ในทุก ๆ วันศุกร์เป็นวันที่นักศึกษาการตลาดระดับชั้นปีที่สามเรียนเสร็จในช่วงบ่าย อาการร้อนรนก้นไหม้นั่งไม่ติดเก้าอี้ทำให้ปรเมษฐ์ต้องบึ่งรถยนต์คู่ใจจากคอนโดมีเนียม มาจอดรออยู่ข้างตึกคณะก่อนเวลาเลิกเรียน หลังจากที่เขาได้โทรไปถามนัชชาว่าเธอกำลังรับประทานยาอะไรกันแน่
กว่าจะเค้นคอเอาความจริงมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยความที่นัชชาปกปิดความลับนี้ให้เพื่อนมานาน หล่อนระเบิดอารมณ์ใส่ตัวต้นเหตุอย่างเขา จึงค่อยยอมบอกว่าปรายลดาเป็นโรคเครียดสะสม ร้องไห้อยู่บ่อย ๆ จนต้องรับประทานยาระงับประสาท และยาต้านซึมเศร้า... ก็คงจะเป็นโชคดีที่แม่ม่ายผัวตายไม่ตัดสินใจคล้องคอบนขื่อบ้านอย่างที่แม่อนงค์บอก เขายังเผลอดีใจไปว่าเธอขาดเขาไม่ได้ กระทั่งพบว่าเหตุผลทั้งหมดมันหักลบกลบกันไม่มีเหลือ ท่าทางกระหนุงกระหนิง หัวเราะคิกคักของสองหนุ่มสาวที่เดินเคียงข้างกันมาถึงหน้ารั้วมหาวิทยาลัยพาเปลวโทสะในดวงตาคู่คมลุกโชน ปรเมษฐ์กระโจนกายออกจากรถยนต์ที่จอดรออยู่หลายนาน มือกระแทกประตูรถยนต์ให้ปิดลงจนเกิดเสียงดัง ไปหยุดยืนอยู่ข้างหน้าคนทั้งสอง “สวัสดีครับ คุณพ่อ” นักศึกษาหนุ่มสูงยาวเข่าดีหน้าตาหล่อเหลาเอาการยกมือไหว้เขาในทันที ขณะที่คนรับไหว้ยกมือตามไปอย่างนั้น ใบหน้าคร้ามคมฉาบด้วยรอยยิ้มอาบยาพิษในน้ำคำ “ผมมีลูกเลี้ยงคนเดียว ไม่คิดรับลูกเขย ไม่รู้ก็ลองไปถามยัยปริมดูใหม่นะ ผมกับลูกพุทราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันทางสายเลือด” เหมือนชกหน้ากันด้วยหมัดหนัก ๆ! ธามไทไม่รู้มาก่อนว่าพ่อเลี้ยงของเธอไม่ใช่พ่อเลี้ยงแท้ ๆ ยังหน้าเด็กเท่าเด็กนักศึกษา เล่นเอาสาว ๆ เจ้าของรถยนต์แต่ละคนที่เดินมาเหลียวมองคอแทบหลุด คาดว่าคงไม่อยากกลับบ้านกันแล้วทีนี้ ปรายลดาได้แต่ยืนตะลึงงัน สบสายตาคมกริบที่กำลังเชือดเฉือนมายังเธอ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าการที่ยัยเพื่อนตัวแสบไม่ยอมกลับบ้านด้วยกันเป็นเพราะอะไร และทำไมพ่อเลี้ยงถึงได้มาอยู่ตรงหน้าเธอได้จังหวะพอดิบพอดี “พุดไปก่อน...” “ไปกินข้าวกันก่อนสิ ชื่อธามไทใช่ไหม?” “ครับ” ธามไทยิ้มตอบอย่างเป็นมิตร ใจดีสู้เสือ... โดยไม่ได้รู้ว่าเขาอาจถูกเสือขย้ำตายตั้งแต่ยังไม่ก้าวเข้าถ้ำ หากยังขืนจะแย่งลูกเสือตัวนี้ไป ปรเมษฐ์พานักศึกษาทั้งสองคนขึ้นรถยนต์ เลือกร้านอาหารไม่ไกลจากห้องพักของปรายลดามากนัก ใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีในการเดินทาง ด้วยว่าการจราจรยังไม่ติดขัดในช่วงบ่าย ร้านอาหารญี่ปุ่นเล็ก ๆ ค่อนข้างเป็นส่วนตัว ด้านในสุดของร้านมีโต๊ะสี่ที่นั่ง โซฟาติดผนัง ท่ามกลางบรรยากาศสบาย ๆ ในร้าน ปรายลดากลับรู้สึกมันชวนอึดอัดชอบกล ไม่มีการแนะนำตัวอะไรกันมากมาย ผู้ชายสองคนฟาดฟันกันทางสายตาอย่างดุเดือด สั่งอาหารเหมือนไม่ได้อยากมารับประทานอาหาร ที่จริงก็ตั้งแต่ในรถยนต์ที่เธอได้นั่งเงียบกริบมาตลอดทาง คงเป็นเพราะธามไทได้ยินเรื่องแต่งเสริมเติมแต่งที่เหมือนว่าจะถูกหลอกปั่นหัวจากยัยปริมตัวแสบ “ผมได้ยินมาว่าพ่อเลี้ยงทำงานที่ฟิลิปปินส์ มาคราวนี้กลับมากี่วันล่ะครับ?” “งานของผมทำที่ไหนก็ได้ คงไม่กลับไปแล้วล่ะ คิดถึงลูกเลี้ยงน่ะ” เขาตอบแล้วก็หันไปทางคนข้าง ๆ ในท่าทีและน้ำเสียงเป็นเจ้าของอย่างเต็มที่ “อยู่ที่นู่น นอนไม่หลับสักคืน เคยนอนกอดพุดทุกวัน...” นัยน์ตาคู่สีฟ้าครามลึกลงไปมีเปลวไฟลูกหนึ่ง เป็นไปไม่ได้เลยที่อีกฝ่ายจะไม่เห็น เลือดร้อน ๆ ของหนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดปีขึ้นหน้าอยู่เหมือนกัน “ผมกำลังคบกับพุด คุณรู้ใช่ไหม?” “แล้วยังไง?” “ผมเคยเลี้ยงปลา... ตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ จนมันโต ผมไม่เคยคิดจะเอามันมาทำต้มยำกินเลยนะครับ ผมกินมันไม่ลง เพราะผมเลี้ยงมันมากับมือ” ธามไทสำรวมคำพูดอย่างรักษามารยาทที่สุดแล้ว เพราะเห็นได้ชัดว่ามีคนหนึ่งเริ่มที่จะนั่งก้มหน้าก้มตาอย่างอึดอัดอยู่ข้าง ๆ พ่อเลี้ยงที่เอ่ยปากชม “เข้าใจเปรียบเทียบ สมเป็นเด็กการตลาด แต่ว่าเนื้อปลามันคาว... ไม่ได้นุ่ม หอม หวาน จะไปกินลงได้ยังไงล่ะ?” “ผมไม่อยากให้คนอื่นมองพุดไม่ดี ว่าพุดมีเสี่ยเลี้ยง หรือว่าเลี้ยงต้อย...” ปรเมษฐ์หรือจะเลิกเลี้ยงต้อย! เป็นเรื่องแซวกันอย่างสนุกปากในหมู่เพื่อนตั้งแต่อายุยี่สิบเอ็ดปีที่รับอุปการะเด็กสาวคนหนึ่ง ส่งเสียเงินให้ทุกเดือนมาจนถึงทุกวันนี้ เขาคิดมันขึ้นมาแล้วก็ยิ้ม... รอยยิ้มของเขาช่างไร้ความจริงใจ แน่ว่ามันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพร้อมจะจัดการผู้ชายทุกคนให้อันตรธานหายไปจากชีวิตของปรายลดา โดยไม่สนวิธีการ “อายุแค่เท่านี้ ระวังก้างปลาจะทิ่มคอตายนะครับ เก็บอนาคตไว้ไปคบกับคนอื่นเถอะ ผู้หญิงเยอะแยะ คนนี้... พ่อเลี้ยงขอ” “พุดไม่สบาย.. ขอกลับห้องไปนอนก่อนนะคะ” เสียงใสโพล่งขึ้นมา หลังจากที่นั่งเก็บงำความเครียดเอาไว้ในใจ เธอไม่อยู่ในอารมณ์รับประทานอาหาร แม้ว่ามันจะเป็นอาหารจานโปรด “กินน้ำส้มสักแก้วสิ ค่อยไป กินยาซะด้วย” ซุ่มเสียงเด็ดขาด คนที่นิ่งอึ้งทำให้เขาต้องเอื้อมไปหยิบกระเป๋าผ้า ปรายลดาเป็นคนมีระบบระเบียบจัดของตัวเองเอาไว้เป็นอย่างดี มันจึงไม่ยากเลยที่เขาจะหยิบกล่องยาออกมา เรียงยาไว้บนกระดาษทิชชู่บนโต๊ะทีละเม็ด “ถึงพุดจะไม่มีใคร ไม่ได้หมายความผมจะต้องเป็นพ่อเธอ ผู้ชายสมัยนี้เขาเลี้ยงเด็ก เลี้ยงต้อยกันตั้งเยอะตั้งแยะ อย่าบอกนะว่า... น้องไม่เคยไปเลี้ยงอาหารบ้านเด็กกำพร้า? ยังงี้ใครไปทำบุญทำทาน ก็ต้องเป็นพ่อหมดเลยน่ะสิ” ตาคมเหลือบมองวงหน้าแดงก่ำของชายหนุ่มที่โกรธจัด มือกำหมัดแน่น ประกาศตัวเป็นศัตรูชัดเจน ขณะที่เจ้าตัวน่าจะรู้ดีว่าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ตั้งแต่วินาทีที่เขาปรากฎตัวต่อหน้าปรายลดาอีกครั้งแล้ว กินข้าวต่อไหวก็หน้าด้านเกินทน แต่วัยคึกคะนองก็เป็นแบบนั้น... พออาหารเริ่มทยอยมา ปรเมษฐ์ยกยิ้มมุมปากให้อย่างเชื้อเชิญ “มื้อนี้พ่อเลี้ยงเลี้ยงเอง เพื่อนพุดทุกคน พ่อเลี้ยงก็เลี้ยงมาหมด ใช่ไหมพุด?” ปรายลดาฝืนยิ้มเจื่อน ๆ ด้วยความตั้งใจว่าหาทางปลีกตัวกลับบ้าน จึงหยิบแก้วน้ำและยาขึ้นมารับประทาน ซึ่งมันแทบจะหก! พอรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิร้อนที่ลากผ่านกระโปรงสีดำบริเวณหน้าขา ใต้โต๊ะที่คงจะไม่มีใครสังเกตเห็น มือหยาบลูบวนไปมา พาอารมณ์ประหลาดวนเวียนในหัวสมองของหญิงสาวที่ไม่เคยรับรู้เรื่องราวของความรักในรูปแบบความหลงใหล ความใคร่ หากเขาไม่เป็นคนพร่ำสอนบทเรียนนี้มาก่อน “เป็นคนที่ไม่สนขี้ปากใครจริง ๆ นะครับ” “สายตาใคร พี่ก็ไม่เคยสนใช่ไหม? พุทรา... ‘น้ำส้ม’ อร่อยไหม?” ในถ้อยคำย้ำชัด มือซุกซนเริ่มไต่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ... ในระดับที่ว่ากลืนน้ำส้มลงคอแต่ละครั้ง เธอรู้สึกว่าขาของเธอกำลังสั่น เพราะมันใกล้ถึงที่ที่เขาไม่ควรลุกลามไปเป็นอันขาด มันไม่ใช่พื้นที่สาธารณะอย่างเช่นที่นี่ที่ใครจะเช็คอินเข้ามารับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยเมื่อไรก็ได้! “พุดกลับก่อนนะ!” ร่างบางลุกพรวดจากเก้าอี้ พร้อม ๆ กับที่วางน้ำส้มในมือ ไม่สนว่ามันจะหกกระเด็นใส่เสื้อสีขาว คว้ากระเป๋าขึ้นสะพายพาดบ่าหนีไปอย่างรวดเร็ว ยังกับว่าน้ำส้มสยองแก้วนั้นใส่อะไรลงไป“พ่อกินข้าวมารึยัง?” เสียงหวานถามอย่างดีอกดีใจ หลังพ่อปองกานต์ก้าวผ่านประตูบ้านมาได้ไม่กี่ก้าวเท่านั้นตาคมหลุบมองหน้าท้องเนินนูนของลูกสาวที่ดูมีน้ำมีนวลขึ้นกว่าเก่า ไม่อวบอ้วนจนเกินไป หน้าตาสดใสมีความสุขดี“ยังเลย มีอะไรให้พ่อกินบ้างล่ะ?”“กับข้าวเต็มโต๊ะเลยพ่อ พี่เปาซื้อมา พ่ออาบน้ำ โกนหนวดก่อนไหมคะ? หรือพ่อจะกินข้าวก่อน” ทั้งน้ำเสียงและแววตาแลดูเป็นห่วงเป็นใยพ่อเสียเหลือเกิน แม้แต่คนที่เดินข้างกันเข้าบ้านแล้วยังรู้สึกได้ตั้งแต่ปองกานต์ทิ้งบ้านไปตอนลูกสาวอายุได้ประมาณห้าขวบ จะกลับมาก็แค่ปีละหนสองหน ยังไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน แม้ไม่ได้มีความผูกพันอะไรกันทางสายเลือดหรืออยู่ด้วยกันตลอด มีหลาย ๆ ครั้งที่ปรายลดาคิดถึงพ่อพอคนพ่อเดินตามไปถึงห้องรับประทานอาหาร ติดห้องรับแขกกว้างขวาง ลูกสาวตักข้าวร้อน ๆ ให้ใส่จาน“เป็นยังไงบ้างล่ะ? ปวดขา ปวดหลังไหม ลูกดิ้นหรือยัง?”“ดิ้นแล้ว... ชอบดิ้นตอนกลางคืน ปวดขา ปวดหลังค่ะ แต่ว่ามีคนนวดให้” วงหน้าหวานปรากฏรอยยิ้มบาง ๆ ก้มหน้าเอียงอายมองทัพพีในมือเหมือนข้าวในหม้อจะโรยน้ำตาล“ไม่ได้เรื่องหรอก พ่อนวดเก่งกว่าเยอะ เดี๋ยวพ่อกินข้าวเสร็จ พ่อนวดเท้าให้ลูกดีไหม?
“แม่จัดการหนี้ให้หมดแล้ว อย่าไปก่อเรื่องอีกล่ะ มีพ่อที่ไหนเขาต้องให้ลูกเลี้ยงอายุแค่ยี่สิบกว่า ๆ มาโอนเงินให้ตลอด เหล้าน่ะกินมันเข้าไป ไว้หนวดไว้เครายังกับโจร เมื่อไรแกจะทำตัวเป็นผู้เป็นคนสักที” อนงค์บ่นน้ำไหลไฟดับ ก้าวฉับ ๆ เดินฝ่าแดดร้อนจัดข้างชายที่อยู่ในสภาพเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเก่า ๆ ต่างกันกับตัวเธอ การแต่งตัวนั้นก็ออกไปทางวัยรุ่น ด้วยกางเกงยีนส์เสื้อยืด ไม่ได้นุ่งผ้าซิ่นแบบคนเฒ่าหากพูดเรื่องความกระฉับกระเฉงของสาววัยเจ็ดสิบสองที่ดูแลตัวเองสม่ำเสมอเป็นคนละเรื่องกับลูกชายวัยห้าสิบปี เขาดันดูแก่กว่าแม่เสียอีก“เรื่องของผมเปล่าแม่...”คนได้ยินมองขวับตาขวาง โทสะเดือดพล่านขึ้นมาในทันที “เรื่องของแก มันเป็นปัญหาของฉันไหมล่ะ? ไอ้ที่ต้องมาโรงพักเพราะเจ้าหนี้มันจะฟ้องฉ้อโกง มันไม่ใช่เรื่องของฉันตรงไหน.. ฮะ”“ผมหมายถึงเรื่องหนวด... มันหนวดผม” ปองกานต์ชี้ไปที่หนวดแล้วก็ทำเมินเฉย ปล่อยให้แม่โมโหอยู่อย่างนั้นทีแรกเขาก็นึกว่าพวก ‘เฮียซ้ง’ จะจ้างคนมาทำร้ายหรือไปรังควานลูกสาวของเขา กลายเป็นลากมาขึ้นโรงพักลงบันทึกประจำวัน ยื่นฟ้องฐานฉ้อโกง เพื่อเอาครอบครัวเข้ามาเอี่ยว คู่กรณีอย่างเขาจึงต้องจ่ายเ
‘ผู้หญิงของเจ้านายคุณน่ะ ระวังตัวไว้ดี ๆ ก็แล้วกัน ฉันโทรมาเตือนครั้งสุดท้าย’คำขู่ของหญิงสาวผู้เต็มไปด้วยความริษยาในตัวลูกเลี้ยงเมื่อหลายวันก่อนทำให้เขาไม่สบายใจอลันทำการสืบสาวเรื่องราวบางอย่างมาได้สักพักว่ามีอะไรแปลก ๆ เกี่ยวกับปิ่นแก้ว และรายงานเจ้านายไปก่อนหน้านี้ นอกจากเรื่องที่เธอไปหาปองกานต์ ยังไปยุ่งวุ่นวายกับพวกกู้หนี้นอกระบบ บ่อน ซึ่งเขาได้สั่งให้ลูกน้องแอบตามไปสัญชาติญาณเลขาฯ ไฟแรงเขาคงอยากลุกขึ้นมาสะสางปัญหาเรื่องผู้หญิงของเจ้านายให้เรียบร้อย คนที่หยุดปลายเท้าลงข้างเตียงดันทักขึ้นเสียก่อน“คุณอลัน... กินข้าวต้ม กินยาให้ครบ ไม่ไหวก็ไม่ต้องลุก เดี๋ยวฉันจะกลับแล้วนะ” ในน้ำเสียงกึ่งสั่ง ใบหน้าหล่อเหลาซีดขาวราวกระดาษมองกลับไปยังร่างบางในชุดเสื้อยืด กางเกงขาสั้นงานแบรนด์สมฐานะคุณหนูนัชชาถึงเป็นเด็กปากร้ายไปสักหน่อย เธอกลับรับผิดชอบในการกระทำ ตั้งแต่นอนเฝ้าไข้เขาอยู่ข้างเตียงคนป่วยในโรงพยาบาล ขับรถยนต์ให้แทนเพื่อพาเขากลับมาส่งถึงคอนโดฯ ยังคอยดูแลเรื่องยาและอาหารให้ไม่แปลกที่ฝรั่งไร้ญาติจะเกิดความรู้สึกเศร้าเสียดาย จู่ ๆ เขาซึ่งอยู่คนเดียวมาตลอดดันอยากให้เธออยู่ด้วยกันเรื่อย ๆ
ตั้งแต่ทุกคนออกจากบ้านไปแล้วหญิงสาวกลับมาแค่สองคน ได้เรื่องว่าเลขาฯ หนุ่มโดนหมอจับล้างท้องจนไม่เหลือเรี่ยวแรงยังต้องนอนหยอดน้ำเกลือ เขาคงจะต้องโมโห จึงพยายามติดต่อเจ้าตัวซึ่งหายเข้ากลีบเมฆ ยังไม่รับสายหลังก่อเรื่องเอาไว้ทันทีที่ประตูบ้านปิดลงพร้อมการจากไปของนัชชาซึ่งรับปากว่าจะไปดูแลอลัน ให้แทน เนื่องจากว่าลูกครึ่งหนุ่มบราซิลไม่มีญาติที่ไหนร่างสูงในชุดทำงานก้าวพรวดไปสอดลำแขนเข้าประคองเอวเล็ก สัดส่วนโค้งเข้าพอดี หน้าท้องเนินนูนเพียงเล็กน้อยตามอายุครรภ์เพียง 13 สัปดาห์ ปรายลดาเริ่มใส่เดรสของคนท้องบ้างในบางวันยังติดเข็มกลัดไว้ตามที่แม่อนงค์บอก“พุทรา... พวกเขาไปกันหมดแล้ว หมดเรื่องแล้ว พุดไม่ต้องกังวลนะ พี่ไม่อยู่เฉย ๆ กับเรื่องนี้แน่” ปลายเสียงเด็ดขาด แน่ว่าเขาจะต้องเอาเรื่องในภายหลัง หล่อนไม่มีวันได้มาเหยียบบ้านของเขาอีก!ตอนนี้เขายังคิดอยู่ว่าถ้าสตรีมีครรภ์รับประทานยาปลุกเซ็กส์เข้าไป ตามฉลากห้ามรับประทาน เด็กในท้องคงได้รับอันตราย ไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าเป็นพวกมักมากอย่างเขาที่โดนกับคนอื่นก็คงจะทนไหว แต่กับสาวน้อยในความดูแลแล้วเท่าไรคงไม่พอ...“พี่ไม่ได้เจอเมียมาเป็นอาทิตย์แหนะ”“แล้ว
“กรี๊ด!”ต่างคนปิดยกมือขึ้นปิดหูแม้กระทั่งคนกรี๊ดเอง เว้นแค่ปรายลดาที่ยืนหัวเราะเพื่อน เห็นอยู่ว่านัชชาจงใจตะเบ็งเสียงคอแทบแตกใส่หน้าปิ่นแก้ว ก่อนที่เจ้าตัวจะทำหน้าเฉยเมยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น“โดนตัดออกจากกองมรดกแล้วค่ะ ปริมแค่แวะมาบอก โตแล้วเนอะจะไปไหนก็ได้นี่ ไปกันดีกว่า พุด...”“พุด... รอไปพร้อมพี่” ชายหนุ่มแทรกขึ้นมาแล้วเดินไปคว้ามือเรียวไว ๆ แต่ก็ถูกสะบัดออกด้วยสีหน้าดื้อรั้นซึ่งเลือนหายไปในอีกครู่ เป็นรอยยิ้มใส ๆ“พุดไปกับปริมดีกว่าค่ะ พุดรีบ เดี๋ยวไปไม่ทัน วันนี้อาจารย์หมอมาด้วย พุดมีคำถามตั้งเยอะแยะ พี่ทำงานไปก่อนเถอะ เรื่องลูกเมื่อไรก็ได้” พูดแล้วก็คว้ามือเพื่อนสาว รีบเดินหนีเจ้าของบ้านไป ปรายลดาโมโหอย่างไรยังสำรวมกริยา ถึงเธออยากจะกรี๊ดใส่หน้าใครสักคนให้ได้อย่างนัชชาสักแค่ไหนคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังหัวใจกระตุกวูบ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อตัว และเขาก็ไม่อยากจะทำงานต่อ“เดี๋ยวผมให้วิศวกรดูหน้างานอีกที สระว่ายน้ำกับร้านอาหาร ผนังต้องให้ลูกค้าเลือกก่อนว่าจะเอาผนังปูนเปลือย บล็อกอิฐแก้ว หรือกระจก คุณเป็นหัวหน้างานสถาปนิกคุมทีมก่อสร้าง มีอะไรคุณตัดสินใจไปเลยละกัน”เพราะคำว่า ‘หัวหน
ปรเมษฐ์ มาถึงกรุงเทพฯ ในช่วงเย็นพร้อมปิ่นแก้วที่หอบงานโปรเจคใหญ่กลับมาทำต่อ มันเป็นงานที่จะต้องทำร่วมกันเป็นทีม ซึ่งเจ้าของบ้านก็ให้เกียรติภรรยา ไม่พาผู้หญิงเข้าห้องทำงานส่วนตัว ใช้สถานที่ในห้องรับแขกโปร่งโล่ง เปิดกระจกไว้ทุกบาน สำหรับวางกระดานแบบงานอันใหญ่ใต้ร่มไม้ของม้านั่งหินในสวนหย่อมหน้าบ้าน ดวงตาคู่สวยจ้องเขม็งผ่านขอบจอโน๊ตบุ๊คไปยังบุคคลทั้งสองในบ้าน พวกเขากำลังยืนอยู่หน้ากระดานแบบงานหน้าบ้านหน้าตาคร่ำเครียด“ฉันกลับมาขายเสื้อกับแกต่อได้มั้ย?” คนถามนั่งเท้าคางอย่างเซ็ง ๆ ขณะที่ปรายลดาไม่ตอบอะไรฮอร์โมนคนท้องทำให้เธอกลายเป็นคนอารมณ์แปรปรวน ยังหงุดหงิดตลอดวัน ดีหน่อยตรงที่ไม่แพ้ท้องมาก นัชชายังอยู่เป็นเพื่อนตลอด หลังจากที่เจ้าตัวไม่มีไข้แล้ว อาการดีขึ้นตามลำดับเรียกได้ว่าเกือบหายดี“แกไม่ฟังที่ฉันพูดเลย หึงผัวล่ะสิ ให้ฉันจัดการเหอะ”“ไม่เป็นไร... ขอบใจนะ ปริม แกเอาตัวแกเองให้รอดเหอะ” ย้อนคำคนที่มีกำลังปัญหาความรักและชีวิตครอบครัวขนาดว่าไม่ยอมกลับบ้าน ก่อนจะหันมองใบหน้าสดสวยสลดเศร้าลงจนต้องถาม“ตกลงแกทะเลาะอะไรกับพี่ธาม ร้องไห้จนหลับ ไม่เห็นเล่าให้ฉันฟังสักอย่าง”“เรื่องมันยาวอ่ะ