อีกประการที่ทำให้อดประหลาดใจไม่ได้ก็คือ เหตุใดเจ้าหน้าละอ่อนถึงมีวิชากระบี่ร้ายกาจยิ่งนัก ทุกคราที่วาดคมกระบี่ออกไปต่อสู้กับมือสังหาร ท่าทางการเคลื่อนไหว คมกระบี่วาดออกไปนั้นรวดเร็วราวเงาปริศนาพุ่งเข้าสังหารคู่ต่อสู้อย่างไร้ปราณี
“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่มั้ย เจ้าหนุ่ม” เจ้าหน้าละอ่อนยังมีแก่ใจห่วงใยหลัวเซียนที่เพิ่งเก็บพัดเวทย์เข้าไว้ในมือขวา
“ไม่เป็นไร ต้องขอบคุณท่านที่มาช่วยได้ทันการณ์” หลัวเซียนประสานมือคารวะนอบน้อม ค้อมศีรษะน้อยๆ
“ข้าหลัวเซียน ไม่ทราบว่า ท่านมีนามว่าอะไรหรือขอรับ”
“ข้าหูซื่อเยว่”
“ท่านคือ เซียนกระบี่แห่งเขาเทียนคงหรือขอรับ” หลัวเซียนเอ่ยในสิ่งที่เขาเคยได้ยินมา นึกไม่ถึงเลยว่า เซียนกระบี่อายุน่าจะมากกว่าร้อยปีผู้นี้ จะยังคงมีหน้าตาอ่อนเยาว์ ราวเด็กหนุ่มอายุไม่ถึงยี่สิบ มิหนำซ้ำเพลงกระบี่เงาสังหารของเขายังร้ายกาจไร้เทียมทานอีกต่างหาก
“ใช่แล้ว หากปรมาจารย์หรงอ้ายเสียนของเจ้ายังอยู่ อายุก็คงพอๆ กับข้านี่แหละ ว่าแต่เจ้าสองคนจะไปที่ใด”
“ข้ากับเขา กำลังเดินทางไปเจียงหนานขอรับ”
“ได้ข่าวว่าที่นั่น มีงานเลี้ยงปักบุปผาอย่างนั้นหรือ ดีๆ ข้ากำลังจะไปหาอาหารเลิศรสกินแกล้มสุราอยู่พอดี ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าไปกับข้าเถิด”
แล้วคณะเดินทางนำโดยหูซื่อเยว่ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เจียงหนาน
“เจ้าหนุ่ม เจ้าชื่ออะไร มาจากที่ใดกัน เหตุใดจึงอ่อนหัดนักล่ะ” หูซื่อเยว่ถามไปอย่างนั้นเอง มิได้มีเจตนาจะดูถูกผู้อ่อนวัยกว่าเลยสักนิด เพียงแต่ประหลาดใจที่เห็นอู๋เหริ่นชวนวิ่งไปหลบหลังต้นไม้ใหญ่ แทนที่จะต่อสู้กับมือสังหารแปดเซียนเท่านั้น
“ข้าอู๋เหริ่นชวน ท่านลองเดาดูสิว่า ข้ามาจากที่ใด”
หูซื่อเยว่หันมาหรี่ตามองผู้อ่อนวัยกว่า เพียงแตะมือคลำชีพจรที่ข้อมือของเขา ก็พอจะรู้แล้วว่าอีกฝ่ายไร้ซึ่งพลังวิญญาณ ทว่ากลับมีพลังประหลาดบางอย่างซุกซ่อนอยู่
“เจ้าไม่มีพลังวิญญาณนี่ ไม่มีทั้งปานเซียน แต่ก็มีชาดแต้มบนหน้าผาก จะว่าเป็นมนุษย์ ก็คงไม่ใช่ ชีพจรของเจ้าไม่ใช่ชีพจรของมนุษย์ แต่เป็นชีพจรของเซียนและมาร”
“แล้วท่านว่า อย่างข้าจะเป็นอะไรขอรับ”
“ข้าเดาว่า เป็นมารมากกว่าเซียน”
