“ข้าหูซื่อเยว่ เซียนกระบี่แห่งเขาเทียนคง” เห็นคนที่ภายนอกดูอ่อนอาวุโสกว่ามากส่งยิ้มน้อยๆ มาแล้ว เจียงเหวินก็เข้าใจว่า หนุ่มน้อยผู้นี้คงจะเป็นศิษย์ผู้หนึ่งของผู้อาวุโสแห่งเขาเทียนคงเป็นแน่
ขณะที่หูซื่อเยว่เอง คร้านจะอธิบาย จำเป็นด้วยหรือที่เขาจะเที่ยวป่าวประกาศบอกแก่คนในใต้หล้าว่า เขาคือเซียนกระบี่ผู้มีชีวิตยืนยาวมานับร้อยปี โดยคงความหนุ่มเอาไว้ดังเดิมมาเนิ่นนาน จนลืมอายุของตนเองไปแล้ว
แทนที่จะเอ่ยอะไรต่อ จึงเพียงรับกุหลาบจากมือคนอ่อนอาวุโสแต่หน้าตาแก่วัยกว่ามาถือไว้ในมือ
ขณะสองเท้าก้าวเนิบช้าไปตามขั้นบันได ทอดขึ้นสู่ตำหนักเจียงอู่นั่นเอง เซียนกระบี่หน้าละอ่อนก็แทบลืมหายใจ สองเท้าคล้ายถูกตรึงแน่นอยู่กับที่ เพียงสายตาไปปะทะเข้ากับดวงหน้างดงามของสตรีผู้ยืนเคียงข้างอู๋เหริ่นชวน และกำลังหันมาทางเขาพอดี
ดวงหน้านาง ขาวนวลราวไข่ปอก ดวงตาคู่เรียวภายใต้เส้นคิ้วโค้งงามตามธรรมชาติ รับกันดีกับสันจมูกโด่ง เหนือริมฝีปากอิ่มงามสีชมพูระเรื่อ แม้แตะแต้มด้วยชาตเพียงเบาบาง
แม้ไม่งดงามที่สุดในใต้หล้า แต่มีหรือหัวใจเขาจะลืมดวงหน้านี้ได้ลง
หากไม่เห็นกับตาตนเอง หูซื่อเยว่ก็คงไม่เชื่อว่า ในใต้หล้านี้จะมีสตรีนางใด ที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายฮูหยินของเขาอีก
ชิงชิงจากไปนานหลายสิบปีแล้ว ทว่าเขากลับยังไม่อาจลืมดวงหน้างดงามของนาง ในวัยแรกแย้มได้เลย
ขณะที่อู๋หมิ่นเยี่ยนเอง ก็ขมวดคิ้วมองบุรุษหนุ่มแปลกหน้า ด้วยความประหลาดใจ รู้สึกคุ้นหน้าเขาเหมือนเคยพบที่ใดมาก่อน ทั้งที่มั่นใจว่า ไม่เคยพบเขามาก่อนอย่างแน่นอน
หน้าตาของเขาก็ดูหมดจด ชวนมองดีอยู่หรอก แต่แววตาคู่นั้นสิ เหตุใดจึงมองมาด้วยประกายลึกซึ้งเช่นนั้น
หรือเขาจะมองสตรีทุกคนด้วยประกายตาเช่นนี้ หากเป็นจริงดังคิด ก็นับว่าเขาเป็นคนเจ้าชู้ คบไม่ได้จริงๆ
“เสี่ยวชวน…” อู๋หมิ่นเยี่ยนกำลังจะบอกเล่าสิ่งที่เห็นให้ศิษย์น้องคนสนิทล่วงรู้ นึกไม่ถึงเลยว่าจู่ๆ อู๋เหริ่นชวนจะก้าวเร็วๆ ไปหาคนคบไม่ได้ผู้นั้นซะนี่
นางจึงต้องก้าวตามไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ท่านอาวุ...เอ่อ สหายหู นี่พี่หมิ่นเยี่ยน ศิษย์พี่ของข้า” แทนที่เขาจะเรียกขานเซียนกระบี่หน้าละอ่อนว่า ท่านอาวุโส เช่นเมื่อตอนเดินทางมาด้วยกัน กลับแนะนำเขาให้นางรู้จัก ในฐานะสหายผู้หนึ่ง
เซียนกระบี่หน้าละอ่อนจึงต้องเลยตามเลย
“ยินดีที่ได้รู้จัก แม่นางอู๋ ข้าหูซื่อเยว่ จากเขาเทียนคง”
“เขาเทียนคง กระบี่เงาสังหารในตำนานน่ะหรือ” อู๋หมิ่นเยี่ยนเบิกตาโต นึกไม่ถึงเลยว่า จอมยุทธท่าทางเจ้าชู้ผู้นี้ จะเป็นศิษย์ของเซียนกระบี่เงาสังหาร
ดูท่า การมองคนเพียงเปลือกนอก คงไม่เพียงพอแล้วจริงๆ
“ท่านนี้คือ…” อู๋หมิ่นเยี่ยนเอ่ยทักบุรุษหนุ่มผู้เพิ่งก้าวเข้ามาสมทบทีหลัง
“ข้า หลัวเซียน นามรอง จิ้งเทียน” หลัวเซียนแนะนำตนเอง พลางประสานมือคารวะนอบน้อม
“ที่แท้ก็คุณชายหลัว เจ้าตำหนักฉางชุนนี่เอง ยินดีที่ได้รู้จักเจ้าค่ะ เสี่ยวชวน คุณชายผู้นี้เป็นยอดฝีมือแห่งเผ่าเซียนเชียวนะ”
“แม่นางอู๋กล่าวชมเกินไปแล้ว”
เห็นศิษย์พี่ยิ้มน้อยๆ ชื่นชมในความอ่อนน้อมถ่อมตนของหลัวเซียนแล้ว ประมุขน้อยหนุ่มก็ได้แต่นึกหมั่นไส้ หากไม่มีความจำเป็น เขาเองก็ไม่ได้อยากรู้จักคนแซ่หลัวผู้นี้นักหรอก
“งานจะเริ่มแล้ว พวกเราเข้าไปข้างในกันก่อนเถอะ ศิษย์พี่ ท่านพี่หู ไปกันๆ” อู๋เหริ่นชวนจึงทำเสมือนว่า บุรุษหนุ่มผู้นั้นไม่มีตัวตน เชื้อเชิญศิษย์พี่กับสหายใหม่เข้าไปในงานด้วยกัน ขัดใจไม่น้อยที่เห็นอู๋หมิ่นเยี่ยนแสดงท่าทีเป็นมิตรกับหลัวเซียน ขนาดเชิญเขามานั่งร่วมโต๊ะด้วย
ดีว่า มู่เฉิน ซานไป๋ จิวยี่ และบรรดาศิษย์อีก 14 คนของเขาเดินทางมาถึงพอดี หลัวเซียนจึงย้ายไปนั่งรวมกับบรรดาศิษย์ของเขา
“คุณชายหลัวผู้นี้ ดูแล้วอายุไม่น่าจะแก่กว่าเจ้าหรือข้าไม่กี่ปี แต่กลับได้เป็นอาจารย์ของศิษย์มากมายแล้ว ดูท่า เขาคงบำเพ็ญตะบะ จนใกล้จะได้เป็นเซียนแล้ว มิน่าเล่าเผ่าเซียนจึงวางตัวเขาให้เป็นประมุขคนต่อไป”
“จะได้เป็นประมุข แล้วมีมือสังหารตามล่า หมายเอาชีวิตเช่นนั้น ข้ายอมเป็นคนไม่เอาไหนเช่นนี้ดีกว่า”
อู๋เหริ่นชวนนิ่วหน้า เล่าเรื่อยเปื่อยพลางรินสุราลงในจอกใบเล็ก
“เจ้าว่าอะไรนะ รู้ได้อย่างไรว่า เขาถูกตามล่า”
“ศิษย์พี่ ข้าก็บังเอิญพบเขากลางทางน่ะสิ หากไม่เพราะเขา ข้าก็คงไม่ติดร่างแหไปด้วย จนเกือบเอาชีวิตไม่รอดหรอก”
“เกิดเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่ส่งข่าวบอกข้า”
ได้ยินคำตำหนิของศิษย์พี่แล้ว อู๋เหริ่นชวนก็ไม่เข้าใจตนเองเลยว่า เหตุใดจึงลืมส่งข่าวบอกนางไปซะได้
“เรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว ข้าเองก็ปลอดภัยดี ท่านอย่าดุข้าเลยน่า นั่นไง เจ้าสำนักเจียงมาแล้ว” อู๋เหริ่นชวนบุ้ยใบ้ไปทางเจียงเหวิน ผู้เพิ่งก้าวเข้ามาในงานเป็นคนสุดท้าย ก่อนมโหรีจะเริ่มบรรเลงเพลง
งานเลี้ยงปักบุปผา เริ่มขึ้นเมื่อเจียงเหวินก้าวขึ้นมาบนปรัมพิธี นำผู้มาร่วมงานสักการะป้ายวิญญาณประมุขคนก่อน และบรรพชนตระกูลเจียง ก่อนขึ้นนั่งเก้าอี้ประมุข กล่าวเปิดงานและดื่มอวยพรร่วมกับตัวแทนจากสำนัก พรรคต่างๆ ตามมาด้วยการแสดงระบำเจียงหนาน นาระบำหน้าตางดงาม ร่างอ้อนแอ้น แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีเหลืองอ่อน ร่ายรำอ่อนช้อยงดงาม ตามมาด้วยระบำอีกชุด นางรำนุ่งส่าหรีสีแดง ร่ายรำด้วยท่วงท่าเย้ายวน บางคราวก็ชม้ายชายตามาทางคนดู ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบุรุษ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการร่วมสังสรร รื่นเริง ทั้งอาหารคาวหวาน สุราเลิศรสพร้อมสรรพ
“สุราดี แพะตุ๋นน้ำแดงก็อร่อย อาหารรสเลิศทั้งนั้น” แม้จะเพลิดเพลินกับอาหารเลิศรสตรงหน้า ทว่าส่วนลึกในใจกลับนึกถึงกระต่ายป่าย่างฝีมือคนแซ่หลัวผู้นั้นขึ้นมาอยู่ดี
เมื่อไม่อาจสลัดความคิดนั้นออกจากใจไปได้ อู๋เหริ่นชวนก็ได้แต่โมโหตัวเอง ที่ยังนึกถึงอาหารรสชาติแสนธรรมดาของเขาอยู่อีก
หลังงานเลี้ยงผ่านพ้นไป อู๋เหริ่นชวนและบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องจากพรรคมารโลหิต ถูกจัดให้พักในหอรับรองตะวันออกร่วมกับคนจากเผ่าเซียน
เห็นบรรดาศิษย์ของหลัวเซียน โดยเฉพาะเจ้าซานไป๋กับจิวยี่ ที่เคยหาว่าเขาเป็นปีศาจแล้ว ประมุขน้อยหนุ่มก็ได้แต่ลอบส่งสายตาไม่พอใจไปให้
“จริงสิ ท่านประมุขให้เจ้านำสาส์นลับไปให้คุณชายหลัวไม่ใช่หรือ” อู๋หมิ่นเยี่ยนย้ำคำสั่งของประมุขอู๋ลี่หมิง หลังจากเดินนำศิษย์น้องของนางเข้ามาในห้องพักแล้ว
“จริงด้วย ข้าลืมไปเสียสนิทเลย ศิษย์พี่ ท่านนำสาส์นไปให้เขาแทนข้าทีได้หรือไม่ ข้าไม่อยากไป”
“เหตุใดเจ้าจึงไม่อยากไปล่ะ”
“เกลียดขี้หน้าคน”
“เสี่ยวชวน เจ้าจะให้อารมณ์มาบดบังงานที่ท่านประมุขมอบหมายให้มิได้นะ หากเจ้าไม่สบายใจ ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้าเอง แต่จะให้ข้าไปแทนเจ้า คงไม่ได้”
“ก็ได้ๆ ศิษย์พี่ ท่านไปกับข้านะ”
อู๋หมิ่นเยี่ยนพยักหน้ารับ มองศิษย์น้องของนางเรียกสาส์นลับออกจากมือขวายิ้มๆ หัวเราะเบาๆ ในลำคอ ยามสาส์สกระดาษสีทอง โผล่พ้นปลายนิ้วของศิษย์น้องออกมา
“หยุดมือได้แล้ว เจ้าไม่เหน็ดเหนื่อยบ้างหรือ”หลัวเซียนไม่เอ่ยเปล่า แกล้งหลบรัศมีกระบี่ไม่พ้น พาให้คมกระบี่ถากชายเสื้อของเขาขาดเป็นทางยาวอู๋เหริ่นชวนเบิกตากว้าง แรกทีเดียวเขาเข้าใจว่าทำร้ายอีกฝ่ายเข้าแล้ว จึงยอมหหยุดมือในทันใด“หยุดเถอะ เจ้าทำชายเสื้อข้าขาดหมดแล้ว”“ยังสู้ไม่หนำใจเลย เจ้าก็ยอมแพ้เสียแล้ว ไม่สนุกเลย” อู๋เหริ่นชวนสอดกระบี่เก็บเข้าฝัก แล้วเดินมาประจันหน้ากับคนถูกทำชายเสื้อขาด“หายโมโหแล้วใช่หรือไม่ ข้าจะได้บอกเรื่องหนึ่งกับเจ้า”“อึม” อู๋เหริ่นชวนพยักหน้ารับ แล้วก็แทบไม่อยากเชื่อหูตนเองกับสิ่งที่ได้ยิน“ข้าสละตำแหน่งประมุขเผ่าเซียนแล้ว หลังจากประชุมผู้นำเซียนยุทธจากสำนักต่างๆ ทุกคนเห็นว่า ควรมีการเลือกสรรประมุขขึ้นมาใหม่ ข้าสนับสนุนให้เจ้าสำนักเจียงเหวิน ขึ้นเป็นผู้นำเผ่าเซียนคนต่อไป”“แล้วเจ้าล่ะ”“ส่วนข้า ก็จะออกท่องโลกกว้าง ดังที่ได้ปรารถนาเอาไว้แต่แรก จากนั้นก็จะกลับไปบำเพ็ญเซียนที่ตำหนักฉางชุน”“เจ้าจะถือสันโดษงั้นหรือ”ฟังเจตนารมณ์ของอีกฝ่ายแล้ว ประมุขน้อยหนุ่มก็ใจหาย เขาจะไปขัดขวางการบรรลุเซียนของหลัวเซียนได้อย่างไรกัน“ข้าเพียงอยากใช้ชีวิตเรียบง่าย หลังเสร็จจากสอ
“เหตุใดจึงแค้นเล่า เขาจำเรื่องราวในภพก่อนได้อย่างนั้นหรือ” ผู้ฟังนิทานวัยสิบหกปีผู้หนึ่งเอ่ยถามขัดจังหวะขึ้น“ย่อมจำได้อยู่แล้ว ก็จอมมารอู๋เซียงอี๋ได้อธิษฐานต่อแม่น้ำวั่งชวน หอวั่งเซียง สะพานไน่เหอเอาไว้ ก่อนดื่มน้ำแกงยายเมิ่งไว้นี่นาว่า จะไม่ขอลืมเลือนหนี้แค้นที่ปรมาจารย์หรงอ้ายเสียนได้ก่อไว้ไปชั่วชีวิต”“เช่นนั้น เขาทำอย่างไร อย่าบอกนะว่า หาทางเอาชีวิตหลัวเซียนน่ะ” หนุ่มน้อยอีกคนถามขึ้นบ้าง“เจ้าหนุ่ม อย่าเพิ่งขัดจังหวะสิ เดิมทีประมุขน้อยอู๋เหริ่นชวนก็หมายเอาชีวิตหลัวเซียนอยู่หรอก ทว่าเหตุการณ์กลับตาลปัตร หลัวเซียนกลับเป็นคนช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ระหว่างที่ประมุขน้อยอู๋เดินทางไปร่วมงานเลี้ยงปักบุปผาที่เจียงหนานขณะประมุขน้อยเดินหลงอยู่ในป่า ได้ถูกปีศาจงูจงอางจับตัวไปกักขังไว้ในถ้ำ หลัวเซียนตามไปช่วย ฆ่าปีศาจงูด้วยกู่ฉินพิฆาต ทั้งยังปกป้องประมุขน้อยอู๋ จนตนเองได้รับบาดเจ็บ เช่นนี้แล้ว ประมุขน้อยยังจะทวงหนี้แค้นได้อีกเรอะ...”ฟังเรื่องราวจริงบ้างเท็จบ้าง ปนเปกันไปนั่นแล้ว อู๋เหริ่นชวนก็ส่ายหน้าไปมาด้วยความเบื่อหน่ายเต็มทียกกาสุราขึ้นดื่ม แล้วก็ต้องขัดใจนัก เมื่อพบว่าไม่มีสุราเหลืออยู่เลย
“ข้านำกระจกหมื่นลี้จากห้องใต้หอคัมภีร์ออกมาไว้ที่ห้องข้า รู้ว่าเจ้าถูกจับตัวมายังเขาเซียนกู่ จึงเร่งเดินทางมาที่นี่ ข้ารู้ว่าอาจช่วยอะไรเจ้าไม่ได้มาก แต่ก็มิอาจนิ่งดูดายได้”“ช่วยอะไรไม่ได้ที่ไหนกัน เจ้ามาได้ถูกเวลาพอดีเลยต่างหาก”“องค์ชาย” หลัวเซียนประสานมือคารวะนอบน้อม“โปรดเล่าให้ทุกท่าน ณ ที่นี้ฟังทีว่า ตอนข้าไปยังแคว้นไป่ลี่นั้น เป็นอย่างไรบ้าง” หลัวเซียนเอ่ยขึ้นบ้าง หลังจากเป็นฝ่ายเงียบงันมาครู่ใหญ่“ทุกท่าน ข้าคือองค์ชายหนิงจิ้ง รัชทายาทแห่งแคว้นไป่ลี่ ทั้งสองท่านนี้ เป็นสหายของข้า ตอนข้าออกไปล่าสัตว์นั้น บังเอิญได้ยินเสียงฉิน ท่วงทำนองไพเราะดังแว่วมา จึงตามเสียงฉินไป จนได้พบกับหลัวเซียนและอู๋เหริ่นชวน ดวงตาของเขาพิการทั้งสองข้าง แต่ก็มีฝีมือดีดฉินล้ำเลิศนัก ข้าจึงเชิญเขาไปเป็นแขกที่วังไป่ลี่ แม้ข้าจะมิได้เป็นเซียนยุทธเช่นทุกท่าน เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา แต่ก็ถือสัจจะเป็นที่ตั้ง มิใช่เพียงกษัตริย์ที่ตรัสแล้วไม่คืนคำ แม้แต่รัชทายาทเช่นข้า ก็เช่นกัน”ฟังคำตรัสขององค์ชายแล้ว บรรดาเซียนยุทธก็ต่างประจักษ์ถึงความจริงว่า หลัวจุ้นซินอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นจริงแท้แน่นอน“เมื
“ประมุขอู๋ ท่านคงไม่ปกป้องตัวหายนะผู้นี้ จนไม่นึกถึงความสงบสุขของทั้งสองเผ่าหรอกนะ”“ตัวหายนะที่เจ้าอ้างถึง คือบุตรชายคนเดียวของข้า เหตุใดข้าจะปกป้องเขาไม่ได้เล่า” ประมุขอู๋ลี่หมิงประกาศกร้าว“ท่านเจ้าสำนักเกาคงยังไม่ทราบว่า ข้าได้ฝึกวิชาในคัมภีร์มหาเวทย์สำเร็จแล้ว ต่อให้ข้ากลายเป็นวิหคโลหิต ก็ยังสามารถควบคุมตนเองได้ ไม่ทำร้ายผู้อื่นอีก”“ลมปากของเจ้า ผู้ใดเชื่อก็โง่เต็มทีแล้ว” เจ้าสำนักเกาฉียังคงดื้อดึง ไม่ฟังเหตุผลอยู่นั่นเอง“เรื่องบาดหมางระหว่างสำนักของท่านกับข้า หากจะโทษ ก็ต้องโทษบรรดาศิษย์ของพวกท่าน ที่นินทาศิษย์พี่ของข้า ข้าจึงเล่นงานตอบด้วยพิษเห็ดหัวเราะ เรื่องเล็กๆ เพียงเท่านั้น ท่านยังอุตส่าห์เก็บมาใส่ใจ มองข้าด้วยอคติ จนลุกลามใหญ่โตกลายเป็นเรื่องของคนทั้งเผ่าเลยเรอะ แทนที่ท่านจะกล่าวโทษข้า ด้วยอคติส่วนตัวเช่นนี้ มิสู้รามือสักนิด แล้วใคร่ครวญให้ดีก่อนดีหรือไม่ขอรับ”“ไม่ต้องมาสั่งสอนข้า!” เจ้าสำนักเกาฉีตวาดลั่น ยกมือเป็นสัญญาณให้บรรดาศิษย์ของตนดาหน้าเข้าหาคนพรรคมารโลหิต ทว่าเจียงเหวินกลับมิอาจนิ่งดูดายได้ รีบร้องห้ามขึ้นเสียก่อน“ช้าก่อน!”“เจ้าสำนักเจียง ท่านเองก็เข้าข้างปร
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ค่ายกลในเจดีย์ก็พลันหยุดทำงาน พร้อมๆ กับคนจากเผ่ามนุษย์คนสุดท้าย จบชีวิตลง ภายใต้คมกระบี่กรีดฟ้าเช่นกัน“เอาล่ะ ไม่มีผู้ใดรบกวนท่านแล้ว ซ้ำค่ายกลก็หยุดทำงานแล้ว เรามาคัดคัมภีร์กันเถอะ”หลัวจุ้นซินเสกกระดาษ พู่กัน และหมึกออกมาจากทั้งสองมือ ทั้งยังเสกโต๊ะเขียนหนังสือพร้อมเก้าอี้ขึ้นมาด้วยอู๋เหริ่นชวนยิ้มน้อยๆ หัวเราะเบาๆ ยามหย่อนกายลงบนเก้าอี้ ถือพู่กันไว้ในมือ จรดลงกับกระดาษนิ่งนึกอยู่ครู่ก็เขียนตัวอักษรลงไปเพียงอักษรตัวแรกปรากฏบนกระดาษ ปลายกระบี่กรีดฟ้าก็พุ่งมาพาดบนคอของประมุขน้อยหนุ่ม“ท่านจะทำอะไร”“ข้าต้องแน่ใจสิว่า เจ้าจะไม่แพร่งพรายเนื้อหาในคัมภีร์แก่ผู้อื่นอีก”“ท่านไม่ต้องห่วงหรอก หากข้าให้คัมภีร์แก่ท่านแล้ว ข้าจะฆ่าตัวตายเอง เก็บกระบี่ของท่านเสียก่อนเถิด หากข้าตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ เขียนข้อความผิดขึ้นมาจะทำอย่างไร”นั่นละ หลัวจุ้นซินจึงต้องสอดกระบี่เก็็บ็บเข้าฝักประมุขน้อยหนุ่มจึงจรดพู่กันเขียนข้อความต่อไป บทแล้วบทเล่า ยื้อเวลาให้ถึงยามห้าย การคัดคัมภีร์จึงเสร็จสิ้นลง“เอาล่ะ ข้าคัดเสร็จแล้ว เชิญท่านฝึกวิชาในคัมภีร์บทนี้ได้เลย”หลัวจุ้นซินรับกระดาษมากมายม
“ที่ทุกท่านมาถึงเขาเซียนกู่แห่งนี้ คงเพราะเห็นข้ากลายร่างเป็นวิหคโลหิตในวันรับตำแหน่งของท่านประมุขหลัว หลายท่านคงมาเพราะคัมภีร์มหาเวทย์ในหัวข้า ข้าคิดใคร่ครวญมาตลอดทั้งคืนแล้ว ว่าควรจะให้คัมภีร์แก่ใครดี แล้วข้าก็คิดขึ้นมาได้ว่า ในฐานะที่ประมุขหลัวจุ้นซิน เป็นประมุขเผ่าเซียน เขาสมควรได้รับคัมภีร์มหาเวทย์นี้”สิ้นคำประกาศก้องนั้น เซียนยุทธทั้งหลายดูจะไม่ประหลาดใจสักเท่าไหร่ตรงกันข้ามกับคนเผ่ามนุษย์ที่ต่างมองหน้ากัน สนทนากันเบาๆ สีหน้าและแววตาบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างชัดแจ้ง“คัมภีร์มหาเวทย์เป็นของเผ่ามนุษย์ เจ้าจะให้คนเผ่าเซียนครอบครองได้อย่างไร” ชายวัยกลางคน หน้ากระดูกจากพรรคหวันซา ต่อว่าขึ้น“นั่นสิ เจ้าควรจะคืนคัมภีร์มหาเวทย์ให้เผ่ามนุษย์ แล้วฆ่าตัวตายไปซะ คัมภีร์จะได้ไม่ตกถึงมือผู้ใดอีก” ชายร่างกำยำ ดวงตาสามเหลี่ยมจากพรรคเหม่ยลี่ต่อว่าขึ้นบ้าง“ใช่ๆ” คนของแคว้นไป่ลี่เองก็เห็นด้วยกับคนเผ่าเดียวกันเช่นกัน“ข้าตัดสินใจแล้ว หากข้าไม่มอบคัมภีร์ให้ประมุขหลัว ท่านว่าจะเป็นเช่นไร ข้าเป็นคนเผ่ามาร ย่อมไม่อยากให้เกิดสงครามขึ้นระหว่างเผ่ามารกับเผ่าเซียนอีกเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน แต่คัมภีร์