กินเพียงแผ่นแป้งย่างมีเพียงเว่ยซิ่วอิงกับมารดานั่งอยู่สองคน สุดท้ายพ่ออย่างเว่ยตงก็ขอย้ายมานั่งโต๊ะนี้และได้รับส่วนแบ่งเป็นเนื้อชิ้นเล็ก ๆ มาแบ่งแม่และลูกสาวบ้าง
ความแตกต่างระหว่างสองครอบครัวเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ครอบครัวอารองได้รับของดี ๆ ก่อนตลอด เสื้อผ้าหน้าผม เครื่องนุ่งห่ม ของกินของใช้ ขณะที่บ้านของเว่ยซิ่วอิงเหมือนอิงอิงเป็นที่รองรับของสกปรกเหลือทิ้ง
แค่คิดก็อดรู้สึกรังเกียจครอบครัวเว่ยมากขึ้นไม่ได้ ไม่เสียใจแม้แต่น้อยที่ออกปากด่านางหวังซื่อไปหลายคำในวันนี้
จิงจิงไม่ใช่เว่ยซิ่วอิงที่จะนั่งยอมให้คนแก่รังแก เป็นย่าแล้วอย่างไรในเมื่ออีกฝ่ายกล้าตี นางก็กล้าเอาคนเข้าคุกเช่นกัน รอให้นางหาทาง…
จิงจิงชะงักไป นางกลับสู่ความจริงอีกครั้ง
เว่ยซิ่วอิงเป็นหลานสาว ในยุคนี้ลูกหลานเคารพและเชื่อฟังผู้อาวุโส ตัวนางเองอาจไม่ได้รับผลกระทบอะไร แต่พ่อแม่ล่ะ?
เมื่อนึกถึงพ่อแม่ที่แสนอ่อนโยนของเจ้าของร่างเดิม พลันใจอ่อนยวบลง น่าเสียดายทั้งคู่เป็นคนดีแต่มีชะตาอาภัพต้องอยู่ภายใต้การกดขี่ของคำว่ากตัญญู
โดนนางหวังผู้เป็นย่าของร่างนี้ใช้งานอย่างหนักจนคิดว่าเป็นศัตรูกันมากกว่าคนในครอบครัว ในอดีตแม้จะลำเอียงบ้างแต่ยังปรานีให้กินข้าวกินปลา แต่ตอนนี้รังแกกันหนักจนบ้านลุกเป็นไฟแทบทุกวัน ใครจะอยู่ไหว
พอนึกถึงต้นตอปัญหาก็รู้สึกหนักใจกว่าเดิม เว่ยซิ่วอิงอายุสิบแปดแล้วสมควรแต่งงานได้ แต่ถึงอย่างนั้นการที่โดนบังคับให้แต่งกับพ่อม่ายคนนั้นเธอก็ยอมรับไม่ได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้เว่ยหนานยังเคยแอบนำเรื่องมาเล่าให้ฟังว่าพ่อม่ายคนนั้นตีเมียอย่างไรบ้าง ชอบใช้ความรุนแรง แล้วยังใช้ภรรยาราวกับเครื่องมืออะไรสักอย่าง นี่ทำให้เว่ยซิ่วอิงตัดสินใจปฏิเสธเด็ดขาดทั้งที่ปกติเป็นคนว่าง่าย
แต่ก็ดีเหมือนกัน หากเว่ยซิ่วอิงยอมแต่ง แล้วเธอต้องมาอยู่ในร่างตอนแต่งงานไปแล้วจะยิ่งลำบากกว่านี้ โชคดีที่ทะลุมิติมาในตอนที่ยังพอแก้ไขได้
ส่วนเรื่องแต่งงานของร่างกายนี้จิงจิงยังไม่คิด เอาไว้ให้เป็นเรื่องของอนาคตเถอะ
ยิ่งคิดก็ยิ่งนึกถึงชีวิตในชาติก่อนของตน แม้ใช้ชีวิตไม่ง่ายแต่ก็ยังมีโอกาสมากมายให้ไขว่คว้า ผู้หญิงตัวคนเดียวก็อยู่ได้หากรู้จักระมัดระวังและทำงานอย่างตั้งอกตั้งใจ จนเก็บเงินเกือบจะซื้อบ้านมาเป็นของตัวเองได้
สิ่งที่เสียใจที่สุดเห็นจะเป็นโอกาสในหน้าที่การงาน อุตส่าห์ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการสาขาใหญ่แล้วแท้ ๆ แต่ทำไม…
วูบ~
อยู่ ๆ หญิงสาวก็รู้สึกหน้ามืดราวกับหน้าจะทิ่มพื้น ทั้งร่างล่องลอยครู่หนึ่งราวยืนอยู่กลางอากาศ
“แค่ก ๆ ๆ” หวังจิงจิงเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่ามีชั้นเครื่องสำอางวางอยู่ตรงหน้า
“นี่…นี่มันอะไรกัน” จิงจิงมองไปรอบ ๆ ด้วยความตื่นเต้น คิดว่าตัวเองกลับมาที่โลกปัจจุบันได้แล้ว เพราะความต้องการแรงกล้าอย่างนั้นเหรอ?
แต่ก่อนที่เธอจะได้ดีใจไปมากกว่านี้ ร่างบางชะงักอยู่กลางร้านซึ่งมีเสาใหญ่ติดกระจกเงาเอาไว้ ภาพใบหน้าที่เห็นไม่ใช่เว่ยจิงจิง แต่น่าจะเป็นของเว่ยซิ่วอิง ร่างใหม่ของเธอ
ตอนพิเศษ 4 ตลอดไปชีวิตของซิ่วอิงตอนนี้มีความสุขมาก ความจริงเธอก็มีความสุขตลอดมาอยู่แล้ว แต่เมื่อคิดว่ามีเด็กตัวเล็ก ๆ กำลังอาศัยอยู่ภายในร่างกายตัวเองและเจริญเติบโตขึ้นทุกวัน มันเป็นความสุขที่แตกต่างออกไปจริง ๆ“อีกสิบวันก็จะได้เจอหน้ากันแล้วนะลูก” หญิงสาวใช้มือลูบหน้าท้องที่ใหญ่ไม่ต่างจากลูกแตงโมของตนเอง นี่ก็ใกล้คลอดเต็มทีแล้ว ทำให้เมื่อสามีออกไปทำงาน หลันถังกับเหม่ยฟางผู้เป็นแม่ก็จะแบ่งเวลามาอยู่เป็นเพื่อนเสมอถึงตอนนี้หลันเซียงฮั่นจะย้ายมาประจำการอยู่ใกล้ ๆ แต่เขายังคงต้องเดินทางไปทำงานต่างเมืองเมื่อได้รับมอบหมายภารกิจ และคราวนี้ก็เช่นกันในตอนแรกเซียงฮั่นไม่คิดจากภรรยาไปจนกว่าเธอจะคลอดลูกและปลอดภัย เขากลัวว่าซิ่วอิงจะหวาดกลัวหากตนเองไม่ได้อยู่เคียงข้างตอนคลอดลูก จึงคิดปฏิเสธภารกิจในครั้งนี้และขอลาหยุดสักเดือนแต่เป็นซิ่วอิงที่คะยั้นคะยอให้ชายหนุ่มไปทำงานเพราะเหลือเวลาอีกสองอาทิตย์ก่อนถึงกำหนดคลอด อย่างไรเขาก็กลับมาทันอยู่แล้วเธอจึงนั่งอยู่ในสวนสวยเฝ้ามองหน้าประตูเป็นระยะด้วยใจคิดถึงสามีบ้างเป็นบางครั้ง แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะนึกคิดทำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมาเล่นเสียมากกว่า ไม่ได้อยู่บ้า
ตอนพิเศษ 3 ภรรยาท้องแล้ว“อิงอิง ลุกมากินของอร่อยเถอะลูก วันนี้แม่ของอิงอิงเอาอาหารอร่อยมาฝากแม่ไว้ตั้งเยอะ”“อิงอิงยังเพลีย ๆ อยู่เลยค่ะ สงสัยเพราะช่วงนี้ทำงานหนักเกินไป ขอนอนอีกหน่อยนะคะแม่” ซิ่วอิงบอกกับแม่สามีเนื่องจากสองบ้านปรองดองกันดีมาก ซิ่วอิงใช้เงินเพื่อซื้อบ้านที่อยู่ตรงข้ามให้กับพ่อแม่ ขณะที่ตนเองเลือกจะมาอยู่บ้านแม่สามีเวลาที่คุณพ่อสามีและหลันเซียงฮั่นที่เป็นสามีไปทำงานต่างจังหวัดพร้อมกันโดยมีบ้านของตัวเองที่ใช้อยู่กับสามีต่างหากอีกหลังหนึ่ง และใช้อยู่เมื่อสามีกลับมาหาเท่านั้น แต่ปกติแล้วซิ่วอิงจะสลับไปมาระหว่างบ้านพ่อแม่ตัวเองและพ่อแม่สามีเสียมากกว่าตอนนี้เธอก็มาอยู่บ้านหลัน เพราะทั้งคุณพ่อและสามีล้วนออกไปทำงาน ส่วนเซียงฮั่นนั้นจะกลับมาในวันพรุ่งนี้“อิงอิงไม่ต้องทนนะ ไปหาหมอเลยดีกว่า บ้านเราขาดเงินทองซะที่ไหนกัน หรือแม่ซื้อโรงพยาบาลไว้ให้ก็ได้” หลันถังยังคงใจป้ำเหมือนเดิม เมื่อได้ลูกสะใภ้คนนี้มาชีวิตเธอก็มีความสุขขึ้น จนรู้สึกรักเอ็นดูซิ่วอิงเหมือนเป็นลูกของตัวเองไปอีกคน เผลอ ๆ รักมากกว่าลูกตัวเองเสียอีก“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ อิงอิงไปหาหมอเฉย ๆ ดีกว่า” ซิ่วอิงยิ้มแหยให้
ตอนพิเศษ 2 สามีที่ดีแม้ว่าทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยดี แต่อย่างไรในชีวิตก็ต้องมีบางสิ่งมากระทบกระทั่ง สุดท้ายแล้วซิ่วอิงและครอบครัวก็ยังเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมมนุษย์ช่วงนี้ซิ่วอิงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย หลังสามีกลับมาจากทำงานครั้งล่าสุด เธอได้กลิ่นน้ำหอมของผู้หญิงติดมาเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน เขาจะเบื่อเธอและหาเรื่องเข้าบ้านแล้วจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ?มีหรือหลันเซียงฮั่นจะไม่รู้ว่าภรรยามีความกังวลอะไรบางอย่างในใจ เขาหันมองไปรอบตัวก่อนจะจับลูกน้องที่มีภรรยาแล้วมาสอบถาม“ภรรยาฉันเป็นอะไรไป” เซียงฮั่นเป็นผู้บัญชาการที่เก่งกาจ เขายังดูแลเอาใจใส่ภรรยาจนลูกน้องแอบเรียกลับหลังว่าสามีแห่งชาติ แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาชายหนุ่มก็ยังเป็นเพียงคนที่เพิ่งเคยมีความรัก“คุณผู้หญิงมีท่าทางยังไงครับ”“ช่วงนี้ไม่ค่อยให้ฉันเข้าใกล้ เวลานอนก็หันหลังให้” เซียงฮั่นนึกถึงท่าทางของภรรยาแล้วก็ปวดใจ เขาไปทำอะไรให้เธอไม่พอใจหรือเปล่า แต่พอถามแล้วเธอก็บอกว่าเปล่าและฝืนยิ้ม เก็บเรื่องราวไว้ในใจคนเดียว คิดว่าเขามองไม่เห็นอย่างนั้นเหรอ“ถ้าอย่างนั้นนายท่านไปทำอะไรมาหรือเปล่าครับ” ทหารคนสนิทมองหน้าเจ้านายอายุน
ตอนพิเศษ 1 ชีวิตที่ใฝ่หามานานตอนนี้ชีวิตใหม่ของเว่ยซิ่วอิงลงตัวอย่างมาก ได้ก่อตั้งธุรกิจในยุคแรกเริ่ม อนาคตมีแต่จะรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ แม้ไม่ต้องพึ่งพามิติร้านเครื่องสำอางก็ตามนอกจากนี้ยังมีสามีคอยเอาอกเอาใจ แม่สามีแสนดีที่ไม่มีการกดขี่ลูกสะใภ้เลยสักนิด ครอบครัวของเธอก็คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเสมอซิ่วอิงคิดว่าแค่นี้เธอก็ประสบความสำเร็จมากแล้วในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง ลำพังเกิดมามีแม่สามีดีอย่างหลันถัง ก็คงมีคนสงสัยว่าเธอทำบุญกู้ชาติมาในชาติก่อนแน่ ๆ ถึงได้มีชีวิตที่ดีขนาดนี้แค่ถึงอย่างไรคนเก่งก็มีปัญหาของคนเก่ง เพราะสามีต้องไปทำงานต่างเมืองบ่อย ๆ เธอเลยใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ไปกับงานในร้านกระทั่งสามีกลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว เธอก็ยังวุ่นวายอยู่กับร้านค้าโชคดีที่เซียงฮั่นเข้าใจแล้วยังสนับสนุนภรรยาให้ทำตามใจปรารถนาได้เต็มที่ เมื่อเขาได้พักเพิ่มสักหนึ่งหรือสองวัน ก็มักจะพาซิ่วอิงไปที่ร้านเสมอเพื่อเอาอกเอาใจหากพาไปร้านอาหารแบบคนหนุ่มสาวก็แล้วไป เขากลับพาเธอเข้าร้านตัวเองเพื่อให้หญิงสาวหาเงินที่เธอชอบนักหนา และแน่นอนว่าซิ่วอิงชอบการแสดงความรักของสามีแบบนี้มากกว่า“มีอะไรหรือเปล่า” ขณะที่นั่งก
บทส่งท้าย คุณคือคนที่อยากอยู่ด้วยไปตลอดชีวิตรถยนต์สีดำขับไปตามทางที่คุ้นเคยไม่นานก็มาถึงกำแพงบ้านหลัน ทหารเฝ้ายามเปิดประตูต้อนรับด้วยความยินดี เมื่อรถจอดเทียบขาเรียวก็ก้าวออกมา“อิงอิง มาแล้วเหรอจ๊ะ” ที่ยืนอยู่ตรงหน้าตอนนี้คือป้าหลัน พร้อมทั้งเหม่ยฟางผู้เป็นมารดาของตนเอง ซิ่วอิงไม่ได้รู้สึกผิดสังเกตอะไรเพียงยื่นมือไปหาพวกท่านอย่างเป็นธรรมชาติ“ป้าหลันสบายดีไหมคะ วันนี้แอบเข้าครัวกับแม่อีกแล้วหรือเปล่า” ซิ่วอิงสนอกสนใจดูมือของผู้ใหญ่ตรงหน้า ขณะที่ท่านจับจูงเธอเดินทะลุตัวบ้านไปยังสวนด้านหลัง“ป้าเข้าครัวไปก็รกครัวเปล่า ๆ ไม่เข้าไปรบกวนเหม่ยฟางหรอกนะ”“อิงอิงลูกเงยหน้าขึ้นก่อน” เสียงอ่อนโยนของผู้เป็นแม่ดังขึ้น เมื่อรู้ตัวซิ่วอิงก็มาอยู่ในสวนหลังบ้านของสกุลหลันแล้วหญิงสาวเงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัย สิ่งแรกที่เห็นคือร่างสูงของชายหนุ่มที่เธอคิดถึงมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาและติดต่อกันทางโทรศัพท์ไม่กี่นาทีต่อเดือนเท่านั้นตอนนี้เขายังสวมชุดทหารเต็มยศ ในมือมีช่อดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ ล้อมรอบไปด้วยแสงเทียนและซุ้มดอกไม้ที่ถูกตั้งใจตกแต่งเอาไว้อย่างดีจนทั่วทั้งสวน“พี่เซียงฮั่น” ซิ่วอิงยิ้มออกมาด้วย
บทที่ 44 หาเรื่องใส่ตัว“แม่คะ เราไป…” ก่อนที่คุณหนูลู่จะพูดจบ มารดาของหล่อนก็เดินลิ่ว ๆ เข้าไปในวงสนทนาที่เว่ยซิ่วอิงอยู่ก่อนแล้ว เห็นอย่างนั้นก็ยิ่งทำให้คุณหนูลู่พึงพอใจที่ไม่ต้องทำอะไรเอง“นี่มันแม่ค้าขายเครื่องสำอางนี่นา มาตรฐานงานเลี้ยงของกองทัพตกต่ำลงถึงขนาดเชิญพ่อค้าแม่ค้าข้างถนนมาร่วมงานแล้วอย่างนั้นเหรอเนี่ย” คุณนายลู่ไม่พอใจเว่ยซิ่วอิงอยู่แล้วจากงานเลี้ยงน้ำชาที่บ้านของคุณนายหลัน ดังนั้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังไปได้ดีก็รู้สึกว่าต้องเข้ามาทำลายและลากคนคนนี้ลงมาให้ได้“สวัสดีค่ะ คุณนายลู่” เว่ยซิ่วอิงไม่ดิ้นเต้นไปตามอารมณ์ของคน เธอทักทายอีกฝ่ายด้วยความเคารพและมีมารยาทเพียงเท่านี้สายตาที่ทุกคนมองมาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย อย่างน้อย ๆ พวกเขาก็มองซิ่วอิงอย่างชื่นชม ขณะที่มองคุณนายลู่เหมือนนางร้ายเกรดต่ำคนหนึ่ง“โอ้ นี่ใครกัน ไม่ใช่คุณชายหลันเซียงฮั่นลูกรักของคุณนายหลันถังหรอกเหรอคะ”“สวัสดี คุณนายลู่” เซียงฮั่นจำต้องทักทายด้วยสีหน้าไม่ดีนัก เขารู้ว่าใครไม่ถูกกับมารดา และต้องหลีกหนีเสมอเมื่อเข้าสังคม แต่คราวนี้ดูเหมือนคนข้างกายจะไม่ยอมหลีกหนีง่าย ๆ ชายหนุ่มทำได้เพียงยืนปักหลักและเป็น