จินเฟยหลงมองเหรินเหยียนชิงเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง พร้อมกับหนังสือที่เจ้าตัวหยิบออกมาเปิดอ่านเมื่อครู่ จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงตอบคำถามโดยที่อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา
“ข้าไม่ได้รังเกียจ เพียงแต่ข้า...”
เพียงได้ฟังเสียงพูดของคนตรงหน้า จินเฟยหลงก็รู้ว่ายามนี้เหรินเหยียนชิงคงรู้สึกลำบากใจเรื่องเขาอยู่ไม่น้อย เขาจึงเลือกที่จะกล่าวต่อ
“เหยียนชิง ข้าไม่รู้หรอกนะว่าการที่ข้ารู้สึกแบบนี้กับเจ้า มันแปลว่าข้าเป็น ‘บุรุษตัดแขนเสื้อ’ หรือไม่? แต่ข้าอยากบอกให้เจ้ารู้ว่าความรู้สึกนี้ของข้า มันไม่เคยเกิดขึ้นกับบุรุษผู้ใดหรือกับสตรีนางใดมาก่อนเลยสักครั้ง เพราะมันเกิดขึ้นแค่กับเจ้าผู้เดียว” กล่าวจบ จินเฟยหลงก็เห็นว่าเหรินเหยียนชิงยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขาแล้ว ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นไปรินชาที่หัวเตียงกลับมายื่นให้กับเขา จินเฟยหลงจึงรับชาจอกนั้นมาจิบ
แล้วในขณะนั้นจินเฟยหลงที่เคยคิดเอาไว้
“ท่านแม่...” เหรินเหยียนชิงแม้จะตกใจในสิ่งที่มารดาพูด แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าแม้แต่น้องสาวต่างบิดาของเขาก็ยังสังเกตเห็น แล้วเหตุใดผู้เป็นมารดาถึงจะดูพวกเขาไม่ออก “แต่ข้ากับเฟยหลงเป็นบุรุษทั้งคู่นะขอรับ ท่านแม่ไม่ เออ...” “บุรุษทั้งคู่แล้วอย่างไร? ไม่ว่าลูกของแม่จะเป็นเช่นไร...หรือรักใคร อย่างไรแม่ก็ยังรักเจ้าและยินดีกับการตัดสินใจของเจ้าเสมอ เหยียนชิง” “ขอบคุณขอรับท่านแม่” เหรินเหยียนชิงมองสีหน้าของผู้เป็นมารดาอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องที่กำลังกวนใจเขาอยู่ในยามนี้ออกมา “ท่านแม่ขอรับ เมื่อไม่กี่วันมานี้เฟยหลงได้บอกรักข้า ซึ่งเป็นรักในรูปแบบของ ‘คนรัก’ แล้วได้สารภาพกับข้าว่า คิดกับข้าเกินกว่าคำว่า ‘สหาย’ ตั้งแต่ตอนที่ข้าใช้ชีวิตร่วมกับเฟยหลงอยู่ในสำนักศึกษาแล้วขอรับ และเฟยหลงก็ยังได้เล่าถึงเหตุผลที่ต้องเลือกปล่อยมือไปจากข้าในอดีตให้ข้าฟังด้วย ซึ่งหลังจากที
เหรินเหยียนชิงกับจิงเสี่ยวจางเมื่อเดินเข้าไปในเรือนพักของพวกเฉิงเจียวจิน พวกเขาก็เห็นจิงเสี่ยวเจี้ยนกำลังช่วยเยว่ซือซือสอนเยว่ซือเค่อท่องบทกวีอยู่ในห้องโถง จิงเสี่ยวจางจึงเดินเข้าไปหาเย่วซือเค่อทันที ส่วนเหรินเหยียนชิงแยกออกไปเดินตามหาผู้เป็นมารดา ไม่นานเขาก็เห็นอีกฝ่ายกำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่แถวกระถางต้นไม้ในสวนด้านหลังเรือน “ท่านแม่ทำอะไรอยู่หรือขอรับ?” เหรินเหยียนชิงเอ่ยขึ้นเมื่อเดินเข้าไปถึงตัวผู้เป็นมารดา “แม่กำลังจะเอาต้นไม้พวกนี้ลงดินน่ะ ว่าแต่เจ้ามาถึงนานแล้วหรือเหยียนชิง?” “ข้าเพิ่งมาถึงขอรับ อาจางก็มากับข้าด้วยนะขอรับท่านแม่ แต่แยกเข้าไปเล่นกับอาเค่อในห้องโถง” “แล้วเหตุใดท่านแม่ต้องมาทำเอง...” เหรินเหยียนชิงพูดพร้อมกับมองหาบ่าวชายหญิงที่ถูกส่งมาดูแลมารดากับน้อง ๆ ของเขาที่เรือนนี้ “แม่ไล่ไปหมดแล้ว เพราะแม่อยากเป็นคนลงมือปลูกต้นไม้พวกนี้ด้วยตัวเอง” เฉิงเจียวจินกล่าวตอบ เมื่อเห็นสีหน้
เช้าวันถัดมาจินเฟยเทียนก็ได้เข้าไปตรวจร่างกายของจินเฟยหลงอีกครั้ง ก่อนออกเดินทาง...แล้วเมื่อเขาได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย เขาจึงขอให้หยางหมิงเซียนกับชิงหลวนคุนออกไปลาเจ้าของจวน และรอเขาอยู่ที่รถม้า... และเมื่อเห็นว่าคนทั้งสองเดินออกจากห้องไปแล้ว จินเฟยเทียนจึงเริ่มเล่าเรื่องบิดากับน้องสาวให้จินเฟยหลงฟัง เนื่องจากคนทั้งคู่ต้องการมาเยี่ยมดูอาการของอีกฝ่ายที่นี่ แต่เมื่อได้รับรู้เรื่องอาการบาดเจ็บรวมไปถึงสถานการณ์ระหว่างผู้เป็นน้องชายกับเหรินเหยียนชิงจากจดหมายที่เขาส่งไปแล้ว คนทั้งคู่จึงยอมยกเลิกการเดินทางและได้ส่งสารฝากมาบอกกับจินเฟยหลงว่าจะรอฟังข่าวอยู่ที่จวน จากนั้นจินเฟยเทียนจึงเริ่มเอ่ยถามผู้เป็นน้องชาย “เมื่อคืน...เจ้าได้พูดกับเหยียนชิงหรือไม่?” “ขอรับ ข้าได้บอกความรู้สึก ข้าได้ขออภัย และข้าก็ได้ขอโอกาสแล้วขอรับ แต่เหยียนชิงดูเหมือนจะยังสับสน ข้าก็เลยบอกกับเหยียนชิงว่าข้าพร้อมจะรอขอรับ” “ดี
จินเฟยหลงมองเหรินเหยียนชิงเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง พร้อมกับหนังสือที่เจ้าตัวหยิบออกมาเปิดอ่านเมื่อครู่ จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงตอบคำถามโดยที่อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา “ข้าไม่ได้รังเกียจ เพียงแต่ข้า...” เพียงได้ฟังเสียงพูดของคนตรงหน้า จินเฟยหลงก็รู้ว่ายามนี้เหรินเหยียนชิงคงรู้สึกลำบากใจเรื่องเขาอยู่ไม่น้อย เขาจึงเลือกที่จะกล่าวต่อ “เหยียนชิง ข้าไม่รู้หรอกนะว่าการที่ข้ารู้สึกแบบนี้กับเจ้า มันแปลว่าข้าเป็น ‘บุรุษตัดแขนเสื้อ’ หรือไม่? แต่ข้าอยากบอกให้เจ้ารู้ว่าความรู้สึกนี้ของข้า มันไม่เคยเกิดขึ้นกับบุรุษผู้ใดหรือกับสตรีนางใดมาก่อนเลยสักครั้ง เพราะมันเกิดขึ้นแค่กับเจ้าผู้เดียว” กล่าวจบ จินเฟยหลงก็เห็นว่าเหรินเหยียนชิงยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขาแล้ว ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นไปรินชาที่หัวเตียงกลับมายื่นให้กับเขา จินเฟยหลงจึงรับชาจอกนั้นมาจิบ แล้วในขณะนั้นจินเฟยหลงที่เคยคิดเอาไว้