“อะไรทำให้ท่านคิดเช่นนั้นล่ะขอรับ” หลัวเซียนยิ้มน้อยๆ ให้กับข้อสงสัยของเซียนกระบี่หน้าละอ่อน
“ข้าสัมผัสได้ถึงพลังแฝง ซุกซ่อนอยู่ในกายเจ้า พลังของเจ้า คล้ายถูกผนึกแน่นเอาไว้ในส่วนลึกสุดของแก่นวิญญาณ มีเพียงเผ่ามารเท่านั้น ที่จะสามารถซุกซ่อนพลังปราณไว้ในแก่นวิญญาณได้”
“ถูกผนึกไว้หรือ ท่านพ่อไม่เคยบอกข้าเรื่องนี้เลย”
“จริงหรือขอรับ ท่านอาวุโสหู” หลัวเซียนขมวดคิ้ว นึกไม่ถึงเลยว่า จะมีเรื่องประหลาดเช่นนี้เกิดขึ้นด้วย
“อึม บางทีอาจเป็นเรื่องของเวลาก็เป็นได้ ได้ยินมาว่า ผู้ที่มีพลังซุกซ่อนในส่วนลึกของแก่นวิญญาณนี้ พันปีจะเกิดขึ้นสักคน หากพลังปราณถูกปลุกให้ตื่นขึ้นแล้ว ก็จะมีวิชาแก่กล้า โดยไม่ต้องผ่านการฝึกฝนใด จะเรียกว่าเป็นปรมาจารย์แห่งเผ่ามารเลยก็ว่าได้”
“ใครๆ ก็ว่าข้าเป็นคนไร้ประโยชน์ ไม่เอาไหน คงเป็นปรมาจารย์มารไม่ได้หรอกขอรับ” อู๋เหริ่นชวนไม่ได้ถ่อมตนแต่อย่างใด เพียงแต่เอ่ยไปตามสิ่งที่คิดเท่านั้น
“เจ้าอย่าเพิ่งดูแคลนตนเองไป ลูกหลานของปรมาจารย์อู๋เซียงอี๋น่ะหรือ จะเป็นแค่มารอ่อนหัดธรรมดาๆ คนหนึ่ง เจ้าคอยดูต่อไปก็แล้วกัน หากวันใดพลังปราณของเจ้าถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาละก็ เจ้าจะต้องขอบคุณข้าอย่างแน่นอน” หูซื่อเยว่หันมาจ้องหน้าผู้อ่อนวัยกว่า ดวงตาทั้งคู่ทอประกายเจิดจ้าขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนจางหาย ยามเจ้าตัวก้าวเร็วๆ นำไปก่อน
ใช้เวลาเดินทางหนึ่งคืน สองวันคณะเดินทางของหูซื่อเยว่ก็มาถึงที่หมาย
เจียงหนาน เป็นเมืองเล็กๆ ซ่อนตัวอยู่กลางหุบเขาเขียวขจี บ้านเรือนปลูกสร้างด้วยไม้สองชั้น เต็มไปด้วยตลาดร้านค้า ชานเมืองด้านทิศตะวันออก มีเส้นทางคดเคี้ยวทอดขึ้นไปตามแนวสันเขา มุ่งสู่สำนักเจียงอู่ อันเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงปักบุปผา
สำนักเจียงอู่แห่งนี้ มีตำหนักหลังงามลือชื่อ นาม ตำหนักเจียงอู่ ปลูกสร้างด้วยหินขาวทั้งหลัง หลังคาทรงเก๋งจีน ตัวเสาและคานแกะสลักลวดลายกลีบบัวอ่อนช้อย คล้ายจำลองวิมานของเง็กเซียนมาไว้ในแดนมนุษย์กระนั้น
เมื่ออู๋เหริ่นชวนก้าวพ้นทางเดินคดเคียวขึ้นมา ก็พบว่าชาวยุทธจากทั้งสองเผ่า หลายสำนัก ต่างแต่งกายงดงาม ตามรูปแบบสำนักของตนเอง กำลังทยอยก้าวไปหยุดอยู่ตรงเชิงบันได รับกุหลาบขาวจากเจ้าสำนักเจียงอู่ ก่อนก้าวผ่านบันไดกว่ายี่สิบขั้น ทอดขึ้นสู่ตัวตำหนัก ไปปักลงบนกระถางดินเผาขนาดใหญ่หลายใบ ด้านหน้าตำหนัก
ประมุขน้อยหนุ่มกวาดสายตาไปรอบๆ มองหาคนจากพรรคมารโลหิต ครั้นเห็นอู๋หมิ่นเยี่ยน พร้อมด้วยบรรดาพี่น้องของตนเองเดินอยู่ข้างหน้า ใกล้จะถึงจุดรับกุหลาบจากมือเจ้าสำนักเจียงอู่อยู่แล้ว จึงร้องเรียกเสียงดัง
“ศิษย์พี่ ศิษย์น้อง” เขาโบกไม้โบกมือให้ พร้อมกับวิ่งตรงเข้าไปหาราวกับเด็กชายตัวน้อย
เห็นคนไม่ค่อยชอบขี้หน้าเขา ที่มักจะแสดงท่าทีเมินเฉยใส่ แสดงท่าทีดีอกดีใจจนออกนอกหน้าเช่นนี้แล้ว หลัวเซียนก็อดสงสัยไม่ได้เลยว่า เหตุใดอู๋เหริ่นชวน จึงเป็นมิตรได้กับคนทุกคน ยกเว้นเขา
แม้แต่ยามอยู่ต่อหน้าหูซื่อเยว่ เขาก็มักจะชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย
แต่กับเขา อู๋เหริ่นชวนกับทำราวกับเขาไม่มีตัวตนอย่างไรอย่างนั้น
“ไปเถอะ เจ้าหนุ่ม” เสียงเรียกของหูซื่อเยว่ดึงหลัวเซียนออกจากความสงสัยนั้น บุรุษหนุ่มเพียงพยักหน้าให้ผู้สูงวัยกว่าน้อยๆ ก่อนจะเดินตามไปหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าสำนักเจียงอู่
“ข้าน้อย หลัวเซียน จากเขาเซียนกู่ คารวะท่านเจ้าสำนักเจียงขอรับ”
“ดี ดีจริงๆ เมื่อครู่พรรคมารโลหิตก็เพิ่งจะส่งคนมา วันนี้มากันทั้งผู้นำเผ่ามาร เผ่าเซียนเลย นับว่าเป็นนิมิตหมายอันดีจริงๆ ที่ความสงบสุขจะคงอยู่กับยุทธภพนี้ตลอดไป เชิญๆ” เจ้าสำนักเจียงอู่ นามเจียงเหวินส่งกุหลาบให้บุรุษหนุ่มคราวหลาน ก่อนจะเบนสายตามาหยุดอยู่ที่บุรุษหนุ่มผู้ยืนอยู่เคียงข้างหลัวเซียน
“ไม่ทราบว่า ท่านผู้นี้คือ…”
“หยุดมือได้แล้ว เจ้าไม่เหน็ดเหนื่อยบ้างหรือ”หลัวเซียนไม่เอ่ยเปล่า แกล้งหลบรัศมีกระบี่ไม่พ้น พาให้คมกระบี่ถากชายเสื้อของเขาขาดเป็นทางยาวอู๋เหริ่นชวนเบิกตากว้าง แรกทีเดียวเขาเข้าใจว่าทำร้ายอีกฝ่ายเข้าแล้ว จึงยอมหหยุดมือในทันใด“หยุดเถอะ เจ้าทำชายเสื้อข้าขาดหมดแล้ว”“ยังสู้ไม่หนำใจเลย เจ้าก็ยอมแพ้เสียแล้ว ไม่สนุกเลย” อู๋เหริ่นชวนสอดกระบี่เก็บเข้าฝัก แล้วเดินมาประจันหน้ากับคนถูกทำชายเสื้อขาด“หายโมโหแล้วใช่หรือไม่ ข้าจะได้บอกเรื่องหนึ่งกับเจ้า”“อึม” อู๋เหริ่นชวนพยักหน้ารับ แล้วก็แทบไม่อยากเชื่อหูตนเองกับสิ่งที่ได้ยิน“ข้าสละตำแหน่งประมุขเผ่าเซียนแล้ว หลังจากประชุมผู้นำเซียนยุทธจากสำนักต่างๆ ทุกคนเห็นว่า ควรมีการเลือกสรรประมุขขึ้นมาใหม่ ข้าสนับสนุนให้เจ้าสำนักเจียงเหวิน ขึ้นเป็นผู้นำเผ่าเซียนคนต่อไป”“แล้วเจ้าล่ะ”“ส่วนข้า ก็จะออกท่องโลกกว้าง ดังที่ได้ปรารถนาเอาไว้แต่แรก จากนั้นก็จะกลับไปบำเพ็ญเซียนที่ตำหนักฉางชุน”“เจ้าจะถือสันโดษงั้นหรือ”ฟังเจตนารมณ์ของอีกฝ่ายแล้ว ประมุขน้อยหนุ่มก็ใจหาย เขาจะไปขัดขวางการบรรลุเซียนของหลัวเซียนได้อย่างไรกัน“ข้าเพียงอยากใช้ชีวิตเรียบง่าย หลังเสร็จจากสอ
“เหตุใดจึงแค้นเล่า เขาจำเรื่องราวในภพก่อนได้อย่างนั้นหรือ” ผู้ฟังนิทานวัยสิบหกปีผู้หนึ่งเอ่ยถามขัดจังหวะขึ้น“ย่อมจำได้อยู่แล้ว ก็จอมมารอู๋เซียงอี๋ได้อธิษฐานต่อแม่น้ำวั่งชวน หอวั่งเซียง สะพานไน่เหอเอาไว้ ก่อนดื่มน้ำแกงยายเมิ่งไว้นี่นาว่า จะไม่ขอลืมเลือนหนี้แค้นที่ปรมาจารย์หรงอ้ายเสียนได้ก่อไว้ไปชั่วชีวิต”“เช่นนั้น เขาทำอย่างไร อย่าบอกนะว่า หาทางเอาชีวิตหลัวเซียนน่ะ” หนุ่มน้อยอีกคนถามขึ้นบ้าง“เจ้าหนุ่ม อย่าเพิ่งขัดจังหวะสิ เดิมทีประมุขน้อยอู๋เหริ่นชวนก็หมายเอาชีวิตหลัวเซียนอยู่หรอก ทว่าเหตุการณ์กลับตาลปัตร หลัวเซียนกลับเป็นคนช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ระหว่างที่ประมุขน้อยอู๋เดินทางไปร่วมงานเลี้ยงปักบุปผาที่เจียงหนานขณะประมุขน้อยเดินหลงอยู่ในป่า ได้ถูกปีศาจงูจงอางจับตัวไปกักขังไว้ในถ้ำ หลัวเซียนตามไปช่วย ฆ่าปีศาจงูด้วยกู่ฉินพิฆาต ทั้งยังปกป้องประมุขน้อยอู๋ จนตนเองได้รับบาดเจ็บ เช่นนี้แล้ว ประมุขน้อยยังจะทวงหนี้แค้นได้อีกเรอะ...”ฟังเรื่องราวจริงบ้างเท็จบ้าง ปนเปกันไปนั่นแล้ว อู๋เหริ่นชวนก็ส่ายหน้าไปมาด้วยความเบื่อหน่ายเต็มทียกกาสุราขึ้นดื่ม แล้วก็ต้องขัดใจนัก เมื่อพบว่าไม่มีสุราเหลืออยู่เลย
“ข้านำกระจกหมื่นลี้จากห้องใต้หอคัมภีร์ออกมาไว้ที่ห้องข้า รู้ว่าเจ้าถูกจับตัวมายังเขาเซียนกู่ จึงเร่งเดินทางมาที่นี่ ข้ารู้ว่าอาจช่วยอะไรเจ้าไม่ได้มาก แต่ก็มิอาจนิ่งดูดายได้”“ช่วยอะไรไม่ได้ที่ไหนกัน เจ้ามาได้ถูกเวลาพอดีเลยต่างหาก”“องค์ชาย” หลัวเซียนประสานมือคารวะนอบน้อม“โปรดเล่าให้ทุกท่าน ณ ที่นี้ฟังทีว่า ตอนข้าไปยังแคว้นไป่ลี่นั้น เป็นอย่างไรบ้าง” หลัวเซียนเอ่ยขึ้นบ้าง หลังจากเป็นฝ่ายเงียบงันมาครู่ใหญ่“ทุกท่าน ข้าคือองค์ชายหนิงจิ้ง รัชทายาทแห่งแคว้นไป่ลี่ ทั้งสองท่านนี้ เป็นสหายของข้า ตอนข้าออกไปล่าสัตว์นั้น บังเอิญได้ยินเสียงฉิน ท่วงทำนองไพเราะดังแว่วมา จึงตามเสียงฉินไป จนได้พบกับหลัวเซียนและอู๋เหริ่นชวน ดวงตาของเขาพิการทั้งสองข้าง แต่ก็มีฝีมือดีดฉินล้ำเลิศนัก ข้าจึงเชิญเขาไปเป็นแขกที่วังไป่ลี่ แม้ข้าจะมิได้เป็นเซียนยุทธเช่นทุกท่าน เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา แต่ก็ถือสัจจะเป็นที่ตั้ง มิใช่เพียงกษัตริย์ที่ตรัสแล้วไม่คืนคำ แม้แต่รัชทายาทเช่นข้า ก็เช่นกัน”ฟังคำตรัสขององค์ชายแล้ว บรรดาเซียนยุทธก็ต่างประจักษ์ถึงความจริงว่า หลัวจุ้นซินอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นจริงแท้แน่นอน“เมื
“ประมุขอู๋ ท่านคงไม่ปกป้องตัวหายนะผู้นี้ จนไม่นึกถึงความสงบสุขของทั้งสองเผ่าหรอกนะ”“ตัวหายนะที่เจ้าอ้างถึง คือบุตรชายคนเดียวของข้า เหตุใดข้าจะปกป้องเขาไม่ได้เล่า” ประมุขอู๋ลี่หมิงประกาศกร้าว“ท่านเจ้าสำนักเกาคงยังไม่ทราบว่า ข้าได้ฝึกวิชาในคัมภีร์มหาเวทย์สำเร็จแล้ว ต่อให้ข้ากลายเป็นวิหคโลหิต ก็ยังสามารถควบคุมตนเองได้ ไม่ทำร้ายผู้อื่นอีก”“ลมปากของเจ้า ผู้ใดเชื่อก็โง่เต็มทีแล้ว” เจ้าสำนักเกาฉียังคงดื้อดึง ไม่ฟังเหตุผลอยู่นั่นเอง“เรื่องบาดหมางระหว่างสำนักของท่านกับข้า หากจะโทษ ก็ต้องโทษบรรดาศิษย์ของพวกท่าน ที่นินทาศิษย์พี่ของข้า ข้าจึงเล่นงานตอบด้วยพิษเห็ดหัวเราะ เรื่องเล็กๆ เพียงเท่านั้น ท่านยังอุตส่าห์เก็บมาใส่ใจ มองข้าด้วยอคติ จนลุกลามใหญ่โตกลายเป็นเรื่องของคนทั้งเผ่าเลยเรอะ แทนที่ท่านจะกล่าวโทษข้า ด้วยอคติส่วนตัวเช่นนี้ มิสู้รามือสักนิด แล้วใคร่ครวญให้ดีก่อนดีหรือไม่ขอรับ”“ไม่ต้องมาสั่งสอนข้า!” เจ้าสำนักเกาฉีตวาดลั่น ยกมือเป็นสัญญาณให้บรรดาศิษย์ของตนดาหน้าเข้าหาคนพรรคมารโลหิต ทว่าเจียงเหวินกลับมิอาจนิ่งดูดายได้ รีบร้องห้ามขึ้นเสียก่อน“ช้าก่อน!”“เจ้าสำนักเจียง ท่านเองก็เข้าข้างปร
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ค่ายกลในเจดีย์ก็พลันหยุดทำงาน พร้อมๆ กับคนจากเผ่ามนุษย์คนสุดท้าย จบชีวิตลง ภายใต้คมกระบี่กรีดฟ้าเช่นกัน“เอาล่ะ ไม่มีผู้ใดรบกวนท่านแล้ว ซ้ำค่ายกลก็หยุดทำงานแล้ว เรามาคัดคัมภีร์กันเถอะ”หลัวจุ้นซินเสกกระดาษ พู่กัน และหมึกออกมาจากทั้งสองมือ ทั้งยังเสกโต๊ะเขียนหนังสือพร้อมเก้าอี้ขึ้นมาด้วยอู๋เหริ่นชวนยิ้มน้อยๆ หัวเราะเบาๆ ยามหย่อนกายลงบนเก้าอี้ ถือพู่กันไว้ในมือ จรดลงกับกระดาษนิ่งนึกอยู่ครู่ก็เขียนตัวอักษรลงไปเพียงอักษรตัวแรกปรากฏบนกระดาษ ปลายกระบี่กรีดฟ้าก็พุ่งมาพาดบนคอของประมุขน้อยหนุ่ม“ท่านจะทำอะไร”“ข้าต้องแน่ใจสิว่า เจ้าจะไม่แพร่งพรายเนื้อหาในคัมภีร์แก่ผู้อื่นอีก”“ท่านไม่ต้องห่วงหรอก หากข้าให้คัมภีร์แก่ท่านแล้ว ข้าจะฆ่าตัวตายเอง เก็บกระบี่ของท่านเสียก่อนเถิด หากข้าตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ เขียนข้อความผิดขึ้นมาจะทำอย่างไร”นั่นละ หลัวจุ้นซินจึงต้องสอดกระบี่เก็็บ็บเข้าฝักประมุขน้อยหนุ่มจึงจรดพู่กันเขียนข้อความต่อไป บทแล้วบทเล่า ยื้อเวลาให้ถึงยามห้าย การคัดคัมภีร์จึงเสร็จสิ้นลง“เอาล่ะ ข้าคัดเสร็จแล้ว เชิญท่านฝึกวิชาในคัมภีร์บทนี้ได้เลย”หลัวจุ้นซินรับกระดาษมากมายม
“ที่ทุกท่านมาถึงเขาเซียนกู่แห่งนี้ คงเพราะเห็นข้ากลายร่างเป็นวิหคโลหิตในวันรับตำแหน่งของท่านประมุขหลัว หลายท่านคงมาเพราะคัมภีร์มหาเวทย์ในหัวข้า ข้าคิดใคร่ครวญมาตลอดทั้งคืนแล้ว ว่าควรจะให้คัมภีร์แก่ใครดี แล้วข้าก็คิดขึ้นมาได้ว่า ในฐานะที่ประมุขหลัวจุ้นซิน เป็นประมุขเผ่าเซียน เขาสมควรได้รับคัมภีร์มหาเวทย์นี้”สิ้นคำประกาศก้องนั้น เซียนยุทธทั้งหลายดูจะไม่ประหลาดใจสักเท่าไหร่ตรงกันข้ามกับคนเผ่ามนุษย์ที่ต่างมองหน้ากัน สนทนากันเบาๆ สีหน้าและแววตาบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างชัดแจ้ง“คัมภีร์มหาเวทย์เป็นของเผ่ามนุษย์ เจ้าจะให้คนเผ่าเซียนครอบครองได้อย่างไร” ชายวัยกลางคน หน้ากระดูกจากพรรคหวันซา ต่อว่าขึ้น“นั่นสิ เจ้าควรจะคืนคัมภีร์มหาเวทย์ให้เผ่ามนุษย์ แล้วฆ่าตัวตายไปซะ คัมภีร์จะได้ไม่ตกถึงมือผู้ใดอีก” ชายร่างกำยำ ดวงตาสามเหลี่ยมจากพรรคเหม่ยลี่ต่อว่าขึ้นบ้าง“ใช่ๆ” คนของแคว้นไป่ลี่เองก็เห็นด้วยกับคนเผ่าเดียวกันเช่นกัน“ข้าตัดสินใจแล้ว หากข้าไม่มอบคัมภีร์ให้ประมุขหลัว ท่านว่าจะเป็นเช่นไร ข้าเป็นคนเผ่ามาร ย่อมไม่อยากให้เกิดสงครามขึ้นระหว่างเผ่ามารกับเผ่าเซียนอีกเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน แต่คัมภีร์