เช้าวันรุ่งขึ้น จินเฟยหลงตื่นมาก็พบว่าคนที่มานอนเฝ้าเขาได้กลับออกไปแล้ว และวันนี้ทั้งวันก็มีคนในจวนตระกูลเหรินแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมเยียนเขา ไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัวของเหรินเหยียนชิง จะยกเว้นก็เพียงแค่...คนตัวเล็กของเขาเท่านั้น จินเฟยหลงเฝ้ารอที่จะเจอกับเหรินเหยียนชิง จนผ่านล่วงเลยเข้าสู่เช้าวันถัดมา เขาก็ได้รู้แต่เพียงว่า...เมื่อคืนเหรินเหยียนชิงได้พาเยว่ซือเค่อมานอนเฝ้าเขาที่นี่ แล้วพอเช้าอีกฝ่ายก็รีบพาน้องชายของตนเองกลับออกไปทันที แล้วทุกอย่างก็ได้ผ่านเลยไปแบบนี้จนเข้าสู่วันที่สี่ จินเฟยหลงแม้จะรู้สึกว้าวุ่นใจมากแค่ไหน แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่เฝ้ารอ เพราะด้วยสภาพร่างกายของเขา ซึ่งตัวเหรินเหยียนชิงเองก็ไม่คิดจะเปิดโอกาสให้จินเฟยหลงได้พูดคุย เพราะถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะมานอนเฝ้าเขาที่นี่ทุกคืน แต่เจ้าตัวก็จะเข้ามาในตอนที่เขาหลับไปแล้วทุกครั้ง หรือถ้าเหรินเหยียนชิงเข้ามาเยี่ยมเขาในช่วงกลางวัน อีกฝ่ายก็จะมาพร้อมกับคนในครอบครัวของตัวเองหรือไม่ก็จะ
จินเฟยหลงรู้สึกตัวมาได้สักพัก ตอนนี้เขาทำได้เพียงนอนฟังเรื่องราวที่ทุกคนในห้องพูดคุยกันเท่านั้น เพราะความปวดร้าวจากบาดแผลทั่วทั้งร่างกายที่เขากำลังเผชิญอยู่ มันได้ทำให้จินเฟยหลงไม่มีแรงแม้แต่จะกระดิกนิ้วหรือลืมตาที่หนักอึ้งของตนเองขึ้นมาได้ แต่เมื่อครู่ผู้เป็นพี่ชายได้นำยามาป้อนให้กับเขา ยามนี้ความเจ็บปวดที่เขากำลังเผชิญมันจึงเริ่มดีขึ้นจากเดิมเรื่อย ๆ แต่มันก็มีความรู้สึกง่วงงุนแปลก ๆ เข้ามาแทนที่ และเพียงไม่นานจินเฟยหลงก็ได้รู้ถึงสาเหตุของอาการง่วงงุนแปลก ๆ ของตนเองว่ามาจากยาที่เขาเพิ่งดื่มเข้าไป แล้วเมื่อเขาได้รับฟังเรื่องราวของยาต้านพิษที่ผู้เป็นพี่ชายคิดเผื่อพวกเขาจบ เขาก็ได้แต่ขอบคุณอีกฝ่ายในใจ เพราะอย่างที่ชิงหลวนคุนพูดหากไม่ได้ยาต้านพิษสามเม็ดนั้นก็ไม่รู้ว่ายามนี้ตัวเขาจะรอดกลับมาหาทุกคนที่นี่ได้หรือไม่... หลังจากที่จินเฟยหลงได้ยินเสียงฝีเท้าของสหาย ผู้เป็นพี่ชายและคนรักของเจ้าตัวเดินห่างออกไปจากห้องพักของเขาแล้ว จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของเหรินเหยียนชิงเด